0
0
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

พิชิตภูเขาไฟ Rinjani อินโดนีเซีย ตอนที่ 4 : วันเหยียบยอดภูเขาไฟ

calendar_month 25 พ.ย. 2012 / stylus Admin Chillpainai / visibility 13,182 / เที่ยวต่างประเทศ

“การขึ้นไปถึงยอดเขาสูงสุด ใช่คือเป้าหมายของทริปนี้ไหม...?”

เคยทิ้งคำถามนี้เอาไว้เมื่อสกู๊ปที่แล้ว...



 

เผื่อใครนึกไม่ออก ย้อนดูสกู๊ปนี้จ้า

 

อ่านภาคแรก : พิชิตภูเขาไฟ Rinjaniอินโดนีเซีย ตอนที่ 1 : ลั้ลลารอบเกาะ Lombok
 

อ่านภาคสอง : พิชิตภูเขาไฟ Rinjaniอินโดนีเซีย ตอนที่ 2 : เดินป่าภูเขาไฟวันแรก
 

อ่านภาคสาม : พิชิตภูเขาไฟ Rinjaniอินโดนีเซีย ตอนที่ 3 : สวรรค์แห่งรินจานี

 

 

 

คุณเคยคิดบ้างไหมว่า การที่เราทำอะไรสักอย่าง เดินทางไปไหนสักที จุดหมายถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดไหม

หลายคนคงตอบว่าใช่ แต่ฉันว่า มันไม่เสมอไปหรอกค่ะ....

 

การเดินทางมาที่ภูเขาไฟรินจานีแห่งนี้ กำลังมาถึงจุดไคลแมกซ์เข้าเต็มที

เพราะถือเป็นวันสุดท้ายของการเดิน และเป็นวันที่เราจะต้องขึ้นไปพิชิตยอดสูงสุดของภูเขาไฟ

 

เราตื่นกันตี 1 เริ่มต้นเดินเท้าขึ้นยอดตั้งเเต่ ตี 1 ครึ่ง

เวลาที่ออกเดินนี้ เราออกช้ากว่ากลุ่มอื่นๆ ปกติตามอัตราฝรั่งเดิน เขาจะเริ่มกันตี 3

แต่เราคำนวณดูจากการเดินช้าๆ ของคนไทยแล้ว เราเลยรู้ตัวเอง

เริ่มต้นเเต่เนิ่นๆ เผื่อเวลาไว้เยอะๆหน่อยก็ดี เพราะอะไรนั้น.... อ่านไปเรื่อยๆ จะมีคำตอบค่ะ

 

 




 

จากพลพรรคทั้ง 12 คน เราส่งตัวแทนขึ้นยอดกันมา 8 คน

 

เราต้องมีอุปกรณ์สำคัญๆ ที่ติดตัวขึ้นไปด้วย คือไฟฉายคาดหัว, ไม้เท้า จะดีมากถ้ามี 2 อัน, และสิ่งหนึ่งที่ถูกแนะนำมาให้เตรียมเอามาด้วย คือ ไกเตอร์ (gaiter) มันจะมีลักษณะเป็นถุงผ้าที่หุ้มรอยต่อระหว่างช่องว่างของรองเท้าผ้าใบกับถุงเท้า เอาไว้ใช้เพื่อกันเศษหิน เศษกรวดเข้ารองเท้า จะได้ไม่เป็นอุปสรรคในการเดินของเรา เพราะทางเดินช่วงขึ้นยอดตรงนี้ จะมีกรวดหินเล็กๆ ร่วนๆ ที่จะเวลาเดินแล้วเท้าจะจมลงไป ทำให้เศษหินมันเข้ารองเท้าได้ ถ้าใส่ไกเตอร์เเล้ว เราจะได้ไม่ต้องถอดรองเท้าเทหินออกมาบ่อยๆ ให้ลำบาก

 

gaiter

 

อ้อ..เเล้วที่ขาดไม่ได้เลยคืออุปกรณ์กันหนาว เอาเสื้อกันหนาวแบบทนเลขตัวเดียว (เกือบศูนย์องศา) ไปด้วย ถ้ามีเสื้อกันลมอีกชั้นก็ควรใส่ เพราะข้างบนหนาวและลมแรงมากๆ เดี๋ยวจะต้านทานไม่อยู่นะ

 

ท่ามกลางความมืดมิด ช่วงแรกที่เราเดินจะเป็นทรายร่วนๆ และชันมากเดินยากมาก แค่เริ่มต้นเดินก็เริ่มท้อและรั้งท้ายกลุ่มแล้ว เพราะว่าเท้าจะจมลงไปครึ่งเท้า บางทีก็ทั้งจมทรายมิดทั้งเท้าเลย ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงและดันตัวเองขึ้นไป ช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเหล่านี้ ไม่ได้หยิบกล้องมาถ่ายเลย เอาตัวเองให้รอดก่อนเด้อ 555+

 

รอบๆตัวตอนนี้เหมือนเป็นป่านะ (มองไม่เห็นนี่นา) แต่พอพ้นช่วงนี้ไปแล้ว เราจะมายืนอยู่ที่ริมหน้าผาของปากปล่องภูเขาไฟ เขาเรียกว่า Crater และเส้นทางต่อจากนี้ ก็คือการเดินในเส้นทางแคบๆ ที่กว้างประมาณ 1-2 เมตร เราจะไต่ไปตามปากปล่อง Crater นี้ ...จนกว่าจะถึงยอดสูงสุดของภูเขาไฟ !!!

 

และจากจุดตรงนี้ มีรุ่นพี่คนนึง ขอไม่ไปต่อ ส่วนอีก 6 คนที่เหลือเค้าเดินนำหน้าฉันไปหมดแล้ว T^T” กลายเป็นว่าฉันเดินรั้งท้าย และถูกปล่อยให้เดินคนเดียวไปโดยปริยาย... (หนุ่มไกด์ชาวอินโด 2 คน ชื่อ Andy กับ Silak เดินมากับเรานะ คนนึงเดินนำทีม และอีกคนคอยปิดท้ายเก็บตกคนที่ไปต่อไม่ไหวและพากลับเต็นท์ นาย Silak บอกว่าจะตามฉันมานะ... แต่ สุดท้าย ก็ไม่ตามมา ปล่อยฉันเดินคนเดียว T__T)

 

ระหว่างทางเดินที่เปลี่ยว มืด ลมแรง (แต่ทางเดินดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้นิดนึง).. ฉันหันหลังกลับไปมองดูทางที่จากมา เห็นกองทัพแสงไฟฉายขึ้นตามมา มาอย่างไวมาก... ในเวลาราวๆ ตี 3 ฝรั่งเดินขึ้นมาทันฉันแล้ว แล้วก็เดินแซงฉันไป ทีละคน ทีละคน และฉันก็ยังไปไม่ถึงไหนเลย...

 

รู้สึกเหมือนจะเป็นหวัด น้ำมูกไหล และบวกกับการกินฝุ่นมาตลอดทาง และความเหนื่อยก็เลยหายใจทางปากเพิ่ม มันทำให้ฉันกระหายน้ำและเจ็บคอมาก เลยทำให้เหนื่อยมากขึ้นไปอีก สักพักก็เริ่มจะถอดใจ ไปแอบงีบหลับ ขดตัวนั่งหลบลมหนาวในซอกหินสูงใหญ่ข้างทาง พักกินขนมปังและช็อคโกแลตที่พกมา

 





 

กำลังคิดว่า... "ฉันจะนอนรอพระอาทิตย์ขึ้นตรงนี้แล้วค่อยเดินกลับดีกว่า ไม่อยากไปต่อแล้ว!!!”

 

เวลาผ่านไปเหมือนแสนนาน แต่จริงๆแล้วคงผ่านไปสัก 15 นาทีเองได้มั้ง แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา... ความฮึดสู้มันเป็นแรงผลักดันให้ฉันลุกขึ้นเดินไปต่อ... สักพักก็เห็นแสงไฟเหมือนพลุ สว่างขึ้นตรงจุดยอดสูงสุดที่เลือนลางในความมืดไกลๆนั่น.... มีคนขึ้นไปถึงกันแล้ว....

 

ราวๆ 6 โมงครึ่ง พระอาทิตย์ก็ขึ้นมาทักทาย และฉันก็กำลังเดินอยู่ในช่วงสุดท้ายก่อนที่ชันที่สุดก่อนที่จะถึงยอด ตรงนี้หินภูเขาไฟใต้เท้าเรามันก้อนใหญ่และร่วนมากมาย ยิ่งออกแรงเยอะเพื่อที่จะก้าวเท้ามากเท่าไหร่ ก็เหมือนยิ่งทำให้เท้าเรามันจมไปในพื้นและย่ำอยู่กับที่

ที่จริงแล้ว...ของสำคัญไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์ใดๆ อยู่ที่ "แรง" ล้วนๆเลย ทั้งแรงกายและแรงใจ
sad

 

รู้สึกว่าตัวเองกำลังร้องไห้ และถอดใจสุดๆ ความคิดในหัวเกิดขึ้นสาระพัด เมื่อมองเห็นฝรั่งตัวโตเริ่มทยอยเดินกลับมาจากยอดสูงสุดกันแล้ว มีฝรั่งคนนึงให้กำลังใจฉัน ประมาณว่า "ขึ้นไปให้ได้ เราเดินกันมาถึงจุดสูง 3,700 กว่าเมตรเเล้วนะ เราต้องขึ้นไปให้ได้สิ!!” ฉันก้าวเท้าเดินต่อนะ แต่เหมือนมันไม่ไปไหนเลย...

 

แหงนหน้ามองยอดเขาสูงข้างหน้า ยอดที่ดูเหมือนใกล้และง่ายแค่คว้ามือ ใกล้แค่เพียงซูมด้วยเลนส์ก็มองเห็นได้... แต่ฉันกลับคว้ามันไม่ได้!! มันเป็นความรู้สึกที่ยากลำบากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต อุปสรรคมันอยู่ที่การเดินและหินด้านใต้เท้าเรา ที่เราเอาชนะมันไม่ได้

 


 


 

นี่คือภาพจากกล้องคนที่ได้ขึ้นไปถึงยอดสูงสุด ผู้กล้าทีมของเรา ขึ้นไปถึงยอดได้ทั้งหมด 5 คน
สามารถเป็นตัวแทนกลุ่ม ขึ้นไปโบกสะบัดธงชาติไทยให้ฝรั่งร้องว้าวววว...

(ส่วนอีกคนที่เหลือ สู้ความหนาวไม่ไหว เดินกลับลงมาก่อน)

 


 

 

มุมจากยอดสูงสุด เมื่อเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น จะเห็นเงาของภูเขารินจานี ทอดยาวพาดผ่านไปบนก้อนเมฆเป็นรูปสามเหลี่ยม และมองเห็นทะเลสาบและภูเขาไฟลูกเล็กตรงกลางที่เบื้องล่างแบบเต็มๆ

 


 

 

การเห็นเงาของภูเขาไฟ ทาบลงบนเมฆ บนความสูง 3726 เมตรจากระดับน้ำทะเล... ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ …

 

เอาเป็นว่า ฉันก็ได้ทำตามที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ขึ้นได้สูงสุดแค่ไหนเอาแค่นั้น ฉันยังได้เห็นเงาของยอดเขาเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นมุมมองจากบนยอดสูงสุดก็ตาม

 


 


 

ฉันยังได้เห็นภูเขาไฟอากุง ที่ตั้งอยู่บนเกาะบาหลี จากที่นี่  noooo

 


 

ฉันยังได้ถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้เป็นวิวจากบนยอดสูงสุดก็ตาม

 


 

เวลา 5 ชั่วโมง แต่ฉันยังไปไม่ถึงยอดสูงสุด ฉันถือว่าฉันพอใจของฉันแล้ว แม้ว่าจะเสียใจนิดหน่อยก็ตาม แต่ฉันก็ทำได้ดีที่สุดแล้วล่ะ...
รินจานี ฉันมาไกลได้เท่านี้เเหละ
susu
 


 


 

8 โมงเช้า ขึ้นไม่ถึงก็ต้องเดินลงเสียแล้ว... ขาลงนี้ เดินก็คล้ายกับวิ่งไปบนลูกบอลกลมๆ จำนวนมาก ลงไปก้าวหนึ่งได้ระยะทางประมาณ 70 ซม. เรียกได้ว่า ไถลวิ่งลงไปเลยทีเดียว
 


 


 



 

ชดเชยกำลังใจด้วยการถ่ายภาพวิวบนสันเขานี้ให้ได้เยอะที่สุด yeah

 

ทางเดินที่เห็นชัดเจนเมื่อมีแสงแดดแบบนี้มันสุดยอดมาก วิวอลังการพาโนราม่ามาก ด้านซ้าย คือปล่องภูเขาไฟ มีกูนุงบารุลูกเล็กๆ นอนพักผ่อนอย่างสงบนิ่งท่ามกลางทะเลสาบสีน้ำเงิน

 


 


 

ส่วนทางด้านขวานั้นเป็นทิศตะวันออก มองเห็นภูเขายอดเล็กๆ ไกลๆ ด้านล่างเป็นป่าและทุ่งนา มีร่องรอยคล้ายร่องลาวา และเป็นโตรกร่องแม่น้ำหลายสาย... ตรงนี้แหละ คือทางเดินขากลับลงเขาของเรา
 


 

 

 

ส่วนที่ไกลๆ โพ้นนั้น คือเกาะกีรี เกาะเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะลอมบอคที่เราอยู่
มีชื่อเสียงเรื่องปะการังที่สวยงาม

 



 

และทางเดินที่เราเดินกันมา ทางเดินแคบๆบนสันเขา กว้าง 1-2 เมตรเท่านั้น ซ้ายหน้าผา ขวาก็หน้าผา... ต้องเดินอย่างระมัดระวังมากๆ
 

 

 


มีคนขึ้นมาสเก็ตภาพวาดรูปอยู่บนเขานี้ ชิลมากกกกplease

 

 

 

ดอกไม้ที่พบมากบนเขาลูกนี้ สงสัยจะเติบโตได้ดีกับสภาพพื้นที่เป็นหินภูเขาไฟ

 


 

หันกลับไปมองดูยอดเขาที่จากมา มองดูด้วยความรู้สึกกึ่งเสียใจนิดๆ

 


 

แค้มป์ของเราที่อยู่บนสันเขาลูกข้างหน้า พี่ๆที่ขึ้นไปถึงยอด ต่างก็เดินกลับลงมากันแล้ว เขายังมีแรงดีเลยไปถึงแค้มป์ได้ไวกว่าฉันหลายชั่วโมงนัก ..สังเกตดีๆ ว่าพอช่วงสายๆแล้ว ทะเลหมอกจะซัดเข้ามาจากฝั่งขวามือ เข้าไปสู่ทะเลสาบด้านซ้ายมือของเรา

 


 

ยอดเขาข้างหน้านั้น คือ Crater Rim1 ที่เรามากันเมื่อสองวันที่แล้ว

 

 

 

กว่าจะเดินถึงเเค้มป์ ก็ 10 โมงกว่าแล้ว เหนื่อยล้า เพลียแดด อยากพัก แต่ก็ต้องรีบเก็บสัมภาระให้ลูกหาบ และรีบทานข้าวเช้า เพราะเราต้องเดินลงกลับกันแล้ว ไม่งั้นจะสายไปกว่านี้ เพราะขณะนี้เวลาก็เลทมาพอสมควรแล้ว

 

ทางเดินขากลับ อำลารินจานี ไม่ได้เป็นทางเดียวกับที่เรามา เราเดินอีกทางนึง ซึ่งสภาพเป็นทุ่งหญ้า สลับกับหุบเขา ขึ้นๆลงๆ ผ่านโตรก ผ่านร่องแม่น้ำ บางทีก็ผ่านป่า โชคดีมากที่ฟ้าปิดและมีหมอก ช่วยให้คลายร้อนไปได้เยอะเลย

 


 


 



ขาลงใช้เวลาไป 4-5 ชั่วโมง ค่อนข้างทำเวลามากๆ ปวดขาที่สุดแต่ก็ต้องทน ระหว่างทางมีแวะทานข้าวเที่ยงด้วย แปลกใจที่พอลงมาถึงพื้นราบข้างล่างแล้วผ่านไร่สวนชาวบ้าน เขาปลูกผักจำพวกแครอท มะเขือเทศ กระเทียม ฉันเห็นสีเขียวสวยดี เลยถ่ายภาพมาเป็นที่ระลึก เป็นอันจบเส้นทางการเดินป่าพิชิตภูเขาไฟตลอด 3 วันเต็มๆ

 


 

 

และแล้ว การเดินทางก็มาถึงจุดสิ้นสุด...karok_dance

 

ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินขากลับบ้าน มองเห็นยอดเขาภูเขารินจานี โผล่ยอดสวยเด่นอยู่เหนือมวลเมฆ... เธอคือเจ้าหญิงแห่งเกาะลอมบ๊อค ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันและเพื่อนๆ ขึ้นไปถึงยอดสูงสุดนั่นได้อย่างไร

 


 

ทบทวนย้อนไป 3 วันที่ผ่านมา วิวทิวทัศน์สวยแปลกตา หลากหลายบรรยากาศ สวยงามอลังการมากมาย และน้อยคนนักที่จะได้มีโอกาสมาพิชิตแบบฉันนี้ มันมีความสุขระหว่างเส้นทางตลอดการเดินทางมากมาย ได้พบเห็นอะไรใหม่ๆ และยังได้พบการเดินทางภายในหัวใจของฉันเองด้วย

 

 

คิดได้เท่านี้ ก็ไม่เสียใจแล้ว ที่ขึ้นไม่ถึงยอดสูงสุด

เพราะความสำคัญไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเสมอไปหรอก

ใจความของมัน... อยู่ที่ระหว่างทางนี่แหละ



ถามอีกทีนะ.. คุณว่ามันจริงมั้ย?  what

 



เรื่องและภาพโดย This road is mine
ดูภาพและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/amthinkin

ขอบคุณภาพบางส่วนจากหัวหน้าทริป www.facebook.com/DukeThanakrit

 

 



เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai