0
0
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

รีวิว [แม่กำปอง] ...บ้านน้อยในป่าใหญ่ที่เขียวและเย็นตลอดปี

calendar_month 09 ก.ค. 2015 / stylus Admin Chillpainai / visibility 89,949 / รีวิวที่เที่ยว

 
วันนี้ชิลไปไหนขอนำเสนอเรื่องราวจากคุณ TIMMY AROUND THE WORLD สมาชิกพันทิป (หมายเลข 1555860) ที่ได้นำทริปการเดินทางไปยัง "แม่กำปอง" มาบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางที่สนุกสุดๆและเป็นการเดินทางที่น่าสนใจซึ่งได้สัมผัสกับธรรมชาติและวิถีชีวิตผู้คนมากมาย จึงขอยกรีวิว[แม่กำปอง] ...บ้านน้อยในป่าใหญ่ที่เขียวและเย็นตลอดปีมาให้ชาวชิลไปไหน
ได้ชมกัน ไปเริ่มกันเลยค่าา>>
 
.......................050505......................
 
 
[CR]!!! แม่กำปอง !!!!! ...บ้านน้อยในป่าใหญ่ที่เขียวและเย็นตลอดปี
 
 
- สวัสดีค่ะ -
 
เผอิญมีโอกาสได้ไปเยือนหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางป่าเขาที่มีชื่อว่า "บ้านแม่กำปอง" มา
 
การไปเที่ยวในครั้งนี้ นอกจากความสุขที่ได้ไปเยือนสถานที่ใหม่ๆ แล้ว เรายังได้อะไรดีๆ กลับมาเยอะมาก
 
รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ และประทับใจจนเกิดความรู้สึกว่า... เราจะต้องนำ "เรื่องดีๆ" ที่เกิดจาก "การคิดดี"ที่ เป็นประโยชน์ และ มีคุณค่าต่อส่วนรวม มาบอกต่อให้คนอื่นได้รับรู้
 
มันดียังไง ??
อะไรดี ?? 
และทำไมเราถึงประทับใจ ??
 
ขอเริ่มกันเลยนะคะ ^^
.
.
เราเป็นคนที่เกิดและโตในกรุงเทพ แต่คุณตาไปทำงานที่เชียงใหม่ แม่เราเลยเกิดและโตที่เชียงใหม่ 
 
ความเกี่ยวโยงตรงนี้ ทำให้ตั้งแต่เด็กจนวันนี้อายุ 20 กว่าๆ เราไปเชียงใหม่มาแล้วเป็นร้อย ๆ รอบ ไปแทบทุกเดือน สมัยยังเด็ก เวลาปิดเทอมก็ไปอยู่ทีเป็นเดือนเหมือนกัน
 
รักเชียงใหม่จนรู้สึกมาตลอดว่า กรุงเทพคือเมืองที่ต้องอยู่ แต่เชียงใหม่คือเมืองที่เรียกว่า "บ้าน"
 
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เชียงใหม่เจริญขึ้นมาก นักท่องเที่ยวจีนก็เยอะมากตั้งแต่มีหนังชื่อ Lost in Thailand ฉายในประเทศเค้า คนญี่ปุ่น ก็ไปอยู่กันแบบระยะยาวเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่นับพวกฝรั่งอีกนับไม่ถ้วน
 
ความเจริญและการขยายตัวในการท่องเที่ยวเชียงใหม่มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย  
.
.
แต่ในที่นี้ เราขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับ "การท่องเที่ยวดีๆ ที่ควรค่าแก่การบอกต่อ" มาเล่าให้ฟังกัน 
ข้อมูลเดินทาง
 
กรุงเทพ-เชียงใหม่ : สายการบิน Lion Air ซื้อตอนโปร ราคารวมภาษีแล้ว ขาไปประมาณ 300 กว่าบาท ขากลับ 500 กว่าบาท 
รถเช่า                 : ซื้อคูปองรถเช่าจากงานวันธรรมดาน่าเที่ยวของ Chic Car Rent ราคา 599 บาท (มีรถมาส่งที่สนามบิน)
ที่พัก                  : โครงการหลวงตีนตก คืนละ 1700 บาท
การเดินทาง         : ใช้ google map นำทางไป (จากตัวเมืองเชียงใหม่ถึงโครงการหลวงตีนตก ระยะทาง 51 กม. ขับต่อไปอีกประมาณ  7 นาทีบนถนนเส้นทางเดิมก็จะถึงบ้านแม่กำปอง รวมใช้เวลาทั้งหมดจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณเกือบๆ ชม. เพราะเมื่อเข้าไปยังถนนสายเล็กแล้ว ถนนต้องขึ้นเข้านิดหน่อยและมีความคดเคี้ยวพอสมควร)
.
.
.
แม่กำปอง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไม้และป่าเขา อากาศเย็นตลอดปี มีทรัพยากรและระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์มาก ส่งผลให้ชาวบ้านมีน้ำในการทำการเกษตรตลอดปี 
 
และนี่คือ แว้บแรก ที่เราได้เห็น บ้านแม่กำปอง 
เขียว สงบ เรียบง่าย ชุ่มฉ่ำ... เห็นแล้วเย็นใจ ^^ 
 
 
 
ก่อนไป เราได้โทรไปยังบ้านแม่กำปองตามเบอร์โทรในเว็ปไซต์ เพื่อบอกว่าให้ทางหมู่บ้านช่วยเตรียมอาหารให้
 
คนที่รับโทรศัพท์ เป็นผู้ชาย เสียงน่าจะมีอายุราวๆ 50-60 ปี 
 
เราได้มารู้ทีหลังว่า ผู้ชายคนนั้นคือ "พ่อหลวงพรมมินทร์" (ภาษาเหนือ พ่อหลวงแปลว่าผู้ใหญ่บ้าน) อดีตผู้ใหญ่บ้านของแม่กำปองนั่นเอง
 
พ่อหลวงให้เราได้คุยกับ "พี่แหม่ม" คนที่จะเตรียมอาหารให้เรา 
 
พี่แหม่มทำร้านอาหาร ชื่อ "เฮือนกาแฟ" 
 
 
ร้านของพี่แหม่มติดกับลำธารที่ไหลผ่านตลอดหมู่บ้าน 
ทานข้าวไป ก็มองน้ำไหลไป ชิวดีแท้ 
นี่คือร้าน เฮือนกาแฟ
 
ข้าว+กับข้าว 3 อย่าง คนละ 90 บาท 
ถ้ากับข้าว 4 อย่าง คนละ 120 บาท
 
และนี่คืออาหารที่พี่แหม่มกับแม่ของพี่แหม่มทำให้พวกเราทาน 
 
มี ข้าวนึ่ง (ข้าวเหนียวในภาษากลาง) และกับข้าวคือ
1. ไข่ป่าม (ไข่เจียวย่างบนใบตองจนหอมกลิ่นใบตองไหม้)
2. น้ำพริกหนุ่ม
3. ลาบหมูคั่ว (สไตล์เหนือ)
4. ยำผักเมี่ยง (เป็นผักท้องถิ่นที่หาทานยาก กลิ่นแรงคล้ายๆ ใบที่เรากินกับเมี่ยงคำ เกิดมาเราไม่เคยทาน พี่แหม่มเอามายำแล้วใส่ปลาประป๋อง)
 
บ้านแม่กำปอง เป็นหมู่บ้านที่มีการจัดการที่ดีเยี่ยมในทุกๆ ส่วน
มีระบบจัดการน้ำดื่มของชุมชนผ่านระบบกรองอย่างไฮเทคและฆ่าเชื้อโดยระบบ  UV 
เราเห็นว่าร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ รวมถึงบ้านเรือนของผู้คนในหมู่บ้าน ต่างใช้น้ำดื่มของชุมชนกันทั้งนั้น
 
 
คุณแม่พี่แหม่มบอกว่า ต้นไม้ใบหญ้าที่ดูเหมือนป่ารอบๆ หมู่บ้านที่เราเห็น จริงๆ แล้วคือพืชที่ชาวบ้านปลูกกันทั้งนั้น หลักๆ ก็มีต้นเมี่ยง ต้นกาแฟ ต้นชา...
 
 
เมื่อทานข้าวเสร็จ คุณแม่พี่แหม่มบอกว่า ให้ขับรถเที่ยวขึ้นไปด้านบน 
 
ทางซ้ายจะมีบ้านพ่อหลวงพรมมินทร์ แม่พึ่งเอากาแฟไปส่ง พ่อหลวงกำลังคั่วกาแฟอยู่ 
 
ขับต่อขึ้นไป ทางขวาจะมีร้านกาแฟชื่อดัง ชื่อร้าน "ชมนกชมไม้" เป็นร้านกาแฟ บรรยากาศบ้านๆ ที่เห็นวิวทั้งหมู่บ้านจากมุมสูง
 
ขับจากร้านพี่แหม่มมาซัก 5 นาที ก็ถึงร้านชมนกชมไม้ที่มีมุมมหาชนที่ใครๆ ที่มาเยือนบ้านแม่กำปอง จะต้องมาถ่ายรูปกัน
 
 
จะเห็นได้ว่าบ้านแม่กำปองเป็นหมู่บ้านที่ถูกรายล้อมด้วยต้นไม้อย่างอุดมสมบูรณ์
 
 
บรรยากาศดีจริงๆ 
 
 
จากร้านชมนกชมไม้ พี่ที่ร้านบอกว่า ขับรถต่อขึ้นไปไม่ถึง 5 นาที ก็จะเจอ "น้ำตกแม่กำปอง" 
 
แล้วถ้าขับต่อไปอีกซัก 15-20 นาที ก็จะเจอ จุดชมวิวกิ่วฝิ่น อยู่ทางซ้าย
 
แล้วถ้าขับต่อขึ้นไปอีก ก็จะเป็น ดอยม่อนล้าน หน้าหนาวคนจะมากันเยอะ เพราะมีดอกพญาเสือโคร่ง
.
.
สงสัยเพราะเป็นเริ่มๆ หน้าฝน  จากร้านชมนกชมไม้ขึ้นไป ไม่มีรถเลยซักคัน ทางชันมาก โค้งหักศอก แต่ก็ยังใจกล้าขับไปต่อ 
 
ไม่นานนัก เราก็ถึงจุดชมวิวกิ่วฝิ่น (1400 กว่าเมตรจากระดับน้ำทะเล)
 
อากาศตอนนั้นครึ้มๆ หน่อย เลยไม่เห็นวิวอะไรซักเท่าไหร่ แต่โดยรวมก็คุ้ม เพราะอากาศสดชื่นเย็นสบาย ทำให้ได้ใส่เสื้อหนาวทั้งๆ ที่เป็นเดือนพ.ค.
 
 
ขากลับลงมา พึ่งจะได้เห็นแจ้งว่า ทางชันมากกกก!!! ถ้าใครขับรถไม่แข็ง แนะนำว่าอย่าขับขึ้นไปเองนะคะ ขึ้นอะไม่ยากนัก แต่ขาลงอะ ถ้าไม่เลี้ยงดีๆ เบรกไหม้แน่ๆ เลย
 
ขาลง เราจะเจอน้ำตกแม่กำปองอยู่ทางขวามือ เงียบมากกก ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยซักคน 
 
พอจอดรถเท่านั้นแหละ มีไกด์กิติมศักดิ์มารอรับที่ประตูรถเลยยยยย อิอิ
 
 
ทางหมู่บ้านทำบันไดเป็นทางเดินเลียบน้ำตกแม่กำปองราวๆ 500 เมตร ทางชันพอสมควร 
 
ตลอดทางเรามีไกด์กิติมศักดิ์ตัวนี้วิ่งนำทางตลอด พอเราเดินช้าก็จะหันมามองแล้วหยุดรอ ^^
 
ด้านล่างสุดของน้ำตกแม่กำปองค่ะ
 
 
เดินต่อขึ้นมาอีกหน่อย แอ่งใหญ่เชียว น้ำงี้เย็นเฉียบอย่างน้ำในตู้เย็นเลย
 
 
ทางเดินจะเป็นทางเลียบผาน้ำตกไปเรื่อยๆ บางช่วงก็ชันทีเดียว 
 
 
เราเดินไปจนสุดทางที่เค้าอนุญาติให้เดินไปได้ ความจริงมันเดินไปได้อีก แต่ทางหมู่บ้านติดป้ายว่าห้ามเดินไปต่อเกินป้ายที่เค้าติดไว้
 
ไปกลับก็ใช้เวลาราวๆ 30-40 นาทีค่า ^^
 
สิ่งที่ประทับใจจากการไปเยือนน้ำตกคราวนี้คือ...  รู้สึกได้ถึงการดูแลธรรมชาติที่ดีของคนในชุมชน
 
ที่นี่ต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ทั่วไทย คือ ตลอดทางที่ไปน้ำตก ตามพื้นและโคนต้นไม้ไม่มีก้นบุหรี่เลยซักมวน ไม่มีเศษแก้วจากขวดเหล้า ไม่มีถุงขนมขบเคี้ยว แม้แต่ขยะซักชิ้นก็ไม่มีเลย!!! 
 
เราเกิดคำถามในใจนะ ว่าเค้าดูแลกันยังไงเนี่ย น่าประทับชะมัดเลยยยย ^^
 
 
กลับลงมายังหมู่บ้าน...
 
เราจอดรถข้างๆ กับร้านกาแฟที่ตั้งอยู่กลางๆ หมู่บ้านชื่อ ร้านฮิมห้วย ลุงปุ๊ด ป้าเป็ง
 
 
 
ร้านนี้ล่ะ ที่เราได้พบกับพี่ที่ดูแลร้านที่ชื่อ "พี่อ้อ"
 
ด้วยความที่เราไปวันธรรมดา พี่อ้อเลยมีเวลาคุยกับเราเต็มที่ เพราะที่ร้านคนไม่เยอะ 
 
เราคุยกับพี่อ้อเกือบชม. พี่อ้อเล่าเรื่องราวต่างๆ ของหมู่บ้านให้เราฟังมากมาย ซึ่งทำให้เราประทับใจมากจนเราอยากจะเอาเรื่องของที่นี่มาเล่าต่อให้คนภายนอกได้รู้กัน
 
พี่อ้อเล่าว่า...
 
บ้านแม่กำปองเกิดจากคนรุ่นก่อนขึ้นมาอยุ่ทางนี้เพราะหาที่ทำกิน จนกลายมาเป็นชุมชนเล็กๆ กลางป่าเขาอย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้
 
เมื่อสิบกว่าปีก่อน พ่อหลวงคนเดิม ชื่อ พ่อหลวงพรมมินทร์ ได้คิดริเริ่มทำให้หมู่บ้านของเรากลายเป็นหมู่บ้านโฮมสเตย์
 
สมัยก่อน ทุกอย่างไม่ได้ราบเรียบแบบทุกวันนี้ มีอุปสรรคต่างๆ มากมายกว่าทุกอย่างจะลงตัวและเป็นระบบ แต่ทุกอย่างเกิดจากการร่วมด้วยช่วยกันของผู้คนในหมู่บ้าน ทำให้บ้านแม่กำปองกลายเป็นหมู่บ้านที่ได้รางวัลอย่างทุกวันนี้ 
 
ตัวพ่อหลวงพรมมินทร์เอง พี่อ้อบอกว่า เห็นแกดูธรรมดาๆ แบบนี้ แกได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรในที่ต่างๆ จังหวัดต่างๆ อยู่เสมอ รวมถึงได้เชิญไปรับปริญาโทจากมหาลัยฯ ด้วย
 
บ้านพักที่เป็นโฮมสเตย์มีทั้งหมด 20 หลัง ทุกหลังจะเป็นระบบคิว เพื่อเป็นการกระจายรายได้เสริมให้คนในชุมชน ก่อนที่จะเข้าโครงการได้ จะมีเกณฑ์การทำให้ได้มาตรฐานด้านต่างๆ เช่นเรื่องความสะอาด
 
คนในหมู่บ้านเองก็จะมีกลุ่มต่างๆ เช่นกลุ่มนวดแผนไทย กลุ่มทำหมอนใบชา ฯ ซึ่งอย่างการนวดแผนไทย ก็เป็นระบบคิวภายใต้แนวคิดเดียวกัน
 
