calendar_month 20 ส.ค. 2018 / stylus Admin Chillpainai / visibility 58,460 / ทริปตัวอย่าง
จากการออกเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาทั้งชีวิต ผมได้เจอสิ่งต่างๆ ที่หลากหลาย ทั้งวัฒนธรรมที่ไม่เคยสัมผัส
ธรรมชาติที่มหัศจรรย์จนคาดไม่ถึง หรือแม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทางที่สร้างความประทับไม่รู้ลืม...มันยิ่งทำให้ผม อยากจะค้นหาประสบการณ์จากการเดินทางต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการเสพติดเลยครับ
อย่างการออกไปท่องเที่ยวครั้งนี้ของผม ผมอยากลองไปทำความรู้จักกับจังหวัดน้องใหม่ จ.บึงกาฬ จังหวัดที่หลายคนพูดถึง ผมเลยลองเปิดค้นหาทริปเที่ยวของคนอื่นๆ ในอากู๋ ดูไปดูมา เห้ยยยย! จังหวัดนี้มันน่าสนใจไม่น้อยเลย มีที่เที่ยวทั้งธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ศิลปะวัฒนธรรมพร้อมให้เราไปค้นหา ยิ่งเห็นภาพสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในบึงกาฬยิ่งตื่นเต้น
อยากออกไปเที่ยวใจจะขาด เลยไม่รอช้าเตรียมพร้อมเก็บกระเป๋ามุ่งหน้าไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนสุดครับ
- การเดินทางไปจังหวัดบึงกาฬสามารถเดินทางไปได้หลายวิธี แล้วแต่ว่าสะดวกแบบไหน ทั้งรถส่วนตัวขับไปจาก กรุงเทพฯ
ระยะทางประมาณ 758 กิโลเมตร หรือถ้านั่งรถไฟก็ไปลงหนองคายแล้วไปต่อรถประจำทาง ถ้านั่งเครื่องบินก็ลงจังหวัดอุดรธานีแล้วต่อรถประจำทางเข้าจังหวัดบึงกาฬได้เหมือนกัน แต่หากอยากเที่ยวแบบสะดวกๆ ขอแนะนำว่า “ต้องมีรถ” จะขับไปเองเลย หรือเช่าก็ได้ เพราะสถานที่เที่ยวแต่ละที่ค่อนข้างไกลกันและรถประจำทางในจังหวัดไม่ค่อยมีครับ
- เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับประเทศลาวและอยู่ในภาคตะวันออกเฉีย
งเหนือตอนบนสุดในประเทศ
- ถึงจะเคยเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดหนองคาย แต่มีพื้นที่กว้างมาก ซึ่งกว้างกว่าจังหวัดหนองคายที่แยกออกมาอีก
- ที่ท่องเที่ยวเกือบทุกที่ค่อนข้างผจญภัย ต้องเดินขึ้นเขา ปีนน้ำตก อยากท่องเที่ยวให้สบายใจ เราควรพร้อมรับมือกับทุกเหตุการณ์ ผมเลือกที่จะทำประกันอุบัติเหตุประกันคนกล้าเอ็กซ์ตร้า ของ เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต ไว้ให้เที่ยวอย่างสบายใจ
ไม่ต้องกังวลว่าจะเจอกับอะไร อุ่นใจทุกทริป เพราะเป็นประกันเดียวที่คุ้มครองทุกกิจกรรมผาดโผนและเคลมง่ายไม่ค่อยมีเรื่องจุกจิก เพื่อนๆ คนไหนสนใจลองดูรายละเอียดได้ จ่ายไม่แพง แต่คุ้มครองคุ้มมากจริงๆ ครับ https://www.fwd.co.th/th/protect/accident/prakan-kon-kla-extra/
ถ้าอยากรู้กันแล้วว่าจังหวัดน้องใหม่จะมีอะไรน่าสนใจ เก็บกระเป๋าตามผมมาเลยครับ
ถ้าไม่ลื่น ไม่ใช่ “ภูวัว”
เช้าวันแรกของการเดินทางมาถึงจังหวัดบึงกาฬ ความใจร้อนอยากสัมผัสธรรมชาติเร็วๆ ทำให้ผมมุ่งหน้าตรงดิ่งมายัง “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว” ก่อนเลยครับ ที่นี่เป็นป่าไม้ผืนใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของภาคอีสาน กินพื้นที่อำเภอบุ่งคล้า อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง แต่ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่านั้นตั้งอยู่ในอำเภอบุ่งคล้าครับ
สำหรับเช้าวันนี้ผมนัดกันไว้กับเจ้าหน้าที่เขตฯ ชื่อว่าพี่สว่าง ผู้รู้ทุกจุดของภูวัว เพื่อเป็นไกด์พาเราไปเดินป่าและกางเต็นท์กัน
ซึ่งการเดินป่าครั้งนี้จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า จุดเริ่มต้นคือที่ทำการรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จุดสิ้นสุดคือลานอเมริกา
ตอนออกเดินบอกเลยว่าใจเต้นรัว เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยครับสำหรับการเดินป่าในภาคอีสาน
ทางเดินในช่วงแรกเป็นการเดินลุยป่าเข้าไป มีบ้างบางช่วงที่ต้องลุยธารน้ำเล็กๆ ไม่มีทางหลบครับลุยอย่างเดียว ซึ่งส่วนมากแล้วเป็นทางเดินป่าไผ่ แซมด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ มองทางไหนก็สีเขียวสบายตาไปหมด ระยะทางที่เราเดินทางราบประมาณ 300 - 400 ม. ครับ
เข้าป่ามาได้สักพัก สิ่งแรกที่ธรรมชาติส่งมาทักทายเราก็คือ “น้ำตกลาดเปลือย” น้ำตกขนาดเล็กที่อยู่ริมทางเดิน หลังจากที่เดินมาพอเหนื่อยหอบ ได้ล้างหน้าล้างแขนจากน้ำตกเย็นเฉียบเรียกความสดชื่นได้ดีทีเดียว
ผ่านน้ำตกมาแล้ว ทางเดินด่านต่อไปที่เราต้องเจอคือ ความชัน บอกเลยว่าชันเอาเรื่องอยู่ครับ บางช่วงเราต้องจับกิ่งไม้ปีนเอง บางช่วงมีขั้นบันไดอยู่บ้าง ถ้าหากนึกไม่ออกว่าทางเดินชันขนาดไหน ลองเอาเข่าชิดอกดูครับประมาณนั้นเลย
ถึงเป็นทางสูงชันที่ระยะทางไม่ยาวมาก แต่ก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน ก่อนจะไปเดินกันต่อ มีจุดพักนั่งชมวิว ชื่อว่า “ผานางคอย” นั่งพักคลายเหนื่อยกันสักพักก็อดถามพี่สว่างไม่ได้ว่าเราใกล้ถึงจุดกางเต็นท์หรือยัง พี่สว่างบอกว่าเราเดินมาได้ครึ่งทางแล้วครับ พอได้ยินว่าครึ่งทาง ทุกคนเริ่มมีกำลังใจฮึดสู้กันขึ้นมา..ผมเองก็คิดว่า..ถ้าครึ่งทางงั้นเหลืออีกนิดเดียวเอง ชิลๆ สบายๆ !
จากจุดผานางคอย เราเดินลุยป่าไผ่กันไปอีกสักพักก็เหมือนเดินผ่านประตูไปไหนก็ได้ของโดเรมอน ...โผล่ออกจากป่าไผ่ออกมาเจอหินทราย ! จากป่าทึบๆ กลายมาเป็นลานหินกว้างๆ และตามมาด้วยความยากในการเดินที่ใครๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน คือความลื่นครับ
“ใครไม่ลื่นแสดงว่ามาไม่ถึงภูวัว” เห็นท่าว่าจะจริง ...เพราะเดินไปได้สักระยะก็ได้ยินเสียงอุทานของเพื่อนร่วมทริป อุ้ย! ว๊าย! เฮ้ย! เสียงดังกันลั่นภู ซึ่งระยะทางที่เราต้องเดินเกือบทั้งหมดเป็นหินทรายที่มีน้ำไหลผ่านบ้าง น้ำฝนบ้างจนมีตะไคร่สีเขียวๆ ขึ้นเต็มไปหมด เวลาเดินสติต้องอยู่กับร่างเต็มที่ครับ เผลอนิดเดียวได้แผลกลับบ้านแน่นอน
เดินจิกเท้า เกร็งจนตะคริวจะกินมาสักพักสายตาก็ดันไปเห็นป้ายเขียนไว้ว่า “ลานอเมริกา 8 กม.” อ้าววว...ไหนพี่สว่างบอกว่าครึ่งทางแล้วไง ไหงกลายเป็น 8 กม. เริ่มใจแป้วกันแล้ว ถ้า 8 กม.ไม่ต้องเดินกันยันเย็นเหรอเนี่ย? สรุปแล้วพี่สว่างบอกว่าป้ายผิดน่ะครับ ของจริงประมาณ 2 กม. เบาๆ
การเดินที่ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าวทำให้ระยะทาง 2 กิโลเมตร ใช้เวลานานกว่าทางเดินธรรมดาเยอะเลยครับ เดินมาเรื่อยจนเริ่มหิว ท้องไส้มันงอแง พี่สว่างเลยแนะให้เราไปแวะกันที่ริมธารน้ำระหว่างทาง เพื่อทานข้าวมื้อเที่ยงกันก่อน
อิ่มแล้วมีแรงเดินกันต่อ แต่ยังต้องเดินแบบระมัดระวังกันเต็มที่ครับ ซึ่งผมว่ามันเป็นโอกาสดีที่เราจะได้สำรวจสิ่งรอบตัวไปด้วย ไม่ใช้จ้ำอย่างเดียวเพื่อให้ถึงที่หมาย ระหว่างทางเลยได้เจอกับพันธุ์ไม้นานาชนิด ทั้งหม้อข้าวหม้อแกงลิง หญ้าพันเกลียว และดอกเอนอ้าสีขาวที่หายาก
หลักฐานการมีตัวตนอยู่ของเจ้าถิ่นอย่างเจ้าช้าง ดูจากเห็ดที่งอกงามแล้วน่าจะผ่านมานานสักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งพี่สว่างบอกว่าเจอแต่รอยน่ะดีแล้วครับ อย่าเจอตัวพี่ใหญ่ของป่าภูวัวเลย พี่แกดุไม่เบา
และแล้วเราก็มาถึงจุดกางเต็นท์ที่เรียกว่าลานอเมริกาแล้วครับ พี่สว่างบอกว่าสาเหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะว่าในอดีตเคยเป็นสถานที่ตั้งฐานทัพของทหารอเมริกา ลักษณะลานเป็นหินทรายกว้าง มีลำธารเล็กๆ ต้นไม้และดินบางส่วน บรรยากาศเงียบสงบเพราะช่วงเปิดฤดูท่องเที่ยวนี้กลุ่มเราเป็นกลุ่มแรกมาในปีนี้ครับ
หลังจากที่กางเต็นท์สำหรับนอนคืนนี้เสร็จแล้ว ต้องไปแช่น้ำให้ชื่นใจหน่อยครับ เนื้อตัวเหนียวหนุบหนับเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาทั้งวัน ทำให้ผมอดใจไม่ไหว ได้แช่น้ำท่ามกลางบรรยากาศดีๆ และธรรมชาติแบบนี้แล้วอยากมีไว้หลังบ้านบ้าง ต่อให้สระว่ายน้ำโรงแรมหรูก็สู้ไม่ได้จริงๆ ครับ
สำหรับมื้อเย็นเราช่วยกันทำกับข้าว อย่างหมูทอด กระหล่ำน้ำปลา ไข่เจียว แม้จะเป็นเมนูง่ายๆ แต่การที่ได้มาทานหลังจากที่ผ่านความยากลำบากตลอดทั้งวัน รสชาติของอาหารมื้อนี้อร่อยขึ้นสิบเท่าเลยครับ
ตกกลางคืน บนลานอเมริกาเป็นจุดชมดาวที่สวยงามครับ ผมตั้งใจเต็มที่ว่าคืนนี้จะมานั่งมองดาวชิลๆ เคล้าเสียงจั๊กจั่นเรไร แต่โดนดับฝันเพราะฟ้ามืดครึ้มฝนลงตั้งแต่เย็น จบครับ...พับโปรเจ็คต์ใส่กระเป๋า มุดเข้าเต็นท์นอนตั้งแต่หัวค่ำ ทั้งๆ ที่เวลานี้หากอยู่ในเมือง คงยังไม่ถึงบ้านแน่นอนครับ
นอนหลับเต็มอิ่ม ตื่นมายามเช้าได้เวลากลับออกจากลานอเมริกา เพื่อไปเที่ยวที่อื่นๆ ของบึงกาฬกันแล้วครับ การเดินขึ้นภูครั้งนี้ธรรมชาติสอนให้ผมไม่ประมาท ระมัดระวังมากขึ้น ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ผมว่าเสน่ห์ของธรรมชาติที่ผมได้สัมผัสคือความเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้นี่แหละครับ ชวนให้ใจเต้นแรงทุกครั้ง
น้ำหายใต้ขัวที่ “น้ำตกชะแนน”
ในพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว มีธรรมชาติที่หลากหลายและน่าสนใจอีกเยอะครับ..อีกที่ที่เราพลาดไม่ได้นั่นคือ “น้ำตกชะแนน” น้ำตกใหญ่และสวยงามอลังการ ซึ่งช่วงเวลาที่นิยมมาเที่ยวน้ำตกชะแนนคือหน้าฝนครับ เป็นช่วงที่น้ำเยอะและทำให้เราเห็นความมหัศจรรย์ของที่นี่ชัดเจน
ความมหัศจรรย์ที่ผมพูดถึงคือสะพานหินที่ธรรมชาติสรรสร้าง ไม่ได้มีใครมาทำเอาไว้ พอได้ลงไปเดินที่สะพานหิน เห็นน้ำตกที่ไหลมาเป็นสายน้ำหายเข้าไปในก้อนหินขนาดใหญ่ยักษ์ที่เรายืนอยู่และลอดไปอีกด้านหนึ่ง ทำเอาทุกคนร้องว้าว! ที่สำคัญคือ ชาวบ้านสามารถขับรถผ่านบนก้อนหินอันใหญ่นี้ได้เหมือนเป็นสะพานจริงๆ เลย
ความยิ่งใหญ่สวยงามของน้ำตกชะแนนไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ เราข้ามสะพานไม้เล็กๆ เข้าไปยังทางเดินป่าไผ่เพื่อเดินเท้าเข้าไปชมน้ำตกกัน ระยะทางก็ไม่ไกลมาก ประมาณ 1 กม. เดินได้สบายๆ ไม่ยาก เทียบกับการเดินขึ้นลานอเมริกาแล้ว สบายกว่ากันเยอะเลยครับ
มาถึงแล้ว น้ำตกชะแนน ซึ่งคำว่าชะแนนในภาษาอีสานแปลว่า “สวยงามที่สุด” สมแล้วครับที่ได้ชื่อนี้ น้ำตกตรงหน้าผมสวยงามใหญ่โตจริงๆ แต่ว่าในช่วงหน้าฝนที่น้ำเยอะแบบนี้ น้ำไหลหลากลงมาทุกทิศทางทำให้เราไม่สามารถเดินขึ้นไปด้านบนของน้ำตกได้ และเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ลงเล่นน้ำ เพราะน้ำค่อนข้างลึกและอันตราย แค่นั่งชื่นชมด้านล่างก็ตื่นตาตื่นใจแล้วครับ
ก้าวขึ้นบันไดแห่งความศรัทธา “ภูทอก”
มาถึงบึงกาฬทั้งที เราจะพลาดสัญลักษณ์ประจำจังหวัดอย่าง “ภูทอก” ไม่ได้ จากลานอเมริกาเราสามารถมองเห็นภูทอกด้วยครับ ลักษณะเป็นเขา 2 ลูก ลูกเล็กและลูกใหญ่ ซึ่งในภาษาอีสาน ภูทอก แปลว่าภูเขาที่โดดเดี่ยว แต่ที่ภูทอกนั้นเป็นภูเขาที่ต่างจากที่อื่นๆ คือที่นี่เป็นศาสนสถาน ที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามและมีสะพานไม้วนอยู่รอบๆ เขา
ภูทอกมีทั้งหมด 7 ชั้นครับ แต่ชั้นที่นิยมขึ้นไปชมกันจริงๆ คือแค่ชั้น 6 เท่านั้น จุดที่เราเริ่มเดินขึ้นไปยังด้านบนคือ วัดเจติยาคีรีวิหาร ทางเดินที่เราต้องขึ้นบันไดไม้ที่ใช้เวลาสร้างถึง 5 ปี โดยทั้งหมดเกิดจากแรงศรัทธาของพระและชาวบ้าน ผมเห็นแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ ดูจากการสร้างบนผาสูงแบบนั้น นับถือคนสร้างเลยครับว่าทำได้ยังไง
ทางเดินขึ้นในช่วงแรกๆ ชั้นที่ 1 - 2 เป็นบันไดเพื่อไปยังสะพานไม้ชั้นที่ 3 ทางเดินช่วงแรกเป็นหินทรายที่มีตะไคร่เกาะ ค่อนข้างลื่น ต้องระมัดระวังกันหน่อยครับ ส่วนบันไดทางขึ้นบอกเลยว่าแอบหอบเหมือนกัน เดินสักพักเริ่มล้า เลยหันไปมองสองข้างทางที่เป็นป่าสีเขียวสดชื่นแทน ช่วยให้ลืมความเหนื่อยได้บ้าง แถมตามต้นไม้เกือบทุกต้นริมทางเดินมีคำสอนต่างๆ ติดไว้ให้อ่านเพลินๆ ด้วย
เดินไต่บันไดขึ้นไปเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายคืออยากขึ้นไปดูให้สุดจนถึงชั้น 7 ว่ามีอะไรบ้าง ขอบอกเลยครับว่าเคยเปิดภาพถ่ายของที่นี่มาบ้าง แต่ไม่คิดว่าของจริงก็แอบสูงเหมือนกัน ยังไปไม่ถึงชั้น 7 แค่ขึ้นบันไดชั้น 4 ก็รู้สึกว่าสูงแล้ว ใครที่กลัวความสูงอาจจะขาสั่นๆ บ้าง เวลาเดินมองด้านหน้าไว้ครับ มองด้านล่างแล้วใจมันจะหวิวๆ
มาถึงบริเวณชั้น 5 ชั้นนี้มีศาลาขนาดใหญ่ประดิษฐานพระพุทธรูป และมีกุฏิพระ บรรยากาศเงียบสงบเหมาะสำหรับการมานั่งสมาธิ ปฎิบัติธรรม เพราะฉะนั้นเวลาใครมาที่นี่ต้องระมัดระวังให้ไม่เผลอทำเสียงดังไปรบกวนด้วยครับ
ไต่บันไดจนมาถึงชั้น 6 เล่นเอาหอบเหมือนกันครับ แต่พอได้มานั่งพักตากลมชิลๆ บนจุดชมวิว สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วหายเหนื่อยครับ ซึ่งชั้น 6 เป็นชั้นที่มีหน้าผายื่นออกมาเป็นจุดชมวิว ส่วนชั้นที่ 7 นั้นไม่มีอะไรมากครับ เป็นทางเดินในป่า พอได้มาถึงด้านบนตามที่ตั้งใจไว้แล้ว ความรู้สึกเหมือนกับคนที่ได้หลุดพ้นจากอุปสรรคต่างๆ ด้วยความพยายามและความมุ่งมั่นเลยครับ
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้นั่งนิ่งๆ มองสายหมอกพัดผ่านไป ท่ามกลางต้นไม้ บ้านเรือนของผู้คน ผมว่ามานั่งอยู่บนผากว้างสบายตาแบบนี้ดีกว่านั่งในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้วต้องเร่งรีบทำทุกอย่างให้ทัน ผมว่านี่แหละเหตุผลที่หลายคนหลงรักการออกไปเจออะไรใหม่ๆ ...
ตามหาสายรุ้งกินน้ำ “น้ำตกเจ็ดสี”
น้ำตกเจ็ดสีอยู่ห่างออกไปจากภูทอกประมาณ 14 กม. เป็นน้ำตกที่ได้รับความนิยมจากชาวบ้านและนักท่องเที่ยว เพราะเป็นน้ำตกที่น้ำตื้น เด็กๆ เล่นได้ มีลานหินกว้างให้นั่งเล่นพักผ่อน แล้วยังมีไฮไลท์เด็ดเป็นสายรุ้งที่เกิดจากละอองน้ำตกกระทบกับแสงแดดอีกด้วย
จากหน้าทางเข้าน้ำตกเราต้องเดินเท้าเพื่อเข้าไปให้ถึงชั้น 4 ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งความยากง่ายในการเดินไต่ไล่ระดับไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ชั้น 1 ถึงชั้น 4 อารมณ์เหมือนเด็กประถมไปมัธยมจากนั้นเข้ามหาวิทยาลัยเลยครับ ซึ่งชั้น 1 ชื่อว่า ธารเกร็ดแก้ว ชั้นนี้เป็นลานหินมีธารน้ำไหลผ่าน น้ำตื้น มีนักท่องเที่ยวมานั่งปิคนิค ทานขนมกันที่ชั้นนี้เยอะ
ส่วนชั้น 2 ชื่อว่าธารเกร็ดมณี ลักษณะคล้ายกับชั้นแรก แต่ต้องระมัดระวังหน่อยครับ ชั้นนี้หินมีตะไคร่เกาะเยอะกว่า ทางค่อนข้างลื่น ไม่ต้องใจร้อนเดินช้าๆ แต่ชัวร์ดีกว่าครับ
มาถึงชั้น 3 ชื่อว่า “วังสองนาง” เจอชั้นนี้อย่าเพิ่งใจร้อนกระโดดเล่นน้ำกันนะครับ เพราะชั้น 3 เป็นแอ่งลึก ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ อดใจรอเดินไต่บันไดเหล็ก ปีนหินกันไปอีกสักนิดก็จะเจอกับชั้น 4 แล้วครับ
มาถึงชั้น 4 เจอกับความอลังการของผาหินสูงประมาณ 13 เมตร และสายน้ำตรงหน้าบอกเลยว่าหายเหนื่อย! แค่เห็นก็ชุ่มฉ่ำแล้ว ไม่ต้องคิดเยอะ เดินลุยลงไปแช่น้ำให้ม่านน้ำใหญ่โตที่ไหลลงมากระทบร่างกายเย็นฉ่ำสะใจกันไปเลยครับ แต่ขอเตือนก่อนว่าลานน้ำตกบางช่วงโดนน้ำเซาะจนเป็นหลุมกระจายอยู่ทั่วลาน เวลาเดินอย่าลืมสังเกตให้ครับ อาจจะเดินตกหลุม บาดเจ็บได้
ใครจะมาเที่ยวแนะนำว่ามาหน้าฝนเพราะเป็นช่วงที่มีน้ำเยอะและสวยที่สุด แต่อาจจะต้องทำใจกันสักนิด เพราะถ้าฟ้าไม่เปิด ไม่มีแสงแดด ก็จะไม่ได้เห็นสายรุ้งกินน้ำ อย่างวันที่ผมไปก็ไม่เห็น แอบเสียใจเบาๆ แต่ได้เดินชมธรรมชาติ เล่นน้ำตกก็คุ้มค่าแล้วครับ
สวนน้ำธรรมชาติ “น้ำตกถ้ำพระ”
น้ำตกสวยๆ ของเมืองบึงกาฬยังไม่หมดนะ จากน้ำตกเจ็ดสีเดินทางห่างออกมาเพียง 10 กิโลเมตร ก็ถึงท่าลงเรือเพื่อไป “น้ำตกถ้ำพระ” ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นก็ตรงที่เราต้องนั่งเรือเข้าไป จากท่าเรือระยะทาง 1 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ค่าเรือไปกลับแค่คนละ 30 บาทเองครับ
ถึงท่าเรือเราเดินเข้าไปประมาณ 300 ม. ก็เจอน้ำตกถ้ำพระชั้น 1 แล้วครับ ชั้นนี้เป็นชั้นที่มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในหน้าผาให้คนที่มาเที่ยวกราบสักการะบูชาด้วย ซึ่งในอดีตที่นี่เป็นพื้นที่วัดป่าครับ เลยได้ชื่อว่าน้ำตกถ้ำพระ
ผมไปวันธรรมดาคนน้อยมาก มีทักท่องเที่ยวมาอยู่แค่ 2 - 3 คน ได้เล่นน้ำตกเหมือนเป็นของผมคนเดียวเลยครับ แต่ถ้าเป็นวันหยุด หรือวันเสาร์ - อาทิตย์ที่นี่ค่อนข้างฮอตปรอทแตก มีคนมานั่งปิคนิค เล่นน้ำกันเยอะมาก แน่นทั้งชั้น 1 ชั้น 2 เลย ซึ่งจริงๆ แล้วน้ำตกมีทั้งหมด 3 ชั้นครับ แต่ช่วงหน้าฝนเจ้าหน้าที่ไม่แนะนำให้ขึ้นไป เพราะว่าทางขึ้นมันลื่นครับ
ทีเด็ดของน้ำตกถ้ำพระ คือการเล่นสไลเดอร์ธรรมชาติ ภาพที่ทำให้ผมได้รู้จักน้ำตกแห่งนี้ครั้งแรก ก็คือคนเล่นสไลเดอร์กันเยอะๆ นี่แหละ ดูจากในคลิปคนอื่นน่าสนุกดีครับ มาเจอของจริงทั้งทีผมเลยไม่ลังเลที่จะลองเล่นสักครั้ง ขอบอกเลยว่าถูกใจผมมาก สนุกจริงๆ ครับ ใครจะมาเล่นต้องดูกระแสน้ำก่อนนะ ถ้าวันไหนน้ำแรงก็ไม่ควรเล่นครับ มันอันตราย
ขี่หลังวาฬกลางป่าเขียวที่ “หินสามวาฬ”
ถ้าจะบอกว่าที่บึงกาฬมีปลาวาฬ จะเชื่อกันไหมครับ? ตอนแรกที่ได้ยินว่ามีปลาวาฬผมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ที่นี่มีปลาวาฬอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่จริงๆ ชื่อว่า “หินสามวาฬ” มันไม่ใช่วาฬที่จะว่ายน้ำไปไหน แต่เป็นก้อนหินทรายขนาดใหญ่ยักษ์ รูปร่างคล้ายวาฬ 3 ตัวพ่อแม่ลูก กำลังว่ายน้ำอยู่ท่ามกลางต้นไม้สีเขียว
หินสามวาฬ เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวของภูสิงห์ ที่มีทั้งหมด 10 จุดครับ เวลาเราขึ้นไปเที่ยวก็ทัวร์รวดเดียว 10 ที่ได้เลยครับ โดยถ้าใครขับรถแบบระบบขับเคลื่อน 4x4 สามารถนำรถของตัวเองขึ้นไปได้เลยครับ แต่ถ้าไม่ได้ขับแบบนั้น ทางเจ้าหน้าที่มีอาสาสมัครบริการ ราคาคันละ 500 บาท นั่งได้หลายคนอยู่ ซึ่งจุดแรกเราจะแวะกันที่ “ลานธรรม” ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับปฎิบัติธรรม จุดเด่นคือ มีหินทรายที่มองทางขวารูปร่างเหมือนหัวสิงห์ พอมองทางซ้ายก็คล้ายกับพระพุทธรูปปางไสยาสน์หันหลังให้เรา แปลกตาดีครับ
จุดที่ 2 เป็นหินสามวาฬครับ ห่างจากจุดแรกประมาณครึ่งชั่วโมง ทางค่อนข้างสมบุกสมบัน ขนาดรถเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญทางยังทุลักทุเลเลย เข้าใจเลยครับว่าทำไมถึงเอารถส่วนตัวขึ้นมาไม่ได้ พอขึ้นมาถึงหินสามวาฬ เราเดินจากจุดที่พี่เจ้าหน้าที่จอดไปแค่ 50 เมตร ก็ขึ้นไปอยู่หลังวาฬแล้วครับ ซึ่งเรามีเวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมงในการทัวร์ 10 จุด หรือใครอยากถ่ายรูปบนหลังวาฬให้จุใจก็อยู่ที่เดียวนานๆ ได้ครับ
วาฬตัวที่เราสามารถขึ้นไปได้ เป็นวาฬตัวพ่อและแม่ครับ เราเริ่มต้นเดินไปที่วาฬตัวพ่อ มีทางเชื่อมไปยังตัวแม่ที่อยู่ตรงกลาง ส่วนตัวลูกไม่สามารถเดินได้เพราะแคบมาก ข้างบนบรรยากาศดีมาก วิวสวยมองเห็นผืนป่าสีเขียวสุดลูกหูลูกตา และมองเห็นแม่น้ำโขงที่อยู่ระหว่างไทยกับลาวด้วย แนะนำว่าให้ไปตอนเช้าๆ เพราะจะได้ไม่ร้อนมาก แล้วยังได้เจอหมอกอีกด้วยครับ ส่วนใครจะไปเที่ยวหน้าฝนต้องระมัดระวังลื่นกันหน่อย อย่าไปเดินริมๆ มากเกินไป ถ้าตกลงไปจากความสูง 320 เมตร ไม่น่ารอดครับ
นอกจากจุดไฮไลท์อย่างหินสามวาฬแล้วยังมีจุดอื่นๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกนะครับ อย่างหินหัวช้างที่เหมือนกับหัวช้างจริงๆ และจุดประตูภูสิงห์ ที่มีหินสองก้อนอยู่ใกล้กัน เว้นช่องตรงกลางเป็นเหมือนช่องประตู นอกจากนี้ยังมีจุดอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกเยอะเลยครับ เห็นก้อนหินรูปร่างแปลกตาแบบนี้ ก็อดทึ่งในธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ไม่ได้จริงๆ ครับ
ทริปบึงกาฬครั้งนี้ เป็นทริปที่ทำให้ผมรู้สึกดีใจที่เลือกออกเดินทางเพราะมันคุ้มค่าจริงๆ ครับ ทั้งหินทรายรูปทรงคล้ายปลาวาฬที่ดูเหมือนจริงจนน่าเหลือเชื่อ น้ำตกขนาดใหญ่มีสไลเดอร์ให้เล่นประหนึ่งสวนน้ำ สะพานหินธรรมชาติขนาดใหญ่ที่เราขับรถผ่านไปมาได้ หรือจะเป็นสะพานไม้วนรอบเขาสูงด้วยแรงศรัทธา สิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจทำให้คนเสพติดการท่องเที่ยวอย่างผม อยากออกไปค้นหาสิ่งใหม่ๆ ไปทำความรู้จักกับโลกใบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
Tags: บึงกาฬ เที่ยวบึงกาฬ ทริปเที่ยวบึงกาฬ FWD น้ำตกชะแนน น้ำตกถ้ำพระ น้ำตกเจ็ดสี ภูทอก ภูวัว ลานอเมริกา FWDMAX fwdthailand หินสามวาฬ
ทริปตัวอย่าง | 25 ธ.ค. 2024 | 111 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 18 ธ.ค. 2024 | 208 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 12 ธ.ค. 2024 | 383 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 07 ธ.ค. 2024 | 488 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 27 พ.ย. 2024 | 601 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 26 พ.ย. 2024 | 810 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 11 พ.ย. 2024 | 1,168 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 01 ธ.ค. 2024 | 542 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 08 พ.ย. 2024 | 958 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 28 ต.ค. 2024 | 1,290 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 1,478 อ่าน