calendar_month 05 มี.ค. 2022 / stylus Admin Chillpainai / visibility 308,640 / รีวิวที่เที่ยว
ทริปนี้ได้รับคำชวนจาก ททท.จังหวัดพิษณุโลก
ให้มาเยี่ยมเยือนแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่เคยเงียบเหงาในช่วงกรีนซีซั่นแบบนี้
ก็คือสองจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง พิษณุโลก-เพชรบูรณ์
ย้อนความเดิมในสกู๊ปก่อนหน้านี้ ที่พาคุณเดินเล่นเที่ยวเมืองพิจิตร
ก่อนจะจับรถไฟมุ่งตรงมายังตัวเมืองพิษณุโลก และเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง
เรามีรถตู้ตามหลังมารอรับเราที่ตัวเมืองพิษณุโลกแล้ว
(อ่านสกู๊ปย้อนหลัง "เที่ยวเมืองพิจิตร เยี่ยมชมตลาดเก่าวังกรด แล้วจับรถไฟไปพิษณุโลก" ได้ที่นี่)
นอนพักที่ตัวเมืองพิษณุโลกหนึ่งคืน พักร่างกายให้พร้อม
วันนี้เราจะมาในชุดลุยๆ สบายๆ ใส่เสื้อแขนยาวกันอากาศเย็นสักหน่อย
เพราะวันนี้จะพาทุกท่านออกจากคำว่าเมือง สู่อ้อมกอดของธรรมชาติ
เที่ยวอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และภูทับเบิก!!!
ออกเดินทางกันดีกว่าตามมาเลย....
ใช้เวลาราวๆ2-3 ชั่วโมงจากตัวเมืองพิษณุโลก เราก็มาถึงตัวที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
"อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า"
ครอบคลุมพื้นที่สองจังหวัด คือ จ.พิษณุโลก และ จ.เลย
ทางเข้าอุทยานสามารถเข้าได้สองทางคือ มาจากฝั่งภูทับเบิก อ.หล่มเก่า
และอีกฝั่งหนึ่งคือ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก
โดยมีถนนทางหลวงหมายเลข 2331 (หล่มเก่า-นครไทย) ตัดผ่านกลางอุทยานฯ
จึงเป็นอุทยานที่สามารถขับรถขึ้นไปเที่ยวได้ง่าย
และที่ท่องเที่ยวจะกระจายตามสองฝั่งของถนนใหญ่นี้
(ดูภาพขยายแผนที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า คลิ๊กที่นี่ เลยจ้าาาา)
มีอุทยานแห่งชาติอยู่ไม่กี่แห่งในประเทศไทย
ที่มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม สมบูรณ์ทั้งป่าไม้ น้ำตก
ความสวยงามทางธรณีวิทยาจนเกิดปฏิมากรรมจากธรรมชาติที่แปลกตา
และประวัติศาสตร์การสู้รบที่เคยสูญเสียเลือดเนื้อของคนไทยกันเอง
เมื่อครั้งที่มีความคิดทางการปกครองขัดแย้งกัน ราว ปี พ.ศ. 2511-2525
ที่แห่งนี้เคยเป็นฐานที่มั่นในการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
จนเกิดการสู้รบกับทหารไทยจน ผกค. ถอนตัวและมีอันต้องแพ้พ่ายไป
ก่อนที่จะจัดตั้งพื้นที่แถบนี้ขึ้นเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 48 ของประเทศไทย
ดังนั้นการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติจึงมีแหล่งท่องเที่ยว
ที่ผสมผสานกันทั้งทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์
น้ำตกที่น่าสนใจภายในอุทยานฯ มีหลายที่ เช่น
น้ำตกร่มเกล้า-ภราดร น้ำตกหมันแดง ซึ่งมีความงดงามมาก
แต่ว่าจะต้องใช้เวลาและติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่อนำทางเข้าไป
แต่หากใครไม่ค่อยจะมีเวลามากนัก ก็มีน้ำตกอื่นอีกที่จะอยู่ติดริมถนน
ไม่ต้องใช้เวลาเดินเข้าไปมากนัก อย่างเช่น "น้ำตกห้วยขมึนน้อย"
ที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน แถมบริเวณน้ำตกก็มีความร่มรื่น
หากใครอยากจะมานั่งพักผ่อน นั่งเล่น ทานอาหารแถวนี้ก็ได้เลย
"กังหันน้ำ" ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนการเมืองการทหาร
อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 6 กิโลเมตร ใช้หล่อเลี้ยงคนหลายพันคนบนภูหินร่องกล้า
ออกแบบและสร้างขึ้นโดยนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่หนีเข้าป่าภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
กังหันน้ำนี้ใช้พลังน้ำจากน้ำตกด้านหลังขับเคลื่อนกังหัน เพื่อหมุนแกนครกกระเดื่องตำข้าว
ที่นี่จึงเปรียบเสมือนโรงสีข้าวของ ผกค. ในสมัยนั้น
"โรงเรียนการเมืองการทหาร" แต่ก่อนเคยเป็นที่ตั้งของโรงเรียน
ที่ใช้ฝึกอบรมศึกษาตามแนวทางลัทธิคอมมิวนิสต์
ในบริเวณนี้ประกอบไปด้วยฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ ฝ่ายทหาร เป็นต้น
รวมทั้งหมดประมาณ 30 หลัง เป็นหมู่อาคารไม้ภายใต้ร่มเงาของป่ารกครึ้ม
"ลานหินแตก" ลักษณะเป็นลานหินที่มีอาณาบริเวณประมาณ 40 ไร่
ลานหินมีรอยแตกเป็นแนวเป็นร่องเหมือนแผ่นดินแยก แคบบ้าง กว้างบ้าง
สำหรับความลึกของร่องหินแตกนั้นไม่สามารถจะคะเนได้ สันนิษฐานกันว่า
อาจจะเกิดจากการโก่งตัว หรือเคลื่อนตัวของผิวโลก จึงทำให้พื้นหินนั้นแตกออกเป็นแนว
"เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ลานหินปุ่ม-ผาชูธง"
เส้นทางนี้ใช้เวลามากหน่อยสักราวๆ 2 ชั่วโมง และจะต้องเดินเท้าเข้าไป
แต่แนะนำให้ไปเที่ยวกัน เพราะตลาดเส้นทางจะมีความหลากหลายของ
พันธุ์ไม้ ดอกไม้ และลักษณะทางธรณีวิทยาที่สวยแปลกตา
อีกทั้งยังมีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์อีกด้วย
เส้นทางนี้ถ้าเดินครบรอบใหญ่จะผ่านแหล่งท่องเที่ยวมากมาย
ได้แก่ สุสานนักรบ ลานหินปุ่ม ผาชูธง ลานอเนกประสงค์
สำนักอำนาจรัฐ และที่หลบภัยทางอากาศ
เส้นทางเดินไม่ลำบาก มีเส้นทางเดินที่ชัดเจน แต่ละจุดที่เที่ยวก็จะมีป้ายบอกชัดเจน
ทางเดินช่วงแรกจะเป็นลานหินกว้าง และมีก้อนหินก้อนใหญ่สวยงามน่าอัศจรรย์
มองไปไกลๆ อีกฝั่งนึง สามารถมองเห็นผาชูธงได้ด้วย
ระหว่างทางเดินในป่าจะพบดอกไม้ออกดอกมากมาย
บางจุดก็จะพบเห็ด มอส สีเขียวสดชื่น เกาะอยู่ตามต้นไม้
หากใครมาช่วงต้นเมษายนก็จะพบดอกกุหลาบขาวบานอยู่ทั่วไปตามลานหินปุ่ม หินแตก
ดอกเปราะภูสีขาว ออกดอกมากในช่วงฤดูฝนแบบนี้ พบเห็นได้ทั่วไปตามทางเดินเลย
เดินประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึง "ลานหินปุ่ม" ตั้งอยู่ริมหน้าผา
ลักษณะเป็นลานหินขึ้นเป็นปุ่มขนาดไล่เลี่ยกันจำนวนมาก
คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน และเป็นสิ่งที่บอกว่า
ในหลายล้านปีก่อน ดินแดนแถบนี้เคยอยู่ในทะเลลึกมาก่อน
ที่จะยกตัวสูงขึ้นเป็นแผ่นดินที่ราบสูงอย่างปัจจุบันนี้
ในอดีต ผกค. ใช้บริเวณนี้เป็นที่พักฟื้นคนไข้ของโรงพยาบาล
เนื่องจากอยู่บนหน้าผา มีลมพัดเย็นสบาย
วิวเบื้องหน้าสวยงามมากๆ เลย
เดินถัดมาอีกประมาณ 500 เมตรก็จะเจอกับ "ผาชูธง"
สภาพเป็นหน้าผาสูงชัน ที่สามารถมองเห็นวิวทัศนียภาพได้อย่างสวยงาม
และยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามแห่งหนึ่งในอุทยาน
ในอดีต ผกค. เคยใช้เป็นที่ชูธงแดงรูปฆ้อนเคียวทุกครั้งที่รบชนะฝ่ายรัฐบาล
ปัจจุบันเลยใช้เป็นธงชาติไทยเอาไว้เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น
จากจุดนี้ก็จะเป็นทางเดินแยกกลับไปที่จอดรถตามเดิม
หรือใครอยากเดินต่อเพิ่มเติมก็จะมีทางไปยัง ลานอเนกประสงค์ ทางด้านขวา
แต่ดูจากเวลา (และวัยวุฒิ) แล้วก็เลยเดินกลับกันดีกว่า 555
ระหว่างทางบนลานหินมีหินรูปร่างแปลกตา มองไปคล้ายๆบังเกอร์
เขาเรียกกันว่า "ซันแครก" (Sun Crack) คิดว่าที่หน้าตามันเป็นแบบนี้
ก็น่าจะคล้ายๆกับการเกิดลานหินปุ่มที่เราไปมานี่เอง
หลังจากที่เดินเท้ากันมาเหนื่อยๆ บ่ายคล้อยก็แวะพักรับประทานอาหารกัน
ในอุทยานมีร้านอาหารมากมายอยู่ใกล้กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
แนะนำก็คือ "ร้านรังทอง" อาหารอร่อยมากๆ
เติมพลังแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ
ก่อนออกจากตัวอุทยานฯฝั่งทับเบิกประมาณ 400 เมตรฝั่งขวามือ
จะมีทางขึ้นไปจุดชมวิว เรียกว่า "ภูแผงม้า" ทางเข้าต้องสังเกตดีๆ
ที่นี่เป็นจุดเที่ยวเปิดใหม่ของภูหินร่องกล้า
ถนนทางขึ้นค่อนข้างทุลักทุเลเพราะเป็นทางชันดินแดง
ต้องอาศัยรถขับเคลื่อนสี่ล้อถึงจะขึ้นไปได้
ระหว่างที่ตื่นเต้นกับการขโยกตัวนั่งอยู่ท้ายรถขับขึ้นไปนั้น
ก็ไม่คาดคิดเลยว่า จะได้ขึ้นมาชมวิวที่สวยงามที่สุดของภูหินร่องกล้า
ได้เห็นวิวพาโนราม่าด้านหน้า สายหมอกกับฟุ้งต่อสู้กับแสงแดด
วิวที่เห็นต้องหน้า ทุกคนต้องร้องว๊าว!! ว่าทำไมมันงดงามได้ถึงเพียงนี้
ภูแผงม้า ตรงนี้เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของภูหินร่องกล้า
สูงจากระดับน้ำทะเล 1,775 เมตร วิวเบื้องหน้าคือเส้นทางถนนคดเคี้ยว
และหมู่บ้านน้ำเพียงดิน เส้นทางที่ทุกคนจะต้องผ่าน
ก่อนจะขึ้นมายังภูทับเบิกและภูหินร่องกล้า
ด้านล่างก็จะเป็นไร่นาของชาวบ้าน ซึ่งส่วนมากก็จะปลูกกะหล่ำปลี (เขียวจัง อยากเก็บ~~)
ส่วนภูเขาที่เห็นสูงเด่นไกลๆเป็นแบคกราวด้านหลังก็คือ "เขาน้ำก้อ"
ด้านหลังไกลออกไปเป็นอำเภอหล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ค่ะ
ทางด้านซ้ายมือสุดของวิวนี้ คือ"ภูทับเบิก" ยอดสูงสุดของจังหวัดเพชรบูรณ์
ถัดลงมาอีกหน่อยคือบริเวณทางเข้าอุทยานภูหินร่องกล้า
หรือตรงจุดชมวิวร้านกาแฟที่ใครหลายคนชอบแวะจอดกันล่ะ
กำลังชมวิวเพลินๆ สายหมอกฝนก็พัดลงมาเราซะยังงั้น
เราก็เลยอยู่รออีกสักหน่อยเพราะอยากจะเก็บภาพวิวให้ได้มากที่สุด
พอฟ้าเปิดก็ได้ภาพท้องฟ้าที่สวยงามแปลกออกไป
สันเขาทางด้านขวาคือเขาแผงม้า หากซูมภาพดูบริเวณเชิงเขา
จะเห็นเจดีย์สวยๆ ของวัดผาซ่อนแก้ว เขาค้อด้วยค่ะ
ภูแผงม้า ตรงนี้มีลานกางเต๊นท์ด้วย หากใครอยากมาพักตรงนี้
ลองสอบถามรายละเอียดกับทางอุทยานภูหินร่องกล้าได้ค่ะ
ที่เบอร์ 055-356607, 081-596-5977
อำลาความงามของภูหินร่องกล้าไว้เพียงเท่านี้
ก่อนจะออกเดินทางต่อไปยัง "ภูทับเบิก" ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน
ที่ความสูง 1,768 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ยอดภูทับเบิกเวลาหน้าฝนแบบนี้เห็นแล้วมันเขียวชุ่มช่ำปอดดีจังเลย
วิวทางด้านขวามือ เป็นถนนคดเคี้ยวกับหมู่บ้านน้ำเพียงดิน
และเขาน้ำก้อ เด่นตระหง่านอยู่ด้านหลัง ในเวลาพระอาทิตย์ใกล้ตกก็งดงามขึ้นมากเลย
บริเวณแถบนี้ ถ้าในช่วงไฮซีซั่น หน้าหนาว
ลานกางเต๊นท์ก็จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมาจับจองพื้นที่ชมทะเลหมอกกันหมด
ที่จริงแล้วถ้ามาเที่ยวในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ในหน้ากรีนซีซั่นแบบนี้
ก็จะเห็นความสวยงามอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งก็งามไม่แพ้ช่วงหน้าหนาวเลย
การเดินทางในวันนี้ก็จบลง คงจะฟินมากหากเราได้นอนพักที่ภูทับเบิกสักคืน
แต่เราต้องนั่งรถกลับที่พักที่เขาค้อ ดื่มด่ำกับอาหารอร่อยและนอนพักสบายๆ
ที่ภูแก้วฮิลล์รีสอร์ทคืนนึง ก่อนจะออกเดินทางผจญภัยต่อในวันที่สาม
วันสุดท้ายของการเดินทางนี้ ทั้งตื่นเต้นเร้าใจ กับกิจกรรมผจญภัย
แถมยังได้ชมความงามของเขาค้ออย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย
จะสนุกสนานขนาดไหน รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
ชิลไปไหน... ไปด้วย...
เรื่องและภาพ : This road is mine
Tags: อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ภูทับเบิก เพชรบูรณ์ เขาค้อ พิษณุโลก
รีวิวที่เที่ยว ที่เที่ยว | 03 ก.ค. 2024 | 2,486 อ่าน
รีวิวที่เที่ยว | 28 เม.ย. 2024 | 2,991 อ่าน
รีวิวที่เที่ยว | 08 มี.ค. 2024 | 2,983 อ่าน
รีวิวที่เที่ยว | 06 ก.พ. 2024 | 4,168 อ่าน
รีวิวที่เที่ยว ที่เที่ยว | 29 ม.ค. 2024 | 4,985 อ่าน
รีวิวที่เที่ยว | 24 ม.ค. 2024 | 4,071 อ่าน
รีวิวที่เที่ยว ที่เที่ยว | 22 ม.ค. 2024 | 7,247 อ่าน