การคุยกับพี่อ้อทำให้เราได้รู้ว่า ที่แท้ พี่แหม่มที่ทำกับเข้าให้เราทานนั้น เป็นลูกพ่อหลวงพรมมินทร์คนดังนี่เอง ส่วนคุณแม่พี่แหม่ม ก็ภรรยาพ่อหลวง แล้วพี่แหม่ม ก็คือพี่สะใภ้พี่อ้อนี่เอง พี่อ้อบอกว่า คนที่นี่ก็เหมือนจะเป็นญาติกันหมด
 
พี่อ้อยังเล่าอีกว่า คนที่นี่รักป่ารักธรรมชาติกันมากก บ้านเรือนพวกเราอยู่กลางหุบเขา ถ้าเราไม่มีต้นไม้ หน้าฝนเราคงโดนน้ำป่ากันหมด สำหรับพวกเราชาวแม่กำปอง ป่าถือเป็นของรักที่จะต้องหวงแหน แม้แต่ต้นไม้แค่ต้นเดียว เราก็ไม่สามารถตัดได้ มันผิดกฎของหมู่บ้าน
 
ถ้าสังเกตบ้านเรือน จะเห็นว่าบ้านที่สร้างสมัยก่อน จะติดลำธารเลย แต่ในปัจจุบัน มีกฎห้ามสร้างบ้านติดลำธารแล้ว ถ้าคนนอกจะมาซื้อที่ในหมู่บ้าน ชาวบ้านจะต้องรับทราบและมีข้อตกลงก่อนว่าจะซื้อไปทำอะไร และต้องปฏิบัติตามกฎของหมู่บ้านอย่างเคร่งครัด
.
.
.
ในหมู่บ้าน จะมีเซ็นเตอร์ของ  Flight of the Gibbon ที่เป็นกิจกรรมผจญภัยดังๆ...
 
เราก็บอกพี่อ้อว่า ประทับใจกับความวิถีชีวิต ความสามัคคี ระบบที่ชัดเจน และความคิดดีๆ ของพ่อหลวงพรมมินทร์และชาวบ้านมากๆ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าหมู่บ้านเชิงอนุรักษ์แบบนี้ พอมีกิจกรรมผจญภัยมีรถตู้เข้ามาตรงเซ็นเตอร์วันละหลายๆ คันแล้วรู้สึกว่ามันขัดๆ ไม่เข้ากันกับวิถีชุมชน
 
พี่อ้อก็อธิบายว่า Flight of the Gibbon เป็นของคนภายนอกก็จริง แต่เค้าก็ช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกับชุมชนของเราเราอย่างดี กิจกรรมฯ ของเค้าที่มี 30 กว่าฐานก็อยู่ด้านล่าง ไม่ใช่ตรงหมู่บ้าน เค้าเข้ามาในหมู่บ้านเพียงแค่มาลงทะเบียนอะไรต่างๆ ที่ศูนย์
 
แต่ที่สำคัญก็คือเค้าทำให้เด็กๆ ในหมู่บ้านของเรามีงานทำ เด็กเกเรไม่เรียนหนังสือก็มีอยู่ ถ้าเค้าไม่ทำงานที่นี่ เค้าก็คงหางานดีๆ ไม่ได้ แต่บริษัทนี้เค้าให้รายได้ที่ดีแก่คนในชุมชน และเค้าก็อนุรักษ์ธรรมชาติอย่างที่พวกเราชาวบ้านทำ เป็นอะไรที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอดสิบกว่าปีมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
 
เราก็ถึงได้เข้าใจ...
 
นอกจากนี้ หมู่บ้านยังมีระบบสหกรณ์อีกด้วย ซึ่งทุกครัวเรือนจะเป็นสมาชิก รายได้ต่างๆ จากการท่องเที่ยวที่หักค่าใช้จ่ายแล้วก็จะเป็นรายได้ของสหกรณ์ ถ้ามีกำไร ในทุกปีก็จะมีการจ่ายปันผลให้กับสมาชิก
.
.
.
ณ จุดนี้ จากที่คุยกันมาเกือบชม. เรารู้สึกได้ถึง "ความสามัคคี" "ระบบชุมชนที่แข็งแกร่ง" และ "การคิดดีเพื่อส่วนรวม" ของผู้คนที่นี่
 
ทุกอย่างที่พวกเค้าทำ เค้าคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนถึงผลกระทบต่างๆ ทั้งแง่บวกและแง่ลบมาแล้วแทบทั้งนั้น
.
.
.
กลับมา เราเลยลองเซิชเกี่ยวกับบ้านแม่กำปอง... และนี่คือสิ่งที่เราเจอ http://www.mae-kampong.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=394934&Ntype=1
 
“การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะต้องเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรเพราะการท่องเที่ยวแบบนี้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในชุมชนอย่างใกล้ชิด นักท่องเที่ยวจึงต้องมีจิตสำนึกไม่ทำลายและช่วยอนุรักษ์ให้อยู่อย่างยั่งยืน” พ่อหลวงพรมมินทร์
 
"ผลสำคัญของการท่องเที่ยวคือ ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ในการจุนเจือครอบครัวมากขึ้น จากการที่ชาวบ้านร่วมตัวกันจัดตั้งกลุ่มต่างๆ ตามความถนัดและความสนใจของตน เพื่อรับการอบรมพัฒนาอาชีพเสริมที่ผู้นำหมู่บ้านจัดขึ้นเช่น กลุ่มเครื่องเรือนไม้ไผ่ กลุ่มตีเหล็ก กลุ่มสมุนไพรพื้นบ้าน กลุ่มนวดแผนโบราณ กลุ่มดนตรีพื้นเมือง กลุ่มฟ้อนรำ กลุ่มไกด์ กลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ชา กาแฟ มันฝรั่งทอดกรอบ กลุ่มจักสานหมวก ตะกร้าใส่ไข่ ซึ่งทุกกลุ่มมีความเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวทั้งสิ้น"
 
"ทุกวันนี้ชาวบ้านแม่กำปองได้เข้าใจเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการบริหารจัดการในทุกด้าน รวมถึงรู้จักหน้าที่และบทบาทของตัวเองในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ตลอดจนการร่วมแรงร่วมใจกันในการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อมิให้เกิดเป็นผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนเช่นในอดีตที่ผ่านมา"
.
.
.
คือ... ประทับใจมากกก!!!
 
 
เล่าซะยาวเลย!!! 555
 
ทีนี้ มาดูบรรยากาศภายในหมู่บ้านกันนะคะ
 
ถนนเส้นหลักและเส้นเดียวของบ้านแม่กำปอง มีบ้านเรือนน่ารักสองข้างทาง
 
 
เสื้อผ้าไม่ต้องมีเยอะ แต่งตัวกันง่ายๆ สบายๆ  
 
 
ที่นี่ไม่มีธนาคาร มีแต่สหกรณ์เท่ๆ อยู่กลางหมู่บ้าน
 
 
มีโรงอาหารสวยๆ ในศูนย์การเรียนรู้ของหมู่บ้าน
 
 
ท็อปส์ เซเว่น แฟมิลี่มาร์ทที่นี่ไม่มีหรอกนะ มีแต่โชว์ห่วยคลาสสิกๆ พร้อมโทรศัพท์หยอดเหรียญอยู่ด้านหน้า
 
 
คอนโด ตึกสูง สระว่ายน้ำ คนที่นี่เค้าไม่ต้องการหรอกนะ เค้ามีบ้านไม้สุดเท่ พร้อมลำธารที่น้ำใสแจ๋ว
ไหลตรงจากภูเขาให้เล่นได้ทุกวันอยู่แล้ว 
 
 
เป็นไง ซุปเปอร์มาร์เก็ตขายผักของที่นี่น่ารักมั้ยล่าาาา หลังคาใบไม้ มีวิวต้นกล้วยด้านหลังด้วย
ตลาด/ซุปเปอร์ฯ แบบในเมืองอะ ไม่จำเป็นหรอกนะที่นี่
 
 
ร้านอาหารตามสั่งเค้าก็มีดีไซน์นะ เก๋มั้ยล่ะ!! 
 
 
พี่อ้อเล่าว่า ที่นี่จะมีรถขายของด้วย จะเข้ามาที่แม่กำปองวันละ 2 ครั้ง เช้ากับเย็น ใครอยากได้ของอะไร อยากกินอะไรจากทางด้านล่าง ก็จะสั่งให้รถคันนี้ไปซื้อมาให้ ตอนเรากำลังจะออกจากหมู่บ้านช่วงเย็น รถมาพอดีเลยๆ เป็นบุญตา 555
 
 
ผู้คนที่นี่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ พึ่งพาอาศัยธรรมชาติอย่างเป็นมิตรต่อกัน เหมือนเพื่อนแท้ของกันและกัน
 
 
 
ผู้คนในเมืองใหญ่ มีความต้องการต่างๆ มากมายในชีวิตมากกว่าผู้คนในเมืองเล็ก ทั้งบ้าน รถ เสื้อผ้า มือถือ เครื่องประดับ ฯ
 
ในขณะที่ผู้คนที่นี่ เค้าอาจจะไม่ได้มีมากมายนัก แต่เค้าก็มีมากเพียงพอ
 
เค้าอยู่กับธรรมชาติ ใกล้ชิดกับญาติพี่น้อง นอนหลับสบาย กินอิ่มในทุกๆ วัน 
 
 
 
 
การมาที่นี่ เรารู้สึกว่าเข้าใจวลีที่ว่า "น้อยนิด แต่ยิ่งใหญ่มหาศาล" อย่างแท้จริง
 
ในแง่วัตถุ คนที่นี่อาจจะไม่ได้มีมาก แต่เค้าก็มีเพียงพอ
 
แต่ในแง่ที่ไม่ใช่วัตถุแล้ว คนที่นี่ เค้ามีมากมายมหาศาลจริงๆ 
 
เค้ามีลำธารให้เล่นแทนสระน้ำ
มีป่าเขาแสนสวยสุดลูกหูลูกตา
มีเสียงแมลงและเสียงน้ำไหลให้ได้ยินทุกคืน
มีอากาศบริสุทธิ์พร้อมกลิ่นธรรมชาติที่พวกเราคนเมืองไม่มีโอกาสได้สูดดม
 
สิ่งที่เรียบง่ายแบบนี้ บางทีมันกลับกลายเป็นอะไรที่หายากสำหรับคนที่อยู่ในเมือง 
 
สำหรับเราแล้ว สิ่งธรรมดาที่ไม่ธรรมดาแบบนี้แหละ คือสิ่งที่เราใฝ่หา มันเป็น ความสุขที่อิ่มอกอิ่มใจ แต๊ๆ นา  ^^
ขอบคุณที่อ่านจนจบนาเจ้าาา ^^
 
..............................................................................
 
ตอนแรกว่าจะจบแล้ว แต่มีคนบอกว่าควรลงรูปโครงการหลวงตีนตกที่ไปพักมาด้วย
 
อะ จัดให้!!! 555 (แต่มีแต่รูปบรรยากาศน้า ไม่มีรูปในบ้านพักและพวกอาหาร ไม่ได้ถ่ายไว้อ่า) 
 
ทางจากแม่กำปองมายังโครงการหลวงตีนตก เขียวตลอดทาง
 
 
ถึงแล้ววว เราพักบ้านธารริน 7 บ้านหลังขวาสุด แถวล่าง
 
 
รูปนี้ถ่ายจากระเบียงหน้าห้องพัก บ้านพักที่นี่ไม่มีแอร์ แต่ก็ไม่ร้อน  
 
 
ระหว่างวันก็นั่งจุ่มขาแช่น้ำ เป็นลำธารสายเดียวกันกับที่บ้านแม่กำปอง
เส้นทางน้ำไหลก็จาก... น้ำตกแม่กำปอง  >> หมู่บ้านแม่กำปอง >> โครงการหลวงตีนตก
 
 
อีกซักนิด
 
 
อาหารเช้าที่นี่ ไม่มีให้มากนัก มีข้าวต้มหมูสับเห็ดหอม + ขนมปังพร้อมแยมและเนย + ชากาแฟ
 
มีแค่นี้น้าาาา 
 
จบแล้วค่าาาา 05
 
 
 
 
ขอบคุณเรื่องราวจากสมาชิกพันทิป : คุณTIMMYAROUNDTHEWORLD
สามารถติดตามสกู๊ปได้ที่ Pantip.com
และ  Facebook : TIMMYAROUNDTHEWORLD
 
 
เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai