0
0
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

รีวิว สวิส ชีพ ฟาร์ม พัทยา (Swiss Sheep Farm)ที่เที่ยวและที่พักเปิดใหม่สไตล์ยูโรคันทรี่มีมุมถ่ายรูปเพียบ

calendar_month 31 ส.ค. 2016 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 293,307 / รีวิวที่พัก


เพื่อนสาวบอกว่ามีที่พักและที่เที่ยวเปิดใหม่ในพัทยาน่าไปมากๆ
สาวสีส้มก็ไม่พลาดสิคะ อะไรใหม่ อะไรสวยขอให้บอก เป็นเสือปืนไวรีบโทรไปจองห้องพักเพื่อที่จะได้นำมาเขียนรีวิวให้เพื่อนๆ ชม
ซึ่งที่เที่ยว และที่พักที่เรากำลังพาเพื่อนๆ ไปชมกันในวันนี้
นั่นก็คือ Swiss Sheep Farm พัทยา ฟาร์มสไตล์ยูโรคันทรี่สุดเก๋ไก๋ที่เขามีห้องพักน่ารักให้ได้นอนชมฟาร์มด้วยนะ
ถ้าพร้อมแล้วไปชมรีวิวกันเลยค่ะ


 
 
การเดินทางไปยัง Swiss Sheep Farm ก็ไม่ยากค่ะ เพราะตั้งอยู่ใกล้กับไร่องุ่นซิลเวอร์เลค และ เขาชีจรรย์ ซึ่งเป็นเส้นที่มีที่เที่ยวมากมาย ใกล้สวนนงนุชด้วย และยังสามารถขับรถไปชิลริมทะเลบางเสร่ได้ไม่ไกลมากค่ะ


มาถึงแล้วค่ะ Swiss Sheep Farm พัทยา แค่ทางเข้าก็รู้สึกถึงความน่ารักแล้วค่ะ คืนนี้เราจะนอนที่นี่และจะได้เที่ยวที่นี่แบบเต็มๆ กันเลยค่ะ 

 
 
พอมาถึงปุ๊บทางที่พักก็ให้เราไปเช็คอินที่ห้องพักซึ่งจะอยู่ภายในโซนของ Country Side หรือหมู่บ้านยุโรป โดยผู้ที่มาพักที่นี่จะสามารถเข้าชม Swiss Sheep Farm ได้ฟรีๆ ไม่เสียค่าเข้า และยังมีอภิสิทธิ์อีกมากมายที่พิเศษเฉพาะผู้ที่พักห้องพักเท่านั้น ก่อนจะไปชมรายละเอียดห้องพักลองมาชมแผนที่ภายใน Swiss Sheep Farm กันก่อนค่ะ  



 
โซนหมู่บ้านยุโรปที่เหมือนหลุดไปอยู่หมู่บ้านแถวอิตาลี หรือฝรั่งเศสเลยค่ะ แต่ละมุมนั้นเขาใส่ใจรายละเอียดดีไซน์ออกมาได้น่ารักมากๆ ซึ่งชั้นล่างจะเป็นส่วนของร้านค้า ส่วนชั้นบนจะเป็นส่วนของห้องพักที่เราจะพักกันในวันนี้ค่ะ


ห้องพักของที่นี่จะมีทั้งหมด 14 ห้องค่ะ โดยแบ่งเป็นห้องแบบ Superior, Deluxe และ แบบ Family Room โดยแต่ละห้องจะมีตีมการตกแต่งที่แตกต่างกันไป คืนนี้สาวสีส้มจองห้อง Deluxe ตีมน้องกระต่ายเอาไว้ ค่ะ เปิดเข้ามาก็แทบกรี๊ดดดด ในความน่ารัก เหมือนห้องพักในยุโรปเลยค่ะ เขาใส่ใจในรายละเอียดทั้งการเลือกผ้าม่าน โคมไฟ โต๊ะ เตียง ภาพวาดที่ประดับข้างฝา และยังมีตุ๊กตาน้องกระต่ายนอนรออยู่บนเตียง บอกเลยว่าคืนเดียวไม่พออยากขอนอนต่ออีกสักสามคืน

 
 
สำหรับห้องนี้มีพื้นที่ 45 ตารางเมตร เรียกได้ว่ากว้างมากๆ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งทีวีแอลซีดี เคเบิลทีวี ตู้เย็น มินิบาร์ ชากาแฟ ไดร์เป่าผม ตู้เซฟ โทรศัพท์ โต๊ะเครื่องแป้ง ผ้าขนหนู แชมพู สบู่ และไวไฟภายในห้อง

 

โทรศัพท์แบบหมุนที่ใช้งานได้จริงๆ ด้วยนะคะ เริ่ดมากๆ


 
มีระเบียงที่สามารถชมวิวหมู่บ้านยุโรปได้ด้วย ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่เมืองไทยแต่อยู่เมืองในยุโรปเลยค่ะ

 

ห้องน้ำกว้างขวางสะอาด เป็นแบบฝักบัว มีระบบน้ำร้อนน้ำเย็น


 
จากนั้นเราก็ขอทางเจ้าหน้าที่ไปชมห้องพักแบบอื่นกันบ้างค่ะ ดูเอาไว้เผื่อวันหลังจะได้ไปนอนห้องแบบอื่นบ้าง เริ่มด้วยห้องแบบ Superior ห้องนี้มีพื้นที่ 35 ตารางเมตร เป็นห้องตีมความรัก เหมาะกับคู่รักที่ต้องการมาสวีตกันมากๆ เพราะภายในห้องตกแต่งได้หวานน่านอนมากๆ ค่ะ

 
 
ห้องนี้จะแบ่งโซนห้องนอนและห้องนั่งเล่น สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ของตกแต่งภายในห้องเขาก็จะเน้นรูปหัวใจค่ะ ใครกำลังอินเลิฟบอกเลยว่ามาห้องนี้รับรองว่าฟิน
 


และปิดท้ายด้วยห้องใหญ่สุดคือห้อง Family มีพื้นที่ถึง 65 ตารางเมตร แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น พักได้ 6 คน โดยห้องนี้มีตีมคือ Love Season โดยห้องนอนแต่ละห้องจะแบ่งเป็นฤดูกาลต่างๆ เช่นห้องนี้จะเป็นห้องของฤดูใบไม้ร่วงหรือ Autumn และแต่ละห้องมีทีวี เคเบิลทีวีและระเบียงทุกห้องเลยค่ะ
 
 


มีระเบียงชมวิวด้านนอก



ส่วนของห้องนั่งเล่นกลาง

 
 
ห้องฤดูหนาวหรือ Winter ค่ะ มีภาพเขียนวิวอันงดงามของฤดูหนาวติดอยู่บนผนังที่เขาทำเป็นเหมือนหน้าต่าง ที่กำลังเปิดออกไปแล้วเจอวิวหิมะหน้าหนาว

 
 
และห้องสุดท้ายคือห้องฤดูใบไม้ผลิหรือ Spring ที่มีภาพทุ่งดอกลาเวนเดอร์อยู่บนหัวเตียง การตกแต่งห้องนี้เน้นใช้โทนสีม่วงจากดอกลาเวนเดอร์ทำให้รู้สึกถึงฤดูกาลของฤดูใบไม้ผลิที่อบอวลไปทั่วห้อง




ห้องน้ำ 2 ห้องจะแยกห้องสุขาและห้องอาบน้ำออกจากกัน


 
เดินชมห้องพักเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาไปชมฟาร์มกันค่ะ  ซึ่งอภิสิทธิ์แรกที่เราจะได้คือการเดินเข้าไปชมฟาร์มได้ทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็นโดยไม่ต้องเสียค่าเข้า ซึ่งสำหรับคนทั่วไปจะเสียค่าเข้า ผู้ใหญ่ 90 บาท และเด็ก 50 บาท และฟาร์มจะเปิดตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. ในวันจันทร์ - ศุกร์ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์  ฟาร์มจะเปิดเวลา 9.00-19.00 น.


 
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเดินชมฟาร์มคือช่วงเช้าๆ และตอนเย็นๆ ค่ะ อากาศดีไม่ร้อน โดยที่แรกที่เราเข้าไปชมคือโซนโรงนา ที่นี่เป็นที่อยู่ของน้องแกะน้องลาแคระ และน้องม้าแคระที่เราสามารถซื้อหญ้า ซื้อแครอท และนมมาให้อาหารน้องๆ ได้ด้วย
 
  
 
หญ้าขนสำหรับให้น้องแกะกำละ 20 บาทค่ะ ซึ่งถ้าใครที่ซื้อตั๋วเข้ามาก็จะมีคูปองแลกหญ้าขนให้ฟรี 1 กำค่ะ ใครอยากเป็นดวงดาวในฝูงน้องแกะก็ต้องถือหญ้านี่แล่ะค่ะ น้องแกะจะรีบวิ่งปรี่เข้ามารุมล้อมเราอย่างกับแฟนคลับมาขอลายเซ็นดาราเลยค่ะ

 
 
ข้างๆ คอกน้องแกะจะเป็นน้องม้าลาแคระ Donkey  น่ารักมากๆ ดูเรียบร้อย ค่อยๆ เคี้ยวหญ้าช้าๆ 

 
 
พอให้อาหารน้องๆ เสร็จแล้วก็เดินไปยังโซน Swiss Midway ซึ่งเป็นส่วนกิจกรรมและเกมส์สนุกๆ ชิงรางวัลมากมาย

 
 
ใครอยากเป็นมาทาดอร์ก็ต้องลองมาเล่นเครื่องเล่น Bull Fighting โดยจะมี 3 ระดับ ตั้งแต่เหวี่ยงเบาๆ ไปจนถึงระดับเหวี่ยงแรง ค่าเล่นต่อรอบ 50 บาทค่ะ


 
หรือจะมาลองยิงปืน ปาโป่ง ชู้ตบาส ถ้าแม่นก็รับไปเลยของขวัญน่ารักอย่างตุ๊กตาน้องแกะเอากลับบ้านไปกอด

 

แม่นมากจนได้ตุ๊กตาน้องแกะไปเลยค่ะ

 
 
จากนั้นไปสัมผัสประสบการณ์การขี่ม้าจริงๆ ในโซน Horse Riding ค่าขี่ม้า 100 บาท/เที่ยว โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเราอยู่ตลอดเวลา 

 
 
น้องม้าน่ารักมากๆ ค่ะ  เชื่องมากๆ และพอเราได้นั่งบนหลังม้าแล้วรู้สึกถึงความสง่า ราวกับว่าเราเป็นคาวเกิร์ล ขี่ม้า ชมฟาร์มเลยล่ะค่ะ


 


นั่งรถถังชมวิวฟาร์ม รอบละ 50 บาทเท่านั้น เหมือนกับย้อนไปตอนเด็กเลยค่ะ


เป็นที่เที่ยวที่มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมากๆ ค่ะ ใครมาที่นี่เตรียมเสื้อผ้าสวยๆ มาถ่ายรับรองว่าได้ภาพโพรไฟล์ใหม่ไปตรึม

  

อ๊ะ!!! เดินมาเจอบ้านที่เขาเขียนว่า Rabbits House ขอเข้าไปชมสักหน่อย


 
 
โอ๊ยยยย น้องกระต่ายน่ารักมากๆ กำลังนอนคุดคู้อยู่ในบ้านหลังเล็กหลายตัวเลยค่ะ สามารถนำแครอทมาให้อาหารน้องกระต่ายที่นี่ได้ น้องตัวนุ่มและเชื่องมากๆ
 
 
 
ส่วนของห้องประชุม ใครอยากจัดมีตติ้งเก๋ๆ บรรยากาศแบบโรงนาก็ต้องมาที่นี่เลย โดยห้องประชุมสามารถรองรับได้ 50 ท่าน ราคาวันละ 6,000 รวมอาหารว่าง สามารถใช้ได้ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. ส่วนใครที่เหมาห้องพักทั้ง 14 ห้องก็สามารถใช้ห้องประชุมฟรีๆ ได้เลยค่ะ

 

มีร้านอาหารจำหน่ายของว่างเครื่องดื่มและไวน์ ใครเหนื่อยก็มานั่งพักจิบอิตาเลียนโซดาเย็นๆ ที่นี่ได้

 

โซนถ่ายรูปเก๋ๆ ภายใน Swiss Sheep Farm ค่ะ 

 

ส่วนใครอยากมาถ่ายรูปกับเหล่าหุ่นยนต์ในหนังดังก็ต้องมาโซน Robbot ซึ่งตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านยุโรป

 

หุ่นเหล็กจากหนังดังมาแชะกันได้เลยฟรีๆ 


 
ระหว่างที่กำลังเดินเล่นถ่ายรูปอยู่ภายใน Swiss Sheep Farm เราก็ได้ยินเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ว่าจะมีการแข่งวิ่งแกะ สาวสีส้มไม่รอช้ารีบไปรอชมเหล่าน้องแกะนักวิ่งที่กำลังรอเตรียมตัวอยู่ที่ลู่วิ่งค่ะ 

 
 
โดยทางเจ้าหน้าที่จะให้เราทายผลน้องแกะ โดยให้ทายได้ 3 เบอร์ ถ้า 3 เบอร์ที่เราเลือกเข้าเส้นชัยเป็นตัวที่ 1, 2 และ 3 ก็รับไปเลยตุ๊กตาน้องแกะสุดน่ารัก 

หลังจากกรรมการปล่อยตัวปุ๊บ น้องแกะทั้งหลายก็ต่างวิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางอย่างรวดเร็วถ่ายรูปแทบไม่ทันเลยค่ะ ชั่วพริบตาเดียวก็รู้ผลการแข่งขัน แต่คราวนี้สาวสีส้มดวงไม่ดีผิดทั้ง 3 เบอร์เลยค่ะ

 
 
หลังจากชมการวิ่งแกะแล้วเราก็มาหาเครื่องดื่มเย็นๆ บริเวณหมู่บ้านยุโรปซึ่งมีร้านคาเฟ่น่านั่งอยู่หลายร้านเลยค่ะ



ร้าน De Cafe ร้านน่ารักที่ตกแต่งแบบเมืองนอก ขอแวะไปทานอิตาเลียนโซดาเย็นๆ ก่อนนะคะ



นั่งทานเครื่องดื่มให้หายร้อนก่อนจะไปเดินถ่ายรูปต่อค่ะ

 
 
ความพิเศษอีกสิ่งหนึ่งสำหรับผู้ที่เข้าพักที่ Swiss Sheep Farm ก็คือคุณจะได้ชมน้องอัลปาก้าที่จะมาเดินเล่นในทุ่งยามเย็นได้อย่างฟรีๆ ค่ะ สำหรับคนทั่วไปถ้าจะชมน้องอัลปาก้าต้องไปชมภายในห้องแอร์โดยเสียค่าเข้าชมคนละ 50 บาท ต่างชาติ 150 บาท


 
มาเจอตัวจริงครั้งแรกสาวสีส้มหลงรักน้องอัลปาก้าเลยค่ะ เพราะเขาน่ารัก เชื่อง ขนนุ่มมากๆ และฉลาด คนดูแลบอกกับเราว่าพอถึงเวลาปุ๊บเขาก็จะเดินกลับบ้านของเขาเองไม่ต้องมีคนไปต้อน สำหรับคนที่เข้าพักที่นี่สามารถมาชมน้องอัลป้าก้าวิ่งเล่นกลางทุ่งแบบนี้ได้ในช่วงเย็นหลังปิดฟาร์มและช่วงเช้าก่อนเปิดฟาร์มค่ะ
 
  
 
มื้อเย็นวันนี้เรามาฝากท้องที่ร้าน Farm House Coffee ภายในสวิสชีพฟาร์มค่ะ โดยให้บริการอาหารไทยและยุโรป ไฮไลท์ของร้านนี้คือพิซซ่าบางกรอบที่เขาบอกว่าอร่อยมากๆ

 
 
เรามาพิสูจน์เสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นโดยการสั่งพิซซ่ามาสองถาดคือหน้าฮาวาเอี้ยน และหน้าซีฟู้ด ขนาด 10 นิ้ว มีทั้งหมด 8 ชิ้น คำแรกกัดเข้าไปก็ชอบเลยค่ะเพราะพิซซ่าร้อนๆ ชีสยืดๆ และแป้งพิซซ่าที่บางกรอบทำให้เราลิ้มรสเครื่องได้อย่างเต็มที่ ตัวซอสเขาใช้น้ำซอสเทาส์ซันไอแลนด์ ทำให้มีรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ตัดกับความมันและเค็มของชีสได้ดีมากๆ

 

โอยยย กลับมาแล้วยังฝันถึงพิซซ่าร้านนี้เลยค่ะ อร่อยจริงๆ




บรรยากาศยามเย็นภายใน Swiss Sheep Farm ที่สวยไม่แพ้ตอนกลางวันเลยค่ะ
 

 
น้องหงส์ น้องเป็ด ว่ายการเต็มบ่อเลยค่ะ เป็นบรรยากาศยามเย็นที่เต็มไปด้วยความน่ารักของเหล่าสัตว์ต่างๆ ภายในฟาร์ม แค่เห็นภาพน้องแกะวิ่งกลับบ้านพร้อมๆกันทั้งฝูงใหญ่ เราก็ยิ้มตามแล้วค่ะ
 
  

 
คืนนี้หลบไปด้วยความสุขที่ได้สนุกไปกับ Swiss Sheep Farm แห่งนี้อย่างเต็มที่ ใครที่ยังไม่มีโอกาสไปเที่ยวยุโรปมาที่นี่ก็ได้บรรยากาศไม่ต่างกันเลยค่ะ แถมเสียเงินน้อยกว่าด้วยนะ 


เช้านี้ตื่นเช้ามาด้วยความสุข นอนหลับสบายมากๆ ไม่มีเสียงน้องสัตว์หรือกลิ่นน้องสัตว์มารบกวนในยามค่ำคืนเลยค่ะ เพราะเขาวางผังในส่วนของโรงแรมที่พัก และบ้านสัตว์ได้อย่างดีมากๆ เช้านี้ตื่นมาด้วยความแจ่มใสก็เลยขอจัดอาหารเช้าสุดอร่อยที่ทางโรงแรมได้เตรียมเอาไว้ โดยจะมีให้เลือก 2 แบบทั้งแบบอเมริกัน เบรคฟาสท์ และข้าวต้มหมูร้อนๆ นอกจากนี้ยังมีชา กาแฟ ขนมปังปิ้งบริการฟรี





เราทานอาหารเช้ากันจนอิ่มก่อนที่จะไปโบกมือลา Swiss Sheep Farm แห่งนี้ในช่วงสายๆ 
แม้จะเป็นที่พักพัทยาที่ไม่ติดทะเล แต่สำหรับเรานั้นไม่ต้องมีทะเลก็สนุกและมีความสุขได้
กับเหล่าบรรดาน้องแกะ น้องม้า น้องแพะ และมุมถ่ายรูปสวยๆ อีกเพียบ
ใครอยากมาเที่ยวฟาร์มสไตล์ยุโรปแบบนี้ก็มากันได้เลยค่ะที่ 
Swiss Sheep Farm พัทยา
 
ที่ตั้ง : Swiss Sheep Farm 19/20 ม.7 พัทยา ตำบล นาจอมเทียน อำเภอ สัตหีบ ชลบุรี
เบอร์โทร : 038-119095, 099-1234134
เบอร์โรงแรมโทร : 092-6361164
ส่วนฟาร์มเปิด จันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-19.00 น. / เสาร์ - อาทิตย์ เวลา 9.00-19.00 น.
http://www.swisssheepfarmpattaya.com/

เขียนโดย
นางสาวฮานะ ชิลไปไหน
นางสาวฮานะ ชิลไปไหน