0
0
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

รีวิว {Wanna Be Packer In Vietnam} ทำไมใครๆก็ไปเวียดนาม?

calendar_month 12 พ.ย. 2015 / stylus Admin Chillpainai / visibility 111,840 / รีวิวที่เที่ยว


6 วัน กับ 3 เมือง ในเวียดนาม รูปเยอะ เรื่องเล่าแยะ 
กระทู้นี้อาจจะยาวเกินไป เลยอยากมา ‘ปูเสื่อรอคนอ่าน’ จะอ่านวันละนิด หรือถ้าว่างเมื่อไหร่ค่อยมาอ่านก็ได้นะ

ต้องบอกก่อนเลยว่า นี่เป็นการ Backpack ออกนอกประเทศครั้งแรกของเรา เราค่อนข้างตื่นเต้น เลยอยากแชร์ประสบการณ์การเที่ยว ครั้งนี้ให้เพื่อนๆฟัง (จริงๆก็คืออยากอวดนั่นแหละ อิอิ) แต่จะทำยังไงให้เพื่อนเห็นภาพมากที่สุด และเราไม่ต้องเล่าหลายรอบ เผื่อเพื่อนหลายคนไม่ว่างมานั่งฟังเรา 55555 ก็เลยตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เป็นการเขียนกระทู้ครั้งแรก แต่คงไม่เป็นการรีวิวซะทีเดียว จะเป็นอารมณ์แบบเล่าให้เพื่อนฟังมากกว่า เพราะไม่ได้จะตั้งใจรีวิวแต่แรก รูปเลยไม่ค่อยสวย อาจจะทุลักทุเลหน่อย ก็ลองดูกัน ถ้าผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ (ทางการสุด)

เราว่าเหตุผลในการออกเดินทางของแต่ละคนก็คงแตกต่างกัน แต่สำหรับเรา มันคือ 'ความอยาก' ล้วนๆ เราอยากเที่ยว เราก็เลยคุยกับเพื่อนว่าจะไปไหนกันดี ‘เวียดนาม’ ก็เลยเป็นที่แรกที่เราสนใจ เพราะ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และน่าจะใช้เงินไม่เยอะ บวกกับเห็นรีวิวผ่านตามามากมาย

ไปเวียดนามหรอ? เฮ้ยอยากไป................แต่ไม่ว่างอ่ะ
ไปเวียดนามหรอ? เฮ้ยน่าสน....................แต่ไม่มีเงินอ่ะ
และนี่คือเหตุผลของคนไม่ไป ฮาาา ผู้ร่วมทริปเวียดนามครั้งนี้ เลยมีกันแค่ 2 คนถ้วน

เมื่อรวบรวมสมาชิกแล้ว ก็เลยมาหาวันกัน โดยตกลงกันว่าจะเป็นช่วงเดือนกรกฏาคม เพราะเป็นช่วงที่ว่าง ก็หาตั๋วเครื่องบิน ช่วงที่ถูกๆ เลยได้ช่วงวันที่ 16-21 กรกฎาคม ในราคา ไป-กลับ คนละ 3,1xx บาท เรามีเวลาเที่ยวทั้งหมด 6 วัน ตอนแรกก็กะว่าไม่วางแผนอะไรเลย ไปลุยที่นู่น แต่อีกใจก็หวั่นๆ เลยลองหาข้อมูลจากรีวิวต่างๆ แล้วแพลนคร่าวๆก่อนไป



 

นี่ก็เป็นแผนที่วางไว้คร่าวๆ ก็เหมือนจะไม่มีอะไร น่าจะเป็นไปได้ตามแผนที่วางไว้ แต่เดี๋ยวมาดูกันว่าเราจะเจออะไรบ้าง

พอเราบอกว่าจะไปเวียดนาม คนรอบข้างก็บอกว่า...

“ ระวังโดนหลอกนะ ”
“ ได้กินหมาแน่ ”
“ ข้ามถนนต้องระวังนะ รถเยอะ ”
“ ซื้อของต้องต่อราคาเยอะๆนะ ”
“ ซื้อของมาฝากหน่อยยย ”

มันจะยังไงกัน อยากรู้ก็ต้องลองอ่ะ 
มารู้จัก เวียดนาม ที่มากกว่า แหนมเนือง กันเถอะ
ถ้างั้น ไปพร้อมกันเลยย

 

#1
// รักจริงไม่หลอก //
•••


เรามาขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ของสายการบินหางแดง (เขียนตามคนอื่นเค้าๆ) ไฟล์ท 07.45 A.M.  กัปตันพาเรามาถึง Ho chi minh City ตอนเวลา 09.10 โดยประมาณ
 

มาถึงเราก็หาซื้อซิมการ์ดก่อนเลย จะได้มี Internet ใช้ตลอดทริป ไหนจะหาข้อมูล ไหนจะติดต่อกับที่บ้าน ไหนจะอัพรูปอีก  เอ้ออ เลยคิดว่ามันก็จำเป็นนะ ซื้อซิมมาในราคา 128,000 VND (เดี๋ยวบอกการเทียบราคา หรือจะหาข้อมูลรอก็ได้นะ)
 

เสร็จแล้วเราก็ขึ้นรถเมล์ไปย่าน ฟามหงุเหลา (Pham Ngu Lao) สาย 152 จะจอดรออยู่หน้า Airport เลย  ที่นี่ไม่มีกระเป๋ารถเมลล์นะ คนขับเดินมาเก็บเอง แต่ถ้าขึ้นตามป้ายจะต้องจ่ายตั้งแต่ตอนขึ้นประตูหน้าเลย

มาถึงตรงนี้ เราแลกเงินไทยมาแค่ 5,000 บาท ส่วนเพื่อนแลกมาเยอะกว่า รวมถึงค่าที่พักที่แลกมาเป็นเงินดอลล่าด้วย  เราก็เลยไม่มีแบงค์ย่อย คนขับก็ใจดี บอกให้จ่ายเป็นเงินไทยได้ ดีจัง เลยถามว่าเท่าไหร่ เค้าบอก 2 คน 40 บาท  ก็ควักแบงค์ 20 บาทไทย ไป 2 ใบด้วยรอยยิ้ม แต่พอได้ตั๋วมาเท่านั้นแหละ รอยยิ้มหายไป ตั๋วมันแค่ 5,000 VND  หรือประมาณ 7.5 บาท อ้าว นี่โดนหลอกเร็วจังงง เลยเรียกคนขับกลับมา แต่เค้าทำเป็นไม่ได้ยิน เดินเก็บตังค์คนอื่นต่อ
 

เพื่อนเลยบอก เอาหน่า ใจเย็น นิดหน่อยๆให้ไป ผู้โดยสารคนอื่นที่มีสัมภาระแบ็คแพคทั้งหลาย จะต้องจ่ายตั๋ว 2 ใบ  ให้กระเป๋านั่งด้วย ซึ่งงง ยังถูกกว่าที่เราจ่ายไปอีก 5555 อ่ะ โอเค เราใช้เวลาจากสนามบิน ไปถึงฟามหงุเหลา ซึ่งน่าจะเป็นป้ายสุดท้ายของรถเมล์สายนี้ ประมาน 30 นาที พอถึงเราก็เดินหาของกินก่อนเลยจ้า หิวสุด  เดินไปนิดนึงก็เจอร้านข้างทาง เป็นโต๊ะเล็กๆ กับเก้าอี้ตัวเตี้ยๆ
 

หน้าตาก็ประมาณนี้ ถามป้าคนขาย มันเรียกว่า โฮ้ ติ้ว หรือก๋วยเตี๋ยวแหละ รสชาติอร่อยดี 

ย่านนี้จะมีบริษัททัวร์เยอะมาก เดินหาเอาได้เลย  เราไปซื้อตั๋ว Sleeping Bus ของ FUTA Bus Lines ตามตารางบอกใช้เวลาจาก Ho chi minh ถึง Dalat ประมาณ 7-8 ชั่วโมง เราเลยเลือกรอบ 23.30 กะถึงที่นู่น 6 โมงเช้า ฟ้าสว่างพอดี ราคาตั๋วอยู่ที่ 230,000 VND


ก็เริ่มจากเดินเล่น ชมเมืองกันไป เพราะเราไม่รู้ว่ามีที่ไหนให้เที่ยวบ้าง ก็เลยลองเสิร์ชหา Tourism Information ใน Google map เดินตามไปจนถึง เป็นบริษัททัวร์นำเที่ยว ไหนๆก็ไหนๆละ เลยเข้าไปถามที่เที่ยวเค้าดู ก็แนะนำมาเป็นโปรแกรมทัวร์ เราไม่ได้อยากซื้อทัวร์ เลยกะจะเดินต่อกันเอง
 
ก่อนออกเห็นเค้ากินน้ำกันคนละแก้ว ด้วยอากาศที่ร้อน ทำให้เราอยากกินตาม ถามว่าซื้อที่ไหน ผู้สาวเวียดนามเลยบอกสิไปซื้อให้ ราคา 10,000 VND ก็ประมาณ 15 บาท งั้นจัดมาแก้วนึงเลยเพ่ เดินดูดน้ำออกจากทัวร์พร้อมขอบคุณงามๆ เดินออกไปอีกพัก เจอร้านขายน้ำ ติดป้ายไว้ 5,000 VND 
.....ไหนว่าจะไม่หลอกกัน......

 

เราเริ่มเคว้งคว้างขึ้นทุกที เดินๆ ถ่ายรูปๆ เหนื่อยก็นั่งพักในสวนสาธารณะ เวียดนามเป็นเมืองที่ใช้มอเตอร์ไซค์กันเยอะมาก และขับกันตามอำเภอใจ บีบแตรกันตลอดเวลา ได้ยินเสียงแตรก็ไม่ต้องตกใจไป เวลาจะข้ามถนน ขอแค่เรามีความมั่นใจ เมื่อเท้าข้างใดข้างหนึ่งแตะลงพื้นถนน ขอแค่เธออย่าท้อ เดินต่อไป chin up ไว้ และเดิน 2 สเต็ปรัวๆ มั่นๆ ถึงจะโดนบีบแตรใส่ ถึงรถจะไม่หยุดให้ไปก่อน แต่รถจะไม่ชนเราแน่นอน นางจะขับหลบเราเอง
 

เดินต่อซักพัก ฝนก็ตกลงมาอีก ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง เราก็ไม่ย่อท้อ หาที่หลบฝนข้างทาง ฝนก็หยุดๆ ตกๆ จนที่สุดเราเลยหาร้านกาแฟนั่งกัน เหนื่อยขนาดไม่ได้ถ่ายรูปร้านเลย  ร้าน Dark Brown Coffee อยู่ตรงสี่แยกก่อนไปโบสถ์ Nhà thờ Huyện Sĩ
 

สั่งกาแฟกันคนละแก้ว นั่งพักชาร์ตแบตทั้งคน ทั้งโทรศัพท์ ร้านนี้จะมีน้ำชาฟรีเสริฟให้ตลอด เลยเป็นร้านแรกที่ทำให้เรารู้ว่า เวียดนาม ชาอร่อยนะแก ที่ร้านมีพนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ เราเลยถามข้อมูลเค้า กลายเป็นนั่งคุยกันยาว และก็กลายมาเป็นเพื่อนเวียดนามคนแรกของเรา ยิ้ม ก็เลย Keep contact  กันไว้

หลังจากนั่งถ่วงเวลา เอ้ยๆ นั่งชิลล์ที่ร้านกาแฟอยู่นานพอสมควร ก็ถึงเวลาอาหารเย็นของเราแล้ว เราเดินไปหาของกินที่ถนน Bui Vien ที่เต็มไปด้วยแสงไฟ ตรงนี้เป็นเหมือนตลาดโต้รุ่ง มีของกินขายเต็ม 2 ข้างทาง รวมถึง ผับ บาร์ต่างๆ ฝรั่งก็เดินกันให้ลึ่มม อื้อหื้ออ บรรยากาศดูคึกคักจริงๆ

เดินหาร้านกิน มาเจอร้านที่เป็น BBQ ไม้ๆ ดูน่ากินดี ก็เลยเข้าไปนั่ง รสชาติดี กินกับเบียร์เข้าไป  เบียร์ขึ้นชื่อของที่นี่ ราคาขวดละไม่เกิน 20 บาทไทย

พออิ่มหนำสำราญใจ ก็เรียกเก็บเงิน ซึ่งราคาก็ไม่แพง ข้างๆโต๊ะเรามีกลุ่มคนเวียดนาม 6 คน มานั่ง ก่อนเราจะลุก เค้าบอกให้เราลองเช็คราคาดูก่อน นี่เป็นบทสนทนาแรก จากนั้นก็เลยคุยกันยาวๆ มาจากไหน มาเที่ยวกี่วัน จะไปไหนต่อ สารพัดบทสนทนา พร้อมคำแนะนำต่างๆ
แถมให้บาร์บีคิวเราเพิ่ม 2 ไม้แหนะ ทำให้เรารู้สึกว่า นี่คือเราได้การต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเวียดนามแล้ว และเราก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย


 

 

ตอนนี้เวลาประมาณสองทุ่ม อีกตั้ง 3 ชั่วโมงกว่า ที่จะไปขึ้นรถ เราจะทำไรดี เดินมันแบบเดิมนี่แหละ บรรยากาศมันต่างจากตอนกลางวันนะ ชมเมืองกันไป พอเหนื่อยก็เลยใช้วิธีการไปนั่งรอใน Family mart ที่นี่จะมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งข้างใน เราซื้อของนิดหน่อยก็นั่งได้แล้ว นั่งนานก็ไม่เป็นไร เรายังเห็นคนเข้ามานอนเลย รอจนห้าทุ่มเลยเดินไปรอที่ FUTA Bus ซึ่งจริงๆ ด้านข้างก็มีที่ให้นั่งรอนะ รถนอน จะเป็นแบบ 2 ชั้น เราเลือกชั้น 2 เพราะ กลัวถ้านอนด้านล่าง จะเหม็นทีนคนข้างบน 5555 พอขึ้นรถ เราคิดว่าเราต้องหลับแน่ๆ เหนื่อยมาทั้งวัน กับ 12 ชั่วโมงใน Hochiminh แต่เปล่าเลย..


บนรถแอร์หนาวมาก ข้างนอกฝนตกด้วย หนาวขึ้นไปอีก รถขับค่อนข้างเร็วและแรง พร้อมมีเสียงบีบแตรตลอดทาง ก็พยายามหลับ ไปถึงจะได้พร้อมเที่ยวต่อ

 
#2
// หลงแล้ว หลงเลย //
•••


 
เราถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยภาษาเวียดนาม เป็นสัญญาณว่าตอนนี้เราถึงเมืองดาลัดแล้ว มองนาฬิกา เวลาประมาณ ตีห้าครึ่ง ขุ่นพระ ทำไมมาถึงเร็วจัง เราก็สะลึมสะลือเดินลงจากรถ ทันทีที่สัมผัสกับอากาศด้านนอก ถึงกับหันไปขำกับเพื่อน แล้วพูดว่า หนาวยิ้มยยย ทั้งลมทั้งฝนปะทะเข้ามา ที่ขำ เพราะ เราพอจะอ่านข้อมูลมาบ้างว่าที่เมืองนี้อากาศจะเย็นกว่าที่อื่น แต่นี่คือมันถึงขั้นหนาวเลย เราชาวไทย 2 คน มีแค่เสื้อยืด กางกางขาสั้น ที่ตอนนี้ขาสั่นไปหมดละ  เพราะคิดว่ามันคงไม่หนาวมาก แต่เมื่อเจอคอสตูมของคนที่นี่ เรารู้เลย ว่าเราคิดผิด

เราเลยรีบวิ่งเข้าไปในอาคารพักผู้โดยสาร แล้วหยิบเสื้อยีนส์ออกมา (มีแค่นี้จริงๆ) ซึ่งมันก็พอช่วยให้อุ่นขึ้นมาหน่อย ฝนก็ยังคงตก ก็เลยตัดสินใจว่าจะเข้าที่พักเลยละกัน ซึ่งเราได้จองไว้ก่อนมาประมาน 1 วัน จากตรงที่ลงรถก็โบกแท็กซี่ไปเลย ตกลงกันได้ในราคา 60,000 VND มาส่งถึงหน้าที่พักเลย


 

มาถึงประมาณ 6 โมงเช้า ซึ่งที่พักยังปิดอยู่เลย แต่เพื่อนอีเมลล์คุยกับเค้าแล้วว่าจะมาถึงแต่เช้า เราเลยกดกริ่งเรียกกัน  ซักพักก็มีคนมาเปิดประตูให้ พร้อมต้อนรับอย่างดี เจ้าของที่พักให้เรา Early Check-in ได้เลย พาเข้าห้องพัก และสามารถพักผ่อนได้ตามอัธยาศัยที่พักชื่อ Binh Yen Hotel เป็นโรงแรมแคปซูล   สภาพจริงไม่ต่างจากในรูปเลย ห้องพักดูสะอาด และยังใหม่ ด้านใต้เตียงจะมีล็อกเกอร์ ไว้ให้เก็บของ ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย ไว้ใจพี่ ราคาตกอยู่ที่คืนละ 170 บาท ต่อคน อันนี้เราจองจากเว็บ www.booking.com นะ ดีงาม (ขออนุญาตยืมรูปจากเว็บด้วยนะคะ ><)  ในห้องหนึ่งจะมี 12 เตียง แต่เรามาถึงมีคนพักอยู่ก่อน แค่ 2 คน รวมเราเลยเป็น 4 จะมีห้องน้ำอยู่ในห้อง 1 ห้อง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหา ผลัดเวรกันไป ไปถึงเราเลยอาบน้ำก่อนเลย แล้วก็มางีบกันซักแปป รอฝนหยุดตก zZZz
 

พอฝนหยุดก็เลยเริ่มออกสำรวจเมือง โดยการเดินไปหาอะไรกินกันก่อน อากาศดีมากๆ เย็นสบาย เดินกันชิลๆ มาจบที่ร้านเฝอ คือจำชื่อร้านไม่ได้  แต่รสชาติอร่อยเลยทีเดียว  กินคู่กับแป้งทอดแบบนี้ แล้วก็มีพวกซอสๆให้ปรุง ซดน้ำซุปร้อนๆ อ่าห์กินคู่กับน้ำชา ชาอร่อยอีกแล้วว มื้อนี้หมดไป 74,000 VND หรือคนละ 37,000 VND
 
 

กินเสร็จก็เดินกลับที่พัก เจอร้านของกิน หน้าตาคล้ายขนมครก อยู่หน้าที่พักเลย  ขอซื้อมาราคา 10,000 VND ได้มา 3 คู่ จะเป็นแป้งใส่หลุมขนมครก ละตอกไข่ตาม กินกับน้ำซุปหวานๆ  มันเรียกว่า ‘Bhan Can’ รสชาติก็เฉยๆนะ แต่น่าจะเป็นของขึ้นชื่อ เพราะลองเสิร์ชดูก็มีอยู่หลายร้าน ลองหากินดู
 
 

ทัวร์กินเสร็จแล้ว ก็จะไปทัวร์รอบเมืองกันต่อ เลยเช่ามอเตอร์ไซค์จากของที่พัก ราคาวันละ 150,000 VND  แต่เรื่องเงินนี่ค่อยเคลียกันวัน Check out ได้  เราเริ่มจากที่ใกล้ๆก่อน นั่นก็คือ Dalat Market เป็นตลาดสดที่ดู สดชื่นมาก ส่วนมากจะขายผัก ผลไม้ ต้นไม้ สีสันดูสดใส บวกกับอากาศเย็นๆเข้าไป  ดีงามมากแกรรร

 

 
 

เดินตลาดเสร็จแล้วก็ไปตรง Tourist Information เพื่อหาที่เที่ยว ก็ซื้อแผนที่มาในราคา 10,000 VND = 15 บาท แล้วก็ให้เค้าแนะนำที่เที่ยว พออยู่บนมอเตอร์ไซค์ ก็ไม่ได้ใช้แผนที่อยู่ดี มันใหญ่มาก กางดูไม่ได้ ก็เลยต้องพึ่งอากู๋เหมือนเดิม ที่แรกที่ไปก็คือ สวนดอกไม้เมืองหนาว  (Dalat Flower Gardens) ไปถึงก็มีคนรอต้อนรับเลย
 

ถ่ายรูปเสร็จก็ต้องเสียค่าถ่ายนะจ๊ะ  อันนี้แล้วแต่ศรัทธา แต่ที่นี้เราไม่ได้เข้าไป ต้องเสียค่าเข้านิดหน่อย เราดูจากด้านนอกเอา ก็เลยไม่มีภาพมาฝาก ลองหาข้อมูล หรือไปเที่ยวเองก็ดีนะ

ก่อนขึ้นรถก็หยิบแผนที่มากาง ที่ต่อไปเราจะไป  ‘ Valley of Love’ คืออะไรไม่รู้ แต่ชื่อดูชิค ก็เปิดแมพพาไป เป็นทางขึ้นไปบนเขา ตอนนั้นฝนก็เริ่มกระหน่ำมาอย่างหนักละ กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง เพื่อนเลยบอกว่ากลับที่พักเหอะ โอเค กลับไปตั้งหลักก่อน ให้ GPS พาคุณกลับที่พัก แต่ด้วยความเสร่อของเรา เลยพากันมาหลงทาง แต่ก็ได้มาเจอวิวข้างทางที่สวยนะแกรร แม้ฝนจะตกหนัก การหลงทางมันเลยเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่ง (แถถถถถ) สุดท้ายก็หาทางลงเขา แล้วสามารถกลับมาที่พักโดยสวัสดิภาพ แม้ตัวจะเปียกปอน
 

กลับมาที่พักเอาไดร์เป่าให้ตัวแห้งๆ รอฝนหยุดก็ลุยกันต่อ ที่ต่อไปเราจะไปน้ำตก กับไปขึ้น Cable car กัน ระหว่างทางไปนี่สวยดีนะ เป็นป่าเขาข้างนึง อีกด้านมองลงไปจะเห็นวิวเมืองดาลัด แต่ที่นี่ไม่ค่อยมีป้ายบอกทาง หรือมีแค่เราอาจจะอ่านกันไม่ออก การขับวน ขับหลงทาง จึงเกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว 55555 จริงๆ ชิล อยากชมวิว และสุดท้ายก็พาตัวเองมาถึงตรง Cable car ที่เคยขับผ่านเลยไปไกล ก็จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ แล้วไปซื้อตั๋ว เราเลือกซื้อแบบ Return Ticket คือ นั่งไป-กลับ (มาเอามอเตอร์ไซค์) ราคาจะอยู่ที่ คนละ 70,000 VND

 

 
 

พอไปถึงอีกฝั่ง จะมีวัดคล้ายๆ วัดจีน (มารู้ทีหลังชื่อ วัดตั๊กลัม หากูเกิลเอาเลยจ้า) ตรงนี้คนเยอะมาก ทั้งจากที่นั่ง Cable car มา กับที่มีรถทัวร์มาลง คนเยอะมากจริง เราก็เลยไม่ได้เข้าไป ได้แต่ซื้อมันเผาหน้าวัด
 

ราคา 10,000 VND = 15 บาท ได้มา 6 อัน ไว้นั่งกินเพลินๆ ตอนขากลับ พอกลับมาเอามอเตอร์ไซค์ เสียค่าที่จอด 4,000 VND แล้วรีบไปที่น้ำตกกันเลย ก่อนที่จะมืดค่ำ

ไปถึงที่ Datanla Waterfall หรือ น้ำตก ดาตันลา ต้องเสียค่าที่จอดรถ 4,000 VND  เสียค่าเข้าอีกคนละ 20,000 VND = 30 บาท  และไฮไลท์ของที่นี่ ก็คือการเล่น Roller Coaster เพื่อลงไปชมน้ำตกกัน  ค่าเล่นคนละ 50,000 VND เป็นแบบ Return Ticket เราเล่นจนลืมถ่ายรูป แต่ถ่าย Video ไว้ เลยแคปภาพมา

 
 

อันนี้สนุกนะ จะมีคันโยก ถ้ากดลง คือไปข้างหน้า ดึงขึ้นคือเบรก แต่วันที่เราไปคนเยอะมาก เลยสไลด์ไม่สุด ต้องคอยเบรคบ่อย ถ้าลงยาวๆคงจะมันส์มาก แต่นี่ก็สนุกละ

ถึงแล้ว ดาตันลา

 

พอตอนขึ้นก็ต้านแรงโน้มถ่วงขึ้นไป หนักหน่อย (นั่ง 2 คน) แต่ดีกว่าเดิน
 
ต่อไป เราว่าจะไปแถวทะเลสาบ Xuan huong พอใกล้ถึง ฝนก็ตกลงมาอี้กกก เลยต้องแวะหลับฝนที่ Big C ใช่ คือที่นี่มี Big C นะจ๊ะ ก็เลยแวะซื้อเสื้อกันฝนด้วยเลย


เฝ้ารอจนฝนซา ก็กลับไปตั้งหลักที่ที่พักอีกแล้ว ก่อนจะไปลุยมื้อเย็นกันที่ Dalat Night Market  ที่เดียวกับตอนช้าที่ไปนั่นแหละ แต่ตอนเย็นคนเยอะมากเว่อออ ของกินก็เช่นกัน


 

 

ต่อไป เป็นร้านสารพัดหอย จะเป็นหอยต้มๆ ลองชิมดู


แล้วก็ร้านปิ้งย่างไม้ๆ
 

ก่อนมานี่ คนเวียดนามที่เจอที่ร้าน  BBQ ใน Ho chi minh แนะนำให้กิน Hot Soy Milk หรือน้ำเต้าหู้บ้านเรา ในตลาดก็มีให้เลือกอยู่หลายร้าน ก็ลองกินร้านหนึ่ง มันช่างหวานซะเหลือเกิน
**การมากินอาหารที่นี่ ทำให้รู้ว่า อาหารจะอร่อย....ต้องอย่าดูตอนเค้าทำ**
สรุป:: ไม่ค่อยประทับใจอาหารเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วให้ผ่าน เพราะ ชอบสีสัน บรรยากาศที่นี่นะ ดูมีเสน่ห์ดี

พอตอนจะกลับที่พัก เจอร้านน้ำเต้าหู้ข้างทาง คนกินเยอะมากก ก็เลยอุปทานหมู่ จอดรถทันที กินอีกแก้ว  ร้านนี้จะมีขนมปังให้ด้วย พอกินคู่กันมันก็อร่อยอ่ะ กับชาร้อนๆอีก หลับสบายเลยคืนนี้ (รูปแอบพัง แต่บรรยากาศมันได้)




#3
// บังเอิญเจอเขา //
•••


 
หลังจากที่หลับเป็นตายมาตลอดคืน บวกกับอากาศเย็นๆ และสายฝนที่ตกลงมาต้อนรับตอนเช้า ทำให้เรายังนอนอยู่บนเตียง จนถึง 9 โมง ไม่อยากลุกเลย แต่ลุกเถอะครับ ไปอาบน้ำ หาข้าวเช้ากินดีกว่า  ลงไปคุยกับเจ้าของที่พักว่าอยากกินไข่กระทะ ก็เอารูปให้เค้าดู เค้าก็เขียนแผนที่มาให้คร่าวๆ เราก็ขับตามหา และใช้การมองหน้าร้านเอา   เจอร้านนึงในตู้กระจกมีขนมปัง กับไข่ เลยลงไปถามว่ามี egg pan ไหม เค้าบอกมีๆ เลยโอเค ร้านนี้แหละ


แต่ที่ได้มามันเป็นไข่ดาวนะ เหยาะแม้กกี้กับซอสพริก (ที่เวียดนามพวกซอสปรุงรสอร่อยอ่ะ) กินไข่คู่กับขนมปัง แล้วก็มีผักๆแกล้ม คือ อร่อยเลยนะ แล้วก็สั่งน้ำซุป ที่มีหมูสับก้อนๆ รสออกหวานๆ กินกับขนมปังก็อร่อยอีกแหละ มื้อนี้หมดไป 45,000 VND 2 คนนะ


ไปต่อกันที่ Crazy House เป็นเหมือนที่เที่ยวแนะนำของเมืองดาลัด ก็มีทัวร์มาลง คนเยอะ เสียค่าจอดรถ 5,000 VND กับค่าเข้าอีกคนละ 40,000 VND


ก็จะเป็นอารมณ์แบบ บ้านรูปทรงประหลาด บูดๆ เบี้ยวๆ crazy ตามชื่อ  แล้วก็มีห้องนอนของสัตว์ต่างๆ


แต่ที่ดีคือ ขึ้นมาด้านบนสุดของบ้าน จะสามารถชมวิวเมืองดาลัดได้ สวยดี



ต่อไปเราจะไปเจดีย์ที่ Tourist Information ให้ข้อมูลมา เค้าบอกวัดทำจากพวกเซรามิก ขวดแก้ว Colorful มากๆ  เปิดดูชื่อLinh Phuoc Pagoda จากในแผนที่ แต่เปิด google map พาไป  ถึงแล้ว Linh Phuoc Pagoda



บนเจดีย์ จะสามารถขึ้นไปด้านบนได้ และนี่คือสิ่งที่เราเห็น เมื่อขึ้นไป


ด้านหน้าวัดจะมีตลาดเล็กๆ ขายของกิน กับพืชผัก ผลไม้


และก็มีทางเข้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ เลยขอแวะเข้าไปดูจั๊กหน่อย



ตรงนี้วิวดีมากๆ อารมณ์เหมือนมาเที่ยว เพชรบูรณ์ แต่อยู่ที่เวียดนาม เราเลยตั้งชื่อว่า ภูทับเบิกเวียดนาม ละกัน จะมีการทำเกษตรกรรม ปลูกผัก ปลูกดอกไม้ อากาศดีสุดๆ





เป็นความบังเอิญที่ดีมากๆ เลย กับบรรยากาศแบบนี้
พอเสพบรรยากาศตรงนี้จนพอใจละ ก็ไปต่อที่สถานีรถไฟดาลัด จุดเด่นของที่นี่คงเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม




มาเวียดนามทั้งที ยังไม่ได้กินกาแฟดริปเลย ไปขับรถหากันต่อดีกว่า เราเลยเลือกวนไปแถวที่กินข้าวเมื่อเช้า  แถวนี้จะเป็นทาง One Way  วนไปวนมา เจอร้านสุกี้ !! เอ้า หิวเฉย เลยแวะหน่อย
 


อันนี้ในหม้อจะเป็นสุกี้เนื้อ มีผัก เส้น และเต้าหู้ให้ใส่ น้ำจิ้มรสชาติเหมือนลำไย แปร่งๆ แปลกๆ แต่อร่อยดี  มื้อนี้หมดไป 2 คน 100,000 VND = 150 บาท

 
อ่ะ หากาแฟ จริงๆ ซักที ในที่สุดดดด ก็เจอ มองจากด้านนอก จะเป็นร้านไม้ มองทะลุไปจะเห็นวิวคล้ายสนามกอล์ฟ ก็เลือกร้านนี้เลย
 


S - L - O - W - L - I - F – E
นั่งรอกาแฟทีละหยดจ้า



เพิ่มชามาอีกเหยือก



กาแฟจะมีกลิ่นหอมๆ คล้ายวนิลา ส่วนชาหอมมาก กลิ่นวนิลาเช่นกัน  ความประทับใจในราคา 30,000 VND = 45 บาท

 
หลังจากสโลวไลฟ์กับชากาแฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะไปตามเก็บบรรยากาศริมทะเลสาบ ที่เมื่อวานเราพลาดกันไป Xuan huong lake จะเป็นทะเลสาบที่ยาวมากก รอบๆทะเลสาบก็จะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนจิตของคนที่นี่  หลักๆจะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง มาที่ฝั่งแรกกันค่า
 


ตรงนี้ก็จะเป็นลานกิจกรรม ที่ผู้ใหญ่จะพาเด็กๆมาเล่นกัน จะมีทั้งเล่นว่าว (ว่าวจริงๆ) ขี่จักรยาน ขับรถคันเล็กๆ รวมถึง การเล่นโรเลอร์เบลดดด




 
ก็จะมีร้านให้เช่าแบบนี้ เล่นได้ 3 ชั่วโมง 40,000 VND = 60 บาท  เด็กๆเล่นกันเก่งมาก ส่วนเรา ล้มไม่เป็นท่า ถอยหลัง ไม่เดินหน้า ทุลักทุเล แต่ก็สนุกดีนะ

ซักพักฝนก็ตก (อีกแล้ว) เสียดาย ว่าจะเล่นว่าวต่อ เลยเข้าไปหลบฝนในบิ๊กซี (อีกแล้ว)  พอฝนหยุดเลยข้ามไปอีกฝั่งของทะเลสาบ ตรงนี้จะมีพวกของกินมาขาย กับมีเป็ดให้ปั่นดูเป็นศูนย์รวมผู้คนที่น่ารักและอบอุ่นดีจัง

 




อีกอย่างที่ชอบ คือห้องน้ำสาธารณะ ดูใส่ใจดี เหมือนบ้านเทเลทับบี้เลย


 
หลังจากชมเมืองเสร็จ ก็ตกลงกันว่า จะไปกินร้านเนื้อย่างแถวๆที่พักกัน เพราะเมื่อวานขับผ่านดูคนเยอะดี (อุปสงค์หมู่ กินตามคนอื่นอีกแล้ว)
 




หน้าตาประมาณนี้ สังเกตดู ส่วนใหญ่คนที่มากินจะมานั่งชิล จิบเบียร์ กินเนื้อย่างแกล้ม แบบโต๊ะนึง 5 คน สั่ง 2 อย่าง แต่เราเน้นอิ่ม 2 คน 3 อย่าง ฟินๆกันไป กับเบียร์ที่ถูกแสนถูก ขวดละไม่ถึง 20 บาทไทย  มื้อเย็นสุดท้ายในดาลัด จัดไป 288,000 VND

 
เข้าที่พักไปอาบน้ำ แล้วลงมานั่งคุยกับเจ้าของโฮสเทล เราจะชอบถามภาษาเวียดนามจากเค้า  ปกติเวลาเจอคนเวียดนาม เราพูดได้อยู่ 2 คำคือ ซิน จ่าว (สวัสดี) กับ ก๊าม เอิ้น (ขอบคุณ)  วันนี้เลยมีภาษาเวียดนามมาฝากเพิ่มเติม อาจจะแปร่งๆ ไปมั่งนะ พยายามฟังจากเค้าอีกที  ซึ่งแต่ละท้องที่ก็พูดไม่เหมือนกัน อารมณ์แบบภาษาถิ่นแต่ละภาคของบ้านเรา
1. ซิน จ่าว = สวัสดี
2. ก๊าม เอิ้น = ขอบคุณ
3. คัม = ไม่
4. ก๊อ = ใช่
5. เกว๋ย = ปาท่องโก๋
6. จ่า = ชา (ออกเสียงแบบเวียดนามใต้)
7. บาว งิว ติง = How Much? = กี่บาท
8. ติ๊ง เตี่ยน = เก็บเงิน
9. โตย คัม เบียก = I don’t know = ฉันไม่รู้
10. ซินร้อย = Sorry = ขอโทษ
11. แนม เหนือง = แหนมเนือง
12. จ๊อ = เนื้อหมา *** (ระวังให้ดีจ้า แต่ถ้าอยากกินก็โอเค)
13. ต๊าม เบ = Bye
เรารู้สึกว่าการไปเที่ยวที่ไหน แล้วเราพยายามที่จะเรียนรู้ภาษาหรือวัฒนธรรมของเมืองนั้นๆ จะได้มากหรือน้อยก็ตาม มันก็เป็นสิ่งที่ดีนะ เราแลกเปลี่ยนกัน โดยสอนภาษาไทยให้เค้าด้วย ถึงเราจะคุยกันโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางก็เถอะ แต่มันก็ดี ที่เราได้เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนกัน


#4
// พบ พา ลา จาก //
•••


 
เหลือเวลาเก็บอากาศเย็นๆ ในเมืองดาลัดอีกไม่กี่ชั่วโมง เราก็จะต้องโยกย้ายไปเมืองมุยเน่ หรือที่รู้จักดีว่ามีทะเลทราย  เราอยากกิน ‘แนมเหนือง’ หรือ แหนมเนืองนั่นแหละ เลยให้เจ้าของโฮสเทลแนะนำ เค้าก็บอกร้านมา แล้วเรียก Taxi ให้ไปส่งถึงร้านเลย (ใจดีอีกแล้วว)
 




หน้าตาก็คล้ายๆของไทย แป้งที่ใช้จะเป็นแป้งเดียวกับที่ทำพิซซ่าเวียดนาม จะไม่นิ่มมาก แต่ก็ไม่แข็ง ผักแกล้มเยอะแยะ 



ที่แปลกตามา ก็จะเป็นเจ้านี่  เป็นของทอด คล้ายๆ เกี๊ยว รสออกหวานๆ กินเล่นๆก็อร่อย เอาไปห่อกับแหนมเนืองก็อร่อยอีก

 
กินเสร็จ เราเลยตัดสินใจเดินกลับ เพราะดูแล้วทางไม่ไกลมาก จะได้เก็บบรรยากาศสุดท้ายไว้ด้วย  ที่เมืองดาลัดจะมีร้านกาแฟแบบ Local เยอะมาก  แวะลองร้านนึง
 






หนึ่งช็อตนี้ถึงกับตื่นเลยทีเดียว

พอกินกาแฟเสร็จ เราก็เลยเดินกลับโฮสเทลกัน เก็บบรรยากาศ





บ๊ายบายดาลัด เราชอบแกนะ อากาศดี อาหารอร่อย ร้านกาแฟเยอะ แถมผู้คนยังน่ารักอีก



เผื่อใครจะตามมานะ แผนที่จากเว็บเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือร้านที่เราไปมา

 
เราจองรถไปมุยเน่ กับเจ้าของที่พัก ราคาคนละ 150,000 VND  และรถจะมารับเราที่โฮสเทลตอนบ่ายโมง เลยเดินกลับไปรอที่โฮสเทลตอนเที่ยงครึ่ง  แต่รถมาเร็วกว่าบ่าย และเรากำลังขับถ่าย!! ความพีคจึงเกิดขึ้น  ต้องรีบวิ่งออกมา เราเลยไม่ได้ขอบคุณเจ้าของโฮสเทลอย่างเป็นทางการ   ทุกคนในรถตู้ต้องรอเรา ไปถึงแต่ละคนสีหน้าไม่ดีนัก ทำได้เพียงพูด Sorry รัวๆ
 



 
จากดาลัดไปมุ่ยเน่ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง  เป็น 4 ชั่วโมงที่เหมือนจะนานแต่ก็ไม่นาน แต่ก็แอบทรมาน (เอ๊ะ ยังไง) คือทางไปจะเป็นแบบขึ้นเขา ทางคดเคี้ยวเลี้ยวรถ ถนนขรุขระ
คำเตือน : จะมาทางนี้ควรเตรียม ยาอม ยาดม ยาหม่อง แก้วิงเวียนศีรษะ หรือใครจะทางลัด พกถุงพลาสติกเลยก็ได้นะ ฮ่าแต่ แต่ อย่าเพิ่งกลัวไป  วิวสองข้างทาง สวยอย่าบอกใคร......แต่บอกไปละ มันสวยจริงๆ นะคู้นน   4 ชั่วโมงมันเลยไม่นานไง  (มัวแต่นั่งเอาหน้ายื่นไปนอกหน้าต่าง เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเลย)

 



 
พอใกล้ถึง Mui Ne ก็เริ่มมีคนทยอยลองตามจุดต่างๆ จากรถที่เงียบมานาน บทสนทนาจึงเกิดขึ้น  ระหว่างคนไทย 2 คน รัสเซียสาว 2 คน และคู่รักชาวจีนอีก 2 คน

เริ่มจากลงที่ไหนกัน...แค่นั้น...ก็บังเอิญแล้ว  เพราะทุกคน ลง ที่ เดียว กัน และพัก ที่ เดียว กัน อีก  เลยร่วมมือกันดูแผนที่ และบอกคนขับรถให้จอดให้หน่อย จนพาตัวเองมาถึงที่พักได้ ทั้ง 6 คน 3 สัญชาติ  ที่พักชื่อ Mui Ne Villa Hills Hotel  เดินจากถนนหลักเข้าไปในซอย เป็นทางลาดชันขึ้นเขาไปประมาณ 50 เมตร

 



 
โชคดีที่ได้ห้องริมสุด เห็นวิวทะเลเลย อมยิ้ม36  โรงแรมนี้เราก็จองจากเว็บ www.booking.com เช่นกัน ราคาคืนละ 420 บาท  (ขออนุญาตยืมรูปจากเว็บอีกครั้ง ><)

หลังจาก Check in เข้าห้อง และเก็บของกันเสร็จ ก็เกือบๆ 6 โมงแล้ว เราเลยจะออกไปตามล่าอาหารทะเลกินกัน เย้หลังจากลองหาข้อมูลว่ากินที่ไหนดี ก็หาไม่เจอ เลยออกไปลุยเองเลยละกัน  ด้วยความเสร่อ หรือมโนกัน ว่าร้านมันน่าจะอยู่ในตัวเมือง ตรงเซ็นเตอร์ ก็โบก Taxi ไปยาวๆ  พอไปถึง เป็นแบบตลาดที่ปิดแล้ว...คนขับก็งงว่าจะมาทำไร เราเลยบอกว่าจะกินซี

เท่านั้นแหละ ขำพรืดดด ร้านมันอยู่แถวๆ ที่ยูโบกมานั่นแหละ เอ้า กำ นั่งชมเมืองไงแกร ชิลๆ เพลิน  เลยบอกให้เค้าพาไปส่ง ร้านถูกๆหน่อยนะ ก็พามา ร้านนึง เหมือนโดน “ ทิ้งไว้กลางทาง ”  คือราคาไม่ได้ถูกเลย คนขับแกได้ค่าโฆษณาใช่ไหมมม

เดินหาๆ ไป หน้าตาร้านอาหารแต่ละร้านก็ไม่ต่างกัน เราวัดจากราคา Lobster  ซึ่งร้านแรก กิโลละ 600,000 VND ก็เจอหลายราคา ทั้ง ห้าแสน หกแสน หนึ่งล้าน จนถึงล้านสอง ก็มี  พี่ที่เคยมาบอก ได้กิน Lobsters โลละ 200 บาท ไหนถูกๆ ฟระ หาไม่เจอ  เลยมาจบที่ราคา 350,000 VND = 450 บาท ก็ถือว่าถูกกว่าที่ไทยละกัน

 


เป็นเหมือนผัดเปรี้ยวหวาน ทางร้านหั่นมาให้เรียบร้อย  กับกินหอยอะไรซักอย่าง 2 อย่าง


 
ที่แปลกคือ น้ำจิ้มจะเป็นแบบพริกเกลือ แล้วบีบมะนาวเอา มันเลยจะออกเค็มๆหน่อย ไม่ค่อยแซ่บ  แต่พวกอาหารทะเลถือว่าโอเคเลยนะ
คำเตือน : จะมากินซีฟู๊ดที่ Mui Ne ต้องพกน้ำจิ้มซีฟู๊ดมาเองนะ เพื่อความฟิน ฮ่า
 
กินเสร็จก็เดินหาซื้อตั๋ว Half Day Trip จริงๆ ที่โรงแรมก็มีจัด Trip อยู่นะ ถ้าเป็นทัวร์ก็คนละ 8$ แต่เราว่ามันน่าจะมีถูกกว่านี้ (เราอ่านมา)  ก็เดินหา มีทั้งคนละ 15$ 10$ 8$ จนมาเจอ 7$ เลยคิดว่าถ้าถูกกว่านี้มันก็น่าจะอยู่ยากละ เลยขอเบอร์ไว้ กลับไปตั้งหลักก่อน  เจ้เจ้าของทัวร์บัฟว่า ช่วงนี้ Low season คนน้อย อยากให้รีบบอก เพราะ จะได้จัดลูกทัวร์คนอื่นมา  เราก็เข้าใจนะ ก็เลยเออ เจ้านี้ก็ได้ ของ Lucky Tours เป็น Trip Sunset  คือช่วงบ่าย รถจะมารับที่โรงแรม บ่าย 2 เสร็จทริปก็ประมาน 5-6 โมง ค่อยกลับมาซื้อตั๋วกลับ Hochiminh ที่บริษัทนี้เลยละกัน ราคาก็โอเคอยู่


 
#5
// Hello Stranger //
•••


 
เช้านี้ตื่นมาด้วยความลุ้น ลุ้นว่าฝนจะตกไหม  เรามองไม่เห็นแสงสีส้มของดวงอาทิตย์เลย ท้องฟ้าก็ไม่เป็นสีฟ้า  เอาเป็นว่า ฝนอย่าตกเลย ลุกมาอาบน้ำ และเก็บของ เพราะต้อง Check out ก่อน 11 โมง  เรียบร้อยก็ลงไปหาร้านข้าวกิน

Mui Ne เป็นเมืองเล็กๆ คล้ายๆบางแสน แต่เล็ก และเงียบกว่ามาก  ร้านรวงต่างๆ ยังไม่ค่อยเปิดมากนัก และส่วนใหญ่เป็นร้านที่เปิดกลางคืน ทำให้ถนนช่วงเช้านี้ดูเงียบมาก  โชคดีที่แถวซอยที่พักเรามีร้านอาหารอยู่บ้าง ก็เลยกินอาหารเช้ากันใกล้ๆ
 




ยืนยันว่าซอสปรุงรสที่เวียดนาม อร่อยจริง คอนเฟิร์มค่ะ

 
กินเสร็จก็ไป Check out แต่สามารถฝากกระเป๋าไว้ที่ Reception ได้ เราเลยไปเดินเล่น หาร้านนั่งรอเวลารถ Jeep มารับ ไป Half Day Trip ก็มาเจออยู่ร้านหนึ่ง
 

 
นั่งพักกันยาวๆ  พอใกล้ถึงบ่ายสอง เราก็ไปเดินเล่นชมทะเล ซึ่งหาดค่อนข้างเงียบ ไม่มีคนเล่นทะเลหรอก  ที่พักริมทะเล คนพักค่อนข้างเยอะ แต่ส่วนใหญ่จะเล่นสระว่ายน้ำกัน เดินเพลินๆ  ซักพักเจ้าของทัวร์ก็โทรมาหา บอกว่ารถมารอแล้ว ก็รีบวิ่งๆๆไป
 
มาถึงก็มีฝรั่งชายชาวเบลเยี่ยม 2 คน มารออยู่ก่อนแล้ว เจ๊เจ้าของทัวร์บอก ทริปนึง ประมาณ 5 คน อ่ะ ก็กำลังดี  พอขึ้นรถซักพัก ก็แวะรับฝรั่งสาวชาวฮังการี อ่ะ คงครบละเนอะ ซักพัก แวะรับคุณลุงคุณป้าชาวเกาหลี อีก 2 คน  ตอนนี้ International Jeep ของเรามี 7 คนละค่ะ

 

 
Half Day Trip ก็จะพาไปทั้งหมด 4 ที่ท่องเที่ยวหลักของเมืองมุยเน่  ซึ่งได้แก่ Fairy Stream/ Fishing Village/ White Sand Dunes / Red Sand Dunes

ไปที่แรกกันเลย Fairy Stream  มาถึงทางเข้า เข้าฟรีนะ แต่เราต้องเสียค่าถอดรองเท้า   ใช่ คือข้างในที่เราเดินต้องถอดรองเท้าเดิน เราเลยต้องเสียค่าเฝ้ารองเท้า ตลก ฝรั่งนายหนึ่งในทริปจึงไม่พอใจ มีปากเสียงกันเล็กน้อยว่าทำไมต้องจ่าย คนเวียดนามก็เก่งนะ บอกไม่เสียก็กลับไปเลย ตึ่งง เลยจ่ายๆไป เริ่มทริปได้ดีมากจ้า

 


ด้านในก็จะเป็นทางน้ำไหลผ่าน เหมือนเป็นต้นน้ำอะไรซักอย่าง ตรงพื้นก็เป็นทรายๆ  แปลกๆดีนะ

 
เดินไปซักพัก เราได้ยินเหมือนมีคนพูดภาษาไทย  เลยบอกเพื่อนว่า  เหมือนจะเจอคนไทยหว่ะ เรากับเพื่อนก็เลยลองพูดสวัสดีลอยๆ ซักพักคนกลุ่มนั้นก็หันมา แล้วก็ทักว่า “อ้าว คนไทยหรอคะ” เราตอบกลับ “ค่ะ คนไทยเหมือนกันหรอคะ” เป็น Moment ที่ตลก แล้วที่พูดอยู่นี่ภาษาอะไร ฮา  ก็เลยแอด facebook กันไว้ เผื่อมีอะไรไว้ติดต่อกัน

 

 
ซักพัก บุคคลที่ทำตัวเหมือนไกด์นำเที่ยวนั้น ก็พยายามจะขอเงินค่าไกด์ แต่กรุ๊ปทัวร์เราก็ไม่มีใครให้  ฝรั่งที่ตอนแรกมีเรื่องก็ยิ่งยั๊วะ บอกว่าทำไมต้องให้ เราไม่ได้ขอให้คุณเป็นไกด์ เอ้ออ มันก็จริง ขนาด Guide Book ของโรงแรมที่เรานอนยังเขียนบอกไว้เลยว่า  ถ้ามีคนมาของเงิน ให้ 'Beautiful Walking' ไป อย่าได้แคร์
 

 
พอยังไงซะพวกเราก็ไม่ให้เงิน สุดท้ายเค้าก็ด่าค่ะ ว่า You so bad, F*k you ค่ะ แต่คำด่าทำอะไรพวกเราไม่ได้ หึหึ  (ในหัวก็คิด นี่ตรูอยู่ที่ไหนเนี่ย โหดร้าย แต่ก็มันส์ดี เอ๊ะ !!)
 
พอหนีออกมาซักพัก ก็มาเจอไชนิสเกิร์ลอีก 2 คน ที่จะมาร่วมทริปกับเราด้วย  (เอ้า 9 คนละขุ่นเจ้ รับเละเลยนะ ละบอก Low season จ้า)  และที่พีคกว่านั้น คือ เราลองถามว่าแต่ละคนซื้อทริปมาคนละเท่าไหร่   โดยชาวเบลเยี่ยมและ ฮังการี ได้มาในราคา 6$  แต่ชาวเอเชียอย่างเราและจีน ได้ 7$ เหมือนกัน ทำไม ทำไม ทำไม ? ฝรั่งเลยแซวว่า เพราะ เธอเป็นคนไทยไง (อ้าว งงเลย welcome to AEC จ้า)

ต่อๆ กันที่ Fishing Village หรือหมู่บ้านชาวประมง ที่ถ้ามาตอนเช้าก็คงดี น่าจะได้เห็นวิถีชีวิตที่มากกว่านี้  เวลานี้ก็มีประมาณนี้สินะ

 



 
ก่อนกลับ เจอขุ่นป้ามานั่งขาย Lobster สดๆ แวะถามราคาดูหน่อย ว่าจะถูกมั้ย  สรุป กิโลกรัมละ 550,000 VND แพงกว่าที่กินเมื่อคืนอีก สบายใจละเรา


 
ต่อไปก็น่าจะเป็นไฮไลท์ที่สุดของทริปนี้ละ ก็ ‘ White Sand Dunes ’ ไง จะที่ไหนละ ระหว่างทางก็สวยไม่แพ้ปลายทางนะครัช
 



 
พอถึงทางเข้า ก็จะมีด่านเก็บตังค์ อีกแล้ว คนละ 10,000 VND = 15 บาท  แต่จริงๆตอนแรก เจ้าของทัวร์บอกมากับทัวร์จะเข้าฟรี สงครามอารมณ์จึงเกิดขึ้น อีกแล้วเช่นกัน  พี่ฝรั่งเค้าก็ต้องการความเป็นธรรม เราก็เข้าใจ ก็มีปากเสียงกันเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมๆไปอีกแหละ
 
รถมาจอดให้เราลง ด้านหน้า ซึ่งถ้าจะเข้าไป ต้องเดิน หรือไม่ก็เช่ารถ ATV  ซึ่ง ATV เนี่ย 30 นาที 10$ … ถ้าขับน้อยกว่านั้น ราคาก็ลดหลั่นกันไป (แต่เราจำราคาไม่ได้)
 
ส่วนมากฝรั่งจะเลือกขับ ATV กัน บอยๆ แมนๆ กล้ามแขนนี่อื้อหื้ออมาก ขุ่นพี่

 





 
แล้วเราก็มาเจอแก๊งค์คนไทย เลยได้คุยกันว่ามายังไง ไปไหนต่อ  ก็มีแพลนว่าจะกลับ Hochiminh คืนนี้เหมือนกัน Sleeping Bus รอบตี 1 เหมือนกันเลย  แต่น้องๆซื้อตั๋วแล้ว ก็เลยคุยกันว่า เดี๋ยวถึง Hochiminh แล้วคุยกันอีกทีนะ
 

 
เวลาช่างผ่านไปไว พระอาทิตย์ใกล้ตก กับที่สุดท้ายที่เรากำลังจะไปหา ‘ Red Sand Dunes ’
 

 
พอทันทีที่รถจอด จะมีฝูงเด็กวิ่งตามรถ ประหนึ่งแฟนคลับตามขอลายเซ็นดารา คอยเปิดประตูให้ ดูดีใจที่พี่มานะ เด็กๆมารุมล้อม พร้อมยื่นบอร์ดสไลด์ให้เรา และพูดว่า “ช่วยซื้อหน่อยๆ ผมอยากกลับบ้าน 50,000 VND ฮะ”
 
เราตอบ “เราก็อยากกลับบ้าน ถ้าเราจ่ายเราก็ไม่มีเงินกลับสิ” เราเลยต่อราคา ลดเหลือ 20,000 เราจะเอาอันเดียว แล้วสลับกับเพื่อน  ทันใดนั้น เด็กโตที่ดูเป็นหัวโจกของกลุ่ม ก็บอกว่า ไม่ได้!!  ถ้าเห็นว่าเล่น 2 คน จะเก็บเงินเพิ่ม ละเราก็เลยต้องจ่ายอีกอัน  (ในใจก็คิดน้า ทำไมตรูต้องยอมมันเนี่ย)
  
เด็กก็จะพาเราไปเล่นสไลด์ พร้อมบอกว่าห้ามเอากระเป๋าลงไปด้วยตอนเล่น   ให้ฝากของ ฝากกล้องไว้กับมัน เดี๋ยวถ่ายรูปให้นะ

 

 
ไม่ !! ใครจะไปไว้ใจแก๊ !! ด้วยความระแวง เราเลยเอาของทุกอย่างไว้กับตัว ไม่ได้ฝากไว้กับเพื่อน  เพราะ เด็กมันก็จะให้เพื่อนเล่นสไลด์พร้อมๆกัน  ระหว่างที่เรากำลังแบกของไว้กับตัวอย่างไม่ทันตั้งตัว เด็กก็ลากเราให้สไลด์ลงไป ทำให้กล้องไถลๆๆๆๆ ลงไปตามทาง ม่ายยยยยย กล้องฉ้านนน เม่าโศก กว่าจะเดินขึ้นมาก็เหนื่อยอีก เด็กยิ้มก็หัวเราะเยาะ เด็กเปรตส่วนคนจีนในทริปที่มาเล่นด้วย เด็กมันก็ลากจนเค้าล้ม แถมหัวเราะซ้ำ  ด่าเป็นภาษาเวียดนามนี่ต้องด่ายังไง
 


ไม่เล่นแล้ว ตัวก็เลอะ ยังจะมาขอเงินเพิ่มอีก พอๆ ถือว่ามาถึงที่แล้วละกัน


 
กลับไปที่โรงแรม ถึงเราจะ Check Out ไปแล้ว แต่โชคดีที่มีห้องน้ำให้อาบ ใจดีจัง  พออาบน้ำเสร็จ ก็เดินไปที่ Lucky Tours เพื่อซื้อตั๋วกลับ Hochiminh รอบตี 1 พอไปถึง
“ ตั๋วเต็ม ”
“ ว่างอีกทีรอบ 8 โมงเช้า ”
เรื่องสยอง 2 บรรทัด ในใจนี่ ยิ้มละ ทำไงวะ เค้าก็แนะนำให้ไปซื้ออีกเมือง แต่เราก็ไม่รู้มันจะมีมั้ย ไม่อยากเสี่ยง  กับอีกคำแนะนำ คือ ให้นอนนี่อีกคืน แต่เงินก็จะไม่พอแล้ววว ทักน้องคนไทยไป บริษัทน้องก็เต็มแล้วเหมือนกัน  เลยกลับไปตั้งหลักที่โรงแรม เพราะของโรงแรมก็มีให้จอง

แต่ไปถึงก็เต็มอีก คงเป็นเอเจนซี่ทัวร์เดียวกัน...พีค.. ตอนนี้เวลาประมาน 2 ทุ่มกว่า ข้าวก็หิว รถก็เต็ม  ซักพัก Receptionist ของโรงแรม เลยลองโทรไปเช็คกับอีกบริษัทที่ไม่ได้ Co กับเอเจนซี่ทัวร์

ผลคือ... ยังว่างอยู่ กรี๊ดดดด !!!  แต่ว่าเราต้องไปจองเอง เค้าก็เขียนที่อยู่มาให้เราโบกมอเตอร์ไซค์ หรือ Taxi ไป เพื่อนเลยอาสาไปคนเดียว เผื่อตั๋วมันเต็มหรือยังไง ไป-กลับคนเดียวก็จะได้ไม่เสียเวลา  ให้เราสแตนบายรอที่โรงแรม

ลุ้นหนักมาก

ผลก็คือ ได้ตั๋วกลับมา!!! ซึ่งเป็นของ FUTA BUS LINES เหมือนตอนที่เรานั่งไปดาลัด แต่ได้รอบเที่ยงคืนมา  ถึงโฮจิมินท์เช้า ก็ยังดีกว่านอนอีกคืนแหละน้า /// ขอบใจมากนะแกร // 
คำเตือน : ถึงที่นี่รถจะมีหลายรอบ แต่ตั๋วไม่ได้ซื้อก่อนเวลาขึ้นรถได้เหมือนบขส.นะ
 
จริงๆ พวกฝรั่งที่ไปทัวร์มาวันนี้นัด Dinner เรามัวแต่วุ่นวายกับตั๋ว เลยไปถึงช้าหน่อย แต่ก็ได้กินแบบสบายใจละ Topic ในวงสนทนา ก็หนีไม่พ้นเรื่องเที่ยว ฝรั่งบอกว่าชอบเที่ยวเมืองไทยมาก แถมไปเที่ยวมาน่าจะเยอะกว่าเราอีกมั้ง  ได้รู้ที่ใหม่ๆ ในไทยที่เราไม่เคยไป จากคนเบลเยี่ยม!! แถมบอก เมืองไทยที่เที่ยวเยอะจะตาย ทำไมถึงไม่ไปล่ะ อื้มม ก็จริง ทริปหน้านะยู เพี้ยนออกทริป
 
เมื่อถึงเวลา เราก็ไปรอรถ ก็บังเอิ๊ญ เจอคู่รักชาวจีนที่นั่งรถมาจากดาลัดคันเดียวกัน  ก็เลยเข้าไปคุย ว่าจะไปไหน สรุป คือ กลับโฮจิมินท์รอบเที่ยงคืน  ตลกดี มาพร้อมกัน พักที่เดียวกัน ยังกลับพร้อมกันอีก (แต่คนละคันนะ)  แถมกลับจากเวียดนาม เค้ากำลังจะไปเที่ยวที่ไทยต่อ ก็เลยติดต่อกันไว้

วันนี้เลยเป็นวันที่ ‘ความบังเอิญ’ ทำให้เกิดการพบเจอต่างๆ เรื่องราวดีๆ ก็เลยเกิดขึ้นกับเรา ขอบคุณทุกคนที่บังเอิญเจอกันในวันนี้นะ


 
#6
// สองเงา แต่ไม่เหงา ในเวียดนาม //
•••



 
เรามาถึง Hochiminh City ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เวลาประมาณ 05.30 เห็นจะได้ เราเลยไปล้างหน้าล้างตากัน  ในห้องน้ำสาธารณะก่อน พอเริ่มสร่าง ก็ทักน้องคนไทยไปว่าถึงยัง เผื่อไปเที่ยวด้วยกัน   น้องเลยให้มาเจอที่บริษัททัวร์ ชื่อ The Sinh Tourist นะคะ ที่นี่สามารถฝากกระเป๋าได้ เราก็เลยเนียนๆไปฝากด้วยเลย  พอเก็บกระเป๋าเสร็จท้องฟ้าก็สว่างพอดี พร้อมออกเดินทาง

ก่อนอื่นก็เดินหาข้าวเช้ากินกันก่อน เดินไป เดินมา มาจบที่ร้านกาแฟในถนน Bui Vien ซะงั้น  เราเลยซื้อขนมปังเวียดนาม ที่มีไส้เยอะๆ เรียกว่า Banh Mi มากินคู่กับกาแฟ อร่อยดี

 



 
หลังจากกินกันเสร็จ เติมคาเฟอีนให้ตื่นตัว ก็มาคุยกันว่าจะไปเที่ยวไหน คือเราก็ไม่มีแพลนเลย  น้องๆ อยากไปถ่ายรูปที่โบสถ์  Notre Dame Cathedral ก็โอเคเลย ไปกันนน  ระหว่างทางก็เจอตลาด Ben Thanh ก็เลยแวะซื้อของฝากซะหน่อย
 



 
ซื้อไปซื้อมาเงินจะไม่พอจ้ะ เลยคิดว่าจะกดเพิ่ม หรือจะแลกดี พอดีตรงข้ามตลาดมีร้านทองที่เป็นที่แลกเงินไทยได้ ก็เลยไปแลก ได้เรทดีกว่าแรกที่ไทยอีก (ยืมเงินน้องอีกตะหาก อายจัง ><)

มาช้อปต่อ ที่นี่เวลาเราถามราคาแล้วไม่ซื้อ แม่ค้าก็เหวี่ยงใส่ จ้า เวลาซื้อก็ต้องต่อราคา ลองต่อแบบครึ่งต่อครึ่งไปเลย ไม่ให้ก็อย่าไปง้อ ยอมโดนบ่น โดนด่า คือเราเป็นลูกค้าป่าวว้า มีสิทธิเลือกว่าจะเอาไม่เอา บางร้านก็บ่นนะ พอจะเดินออก ก็ยอมขายตามราคาที่เราเสนอ นี่มันสงครามทางการค้าชัดๆ (ถึงกลัวแต่ก็สู้)  เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็เจอคุณลุง Hochiminh

 


ตรงนี้เหมือนเป็นเมืองใหม่ ดูสวยงามดี



เดิน เดิน เดิน  ถึงโบสถ์ซักที







ใกล้ๆกับ โบสถ์ จะมี Post Office อยู่



เราก็เข้าไปดูด้านใน จะมีร้านขายของที่ระลึก ก็เลือกซื้อโปสการ์ดกัน แล้วส่งกันที่นี่




 
ต่อไปเราว่าจะไปชมวิวแถวริมแม่น้ำ แต่เดินๆไปซักพัก ฝนก็ตกลงมา อีกแล้วหรอ  เลยแวะหาร้านกินข้าวซะเลย เจอร้าน ชื่อเฝอ 2000 น่าจะเป็นอารมณ์แฟรนชายส์ ก็เลยไปกินกัน

พอกินเสร็จก็ไปตรงแม่น้ำกันต่อ จะไปดูเรือสำราญริมแม่น้ำ เคยเห็นรูป ถ้าตอนกลางคืนจะเปิดไฟสวยดี  แต่พอไปถึงมันก็ค่อนข้างธรรมดา อาจเพราะ เป็นตอนกลางวัน



ก็เลยเดินชมเมืองกันต่อไปเรื่อยๆ เลย




 
เดินตากแดดกันจนดำ กับเพื่อนร่วมชะตากรรมกลุ่มใหม่  จริงๆวันนี้ คนเวียดนามที่เจอกันวันแรก ที่ร้าน BBQ นัดให้เราไปเจอ  เลยนัดที่ร้านกาแฟแถวตลาด (จริงๆ คือร้าน Coffe Bean) ก็นั่งคุยกันว่าไปเที่ยวมาเป็นไงบ้าง  และเค้าก็มีของฝากมาให้เราด้วย

 
เราถามเค้าถึงราคาต่างๆ ที่เราเสียไป เริ่มจาก Lobster ก่อนเลย  เค้าบอกว่าเราได้มาในราคาที่แพงมาก มีอีกหลายอย่างที่เราได้มาในราคานักท่องเที่ยว

เค้าเลยแนะนำว่า “ ถ้าจะมาเที่ยวเวียดนาม ต้องมีคนเวียดนามไปด้วย” ก็คงจริงอย่างเค้าว่า หรือจะโดนโก่งราคาก็ถือเป็นสีสันดีนะ ไม่โดนโกง นี่มาไม่ถึงเวียดนามนะ

พอแยกย้ายกันไป พร้อมคำว่า ยินดีที่ได้เจอ และ ขอบคุณ เป็นภาษาทั้งอังกฤษ เวียดนาม ไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เราก็ยังไปช้อปปิ้งของฝากกันต่อให้จุใจ จนเวลาประมาณ 5 โมงกว่าๆ ก็ต้องกลับไปเอากระเป๋า  เพราะ น้องอ่านข้อมูลมาว่า รถเมล์ 152 ที่ไป Airport จะหมดระยะตอน 6 โมง  ก็เดินไปรอรถเมล์ป้ายฝั่งตรงข้ามกับที่เราลงวันแรก รอซักพัก รถก็มา ก็จ่ายไปคนละ 2 ที่นั่ง

 


ถึงสนามบินแล้ววว  ลืมบอกว่า 'บังเอิญกลับไฟลท์เดียวกัน' ทั้ง 5 คนเล้ยย


 
ถึงสนามบินแล้ววว  ลืมบอกว่า 'บังเอิญกลับไฟลท์เดียวกัน' ทั้ง 5 คนเล้ยย 

All my bags are packed, I'm ready to go เพลงนี้ขึ้นมาเลย

ความพีคยังไม่ไม่หมด ไฟล์ทเราโดน Change Gate หลังจากนั้นก็มีประกาศว่าเครื่อง Delay  พอใกล้ถึงเวลา ก็ Change Gate อีก ไปคนละฝั่ง สนุกจังงง สุดท้ายก็ได้ขึ้นเครื่องซักที

 

 
ถึงการเดินทางครั้งนี้จะจบลง แต่เราคงไม่ลืมประสบการณ์และความทรงจำดีๆ รวมถึงทุกๆมิตรภาพดีๆที่ได้เจอในครั้งนี้  ดีใจที่ได้มานะ เวียดนาม
 
“ ด้วยคำที่บอกว่าเราจะมาพบกันใหม่ และมักจะได้พบกันอีก ” เราเชื่ออย่างนั้น

...เจอกันทริปหน้านะ...


 
สำหรับค่าใช้จ่ายในทริปนี้นะคะ
เราใช้วิธีแบบ American Shear ซะส่วนใหญ่ หรือแบบลงเงินกองกลาง แล้วหารกันอ่ะค่ะ
 
โดยจะแบ่งเงินเป็นส่วนๆ ได้แก่ ค่าอาหาร / ค่าเดินทาง / ค่ากิจกรรม / ค่าที่พัก / ค่าจิปาถะ  ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ใช้เงินอย่างมีสติ และจัดสรรปันส่วนได้ง่ายขึ้น

สามารถนำไปใช้ได้นะคะ จะแชร์เงินกันหรือไม่แชร์ก็แล้วแต่สะดวกเลย
ส่วนการเทียบราคา เงินดอง (VND) กับเงินบาทนะคะ
15.00  บาท = 10,000 VND
20.00     บาท = 12,400 VND
50.00     บาท = 30,800 VND
100.00 บาท = 61,600 VND
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://th.coinmill.com/THB_VND.html )













รวมทั้งหมด 6 วัน ใช้ไป


 
คร่าวๆ ก็ประมาณ 9,000 นะคะ อาจจะมีบางส่วนที่ตกหล่นไป ยิบๆย่อยๆ ที่เราไม่ได้จด  แต่จากราคานี้แล้ว  ทั้งหมดไม่เกิน 9,500 บาทแน่นอนค่ะ


ขอบคุณเรื่องเล่าสนุกๆ จากสมาชิกพันทิปหมายเลข 2531349
 
เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai