calendar_month 21 ก.ย. 2017 / stylus Admin Chillpainai / visibility 77,304 / ทริปตัวอย่าง
ทริปกระทันหันแบบเครื่องลงจอดปุ๊บเราตีตั๋วไปปั๊ับ! เพราะได้ข่าวมาว่า Hong Kong Airlines เค้ามีเครื่องบินลำใหม่ กำลังทดลองบินจากไทยไป-กลับฮ่องกง ส่วนเรากำลังรู้สึกว่าทำงานมาทั้งปี อยากหนีเรื่องวุ่นๆ ไปเที่ยวต่างประเทศ ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง
ไฟลท์ที่เราเลือกเดินทางไปฮ่องกงไม่เช้ามาก เลยตื่นเหมือนวันทำงานธรรมดา แต่ที่ต่างออกไปคือเปลี่ยนจากนั่งบีทีเอส ไปนั่งแอร์พอร์ตลิ้งค์ รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว เช็คอิน โหลดกระเป๋าเรียบร้อย ช้อปปิ้งต่อที่ดิวตี้ฟรีซะหน่อย ก้มดูนาฬิกายังมีเวลาว่าง ไปนั่งเล่นรอในเลานจ์ก่อนแล้วกัน 'Miracle Lounge' ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ของ Concorde D ที่สำคัญคือเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง! เพราะฉะนั้นใครเดินทางเช้าแค่ไหน หรือจะดึกดื่นเพียงใดก็มาใช้บริการเลานจ์นี้ได้เลย ภายในมีอาหาร เครื่องดื่ม แถมมีโซน Outdoor เป็น ‘สวนไผ่’ สำหรับใช้เป็น Smoking Area หรือเปลี่ยนบรรยากาศจากแอร์เย็นๆ มานั่งรับแสงแดดบ้างก็ได้
*ค่าใช้จ่ายของ Miracle Lounge สำหรับผู้ที่ walk-in อย่างเราอยู่ที่ 1,000 บาท / คน (2 ชั่วโมง)*
ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เราก็เดินไปที่เกท เห็นเครื่องบินลำใหม่ ใหญ่โตมากๆ! และนี่คือแอร์บัส รุ่น A350 ลำแรกของฮ่องกงแอร์ไลน์ มีความพิเศษตรงที่มีที่นั่งชั้น Economy Comfort ที่ช่วงขากว้างเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับสาวขี้เมื่อยอย่างเรา แถมเบาก็นั่งสบาย ทีวีส่วนตัวก็มีความละเอียดสูง ดูหนังเพลินจนถึงฮ่องกงเลยค่ะ
เพียง 2 ชั่วโมง เราก็บินลัดฟ้ามาถึงเกาะฮ่องกงแล้ว แอบตื่นเต้นนิดๆ เพราะเครื่องบินได้มาเทียบจอดที่อาคารใหม่ เรียกว่า Midfield Concourse ดังนั้นเราจึงต้องนั่งรถไฟฟ้าไปยัง Main Terminal หรือ T1 จากนั้นจึงผ่านด่านตม. แล้วเราก็มาถึงฮ่องกงแบบเต็มตัว!
การเดินทางเข้าเมืองสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น Airport Express แท็กซี่ หรือรถโดยสารสาธาราณะ แต่ครั้งนี้เราใช้บริการรถบัสจาก United Holidays Co., Ltd ซึ่งให้บริการรถรับ-ส่งจากสนามบินไปถึงยังโรงแรมของเราเลยค่ะ
กว่าจะมาถึงก็บ่ายๆ เย็นๆ เรารีบเข้าเช็คอิน จะได้ไปหาของกินอร่อยๆ กัน คืนนี้เราพักที่โรงแรมดีไซน์เก๋ ไม่ไกลจากย่านช้อปปิ้งอย่างมงก๊ก (Mong Kok) และจิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) ‘Harbour Plaza 8 Degrees’ ตอนแรกได้ยินชื่อก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอเดินเข้าไปแล้วเห็นล็อบบี้เท่านั้นแหละ ทำไมรู้สึกว่าโลกมันเอียงๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นการออกแบบสุดพิเศษของโรงแรมที่ทำให้ดูเหมือนเอียง 8 องศา (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรงแรมนั่นเอง)
บริเวณล็อบบี้จะมีคาเฟ่ บริการเครื่องดื่ม เบเกอร์รี่ เค้ก และขนมขบเคี้ยวด้วยค่ะ น่ามานั่งชิลๆ ตอนเช้า หลังจากเช็คอินแล้ว เราก็ไม่รอช้า ขึ้นไปชมห้องพักของเรากันค่ะ โชคดีมากที่ได้พักบนชั้นสูงสุด เห็นวิวตึกเก่า เสน่ห์ของฮ่องกง รวมถึงมองเห็นวิวทะเลไกลสุดลูกหูลูกตาเลย และที่ Harbour Plaza 8 Degrees มีห้องพักหลายแบบ รวมถึงมีห้องใหญ่สำหรับ 4 คน (ซึ่งหายากมากในฮ่องกง) และห้องของเราคือห้องประเภท Deluxe ห้องกว้างขวาง นอนคนเดียวคงเหงาน่าดู
ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้พร้อม รวมถึงมียูนิเวอร์แซลปลั๊ก ถ้าหากใครลืมซื้อมาแบบเราก็ใช้ของโรงแรมได้ฟรีๆ เลยค่ะ และที่สำคัญคือมี Pocket WiFi ซึ่งหน้าตาดูดีมากและความสามารถของมันแทบจะเหมือนสมาร์ทโฟนเลยค่ะ โทรออกได้ทั้งภายในและต่างประเทศ ใช้อินเตอร์เน็ตได้ เสิร์ชหาข้อมูลท่องเที่ยวได้ด้วย พกเครื่องเดียว เที่ยวสบายเลย
เก็บของเสร็จแล้วเราออกไปเที่ยวกันดีกว่าค่ะ ถึงแม้ว่าโรงแรมนี้จะไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองแต่ก็สะดวกสุดๆ ด้วยบริการชัตเติ้ลบัสไปส่งถึงจิมซาจุ่ย และ MTR สถานี Hunghom ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้ที่สุด (ประมาณ 8 นาที) เย็นนี้เราขอไปเดินเล่นชิลๆ ที่จิมซาจุ่ยก่อนละกันเนอะ
ประมาณ 10 นาทีนิดๆ เราก็มาถึงใจกลางแหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตอย่าง จิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) หันซ้าย หันขวา ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี เพราะทางนี้ก็น่าไป ทางนู้นก็น่าเดิน
เราเริ่มจากหาร้านของกินที่เคยเซฟเก็บไว้ เป็นเสี่ยวหลงเปา ‘ทอด’ ฟังดูแล้วแปลกๆ ปกติเค้าจะเอาไปนึ่งถูกมะ แต่นี่เห็นรูปแล้วถูกใจ อยากไปกินสักครั้ง ที่สำคัญร้านนี้อยู่ใน Michelin Hong Kong Street Food 2016 ดีกรีขนาดนี้จะพลาดได้ไง กับร้าน ‘Cheung Hing Kee 祥興記’ หน้าร้านจะมีให้เลือกสั่งหลายแบบมีทั้งไส้หมู ไส้กุ้ง ไส้เห็ดทรัฟเฟิล เราลองสั่งไส้หมู 2 ลูก ไส้กุ้ง 2 ลูก ที่เค้าจัดเห็นเซ็ตไว้ให้ในราคา $33 (ประมาณ 140 บาท) พนักงานใส่กล่องมาให้ร้อนๆ พร้อมยื่นตะเกียบมาให้ ด้านหน้าร้านจะมีที่สำหรับยืนทานได้ กัดไปแล้วเจอแป้งกรอบนอกนุ่มใน ตามด้วยน้ำซุปร้อนๆ รสชาติละมุนลิ้นกับหมูสับเด้งเคี้ยวพอดีคำ อร่อยมากกกก! (แต่ร้อนพอสมควร ระมัดระวังก่อนทานนิดนึงจ้า) รู้สึกว่าอยากจะลองทุกไส้เลยจริงๆ ใครมาเที่ยวฮ่องกง แนะนำว่าให้ลองมาชิมกันดูค่ะ
ที่ตั้ง : 48 Lock Road, Tsim Sha Tsui (MTR Tsim Sha Tsui ทางออก A2 เลี้ยวซ้ายไปตาม Hai Phong Road จากนั้นเลี้ยวซ้ายอีกครั้งเข้า Lock Road)
เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10:00 - 22:00 น.
ฟินๆ กันไปกับร้านแรก เริ่มตกค่ำ คนก็ยังพลุกพล่านเหมือนเดิม หรืออาจจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เป็นย่านที่เที่ยวได้สนุกไม่มีหลงแน่นอน ในย่าน Tsim Sha Tsui จะมีถนนหลักๆ อยู่ 2 เส้น คือ Nathan Road ที่สองข้างทางเต็มไปด้วนร้านค้ามากมาย รวมถึงห้างเล็กๆ มากมายนับไม่ถ้วน และอีกถนนที่ขนานกันคือ Canton Road ถนนที่มีช้อปแบรนดเนมเต็มไปหมด ใครชอบ window shopping แบบเราคงเดินเพลินแน่ๆ
ระหว่างเดินเล่นไปเรื่อยๆ เราก็ชักอยากหาอะไรกินกรุบกริบ หันไปเจอร้านขนมหวานในตำนาน ที่มาฮ่องกงกี่ครั้ง ก็ตงมากินร้านนี้ทุกครั้ง! ‘Hui Lau Shan (許留山)’ คาเฟ่มะม่วงเด็ดดวงที่สุดที่เคยกินมา หาง่ายมากเพราะมีร้านทั่วเกาะฮ่องกง มีทั้งเมนูเครื่องดื่ม ขนมหวาน และของฝากกลับบ้าน เรารีบตรงดิ่งเข้าไปสั่งของโปรด ‘Mango & Coconut Juice with Red Bean’ แต่เอาจริงร้านนีมีเมนูเยอะมาก ถ้ามากันหลายคนให้ลองสั่งคนละแบบ แล้วแบ่งกันชิมดูนะคะ หลักๆ เลยก็จะเป็นมะม่วง น้ำกะทิ ถั่วแดง สาคู รังนก เฉาก๊วย เจลลี่ว่านหางจระเข้ และเจลลี่อื่นๆ กับสารพัดสิ่งเคี้ยวหนึบ รับรองว่าต้องถูกใจ Dessert Lover แน่นอน
โอ้ย อิ่มตัวจะแตก! ดูเวลาอีกทีใกล้จะ 2 ทุ่มแล้วนี่นา ไหนๆ เราก็เดินมาจะถึงริมอ่าวแล้ว ไปชมโชว์สุดอลังกาลของเกาะฮ่องกงกัน การแสดง ‘A Symphony of Light’ เป็นโชว์แสง สี เสียง แบบกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งจะมีการแสดงทุกคืน เวลา 2 ทุ่มเป็นต้นไป ริมอ่าววิคตอเรีย โดยใช้ตึกสูงของทั้งสองฝั่งเป็นเวที นักท่องเที่ยวสามารถมานั่งชมได้ที่ริมน้ำแถว Avenue of Star หรืออีกฝั่งที่นิยมไม่แพ้กันคือบริเวณด้านนอก Golden Bauhinia Square ในย่าน Wan Chai สำหรับคนไทยอย่างเรา สามารถฟังเสียงบรรยายภาษาอังกฤษได้ทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ (ส่วนวันอื่นจะเป็นภาษาจีนกลางและภาษาจีนกวางตุ้ง)
หลังจากจบโชว์แล้ว เราไปเดินเล่นแถวท่าน้ำต่ออีกหน่อย ก่อนจะแวะไปซื้อทาร์ตไข่เจ้าดัง ‘Tai Cheong Bakery’ ที่แอบมาเปิดร้านเล็กๆ อยู่ในบริเวณท่าเรือพอดี เจ้านี้เปิดมานานกว่า 60 ปี โดยเป็นทาร์ตไข่สไตล์ฮ่องกง ที่มีความแอบคล้ายทาร์ตของฝรั่ง แตกต่างจากทาร์ตไข่บ้านเราที่จะเป็นแบบกรอบๆ สไตล์มาเก๊ามากกว่า จัดมาเลยค่ะ 3 กล่อง!
ที่ตั้ง : Star Ferry Pier, Kowloon Point, Tsim Sha Tsui (สาขาหลักอยู่ที่ Lyndhurst Terrace ย่าน Central)
เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 7:00 - 21.00 น.
เราเดินเล่นกันต่อแถวริมน้ำอีกไม่นานก็กลับ เป็นวันแรกในฮ่องกงที่สนุกครบรส แถมได้กินของที่ชอบอีกต่างหาก รีบกลับไปวางแผนเที่ยวพรุ่งนี้กันดีกว่า..
รู้แล้ว วันนี้ไปไหนดี.. ขอเริ่มต้นวันดีๆ ด้วยการขึ้นกระเช้าไปสักการะพระใหญ่บนเกาะลันเตา เราเดินทางโดยรถไฟฟ้า MTR ไปลงสถานี Tung Chung จากนั้นออก Exit B แล้วเลี้ยวซ้าย เพื่อจะไปขึ้น ‘Nong Ping 360’ กระเช้าลอยฟ้าที่จะพาเราข้ามน้ำ ข้ามเขา ไปยังหมู่บ้านวัฒนธรรมนองปิงและวัดโปลิน สถานที่ประดิษฐานพระใหญ่นั่นเอง (แนะนำให้ซื้อตั๋วออนไลน์ไปก่อน) โดยกระเช้าจะมี 2 แบบ คือ แบบธรรมดา มีกระจกมองรอบด้าน กับแบบคริสตัล ที่พิเศษตรงพื้นกระเช้าจะเป็นกระจกใส ได้ชมความงามอย่างใกล้ชิด แต่ก็แอบหวาดเสียวไม่แพ้กัน ใช้เวลาประมาณ 25 นาทีก็ถึง จากนั้นเราต้องเดินต่ออีก 268 ขั้น เพื่อไปชมความอลังกาลของพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่แบบใกล้ชิด
ช่วงบ่ายเราเปลี่ยนบรรยากาศไปช้อปปิ้งกระจาย บอกเลยว่ามาถึงฮ่องกงทั้งที ต้องมีของติดไม้ติดมือไปบ้างสิน่า.. ว่าแล้วก็นั่งรถไปลงสถานีมงก๊ก (Mong Kok) หนึ่งในย่านช้อปปิ้งที่ควรค่าแก่การไปเยือน เพราะย่านเดียวมีหลายตลาดมาก ทั้ง ‘Ladies’ Market’ ‘Sneaker Street’ ‘Fa Yuen Street Market’ และนอกจากนี้ยังมีตลาดปลาทอง ตลาดดอกไม้ ตลาดขายสัตว์เลี้ยง และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ก่อนอื่นเลย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรารีบมองหาร้านถูกใจ แล้วจับจ้องที่นั่งสั่งอาหารมาทานกันก่อนเลย
โอยย.. เดินจนขาลากก็ยังเดินไม่ทั่วจริงๆ แอบแวะร้านนู้น ร้านนี้ตลอดทาง สายช้อปปิ้งห้ามพลาด หรือใครอยากมาเดินเล่นสนุกๆ มองดูวิถีชีวิตผู้คนของชาวฮ่องกง เราขอแนะนำย่านนี้เลย แต่ขอบอกก่อนว่าคืนนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะตอนเย็นเราจะข้ามฝั่งไปซ่ากันที่ Times Square แหล่งช้อปปิ้งใหญ่ประจำย่าน Causeway Bay มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ห้างไทม์สแควร์นั่นเอง ระแวกนี้ก็จะเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ไปจนถึงร้านเล็กจิ๋วที่ขายของกระจุ๊กกระจิ๊ก
เรียกได้ว่าได้เที่ยวและช้อปปิ้งจนหนำใจ กลับไปพักผ่อน บอก Goodnight Hong Kong .. เพราะพรุ่งนี้เราก็ต้องบินกลับไทยกันแล้ว
เช้าวันสุดท้าย เตรียมตัวบินกลับไทย แต่เรากลับไฟลท์เย็น เลยมีเวลาชิลต่ออีกครึ่งวัน ว่าจะลงไปทานมื้อเช้า แล้วไปชมสระว่ายน้ำของโรงแรมซะหน่อย
‘Cafe 8 Degrees’ ห้องอาหารของโรงแรมอยู่ชั้นล่างสุด ใกล้กับลิฟท์ที่เราใช้ขึ้นไปยังห้องพัก มีที่นั่งให้เลือกหลายมุม และอาหารเช้ายังเป็นแบบบุฟเฟต์ที่รวบรวมอาหารไว้นานาชนิด ทั้งเอเชีย ยุโรป อินเดีย รวมถึงอาหารฮาลาลด้วยค่ะ เราสามารถลุกไปตักอาหาร และสั่งอาหารที่เคาเตอร์ได้เลย เปิดบริการตั้งแต่เช้า 6.30 เป็นต้นไป
พอทานกันอิ่มแล้ว เราไปสำรวจสระว่ายน้ำกัน พอเรารู้ว่า Harbour Plaza 8 Degrees มีสระว่ายน้ำ บอกได้คำเดียวว่า อึ้งมาก! น้อยมากจริงๆ ที่โรงแรมในฮ่องกงจะมีสระว่ายน้ำ เรากดลิฟท์ไปที่ชั้น 2 ตามป้ายบอกทางไปเจอกับสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ แถมยังมี Pool Bar ที่ให้มานั่งรับแดด จิบค็อกเทลเบาๆ ใกล้กับสระว่ายน้ำด้วย
มีเวลาว่างอีกเหลือเฟือ เลยขอออกไปเดินเล่น สำรวจรอบๆ ที่พักดูบ้าง Harbour Plaza 8 Drgrees เป็นที่พักที่อยู่ในย่านที่เราบอกเลยว่าไม่รู้จักและไม่รู้ว่าจะเรียกย่านนี้ว่ายังไง แต่ดูแผนที่แล้วไม่ไกลจากมงก๊กและจิมซาจุ่ย นั่งรถไปเพียง 10 นาทีก็ถึง แถมรู้สึกว่าถ้าใครอยากมาสัมผัสวิถีชีวิตชาวฮ่องกงจริงๆ แถบนี้ก็น่สนใจ เราแอบเห็นตั้งแต่วันแรกว่าด้านหน้าโรงแรมมีตลาดสดเล็กๆ ขายผัก-ผลไม้ด้วย แต่ตอนนี้ตลาดวายไปแล้ว เลยเดินเลี้ยวไปตามซอกซอย มีร้านค้า ร้านอาหารและร้านขนมเยอะเลยค่ะ
เราได้ลองขนมปังที่หน้าตาอาจดูธรรมดา แต่กัดไปคำเดียวฟินสุด ด้านนอกจะกรอบๆ หวานนิดหน่อย แต่ด้านในนุ่มมากกก เคี้ยวเพลินเลยล่ะ
ร้าน Tsui Wah (สาขา To Kwa Wan)
ที่ตั้ง : No. 8-10, G/F, Jubilant Place, To Kwa Wan
เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 06:00 - 00:00 น.
กินไป เดินไป อุ้ย! เจอร้านขนมทาร์ตไข่อีกร้าน แต่ร้านนี้มีชีสทาร์ตด้วย เลยซื้อมาลองหนึ่งกล่อง เพราะแต่ละเจ้าก็รสชาติไม่เหมือนกัน
เผลอแป๊บเดียวก็ต้องรีบไปเก็บกระเป๋า เดินทางไปสนามบินซะแล้ว ขากลับไปสนามบินเราก็ใช้บริการ United Holidays Co., Ltd ลุงคนขับและคนดูแลน่ารักมาก ก่อนจากกันมีหันมายิ้มให้ทุกคนและโบกมือลา
รีบไปเช็คอินกันดีกว่า จะได้มีเวลาไปนั่งชิลที่เลานจ์ใหม่ของฮ่องกงแอร์ไลน์ เพราะขากลับเราขออัพเกรดไปนั่งชั้นธุรกิจ แบบกินหรู นอนสบาย กลับมาถึงกรุงเทพแบบสบายใจ แต่ก่อนอื่นเราสามารถเช็คอินเองง่ายๆ ที่เครื่อง Self Check-in หรือจะไปที่เคาเตอร์ ที่มีเยอะมาก ไม่ต้องต่อคิวยาวเลย ส่วน Business Class มีเคาเตอร์แยก แถมได้บัตร Premium Lane ให้เราได้ผ่านตม.แบบไม่ต้องรอนานๆ พอผ่านด่านต่างๆ นานามาได้
เราก็มุ่งหน้าสู่ ‘Club Autus’ เลานจ์ใหม่ล่าสุด ตั้งอยู่ที่ชั้น 7 ของอาคารเทียบเครื่องบิน Midfield Concourse หรืออาคารใหม่ที่เรานั่งเครื่องบินมาลงนั่นเอง โดยที่ Club Autus จะมีโซนพิเศษสำหรับผู้โดยสารชั้น Fisrt Class ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในอนาคตด้วย นอกจากนี้ความพิเศษของเลานจ์ใหม่นั้นอยู่ที่ดีไซน์ที่สวยงาม ทันสมัย ดูใกล้ชิดธรรมชาติ และใส่เอกลักษณ์ความเป็นฮ่องกงเข้าไป แถมยังมีโซนที่นั่งพักผ่อนหลากหลายมุม รวมถึงใส่ใจรายละเอียด มีลูกเล่นน่ารักสำหรับเด็ก และพื้นที่ที่อำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการด้วยค่ะ
และที่เราถูกใจสุดๆ คือไลน์อาหารยาวเหยียดจนเริ่มไม่ถูก เริ่มตั้งแต่บาร์ที่ตกแต่งเหมือนรังผึ้ง เสิร์ฟค็อกเทลซิกเนเจอร์อย่าง Autus Delight (มีเวอร์ชั่นที่ไม่ใส่แอลกอฮอล์ด้วยนะ) ต่อด้วยชา กาแฟ สลัด และอาหารนานาชาติ แต่ที่เราชอบมากคืออาหารฮ่องกงอย่างบะหมี เขาก็มีบะหมี่เจ(บะหมี่ผักใส่เห็ด) และที่ปลื้มสุดๆ คือ วาฟเฟิลฮ่องกง หรือที่เลานจ์จะเรียกว่า Egg Puffs รอนานไปนิด แต่รับประกันความดีงาม เราสั่งอาหารแล้วไปเลือกที่นั่ง Scenery Zone ที่สามารถชมวิวได้แบบเต็มอิ่มจุใจกับกระจกใสตั้งแต่เพดานจรดพื้น ส่วนใครที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน ที่นี่ก้มีห้องอาบน้ำให้กลับมารู้สึกเฟรชอีกครั้ง และถ้ารอขึ้นเครื่องนานๆ ที่นี่มีโรงภาพยนตร์แบบ 3 มิติด้วยค่ะ!
ไม่ทันไรก็ต้องไปขึ้นเครื่องแล้วอ่ะ แงงงง.. อยากอยู่ที่เลานจ์ต่ออีกนานๆ ไว้คราวหน้าจะกลับมาใช้บริการอีกครั้งแน่นอนเลย เจ้า ‘Club Autus’
แน่นอนว่าขากลับ เราก็กลับแอร์บัส A350 ลำใหม่ลำเดิมที่เรานั่งมา แต่ขากลับพรีเมี่ยมกว่าตรงที่นั่ง Business Class ที่ได้ข่าวมาว่าช่วงขาจะกว้างเป็นพิเศษ แถมเบาก็นู่มมมนุ่ม ปรับนอนสบายแน่ๆ เรานั่งได้ไม่นานก็มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องเอาเมนูอาหารมาให้พร้อมถามว่าจะรับเครื่องดื่มอะไรก่อนดี เราดูเมนูแล้วอยากลอง ‘Yuenyeung’ เป็นชานมผสมกาแฟสไตล์ฮ่องกง เสิร์ฟพร้อมกับถั่วทานเล่นเพลินๆ ก่อนเครื่องขึ้น
ที่นั่งของชั้นธุรกิจจะเป็นแบ่งที่นั่งออกเป็น 1 / 2 / 1 ซึ่งที่นั่งริมหน้าต่างทั้งสองฝั่งจะหันสลับด้านกัน เช่นแถวหน้าเราที่นั่งจะติดหน้าต่าง แล้วที่นั่งเราซึ่งอยู่ในแถวถัดมาจะติดทางเดิน เพื่อให้มีพื้นที่ส่วนตัวกว้างเป็นพิเศษ และที่นั่งของแต่ละคนจะมีหมอนและผ้าห่มนุ่มๆ เผื่อหนาวระหว่างเดินทาง มีที่ใส่รองเท้าและเบาวางขาให้เราได้เหยียดตัว เปลี่ยนอิริยาบถ เหมาะสำหรับการเดินทางนานๆ
พอเครื่องขึ้น กลับเข้าสู่สภาพปกติแล้ว พนักงานก็เริ่มเสิร์ฟ Starter เป็นขนมปังหลากหลายชนิด พร้อมเนย มีถ้วยผลไม้และขนมหวานไว้ทานหลังมื้ออาหาร มื้อนี้มีให้เลือกสองเมนูคือไก่อะไรสักอย่าง และเมนูเนื้อสุดพิเศษจากเชฟดังของโรงแรม InterContinental Hong Kong
บอกแล้วว่าบินหรู อยู่สบายจริงๆ กับเครื่องบินลำใหม่แอร์บัส A350 ของ Hong Kong Airlines ถ้าใครอยากลองนั่งเครื่องบินลำใหญ่ใหม่เอี่ยมแบบนี้ ช่วงปลายปีเขาจะเปิดบินอย่างเป็นทางการกับไฟลท์ Long Haul นั่งยาวๆ ฮ่องกง-ลอสแองเจลิส และตามมาด้วยเส้นทางบินยอดฮิตอื่นๆ อย่างเช่น ซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก ลอนดอน และยุโรป ติดตามรอข่าวดีและโปรเด็ดกันได้เลย
ขอขอบคุณ Hong Kong Airlines สำหรับการเดินทางสุดพิเศษไปกับเครื่องบินลำใหม่
ขอบคุณที่พักดีๆ นอนหลับสบายที่ Harbour Plaza 8 Degrees
และการเดินทางแสนสะดวกสบายไป-กลับสนามบินโดยรถบัสของ United Holidays Co., Ltd
ชิลไปไหน
Tags: เที่ยวฮ่องกง ฮ่องกง Hong Kong ฮ่องกงแอร์ไลน์ Hong Kong Airlines HKAirlines Airbus A350 A350 แอร์บัส A 350 Miracle Lounge มิราเคิลเลานจ์ Club Autus ที่เที่ยวฮ่องกง จิมซาจุ่ย Tsim Sha Tsui TST มงก๊ก Mong Kok Harbour Plaza 8 Degrees นองปิง Nong Ping 360 Nong Ping Times Square ไทม์สแควร์ Causeway Bay United Holidays ทาร์ตไข่ Tai Cheong Bakery Cheung Hing Kee เสี่ยวหลงเปา พระใหญ่วัดโปลิน
ทริปตัวอย่าง | 25 ธ.ค. 2024 | 111 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 18 ธ.ค. 2024 | 208 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 12 ธ.ค. 2024 | 383 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 07 ธ.ค. 2024 | 488 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 27 พ.ย. 2024 | 601 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 26 พ.ย. 2024 | 810 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 11 พ.ย. 2024 | 1,168 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 01 ธ.ค. 2024 | 542 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 08 พ.ย. 2024 | 958 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 28 ต.ค. 2024 | 1,290 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 1,478 อ่าน