0
0
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

หาเรื่องออกจากบ้าน ห่างงาน วางคอม ไปหาประสบการณ์เที่ยวหัวหิน 3 วัน 2 คืน ให้ร่างกายได้พักผ่อน

calendar_month 21 มิ.ย. 2017 / stylus Admin Chillpainai / visibility 47,366 / ทริปตัวอย่าง


ชีวิตผมหมดเวลาไปกับการทำงาน ถ้าเปรียบชีวิตผมเป็นกราฟ มันออกจะเรียบขนานไปกับแกน X เลยทีเดียวครับ ไม่คิดถึงการท่องเที่ยวอย่างที่เพื่อนทำ คิดถึงแต่การเลื่อนขั้นมากกว่า ชีวิตวันๆ มีแต่บ้านและออฟฟิศ บางทีบ้านก็กลายเป็นออฟฟิศเพราะหอบเอางานมาทำที่บ้าน บางทีออฟฟิศก็เป็นบ้านเพราะเอาที่นอนไปนอนที่ออฟฟิศมันซะเลย จะให้ออกไปหาเรื่องทำอะไรที่กราฟชีวิตผมเปลี่ยน ดูห่างไกลความเป็นไปได้มากเลยครับ

แต่ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้ออกไปไกลจากบ้านและโต๊ะทำงาน เพราะเพื่อนรักมาชวนออกไปเที่ยวกัน ด้วยคำชวนง่ายๆ ว่า “ชีวิตไม่ได้มีแค่โต๊ะทำงานกับบ้านเท่านั้นนะ พาตัวเองออกไปข้างนอกบ้าง..”

ทริปนี้เพื่อนบอกว่าไป จ.ประจวบคีรีขันธ์ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯไม่นาน พร้อมแล้วจัดเสื้อผ้า พาตัวเองออกห่างโต๊ะทำงาน ตามผมไปเจอความสนุกกันครับ

 
 

 


 

จุดหมายปลายทางแรกของทริปนี้คือ “อุทยานแห่งชาติหาดวนกร” จ.ประจวบคีรีขันธ์ อยู่เลยหัวหินไปประมาณ 100 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 4 ชั่วโมง 

 

อุทยานแห่งชาติหาดวนกร

และแล้ว..ผมก็มายืนชิลๆ อยู่ริมทะเลอุทยานแห่งชาติหาดวนกร ระยะทาง 300 กว่ากิโลเมตรกับเวลา 4 ชั่วโมงดูเหมือนจะไกลนะครับ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับ 4 ชั่วโมงบนรถติดในกรุงเทพฯ ตอนเดินทางไปทำงานแล้ว การเดินทางที่ได้เห็นทัศนียภาพแปลกตา ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ บ้านเรือนข้างทาง ผมว่า 4 ชั่วโมงแบบนี้ดีกว่าเยอะเลย


เรามาถึงอุทยานแห่งชาติหาดวนกรตอนเที่ยงพอดี แต่ก่อนจะมาถึงที่นี่ เราขับผ่านร้านอาหารมาตลอดทาง ผมก็ทักเพื่อนไปหลายรอบว่าไม่แวะเหรอ แต่เพื่อนสารถีที่รักไม่แวะร้านอาหารเลยครับ มันบอกว่าเดี๋ยวไปกินข้าวเที่ยงริมทะเลกันดีกว่า เอาจริงๆ การแวะร้านข้างทาง สั่งอาหารรอแค่ 10 นาที พนักงานก็ยกมาเสิร์ฟแล้ว แต่เพื่อนมันบอกว่า "นั่นมันวิถีเดิมๆ ที่เราทำกันทุกๆ วันในเมืองกรุงฯ" 

เราจอดรถในมุมสงบมุมหนึ่ง ผมมองหาร้านอาหารแต่ก็ไม่เห็น แล้วเพื่อนก็เซอร์ไพรส์ผมด้วยการเปิดท้ายรถ โห! อาหารเครื่องดื่มเพียบ! อุปกรณ์ปิคนิคพร้อม กีต้าร์พร้อม  

กิมมิคของ The All-New MINI Countryman คันนี้ก็เหมาะเจาะกับการมาปิคนิคเอ้าท์ดอร์ เพราะมี Picnic Bench ที่ซ่อนตัวมิดชิดอยู่ท้ายรถ เวลาจะใช้งานเพียงแค่ดึงตลบออกมา Picnic Bench ก็จะกางเป็นเบาะนั่งท้ายรถได้เลย เบาะนุ่มๆ แบบนี้ก็ให้สาวๆ เค้านั่งไปก่อน ส่วนผมและเพื่อนๆ ช่วยกันกางโต๊ะพับ จัดอาหาร รินเครื่องดื่ม แล้วพวกเราก็ปิคนิคกันริมหาดวนกร

ลมพัดเอื่อยๆ ใต้ร่มเงาของทิวสนริมทะเล พวกเราทานอาหารที่เตรียมมาเอง คุยเล่นกันบ้าง ดีดกีตาร์ร้องเพลงกันบ้าง ถึงตอนนี้ผมเก็ทแล้วว่าบรรยากาศแบบนี้มันเจ๋งกว่าการไปสั่งอาหารที่ร้าน แล้วต่างคนต่างทานของตัวเอง 

หลังจากที่ปิคนิคมื้อเที่ยงเฮฮาสนุกสนานกันเสร็จแล้ว เราเตรียมตัวไปดำน้ำกัน ไม่ได้ไปไหนไกลนะครับ จากหาดวนกรเราขึ้นเรือสปีดโบ๊ทของทางอุทยานฯ นั่งไปเกาะจาน เกาะท้ายทรีย์กัน 

 

เกาะจาน เกาะท้ายทรีย์

ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเท่านั้นก็ถึงเกาะแล้วครับ เกาะจาน และเกาะท้ายทรีย์ เป็นเกาะใกล้ๆ กันครับ มีทะเลแหวกเชื่อมถึงกัน ทั้งสองเกาะนี้เป็นเกาะสัมปทานรังนก ถ้าใครอยากไปเที่ยวบนเกาะ ต้องติดต่อทางอุทยานฯไปเท่านั้นนะครับ

บนเกาะมีกระท่อมเล็กๆ ของคนเฝ้ารังนกนางแอ่นบนเกาะ หาดทรายบนเกาะนี้ก็สะอาดมาก น้ำทะเลสีฟ้าใสแจ๋ว คิดไม่ถึงเลยว่านี่คือทะเลประจวบคีรีขันธ์ 

มาถึงตรงนี้ ผมก็คิดว่าเราลองห่างจากโต๊ะทำงาน เลิกจ้องจอคอมฯ ที่เป็นแสงสีฟ้าทำลายสายตา มามองสีฟ้าจากทะเลก็ดีเหมือนกันนะครับ

ตามแนวหาดมีโขดหินแบบแปลกๆ เหมาะกับการไปเดินเล่นตากลมชิลๆ บนเกาะเงียบสงบ ช่วงเวลาที่เราไปเที่ยวเป็นช่วง Low Season ของเกาะ แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยครับ เหมือนไปเดินเล่นหาดส่วนตัวมากกว่า 

นักท่องเที่ยวจะมีเวลาบนเกาะ 3 ชั่วโมง ใครอยากเดินเล่นริมหาดก่อนแล้วค่อยไปดำน้ำก็ได้ หรือใครอยากดำน้ำก่อน แล้วค่อยมานั่งพักบนหาดก็แล้วแต่เลยครับ

โลกใต้น้ำที่เกาะจาน เกาะท้ายทรีย์ มีดอกไม้ทะเลเยอะมากเลยครับ เราได้เจอเจ้าของบ้านด้วยล่ะครับ นั่นคือปลาการ์ตูนพันธุ์อินเดียแดงตัวสีส้มอ่อน


