0
0
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

บันทึกการเดินทางทริปชิลแพ็คเกอร์อินโตเกียว ตอนที่ 2 กินช้อปให้จุในในโตเกียว

calendar_month 28 มิ.ย. 2013 / stylus Admin Chillpainai / visibility 28,681 / เที่ยวต่างประเทศ

ช่วงนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยคงกำลังดีใจกับข่าวดีที่ทางญี่ปุ่นประกาศยกเลิกวีซ่าสำหรับชาวไทย

ให้อยู่ได้ถึง 15 วัน โดยเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ดีใจ ของนักท่องเที่ยวชาวไทยกับข่าวดีเช่นนี้

ฮานะก็แอบไปร้องไห้ข้างตุ่มเบาๆ

เพราะดันไปทำวีซ่ามัลติเปิ้ลมาก่อนที่เขาจะประกาศออกมานิดเดียว

susu ฮือๆๆ เอาค่าวีซ่าของเค้าคืนมานะ  

 

แม้ว่าจะประกาศยกเลิกแล้วก็ไม่ใช่ว่าเราจะเดินตัวปลิวเข้า ตม.ได้อย่างง่ายๆ นะคะ

เพราะตอนนี้อำนาจทั้งหมดอยู่ที่ ตม.แล้ว

ทางที่ดีเตรียมเอกสาร อย่างตั๋วเครื่องบิน ใบจองโรงแรม แผนการเดินทางเป็นภาษาญี่ปุ่น

เหล่านี้เอาไปด้วยนะคะ อ้ออย่าเอาโหลดใต้เครื่องล่ะ ให้พกติดตัวอยู่ตลอด

เพราะถ้าเขาเรียกถามมาเราจะได้แสดงให้เขาดูได้ว่าเราตั้งใจมาเที่ยวจริงๆ

ฮานะก็คาดหวังว่าข่าวดีนี้คงไม่มีชาวไทยบางกลุ่มที่หาช่องทางนี้ทำเรื่องเสื่อมเสีย

จนกระทบถึงนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เขาตั้งใจไปเที่ยวจริงๆ

เมื่อได้โอกาสแล้วก็รักษาเอาไว้ให้ดีๆ นะคะ

เพราะเขาให้โอกาสได้ เขาก็สามารถเอาโอกาสนั้นคืนไปได้

คุยเรื่องการยกเลิกวีซ่าญี่ปุ่นกันไปแล้ว

มาต่อกันที่การเดินทางทริปชิลแพ็คเกอร์อินโตเกียว ครั้งที่ 1
 
ซึ่งจัดเมื่อวันที่ 24-28 พฤษภาคมที่ผ่านมา
 
โดยพาสมาชิกชิลไปสัมผัสประสบการณ์การเป็นแบ็คแพ็คเกอร์ที่ประเทศญี่ปุ่น

ใครที่ยังไม่อ่านตอนแรกเข้าไปอ่านได้ที่นี่เลย บันทึกการเดินทางทริปชิลแพ็คเกอร์อินโตเกียว ตอนที่ 1 ญี่ปุ่นและโตเกียวทาวเวอร์ที่คิดถึง

ส่วนใครที่อ่านแล้วก็มาเดินทางกันต่อได้เลยจ้า karok_eat

วันนี้วันที่ 2 ของการอยู่ญี่ปุ่นค่ะ

ตอนเช้าฮานะตั้งนาฬิกาไว้ตี 5 พอตื่นมา ก็พบว่าเฮ้ย นี่มัน 7 โมงแล้วหรือเปล่าทำไมมันสว่างเยี่ยงนี้ล่ะ

อ้อ ลืมไปนี่คือดินแดนของพระอาทิตย์นี่นา

ช่วงนี้โดยเฉพาะหน้าร้อนที่ญี่ปุ่นกลางวันยาวมากๆ พระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ตี 5 ทำงานหนักทั้งวัน

กว่าคุณพระอาทิตย์จะลาไปนอนก็ประมาณ ทุ่มกว่าๆ เกือบ สองทุ่ม เลยมีเวลาเที่ยวกันยาวนาน

เรานัดกันตอน 7 โมงเช้าเพื่อเดินทางไปอาหารอร่อยทานที่ตลาดปลาซึกิจิ

จากที่พักเราเดินมายังสถานีรถไฟมินามิเซนจู แล้วนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีซึกิจิ

ก่อนจะเดินไปยังตลาดพวกเราก็พบสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของโตเกียว

เพราะที่นี่คือ Tsukuji Honganji ถ้ามองด้านนอกอาจจะคิดว่าที่นี่คือโบสถ์หรือสุเหร่า

แท้ที่จริงแล้วเป็นสถานที่สวดมนต์ของชาวพุทธ ภายในมีไปป์ออร์แกนเอาไว้บรรเลงเพลงสวดมนต์

มีที่นั่งสวดมนต์คล้ายกับโบสถ์ของศาสนาคริสต์เลย

ที่นี่อายุอานามก็ประมาณ 390 ปี แต่เดิมแล้วตั้งอยู่ในวันเซ็นโซจิ

แต่เกิดไฟไหม้และแผ่นดินไหวก็เลยย้ายมาตั้งที่นี่ตั้งแต่ปี 1934

หน้าตาสถาปัตยกรรมอาจจะดูเหมือนลูกครึ่งเพราะที่นี่เขาเป็นการผสมผสานระหว่าง

สไตล์อินเดียกับสไตล์ตะวันตก ใครที่ไปตลาดซึกิจิลองแวะเข้าไปดูกันนะคะ

จากนั้นเดินไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงตลาดซึกิจิ

ซึ่งที่นี่เรียกว่าป็นครัวของกรุงโตเกียว

และเป็นตลาดขายส่งอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก

วันนี้เราไม่ได้เข้าไปดูในส่วน Wholesale แต่ก็ได้เดินเล่นรอบตลาดด้านนอก

ได้ทานปลาอร่อยๆ จากตลาดแห่งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วล่ะค่ะ

ของสดที่นี่น่าซื้อมาก ถ้าเทียบกับราคาของไทยก็ถือว่าถูกมากๆ ค่ะ

เพราะบ้านเรากว่าจะนำเข้ามาต้องผ่านการขนส่งต่างๆ ความสดก็ไม่เท่ามาทานที่นี่

เห็นแล้วฮานะอยากซื้อกลับเมืองไทยมาก แต่เพราะต้องอยู่อีกนานเลยมาทานร้านอร่อยของที่นี่ดีกว่า

ร้านอาหารขึ้นชื่อในตลาดปลาซึกิจิมีมากมาย โดยเฉพาะร้านซูชิ และร้านด้ง(ข้าวหน้าต่างๆ)

ราคาก็แตกต่างกันไปตามชื่อเสียงของร้าน

แต่ฮานะว่าถ้าไม่ติดว่าจะต้องมีทานร้านขึ้นชื่อ ฮานะว่าคุณสามารถเดินเข้าร้านไหนก็ได้

เพราะอร่อยเกือบทุกร้าน มาที่นี่สิ่งที่ฮานะไม่พลาดมาทานคือเมนูด้ง หรือข้าวหน้าต่างๆ

คราวนี้เลยขอจัดเมนูกลางๆ ไม่แพงและไม่ถูก จานนี้ 1200 เยนค่ะ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300 กว่าบาท

เป็นเมนูที่ชื่อว่าเลดี้ส์ เซ็ตเพราะเขามีซุปสาหร่าย มีโยเกิร์ตผลไม้ให้ด้วย

อิ่มและอร่อยสมที่รอคอย เนื้อปลา เนื้อกุ้ง สดแทบจะละลายในปาก

ข้าวของเขาก็นุ่มอร่อยสุดๆ ไม่มีที่ติเลยค่ะ

 

ทานอาหารกันเสร็จก็เตรียมเดินทางไปยังวัดเซ็นโซจิกันต่อ

จากซึกิจินั่งรถไฟใต้ดินใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเราก็ถึงสถานีอาซากุสะ

ที่ตั้งของวัดเซ็นโซจิ หรือที่เรารู้จักว่าวัดอาซากุสะ

วัดนี้ใครไม่ได้มาถ่ายหน้าโคมไฟสีแดงอันใหญ่ถือว่ามาไม่ถึงกรุงโตเกียว

วัดแห่งนี้มีประวัติยาววนานถึง 1300 กว่าปี

เริ่มจากมีพี่น้องคู่หนึ่ง หาปลาในแม่น้ำสุมิดะ แล้วบังเอิญเหวี่ยงแหไปเจอพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมทองคำขึ้นมา

จึงนำมาให้หัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านได้เปลี่ยนบ้านของตัวเองเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์

มีประชาชนมาสักการะบูชา และต่างก็ร่ำลือในความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่กวนอิม

รู้ไปจนถึงโชกุน ท่านก็เลยมาทำอาคารหลังใหญ่และต่อเติมจนมาถึงปัจจุบัน

โดยประตูสุดฮิตที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมาถ่ายรูปกำลังแบกโคมไฟอันใหญ่สีแดงนี้ก็คือ

ประตูคามินาริ (Kaminari-mon) หรือ "ประตูอสุนี"

ใต้โคมไฟฮานะลองไปส่องดูก็พบกับไม้แกะสลักเป็นรูปมังกรสวยงามมาก

ส่วนข้างประตูสองข้างมีหุ่นเทพเจ้าแห่งสายฟ้า และเทพเจ้าแห่งสายลมเฝ้าประตูอยู่

ออกจากวัดเซ็นโซจิก็ถึงเวลาของขาช้อปกันแล้ว

แหล่งช้อปที่เราไปละลายเงินเยนในครั้งนี้คือตลาดอาเมะโยโกะ

ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานีอูเอโนะ

ตลาดแห่งนี้มีขายทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง สาวๆ ในทริปของเราเห็นร้านขายยาไม่ได้ต้องวิ่งเข้าใส่

เพราะร้านขายยาที่นี่เขามีเครื่องสำอางเยอะมาก

และราคาถูกกว่าเมืองไทยเยอะเลยค่ะ

นอกจากนี้ตลาดแห่งนี้ยังมีของสด มีร้านอาหารอร่อยมากมาย

ยิ่งตอนเย็นบริเวณนี้ก็จะเต็มไปด้วยร้านกินดื่มของพนักงานออฟฟิศในยามเย็นมานั่งสังสรรค์กัน

จากตลาดอาเมะโยโกะเราเดินไปยังตึกม่วงหรือตึกทาเคยะ

วิธีไปก็ง่ายมากออกจากตลาดโอเมะโยโกะแล้วเดินมาทางซ้ายจะเจอสี่แยกไฟแดงมีตึกสีม่วงตั้งโดดเด่นอยู่

ตึกนี้แล่ะค่ะเป็นตึกที่ทำให้นักช้อปชาวไทยอย่างเราสติแตก

กับการช้อป ทั้ง ขนม ของ ฝาก อย่างคิทแคทชาเขียวที่ราคาถูกมาก หนึงถุงราคาประมาณ 250 เยน(ที่อื่นขาย 500 เยน)

หรือถั่วพิซซาชิโอรสวาซาบิที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยมาก 

เราไม่ได้หยิบนะคะ แต่กวาดกันเลยล่ะค่ะ ฮานะเองก็เหมือนถูกอะไรสักอย่างสิง ช้อปจนกระเป๋าฉีกกันเลย

นอกจากนี้เขายังมีตึกอีกหลายตึก แบ่งเป็นเสื้อผ้าสตรี เสื้อผ้าบุรุษ น้ำหอม เครื่องสำอางต่างๆ

ที่พาพวกเราสติแตกอีกแล้ว

เพราะน้ำหอมที่บ้านเราขายขวดละพันกว่าบาท แต่บ้านเขาลดเหลือหกร้อยกว่าบาท โอ้ มาย ก้อด

ฮานะนี่สติแตกก่อนผู้ร่วมเดินทางอีกค่ะ

จากตึกม่วงเราจะเดินทางไปเที่ยวต่อที่ย่านขนมสุดน่ารักที่จิยูกาโอคะ

ที่นี่เป็นย่านน่ารักมีร้านขายของแฮมด์เมดเก๋ๆ มากมาย

สาวๆ ในทริปพอมาเจอย่านนี้ก็ต้องแชะภาพเก็บเอาไว้

เพราะน่ารักทุกที่ น่ารักทุกร้าน เดินเพลินมากค่ะไม่มีเบื่อเลย

ไฮไลต์ของจิยูกาโอคะคือการมาทานขอนหวานที่ Sweet Forrest

ซึ่งภายในเขาจัดไว้น่ารักมากเหมือนป่าแห่งร้านขนมหวาน

มีร้านขนมน่ารักประมาณ 10 กว่าร้าน

อยากทานร้านไหนเดินไปสั่งแล้วก็เลือกที่นั่งนั่งทานได้ตามชอบใจ

ฮานะเลือกเครปจานนี้ อร่อยมากๆ ราคาก็ไมแพงด้วยค่ะประมาณ 200 กว่าบาทเท่านั้น

จากจิยูกาโอคะเราจะไปสัมผัสแหล่งวัยรุ่นกันที่ฮาราจูกุ

โดยนั่งรถไฟเจอาร์จากสถานีจิยูกาโอคะมาที่สถานีฮาราจูกุ

ออกมาจากสถานีเดินข้ามถนนมาก็เจอกับถนนทาเคชิตะ

ย่านสุดฮิปของวัยรุ่น บนถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นแบบญี่ปุ่น

ว่ากันว่าที่นี่คือต้นแบบของสยามบ้านเรา แต่ของเขาหลากหลาย แฟชั่นจี๊ดกว่า

บางทีก็เจอสาวๆ หนุ่มๆ แต่งคอสเพลย์เดินกันเป็นเรื่องปกติของที่นี่

แต่ก่อนคนไทยที่ไม่เคยเห็นถือว่าเป็นเรื่องอันซีน แต่ตอนนี้ฮานะว่าก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ส่วนใครอยากอัพเดตเทรนด์แฟชั่นของวัยรุ่นโตเกียว อยากมาทานเคร้ปร้านหัวมุมที่ขึ้นชื่อมากๆ

ก็ไม่เควรพลาดถนนเส้นนี้

ปิดท้ายทริปนี้กับการช้อปปิดท้ายที่ถนนโอโมตเตะซังโด

ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับฮาราจูกุ ที่นี่จะเป็นที่ตั้งของแบรนด์เนมมากมาย

และยังเป็นสถานที่โชว์ของของสถาปนิกในการออกแบบตึกแบรนด์เหล่านี้

อย่าตึกดิออร์ ตึกหลุยส์ วิคตอง

หรือตึก Tokyu Plaza ที่ออกแบบโดย  Hiroshi Nakamura ดีไซน์ได้สุดล้ำเหมือนอยู่ในปริซึมที่มีเหลี่ยมมากมาย

สะท้อนภาพของโครสร้างอาคาร บันไดเลื่อน ผู้คนที่เดินไปบนถนนแห่งนี้ในหลายมุม

 

วันนี้เป็นวันแห่งการช้อป และช้อปจริงๆ ค่ะ

ส่วนวันต่อไปเราจะพาสมาชิกเดินทางสู่นิกโก้ ที่มีคำขวัญว่า Nikko is Nippon

หรือนิกโก้คือญี่ปุ่น รอติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่นี่เลยค่ะ

ส่วนใครที่สนใจเดินทางไปทริปมันส์ๆ แบบนี้ทางเราก็จะจัดไปอีกครั้งในเดือนตุลาคมดูรายละเอียดที่นี่ได้เลย

 ชิลแพ็คเกอร์อินโตเกียว ครั้งที่ 2

ตอนที่ 3 มาแล้วนะจ๊ะ huhuhu

บันทึกการเดินทางทริปชิลแพ็คเกอร์อินโตเกียว ตอนที่ 3 การเดินทางจากนิกโกถึงโยโกฮาม่า

 

ติดตามอ่านบทความเก่าได้ที่นี่เลย

บันทึกการเดินทางทริปชิลแพ็คเกอร์อินโตเกียว ตอนที่ 1 ญี่ปุ่นและโตเกียวทาวเวอร์ที่คิดถึง

 

เรื่องและภาพ นางสาวฮานะ



เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai