calendar_month 14 ก.พ. 2018 / stylus Admin Chillpainai / visibility 29,941 / รีวิวที่พัก
“ Collect Moments , Not Things “
มีคนเคยบอกไว้ว่าที่ที่ดีที่สุด อาจไม่จำเป็นต้องหรูหรา หรือสวยงามที่สุด แต่มันคือที่ที่เราเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นแล้วสบายใจกว่าที่ไหน แม้อาจจะเป็นสถานที่เรียบง่าย แสนจะธรรมดาที่สุดก็ตาม และนาทีนี้เราขอยกให้ “บ้านกกกอด” ที่พักบ้านๆ แต่มาพร้อมความสบายใจอย่างเหลือล้น ขึ้นแท่นเป็นอีกหนึ่งสถานที่ดีต่อใจที่นึกถึงขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ชวนให้อยากกลับไปหาอยู่เสมอไปครอบครองอย่างไม่ต้องสงสัย…ว่าแล้วก็ไปค่ะ ตามเราไปตกหลุมรักที่นี่ให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกนิดด้วยกันดีกว่า :)
เมื่อปี-สองปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงได้พอคุ้นหน้าค่าตากับชื่อ “บ้านกกกอด” มาพอสมควร เพราะนอกจากตัวที่พักจะน่ารักแล้ว ยังมาพร้อมบรรยากาศดีติดริมน้ำ มีสะพานไม้ไผ่ทอดยาวลงไปในตัวเขื่อน ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม เงียบสงบ ที่รับรองว่าหากถ่ายภาพอัพอวดเพื่อนเมื่อไหร่ ยอดไลค์คงพุ่งกระฉูด และต้องมีคนแอบอิจฉาในความฟินของเราแบบหยุดไม่อยู่อย่างแน่นอน
การเดินทางมาบ้านกกกอดนั้น ไม่ยาก และลึกลับซับซ้อนอย่างที่คิด เนื่องจากตัวบ้านกกกอดเองนั้นตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง ทางผ่านไปยังอุทยานแห่งชาติน้ำตกเอราวัณ แลนมาร์คสำคัญในจังหวัดกาญจนบุรี ใครขับรถมาเองก็สามารถใช้ถนนเส้น 3199 กาญจนบุรี - เอราวัณได้เลยค่ะ ห่างจากกรุงเทพ 2 - 3 ชั่วโมงเท่านั้นเอง หรือถ้าตั้งหลักไม่ถูก เกรงว่าจะหลงทาง ลองเปิดแอพ Google Map ปักหมุดไว้ที่พิกัด 14 14.29164 ล่วงหน้าเป็นการนำทางก่อนก็ได้ อุ่นใจไปอีกขั้น
ที่มาของชื่อ “บ้านกกกอด” นี้ หากใครฟังคงเดาไม่ยากนัก ว่าได้มาจากต้นกกที่ขึ้นเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น รายล้อมเป็นทุ่งกกยักษ์ขนาดย่อมๆ ที่มีให้เห็นทั่วไปโดยรอบรีสอร์ท ทางเจ้าของจึงเกิดปิ๊งปั๊งเป็นไอเดียหยิบยกเอาจุดเด่นตรงนี้มาใช้ในการตั้งชื่อบ้านกกกอดซะเลย
จอดรถปุ้บไม่ต้องไปไหนไกล เพราะล็อบบี้ที่เราจะเช็คอินนั้นอยู่ตรงนี้เอง แต่นอกจากจะเป็นล็อบบี้แล้ว มุมนี้ยังมีพื้นที่ให้นั่งเล่น พร้อมมินิมาร์ทขนาดเล็กภายในรีสอร์ทให้บริการสำหรับใครที่ไม่อยากขับรถออกไปซื้อน้ำ ซื้อขนม หรือของว่างอีกด้วย
หลังจากเช็คอิน เอาของไปเก็บที่ห้องพักจนเรียบร้อย เราถือโอกาสเดินเล่นสำรวจส่วนต่างๆ ของบ้านกกกอดซะหน่อย สำหรับบ้านพักของที่นี่ แบ่งออกเป็น 6 โซนด้วยกันค่ะ โดยทั้งหมดสามารถเดินเชื่อมถึงกันได้แบบเป็นวงกลม และมีจุดเด่นแตกต่างกันไปในแค่ละโซน อาทิ วิวบึง วิวสวน วิวเขื่อน และวิวเขา
เริ่มต้นด้วย โซนที่พักสำหรับเราในครั้งนี้ก่อนเลย โซนริมบึง มีให้เลือกพักทั้งแบบกระท่อมไม้หลังเดี่ยว ขนาดกว้างขวาง เตียงนอน 5 ฟุต พร้อมห้องน้ำในตัว 2 ห้อง ทั้งแบบด้านในและแบบโอเพ่นแอร์
ขณะที่บ้านแฝดนั้นเป็นห้องสองหลังติดกัน สามารถจองแยกแต่ละห้องได้ พร้อมห้องน้ำในตัวหลังละ 1 ห้อง เตียงนอนขนาด 6 ฟุต ทั้งสองห้องตกแต่งด้วยสีสันสดใส มีเครื่องปรับอากาศ และมุ้งสีขาวเล็กๆคลุมอยู่เหนือหัวเตียง ไม่มีทีวีและตู้เย็น แต่มีชานระเบียงให้นั่งเล่น ชมบรรดาน้องห่านเล่นน้ำในบึงได้จากหน้าห้องพักเลยค่ะ น่ารักมากๆ
แอบสังเกตเห็นว่าเค้ามีจำลองสะพานข้ามแม่น้ำแควขนาดมินิ แลนมาร์คของจังหวัดกาญจนบุรีมาตั้งไว้ให้เราได้ใช้เป็นมุมถ่ายรูปเก๋ๆด้วยล่ะ ใส่ใจรายละเอียดไม่เบาเลยนะเนี่ย
โซนริมน้ำ บ้านไม้หลังใหญ่หลังคามุงจาก เหมาะสำหรับใครที่มากันเป็นครอบครัวหรือคู่รัก เพราะนอกจากจะสะดวกสบายกับบ้านเป็นหลัง ทั้งบ้านหลังเล็กสำหรับ 2 คน ขนาด 1 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ (ห้องน้ำด้านในและแบบโอเพ่นแอร์) พร้อมมุมนั่งเล่นหน้าห้อง
และบ้านหลังใหญ่พักได้ 4 คน ขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่นส่วนกลางให้เลือกแล้ว บรรยากาศของโซนนี้ยังดีสุดๆ เพราะตั้งอยู่ถัดไปจากสะพานไม้ไผ่ ไฮไลท์ของบ้านกกกอด และห้องอาหารเช้าเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง เรียกว่าลืมตาขึ้นมาก็ได้สัมผัสกับภาพเบื้องหน้าสวยๆ ได้ก่อนใคร
ตามมาติดๆ ด้วยโซนยอดฮิต ที่ใครอยากสัมผัสกับบรรยากาศและธรรมชาติของบ้านกกกกอดให้เต็มที่ ต้องรีบยกหูโทรมาจองกันให้ไว เพราะใครดีใครได้ สำหรับ โซนวิวเขื่อน ที่มีบ้านพักเพียงแค่ 7 หลังเท่านั้น ! คือ เป็นแบบกระท่อมไม้ไผ่ 5 หลัง แถมยังเข้าใจตั้งชื่อน่ารักๆ ให้เข้ากับสถานที่ซะด้วย ไล่มาตั้งแต่บ้านกอดดาว กอดเดือน กอดฟ้า กอดน้ำ กอดตะวัน และแบบเต็นท์ผ้าใบแคนวาสหลังใหญ่ 2 หลัง
ความพิเศษของบ้านวิวเขื่อนนั้นอยู่ที่สะพานไม้ไผ่ที่ทอดยาวผ่านหน้าบ้านพักทุกหลัง พร้อมระเบียงนั่งเล่นส่วนตัว ท่ามกลางบรรยากาศหลักล้านสุดแสนประทับใจอย่างภูเขาลูกโตที่เรียงรายสลับซับซ้อนกันเหมือนภาพวาด และเขื่อนท่าทุ่งนาที่ไหลมาจากเขื่อนศรีนครินทร์ทางเบื้องหน้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าที่จะยิ่งสวยงามมากเป็นพิเศษ หรือหากคืนไหนโชคดีมีฝนตก ในยามเช้าเรายังมีโอกาสได้เห็นหมอกหนานุ่มลอยปกคลุมยอดเขาได้อีกด้วย
ข้อจำกัดของโซนวิวเขื่อนมีแค่การไม่มีห้องน้ำในตัว แต่ลูกค้าสามารถใช้ห้องน้ำส่วนกลางแยกชาย-หญิง ทางด้านหลังแทนได้เลย ส่วนใครที่กลัวร้อนก็หายห่วงค่ะ แม้ห้องพักทุกหลังจะเป็นพัดลม แต่บอกเลยว่าตอนกลางคืนนี่เย็นสบายด้วยระบบแอร์ธรรมชาติ หลับฝันดี ไม่ต้องงอแงร้องหาแอร์ได้สนิทจนถึงเช้าแน่นอน
หากเดินจากสะพานตามทางต่อมาเรื่อยๆ จะเป็น โซนชมดาว บ้านพักแบบปรับอากาศขนาดกะทัดรัด พร้อมห้องน้ำในตัวบ้านพักละ 1 ห้อง จำนวน 5 หลัง
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้บ้านชมดาวโดดเด่นไม่แพ้สีสันของห้องพักนั้น อยู่ที่ดาดฟ้าชั้นบนของเรานี่เองค่ะ เพราะพี่เจ้าของได้แอบกระซิบเรามาว่าหากวันไหนเป็นคืนเดือนมืด เรายังสามารถนอนเล่นรับลม ชมดาวชิลๆ อย่างชัดเจนได้ด้วยตาเปล่าเลยทีเดียว โดยดาดฟ้าของบ้านหลังที่ 4 และหลังที่ 5 นั้นยังใช้เป็นแหล่งทดลองการใช้พลังงานสะอาดจากแผงโซล่าร์เซลล์อีกด้วย เรียกว่าน่ารักแถมยังเป็นมิตรกับธรรมชาติ เข้ากับสถานที่ได้อย่างดีเยี่ยม
โซนพฤกษา ห้องพักสไตล์เรือนแถวขนาดยาวติดกันจำนวน 6 ห้อง พร้อมห้องน้ำในตัวหลังละ 1 ห้อง
แน่นอนว่าไม่พลาดที่จะแอบซ่อนลูกเล่นเก๋ๆ อย่างการยกเอาเตียงไปไว้บนบันไดด้านบนของห้องที่ 1 และห้องที่ 6 เช่นเคย นอกจากนี้ด้านหน้าโซนพฤกษายังมีสวนดอกไม้สีสันสดใสนานาพันธุ์ ไว้ให้คุณถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลินได้ตลอดทั้งวันด้วยล่ะ
ปิดท้ายกันด้วย โซนเต็นท์วิวภูเขา ที่มาในดีไซน์เต็นท์ผ้าใบบูติคสุดฮิปสเตอร์ 6 หลัง โดยมีเงื่อนไขคือ จะเปิดให้เข้าพักได้เฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ! ซึ่งกิมมิคน่ารักๆ ของโซนเต็นท์วิวเขานั้นอยู่ตรงดอกไม้สีเหลืองของต้นสุพรรณิกา ที่ทำหน้าที่เป็นเทอร์โมมิเตอร์ธรรมชาติ คอยวัดอุณหภูมิสูง-ต่ำว่าเข้าสู่ช่วงอากาศหนาวแล้วหรือยัง เพราะวันใดที่เจ้าดอกไม้สีเหลืองเหล่านี้ทอดตัวทิ้งลงจนหมดต้นเมื่อไหร่ ก็แปลได้ว่า เรากำลังจะต้องเตรียมโบกมือลาอากาศหนาวแล้วนั่นเอง
สำหรับห้องน้ำของโซนนี้จะอยู่ภายนอกเต็นท์บริเวณศาลานั่งเล่นส่วนกลาง โดยแยกชาย-หญิง พร้อมเครื่องทำน้ำอุ่นไว้บริการเช่นเดียวกับโซนวิวเขื่อนเลยค่ะ
แน่นอนว่าหากใครได้มาพักที่บ้านกกกอดแล้วไม่มีรูปถ่ายกับสะพานก็เหมือนมาไม่ถึง ! เพราะไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่เป็นต้องไม่พลาดแวะเวียนมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันที่ไฮไลท์ของที่นี่อย่างสะพานไม้ไผ่ ที่ทอดตัวยาวลงไปในเขื่อน ให้เราได้เดินเฉิดฉายซึมซับพลังบวกจากธรรมชาติได้อย่างชื่นฉ่ำจนเต็มปอดกันแทบทุกคน
ในแต่ละช่วงของสะพานยังมีม้านั่งให้ได้นั่งพักเป็นระยะๆ หรือหากเดินไปจนสุดก็จะพบกับภาพบรรยากาศสวยๆของคุ้งน้ำแควที่ปรากฎสู่สายตาได้แบบพาโนราม่า
ที่สำคัญคือไม่ได้มีแค่สะพานเดียวนะคะ แต่บ้านกกกอดยังสร้างสะพานไม้ไผ่สวยๆ แบบนี้ให้เราได้ฟินกันถึง 2 สะพานเลยทีเดียว โดยอีกสะพานนั้น จะอยู่บริเวณโซนห้องพักริมเขื่อน เมื่อเดินลัดเลาะเข้าไปจนสุดทาง ด้านล่างจะเป็นท่าเรือคายัค สำหรับให้ผู้เข้าพักสามารถทำกิจกรรมพายเรือ ชมบรรยากาศได้แบบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม
ยืนส่งพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าจนพอใจ ในที่สุดก็ได้เวลาของมื้อเย็นที่รอคอยสักที สำหรับคืนนี้ เราฝากท้องไว้ที่ห้องครัวของบ้านกกกอดอีกเช่นเคย ซึ่งกับข้าวหนึ่งเซ็ตจะประกอบไปด้วย ปลา 1 เมนู ไก่ 1 เมนู และแกง 2 เมนู สำหรับสองคน ราคา 450 บาท โดยใครต้องการจะทานข้าวเย็นภายในที่พักต้องสั่งล่วงหน้าก่อนเที่ยง หรือตอนเช็คอินเท่านั้น หากสายกว่านั้นทางห้องครัวอาจจะเตรียมวัตถุดิบไม่ทัน เราต้องหิวท้องไปพึ่งพาร้านอาหารครัวคุณลุงบริเวณด้านหน้าแทน
ตกกลางคืนว่างๆ ก็มานั่งฟังเสียงจักจั่น หรีดริ่งเรไร จับกลุ่มล้อมวงพูดคุยกับเพื่อนใต้แสงดาวให้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิมก่อนเข้านอน อ้อ ! เกือบลืมบอกไปว่าที่นี่ไม่มี Wi-Fi นะคะ บ้านกกกอดจึงเหมาะมากๆ สำหรับใครที่ต้องการพักผ่อนหนีความวุ่นวาย ปล่อยใจไปกับบรรยากาศอันเงียบสงบ และธรรมชาติสวยๆของขุนเขา สายน้ำ มากกว่าแสงสีความศิวิไลซ์ ดังนั้น แน่นอนว่าหากคุณเป็นสายโซเชียลอาจจะต้องทำใจสักหน่อย แต่สัญญาณอินเตอร์เน็ตมือถือ 3G 4G นั้นยังใช้ได้ดีค่า
เราเข้านอนคืนนี้ด้วยความอบอุ่นหัวใจ เพราะนานๆ ที จะรู้สึกเหมือนตัวเองได้หยุดคิด หยุดพัก วางมือจากเรื่องยุ่งๆ มาชาร์จแบตเติมพลัง ซึ่งมันดีอย่างที่ใครเค้าเคยบอกไว้ว่า การท่องเที่ยวมันช่วยเยียวยาทุกสิ่งได้จริงๆ นะ
วันนี้เราตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วยความสดใส แม้จะไม่มีหมอกยามเช้าเมื่อเทียบกับฤดูกาลอื่น แต่วิวเบื้องหน้าก็ยังคงเป็นอะไรที่ดีต่อใจไม่เปลี่ยนแปลง
7 โมงกว่าแดดอ่อนกำลังดี เหมาะแก่การจิบกาแฟเคล้าวิวไปพลางๆ รอไม่นานอาหารเช้าแบบอเมริกัน เบรคฟาสต์ก็มาเสิร์ฟให้เราทานถึงที่ หากใครกลัวว่าจะไม่อิ่มพอ จะรับข้าวต้มรองท้องเพิ่มไปอีกชามก็อร่อยไม่แพ้กัน
ขยับอัพเกรดความชิลขึ้นอีกนิด เราขึ้นมานั่งเล่นที่เก้าอี้หวายสานดีไซน์กลมหน้าตาละม้ายคล้ายรังนกสมชื่อโซน จากด้านบนนี้ เรายังสามารถมองเห็นวิวเขื่อนและสะพานไม้ไผ่ เอกลักษณ์ของบ้านกกกอดในยามเช้าได้อย่างเต็มตาอีกด้วย
หรือถ้าเช็คเอาท์ออกแล้วอยากไปเที่ยวต่อ บ้านกกกอดก็ยังอยู่ใกล้ที่เที่ยวยอดฮิตของจังหวัดกาญจนบุรี อาทิ อุทยานแห่งชาติน้ำตกเอราวัณ เขื่อนศรีนครินทร์ น้ำตกแม่ขมิ้น ตลอดจนที่อื่นๆ อีกไม่ไกล
เอาเป็นว่าใครที่กำลังเหนื่อยล้า อยากมองหาที่หยุดพักจากเรื่องราววุ่นวายในตอนนี้ “บ้านกกกอด” ณ กาญจนบุรี คงเป็นอีกสถานที่ที่แม้ไม่ต้องหรูหรา แต่พร้อมอ้าแขนโอบกอดคุณด้วยบรรยากาศอบอุ่นที่เราอยากแนะนำให้คุณมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่าความสบายใจง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินแพงแสนแพงเลยสักนิดเดียว...
ที่ตั้ง : 35/1 ตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
ราคา :
- ช่วง Low Season เดือนมีนาคม - เมษายน ราคาเริ่มต้นที่ 1,400 - 3,500 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และอาหารเช้า)
- ช่วง High Season เดือนพฤษภาคม - มกราคม ราคาเริ่มต้นที่ 1,600 - 4,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และอาหารเช้า)
โทรศัพท์ : 092-5800058 , 085-5191953 (ตั้งแต่ 09.00 - 17.00 น. วันจันทร์ - วันเสาร์)
เวปไซต์ : http://www.baankokkod.com
Facebook : บ้านกกกอด
Tags: กกกอด กาญจนบุรี ที่พักกาญจนบุรี ที่พักมีสะพานไม้ บ้านกกกอด
รีวิวที่พัก | 17 ธ.ค. 2024 | 153 อ่าน
รีวิวที่พัก | 21 พ.ย. 2024 | 529 อ่าน
รีวิวที่พัก | 25 พ.ย. 2024 | 726 อ่าน
รีวิวที่พัก | 19 พ.ย. 2024 | 3,957 อ่าน
รีวิวที่พัก | 18 พ.ย. 2024 | 514 อ่าน
รีวิวที่พัก | 11 พ.ย. 2024 | 1,516 อ่าน
รีวิวที่พัก | 08 พ.ย. 2024 | 1,157 อ่าน
รีวิวที่พัก | 05 พ.ย. 2024 | 1,190 อ่าน