ได้ลงไปแช่ตัวในน้ำเย็นๆ ว่ายน้ำดูปลา นั่งเรือหัวโยก ดีกว่านั่งแก้งาน เคลียร์เอกสารบนโต๊ะทำงานนะครับ ค่าดำน้ำครั้งนี้เราจ่ายกันแค่คนละ 600 บาท ซื้อประสบการณ์ลงไปว่ายน้ำทะเลอ่าวไทยเล่นกับปลาการ์ตูน ลองคิดดูสิครับ 600 บาท กับการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ แค่ทานชาบูกับเพื่อนมื้อเดียวก็หมดแล้ว


หลังจากดำน้ำกันที่เกาะจาน เกาะท้ายทรีย์เสร็จแล้ว เราออกเดินทางจากอุทยานแห่งชาติหาดวนกร เดินทางต่อไปยัง “แลดูปราณ (L’air Du Pran)" รีสอร์ทริมหาดสามร้อยยอด ที่พักของเราในคืนนี้กันครับ


เพื่อนตัวดีมันก็เลือกทางเข้าที่ออกจะลุยหน่อยๆ ผมถามว่าทำไมไม่ใช้เส้นทางทางหลัก มันบอกว่า "ไปทางเดิม ก็เห็นวิวแบบเดิม" เอ้า..เอากับมัน!

ก็จริงของมัน ถนนลูกรังเส้นทางนี้ทำให้เราได้เห็นทัศนียภาพที่แปลกตาออกไป เห็นวิวทุ่งโล่งที่มีวัวเล็มหญ้ากันเต็มทุ่งเลยครับ ไม่ได้เห็นนานแล้ว

 

แลดูปราณ

แล้วเราก็มาถึง แลดูปราณ ชื่อดูคล้าย แล-ดู-ปราณ แบบภาษาไทยนะครับ แต่จริงๆ แล้วเขาเอามาจากคำอ่านภาษาฝรั่งเศส “L’air Du Pran แปลว่า ลมแห่งปราณบุรี เป็นที่พักติดริมทะเลสามร้อยยอด ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ดีไซน์ถูกใจสาวๆ

เช็คอินเข้าที่พัก เก็บของเข้าห้อง ก็ได้เวลาทานอาหารเย็นพอดี มื้อนี้พวกเราทานอาหารกันที่ห้องอาหารของแลดูปราณเลยครับ 

วันนี้ใช้พลังงานในการดำน้ำกันมามาก มื้อนี้ขอสั่งอาหารแบบจัดเต็มหน่อยละกันครับ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา อาหารทะเลสดๆ ทั้งนั้น



ส่วนห้องนอนของเราคืนนี้เป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียง คนติดบ้านติดที่นอนแบบผม คิดว่าวันนี้ต้องนอนไม่หลับแน่ๆ แต่ที่นอนนอนสบายมากครับ หัวถึงหมอนไม่ถึง 5 นาที ก็ราตรีสวัสดิ์แล้วครับ

 

เช้าวันที่ 2 จริงๆ วันนี้พวกเราตั้งใจไปชิคๆ ชิลๆ กันต่อที่หัวหิน แต่ตอนเช้าสาวๆ เค้าไปถ่ายรูปเล่นที่สะพานไม้ริมหาดหน้าที่พัก แล้วเกิดอยากลองขับรถเลียบหาดไปถ่ายรูปเล่นกันต่อ

หนุ่มๆ แบบเราก็ตามใจสิครับ ขับรถเลียบหาดสามร้อยยอดมาจนสุดทาง แล้วเพื่อนสาวของเราคนหนึ่งก็ชี้ให้ดูว่ายอดเขาที่เห็นลิบๆ ตรงโน้นชื่อว่า เขาแดง สามารถเดินขึ้นไปบนยอดเขาได้ ข้างบนมีจุดชมวิวมุมสูงที่สวยมาก 

แผนเปลี่ยนสิครับ! หาเรื่องใส่ตัวกันมาขนาดนี้แล้วจะกลัวอะไรล่ะ พวกเราเปลี่ยนเส้นทางไปขึ้นเขาแดงกัน

จุดชมวิวเขาแดง ตั้งอยู่บนเขาแดง เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานสามร้อยยอด เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาไปชมวิวทิวทัศน์แบบ 360 องศา แต่ก่อนจะไปขึ้นเขาแดง เราต้องไปซื้อบัตรจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติสามร้อยยอดก่อนนะครับ อยู่เลยทางขึ้นเขาแดงไปประมาณ 500 เมตร

 

จุดชมวิวเขาแดง

ในที่สุดผมก็ขึ้นมาถึงบนยอดเขาแดง ใช้เวลาเดินขึ้นมาประมาณ 30 นาที คนไม่ค่อยออกกำลังอย่างผม ก็เล่นเอาหอบเหมือนกันครับ

เจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่าส่วนใหญ่แล้วเขาแดงจะนิยมขึ้นกันตอนเช้ามืด ประมาณตี 5 ถึง 6 โมงเช้า เพราะจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ขอบทะเล และอากาศไม่ร้อนมากด้วยครับ แต่เรามากันตอนสาย แดดค่อนข้างร้อน เหงื่อท่วมตัวกันเลยทีเดียว 


แต่วิวด้านบนถือว่าคุ้มค่าเลยครับ เห็นของจริงสวยว่าอ่านมาจากรีวิวเยอะ

 

ด้านบนวิวสวยครับ เรามองเห็นได้รอบๆ 360 องศา มองเห็นทั้งทะเล และเขาที่อยู่อีกด้านนึง สวยคนละแบบ ได้ออกแรงเรียกเหงื่อ ขยับร่างกายมากกว่ายกแฟ้มเอกสารแบบนี้ รู้สึกปลอดโปร่งดีครับ

จากประสบการณ์ครั้งแรกของผม แนะนำให้เอาน้ำดื่มขึ้นไปด้วยครับ ดื่มกันหมดแล้วเก็บขวดมาด้วยนะ ทิ้งไว้บนนั้นไม่สวยงามเลยครับ มันทำลายธรรมชาติมากกว่า

หลังจากที่เราไปปีนเขาแดงกันมา ใช้พลังงานกันอย่างเต็มที่ เริ่มจะหิวกันแล้วครับ ก่อนจะเข้าไปในหัวหิน เราเลยแวะทานอาหารมื้อเที่ยงกันที่เขาตะเกียบเลยครับ ชื่อว่าร้าน “Air Space”

 

Air Space

ร้าน Air Space ออกแบบและตกแต่งในคอนเซ็ปต์ "การบิน" โดยตัวอาคารที่เห็นนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากโรงเก็บเครื่องบิน ของประดับตกแต่งภายในร้านเกือบทุกชิ้นมีความเชื่อมโยงกับการบินแทบทั้งสิ้น

บรรยากาศร้านโล่งโปร่งสบาย กว้างขวาง ตกแต่งด้วยของโบราณหลายชิ้น ถูกใจสาวๆ หามุมถ่ายรูปกันสนุกเลยครับ


เป็นร้านที่เรียกได้ว่ามาร้านเดียวครบเลยครับ เพราะถ้าคุณอยากทานอาหารคาว กับข้าวไทย หรือจะอาหารอิตาเลี่ยน ก็สั่งกันได้เลยครับ หรือไม่อยากทานเมนูหนักๆ อยากทานของหวาน กาแฟหอมๆ สักแก้ว ร้านก็มีให้คุณเลือกทานทั้งนั้นครับ

มื้อนี้เราสั่งกันมาเต็มโต๊ะเลยครับ ทั้งอาหารไทย อาหารอิตาเลี่ยน อาหารเต็มโต๊ะ เหมือนจะทานกันไม่หมด แต่ใช้พลังงานปีนเขากันมา เผลอแปปเดียวทานกันเกลี้ยงจานเลยครับ

ตามมาด้วยของหวาน มีให้เลือกหลายแบบหลายเมนูเลยครับ ร้านนี้ผมว่าชาไทย ชาเขียว ทั้งขนมและเครื่องดื่มอร่อยมากเลยครับ ทานที่ร้านยังไม่พอซื้อติดมือมาด้วยครับ


 

ทานมื้อเที่ยงกันจนอิ่มแล้ว เราเดินทางไปยัง “Seen Space” คอมมูนิตี้มอลติดทะเล ที่หัวหินซอย 35 เพื่อไปเช็คอินเข้าที่พักที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน ชื่อว่า “Hotel Bocage”

 

Hotel Bocage


Hotel Bocage เป็นที่พักท่ีออกแบบโดย คุณดวงฤทธิ์ บุนนาคครับ ตั้งอยู่ที่ชั้น 4 ของ Seen Space มีทั้งหมดเพียง 6 ห้องเท่านั้นครับ

เช็คอินแล้วก็ได้เวลาขนของลงจากรถกันครับ ซึ่ง The All-New MINI Countryman คันนี้ก็ยาวขึ้นและกว้างขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ พื้นที่ท้ายรถสามารถบรรทุกสัมภาระได้เยอะ นี่ขนาดเราเอาโต๊ะ-เก้าอี้พับปิคนิคและกีต้าร์มาด้วย ยังมีที่สำหรับกระเป๋าใบใหญ่ๆอีกตั้งหลายใบ

จุดเด่นของ The All-New MINI Countryman อีกอย่างหนึ่งก็คือฝากระโปรงท้ายที่ควบคุมการปิด-เปิดด้วยระบบไฟฟ้า สามารถเปิดด้วยรีโมทคอนโทรลและปุ่มที่ฝากระโปรงท้าย หรือถ้าเราพกกุญแจรถอยู่กับตัวเพียงใช้เท้าไปจ่อที่บริเวณใต้กันชนท้าย ฝากระโปรงท้ายก็จะเปิด-ปิดได้เองโดยไม่ต้องใช้มือเลยล่ะครับ หอบสัมภาระอยู่เต็มมือก็เปิด-ปิดได้

ขึ้นมาบนห้องพักของเรากันบ้าง อยู่บนชั้น 4 มองเห็นวิวทะเลหัวหินได้ชัดเจนเลยครับ นอกจากห้องพักจะมีระเบียงส่วนตัวแล้ว ยังมีระเบียงที่พักปลูกหญ้าจริงให้เราไปเดินตากลมด้วยครับ

ภายในห้องพักกว้างมากเลยครับ ไม่อึดอัดเลย ภายในทางเจ้าหน้าที่อธิบายว่าตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ แบรนด์ที่ได้รับรางวัลทั้งนั้นเลยครับ

หลังจากเช็คอิน เอาของเก็บในห้องพักแล้ว เราจะไปนั่งชิลเอ้าท์กันที่สระว่ายน้ำ ริมทะเลของ Seen Space กันครับ ตรงจุดนี้ชื่อว่า Oasis ครับ

 

Oasis

 

ใครอยากดื่มม็อกเทล ค็อกเทล เครื่องดื่มอื่นๆ หรือใครอยากจะทานอาหาร เคล้าบรรยากาศสบายๆ ริมทะเล ก็ตามสบายเลยครับ

 

ในช่วงตอนเย็นคนจะเยอะหน่อยครับ ใครอยากลงว่ายน้ำก็ได้ แต่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำลงไปนะครับ ถือว่าเป็นจุดที่สะดวกดีนะครับ เล่นน้ำชิลๆ ริมทะเล เริ่มหิวก็สั่งอาหารทานกันตรงนั้นเลย
 


เช้าวันนี้ตื่นมาสดชื่นกว่าตอนตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกอีกครับ รู้สึกได้นอนเต็มที่ไม่ต้องคิดเรื่องงานว่าวันนี้ต้องต่อสู้กับอะไร เช้านี้สาวๆ ตื่นมาแช่น้ำในอ่างของที่พักกันครับ เจ้าหน้าท่ีของที่พักบอกว่า อ่างอาบน้ำและเครื่องใช้สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ใช้แบรนด์อันดับโลกอย่าง Antonio Lupi ซึ่งเป็นแบรนด์อิตาลีทั้งหมดเลยครับ 

อาบน้ำ เตรียมตัวเช็คเอ้าท์ ออกจากที่พัก แต่เรายังไม่กลับกรุงเทพกัน นานๆ ทีจะออกจากเมืองหลวง เพราะเช้านี้เพื่อนๆ ชวนไปออกแรงเล่นกีฬาทางน้ำกันครับ เราเลยพากันไปเล่นเซิร์ฟ ที่ Surf House ครับ

 

Surf House

การเล่นเซิร์ฟของพวกเราครั้งนี้ มีคุณเดียร์เจ้าของ Surf House ใจดีสอนให้พวกเราครับ แต่ที่ Surf House มีอย่างอื่นนอกจากเซิร์ฟด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็น Paddle Board และ Kite Surf


บางคนอาจจะคิดว่าหัวหินเราจะเล่นกีฬาแบบนี้ได้เหรอ? จริงๆ แล้วชายหาดหัวหินเหมาะกับเล่น Kite Surf มากเลยครับ เพราะหน้าหาดกว้าง ทำให้ไม่อันตรายต่อคนที่อยู่บนหาด และคนเล่น


ส่วน Paddle Board ในช่วงที่คลื่นลมสงบ เล่นได้ง่ายมากครับ ได้ลองเล่นกีฬาทางน้ำสนุกจนลองอยากเล่นนักกีฬาจริงจัง หลังจากนี้คงต้องแบ่งเวลาจากทำงานมาเล่นกีฬาบ้างแล้วครับ เก็บเข้าลิตส์สิ่งที่ชื่นชอบได้เลยครับ

นานๆ จะมีโอกาสทำอะไรแบบนี้ ขอเก็บภาพด้วยโดรนกันซะหน่อย



เสร็จจากเล่นกีฬาหาเรื่องออกแรงกันเต็มที่แล้ว ก็จวนจะได้เวลากลับเมืองหลวงกันแล้วครับ แต่ก่อนจะกลับ ท้องมันก็ประท้วง ทุกคนมองหน้ากันแล้วตัดสินใจได้ว่าเราต้องแวะทานข้าวก่อนกลับไม่งั้นไม่มีแรงเดินทางแน่นอนครับ มื้อนี้เราเลยแวะกันไปที่ Chocholate Factory

 

The Chocolate Factory

ร้าน The Chocolate Factory เป็นร้านอาหารที่มีทั้งเมนูของหวาน และเมนูของคาว 

มา The Chocolate Factory เพื่อนสาวผมบอกว่าต้องไม่พลาดชิม พิซซ่าสูตรพิเศษของทางร้าน มาทะเลก็ต้องได้ลองอาหารทะเลด้วย เลยสั่งพิซซาหน้ากะเพรา หอยนางรมสด กุ้งกระเบื้องไส้ชีสข้าวโพด


ตามมาด้วยขนมหวาน แน่นอนว่าต้องเป็นช็อคโกแล็คครับเพราะมาโรงงานช็อคโกแล็คทั้งที

นอกจากนี้ยังมีให้ซื้อกลับบ้านกันด้วยครับ ใครไปเที่ยวก็แวะซื้อของฝากเป็นช็อคโกแล็คอร่อยๆ ติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านได้นะครับ


สำหรับทริปนี้ผมต้องขอบคุณแก๊งเพื่อนตัวดี ที่ชวนผมให้ลุกออกจากหน้าคอมฯ หาเรื่องออกจากบ้าน ห่างงาน ไปเที่ยวหาประสบการณ์แปลกใหม่ เพราะไม่แน่หรอกว่า...ในวันที่เรามีเงินพร้อม ร่างกายเราอาจจะไม่พร้อมออกไปหาเรื่องใส่ตัวแล้วก็ได้ครับ


 

 ชิไปไหน

 

 

 

 

เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai