เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว-นิกโก้-คาวากูจิโกะ 5 วัน 4 คืน ชมใบไม้แดง (ตอนที่ 2)

จากสกู๊ป เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว-นิกโก้-คาวากูจิโกะ 5 วัน 4 คืน ชมใบไม้แดง (ตอนที่ 1)  ที่ฮานะพาไปตระเวนในโตเกียว วันนี้เราจะพาทุกคนออกเดินออกจากโตเกียวไปเที่ยวสัมผัสความสวยงามที่เที่ยวใกล้ๆ โตเกียวกันบ้าง 

 วันที่ 3  

วันที่ 3 ของการเดินทางวันนี้เรามีแพลนไปชมความสวยงามของภูเขาไฟฟูจิที่ทะเลสาบคาวากูจิโกะ กันค่ะ เราต้องตื่นเต่เช้าเพื่อไปขึ้นรถไฟที่ชินจูกุ แต่ก่อนเดินทางขอแวะไปดื่มกาแฟและทานขนมที่ร้าน Yonemoto Coffee Head Shop ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าตลาดซึกิจิ สำหรับใครที่ชอบดื่มกาแฟ ฮานะแนะนำร้านนี้เลยค่ะ เพราะกาแฟของเขาหอม เข้มข้น และในร้านยังจำหน่ายเมล็ดพันธุ์กาแฟอีกด้วย

ระหว่างรอหนุ่มๆ ในทริปดื่มกาแฟ ฮานะก็ใช้มือถือซึ่งเชื่อมต่อกับพ็อคเก็ตไวไฟ ของ SAMURAI Wifi เปิดมาปุ๊บแบตก็ยังเต็มอยู่เลยค่ะ ฮานะต่อไวไฟเพื่อดูรอบรถโดยเข้าไปที่เว็บ www.hyperdia.com กรอกแค่ชื่อสถานีต้นทางคือชินจูกุ สถานีปลายทางคือคาวากูจิโกะ และเวลาที่จะไปเท่านั้น ก็จะได้รอบรถพร้อมชานชาลาออกมา เรากะเวลาขึ้นรถประมาณ 8 โมงครึ่ง ยังพอมีเวลาให้ดื่มกาแฟอีกเล็กน้อยก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังสถานีชินจูกุ ฮานะว่าข้อดีที่เรามีไวไฟเป็นของตัวเองนั้นคือความสะดวกในการเดินทางค่ะ ถ้าไม่มีพ็อคเก็ตไวไฟเครื่องนี้คงจะได้ขึ้นรถผิดชานชาลา ผิดคันแน่ๆ

ใครอยากตามไปทาน Yonemoto Coffee Head Shop ก็ไปตามแผนที่ด้านล่างนี้เลย

ฮานะมาร์คจุดเอาไว้ให้แล้ว

การเดินทางในวันนี้เรายังคงใช้บัตร JR Kanto Area Pass ที่สามารถนั่งรถไฟได้กี่รอบ กี่เที่ยวก็ได้ ในเขตคันโต สะดวกมากๆ เรามาถึงสถานีชินจูกุประมาณ 8.15 น. ก็มาเจอรถ LTD. EXP AZUSA จอดรออยู่แล้ว โดยเราเลือกตู้ขบวนแบบ Non Reserved Seat เพราะว่าเราไม่ได้จองที่นั่งมา ซึ่งจริงๆ แล้วบัตรของ JR Kanto Area Pass นี่สามารถจองที่นั่งได้ฟรีนะคะ โดยต้องไปติดต่อที่แผนกขายตั๋วของเจอาร์ แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดาและเป็นสถานีต้นทาง คนจึงไม่เยอะเท่าไร ฮานะเลยเลือกนั่งตู้แบบ  Non Reserved Seat พอขึ้นไปถึงก็โล่งอย่างที่คิดเลยค่ะ นั่งสบายมากๆ

รถไฟขบวนนี้ไม่ได้วิ่งตรงไปสถานีควากูจิโกะนะคะ แต่เราต้องไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Otsuki เพื่อเปลี่ยนเป็นรถไฟสาย Fujikyu Railway จากชินจูกุไป Otsuki จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ใครอยากหลับก็หลับได้นะคะ แต่อย่าลืมตั้งเวลาปลุกก่อนถึงสักเล็กน้อย จะได้รู้สึกตัวไม่ต้องกลัวนั่งเลยสถานี แต่เสียงปลุกนั้นฮานะแนะนำว่าให้เปิดเบาๆ หรือใช้ระบบสั่นแทนนะคะ เพราะคนญี่ปุ่นเขาค่อนข้างให้ความสำคัญในเรื่อง privacy มากๆ และเขาจะเคารพความส่วนตัวของผู้อื่น เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตามกันนะจ๊ะ

แต่ฮานะไม่อยากให้ทุกคนนอนค่ะ เพราะถ้าคุณนอนหลับคุณจะพลาดภาพข้างทางสวยๆ ที่ถ้าไม่ได้ดูจะเสียดายมากๆ 

นี่แหล่ะค่ะภาพที่ฮานะอยากให้เห็นก่อนถึงสถานี Otsuki ประมาณครึ่งชั่วโมง

คุณจะได้พบกับภาพลำธาร ภูเขา ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงใบไม้แดงด้วย สวยเหมือนภาพวาดเลยล่ะค่ะ

จากชินจูกุใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงสถานี Otsuki จากสถานีเราต้องเปลี่ยนขบวนเป็น  Fujikyu Railway เพื่อไปยังสถานีคาวากูจิโกะ ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง รถไฟของเราวิ่งผ่าน Fujikyu Highland ซึ่งเป็นสวนสนุกที่มีเครื่องเล่นสุดเสียวเอาไว้วัดใจ ใครอยากนั่งรถไฟเหาะชมภูเขาไฟฟูจิก็ลองมาเล่นกันเลย

ภาพจาก www.fujikyu.co.jp

นั่งรถไฟ มาอีกประมาณ 49 นาที ก็มาถึงแล้วค่ะสถานีคาวากูจิโกะ ซึ่งที่นี่เป็นที่ตั้งของทะเลสาบคาวากูจิโกะ 1 ใน 5 ทะเลสาบ รอบภูเขาไฟฟูจิ ที่ประกอบไปด้วยทะเลสาบคาวากูจิโกะ ทะเลสาบไซโกะ ทะเลสาบยะมะนะกะโกะ ทะเลสาบโชจิโกะ และทะเลสาบโมะโทะสุโกะ 

รถไฟ Fujikyu Railway ที่เขาเพนท์ลายรอบรถไฟเป็นตัวการ์ตูนฟูจิซัง น่ารักและฮามากๆ

ซึ่งทะเลสาบคาวากูจิโกะนั้นเป็นจุดที่สามารถชมภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจนและสวยงามมากๆ แต่ว่ากันว่าภูเขาไฟฟูจิ หรือฟูจิซังนั้นขี้อายมากๆ ใครจะมาชมก็ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศและโชคช่วยด้วยค่ะ มาครั้งที่แล้วฮานะได้เห็นแค่เสี้ยวเดียวและแว้บเดียว ก่อนจะโดนกลุ่มเมฆบัง วันนี้ฟ้าสดใสแต่ก็ลุ้นอยู่ว่าจะได้เจอหรือเปล่า

จากสถานีรถไฟเราต้องนั่งรถเรโทรบัสซึ่งเป็นรถบัสที่วิ่งรอบทะเลสาบ โดยจะจอดตามสถานีต่างๆ รอบทะเลสาบ ทั้งหมด 22 สถานี ส่วนค่ารถเราซื้อพาสแบบทูเดย์พาสราคา 1,030 เยน ที่สามารถขึ้นกี่รอบก็ได้ในระยะเวลา 2 วันติดต่อกัน ซึ่งถือว่าคุ้มเลยค่ะเพราะราคาไป + กลับ สถานีแรกและสถานีสุดท้ายก็เกือบ 1,000 เยนแล้ว ซึ่งแพลนเราคือจะนั่งรถเรโทรบัสรอบทะเลสาบ เห็นจุดไหนสวยก็แวะลงเลย อยากนั่งไปต่อสถานีไหนก็ได้ แค่โชว์พาสนี้ให้กับคนขับตอนลงรถ สะดวกสบายสุดๆ

ส่วนใครที่อยากไปเที่ยวทะเลสาบไซโกะ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบคาวากูจิโกะ ก็สามารถซื้อพาสที่รวม 2 ทะเลสาบ ในราคา 1,340 เยน ใช้ได้ 2 วันติดต่อกันเช่นเดียวกัน

ส่วนที่มาของเรโทรบัสนั้นเพราะเขาจะมีรถบัสสไตล์เรโทร ซึ่งมีไม่กี่คัน ใครโชคดีก็อาจจะมีโอกาสได้ขึ้น แต่รถบัสที่เราขึ้นวันนี้เป็นรถบัสธรรมดา คันเล็กๆ แอบเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้นั่งคันที่เป็นเรโทร

รถพาเราวิ่งไปรอบทะเลสาบ ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีสวยมากๆ เลยล่ะค่ะ

สถานีแรกที่เราลงคือสถานีที่ 17 พอลงมาก็พบกับความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีทั้งต้น ทั้งต้นเมเปิ้ล แปะก๊วย เหลืองแดงสลับกันไปเป็นทิว

ศาลเจ้าเล็กๆ ริมทะเลสาบ แวะมาไหว้ขอพรกันหน่อย

เราถ่ายรูปใบไม้แดงกันจนเพลิน เพื่อรอฟ้าเปิดแต่ดูทีท่าฟูจิซังจะไม่ออกมาสักที รอจนเริ่มท้อก็ตัดสินใจเดินออกไปเพื่อไปหาอะไรทาน แต่ทันใดนั้นฮานะได้ยินชาวญี่ปุ่นฮือฮา และพูดคำว่า สุโก้ยยย กันใหญ่

เลยหันไปเจอกับภาพนี้ค่ะ

ฟูจิซังที่กำลังโผล่ออกมาจากกลุ่มเมฆ เป็นช่วงเวลาที่เราประทับใจมาก ความยิ่งใหญ่และสวยงามของฟูจิซังทำให้ทุกคนต่างตะลึงกับภาพตรงหน้า เหมือนฟูจิซังจะรู้ว่ามีคนยืนมองอยู่ คุณเขาก็เลยรีบหลบหายไปในกลุ่มเมฆและไม่เผยตัวให้เราเห็นอีก เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไม่ถึง 20 นาที แต่เป็นสิ่งที่ประทับใจสุดๆ เลยค่ะ

อิ่มจากการเฝ้ามองฟูจิซัง ก็ถึงเวลามาหาอาหารใส่ท้องกันบ้าง ซึ่งวันนี้ที่นี่เขามีตลาดนัดย่อมๆ มีร้านอาหาร ร้านขายสินค้าของเกษตรกรมาเปิดร้านกันประมาณ 20 กว่าร้าน บรรยากาศแบบนี้น้อยครั้งที่จะได้เห็น

ปลาอะไรก็ไม่รู้แต่หอมมากๆ

ดังโงะ ซึ่งเป็นแป้งหนึบๆ นำไปย่าง แล้วทาด้วยซอส ซึ่งเขามีให้เลือกมากมายทั้งซอสมิโสะ ถั่วแดง ฮานะชอบแบบทาด้วยมิโสะค่ะ เพราะมันจะหอม ตัวแป้งจะรสหวานๆ ตัดกับรสเค็มนิดๆ ของมิโสะ อร่อยมากๆ

ปลาหมึกย่าง ชิ้นโต ตัวซอสจะออกหวานๆ เห็นแล้วนึกถึงน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บๆ บ้านเราเลยล่ะค่ะ ถ้าได้มาจิ้มนะคงจะอร่อยสุดๆ

อากาศหนาวๆ ได้ทานมันญี่ปุ่นปิ้งนี่ฟินสุดๆ 

แต่ที่ชอบสุดๆ คือองุ่นแดงของร้านนี้ ที่หวาน อร่อยมากๆ เนื้อองุ่นของเขาจะนุ่มๆ เหมือนเยลลี่ เป็นองุ่นที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฮานะกินมา

จากสถานีที่ 17 เราก็นั่งรถบัสไปลงที่สถานีที่ 10 

สถานีนี้เราจะไปขึ้นโรปเวย์กัน

โรปเวย์ที่เราจะขึ้นนี้ชื่อว่า คาจิ คาจิ โรปเวย์ หรือที่ฮานะชอบเรียกว่าโรปเวย์กระต่าย กับ ทานูกิ เพราะเจ้าสองตัวนี้เป็นแมสค็อตประจำโรปเวย์นี้ จุดมุ่งหมายคือเราจะไปถ่ายรูปกับเจ้าสองตัวนี้และชมวิวสวยๆ ของทะเลสาบคาวากูจิโกะ เผื่อโชคดีจะได้เจอฟูจิซังอีกครั้งด้วย

ภาพด้านนอกมองจากหน้าต่างของโรปเวย์

วิวของทะเลสาบคาวากูจิโกะที่แซมไปด้วยไบไม้แดงด้านล่าง

ไม่ถึง 15 นาทีโรปเวย์ก็พาเรามาบนยอดเขาเทนโจ ซึ่งเป็นจุดชมวิวทะเลสาบคาวากูจิโกะได้แบบ 360 องศา

แม้จะขึ้นมาสูงขนาดนี้แต่คุณฟูจิซังก็ยังอายไม่ยอมออกมา มองไปด้านล่างเห็นเพียงฐานของฟูจิซัง ด้านซ้ายของภาพคือ  Fujikyu Highland ค่ะ โหว เห็นแล้วเข่าอ่อนเลย ท่าทางจะเสียวสุดๆ งานนี้ฮานะขอบาย

เจอแล้วคุณกระต่ายกับทานูกิ สมกับเป็นประเทศแห่งการ์ตูนเลย ทุกอย่างมันน่ารักและแบ๊วไปหมด

วิวสวยๆ แบบนี้ฮานะขอถ่ายรูปอัพขึ้นไอจีไปอวดเพื่อนๆ ที่เมืองไทยกันหน่อย

เราออกจากคาวากูจิโกะตอนเย็น โดยนั่งรถไฟกลับมายังชินจูกุ เพื่อมาหาของอร่อยทานมื้อเย็น

พอมาถึงก็ลายตาไปด้วยแสงไฟและผู้คนมากมาย ฮานะว่ากรุงเทพฯ นั้นคนเยอะแล้วมาเจอชินจูกุ คนเยอะยิ่งกว่า ใครอยากเห็นหนุ่มญี่ปุ่น สาวญี่ปุ่น เมาแอ๊ ออกจากร้านเหล้าก็จะได้เห็นบนย่านนี้ คนญี่ปุ่นนี่เวลาทำงานก็จริงจัง และเวลาผ่อนคลายเขาก็จะผ่อนคลายสุดๆ ฮานะเคยเห็นเมานอนหลับบนรถไฟก็มี 

หลายคนที่มาชินจูกุอาจจะไม่เคยรู้ว่าที่นี่เขามีตรอกเล็กๆ ที่ชื่อว่าตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ เป็นย่านกินดื่มสุดเรโทร ซึ่งส่วนมากมีแต่คนญี่ปุ่นเท่านั้น

นี่ไงคะตรอกโอโมอิเดะ (omoide yokocho) ตรอกสั้นๆ แต่ความเมาย้าว ยาว ตลอดคืน

ตรอกเล็ก ที่สองข้างทางมีแต่ร้านอิซากะยะ หรือร้านกินดื่มสไตล์ญี่ปุ่น เน้น อาหาร ปิ้งย่าง จานเล็กๆ ทานคู่กับ เบียร์ สาเก และเหล้า

ตัวร้านจะเป็นร้านเล็กๆ แต่ละร้านสามารถนั่งได้ไม่เกิน 20 คน โดยจะจัดที่นั่งแบบเคาน์เตอร์ ตรงกลางจะเป็นพนักงานที่รับออเดอร์ และปิ้งย่างกันในร้าน 

ถ้าใครเคยดูละครญี่ปุ่นคงจะเคยเห็นบทเล็กๆ ของเจ๊ หรืออาเฮียเจ้าของร้านเหล้าเล็กๆ ทีเป็นเหมือนจุดเชื่อมโยงเรื่องราวของตัวละครต่างๆ ในเรื่อง หลายเรื่องราวอาจจะเกิดภายในร้านเหล้า หลายเรื่องราวอาจจะได้มาเล่าภายในร้านเหล้า และหลายเรื่องราวก็อาจจะจบที่ร้านเหล่าแห่งนี้ ที่นี่บรรยากาศก็เหมือนในหนังเปี๊ยบ เจ้าของร้านพุดคุยสนิทสนมกับลูกค้า เสียงเฮฮาปาจิงโกะ ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราเริ่มอยากเข้าไปนั่งเฮาฮากับเขาด้วย

จนเดินมาเจอร้านนี้พนักงานร้านคนสวยยืนสบตาเราอยู่หน้าร้าน พร้อมพูดภาษาอังกฤษเชิญชวนเรา หนุ่มๆ ในทริปของเราคงจะแพ้กับสายตาน้องสาวคนสวยเลยรีบสาวเท้าเข้าร้านนี้อย่างรวดเร็ว

พนักงานร้านนี้ส่วนมากพูดภาษาอังกฤษได้ดี และมีเมนูเป็นภาษาอังกฤษ เมนูที่เราสั่งมาเป็นเมนูปิ้งย่าง ที่หน้าตาดูธรรมดาแต่มันอร่อยมากๆ กินกับเหล้าบ๊วยอร่อยลืมอาหารญี่ปุ่นที่เคยกินมาที่เมืองไทยเลยล่ะค่ะ 

ตรอกสั้นๆ ที่คละคลุ้งไปด้วยหลากหลายเรื่องราวที่เล่าผ่านกันของนักดื่มทั้งหลาย สาวๆ บางคนที่กลางวันเป็นพนักงานออฟฟิสอันเคร่งเครียด แต่ตอนนี้เธอกลับกลายเป็นสาวเฮฮา พูดเยอะ บางคนก็เมาหลับฟุบไปจนต้องให้เพื่อนหิ้วปีกกลับบ้าน หนุ่มๆ บางคนหน้าแดงเดินโซซัดโซเซไปมา จนเจ้าของร้านบางคนต้องเดินออกมาดูเพราะแอบเป็นห่วง พรุ่งนี้เช้าพวกเขาเหล่านี้ก็จะกลับไปเป็นเป็นพนักงานชาวญี่ปุ่นที่จริงจัง เหมือนเดิม จนเมื่อตะวันลาลับขอบฟ้า โลกที่ไร้ซึ่งข้อจำกัดของแต่ละคนก็จะถูกปลดปล่อยมาในตรอกแห่งนี้

ใครอยากไป ตรอกโอโมอิเดะ (omoide yokocho) ก็ไปตามแผนที่นี้เลย

วันที่ 4 

วันนี้ต้องรับตื่นเช้าเช่นเดิมเพราะเราต้องไปขึ้นชินกังเซนที่อูเอะโนะ เพื่อนั่งรถไฟไปนิกโก้ สถานที่ชมใบไม้แดงที่สวยที่สุดของภูมิภาคคันโต

ก่อนออกเดินทางก็ต้องเปิดไวไฟจาก SAMURAI Wifi  เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตกับมือถือ และเช็ครอบรถไฟก่อน โดยรถไฟที่เราจะไปจะมีตอน 8.14 นาที ดูชานชาลาที่จะไปเสร๗แรัยบร้อยแล้ว แล้วก็ออกเดินทาง วันนี้เราจะใช้ JR Kanto Area Pass เช่นเดิมค่ะ 

8.14 น. เป๊ะๆ ไม่ขาดไปสักเสี้ยวนาที รถไฟชินกังเซ็นยามาบิโกะ ก็มาจอดเทียบชานชาลา ข้อแนะนำคือดูชานชาลาและเวลาให้ดีๆ เพราะถ้าคุณขึ้นช้าหรือขึ้นเร็วไปกว่าเวลาที่กำหนด อาจจะได้นั่งรถไฟหลงไปไหนก็ไม่รู้ ต้องเสียเวลาหาทางกลับอีก 

ตารางเวลาของเราระบุว่าจะถึง UTSUNOMIYA ตอน 9.01 นาที ก็ต้องตั้งเวลานาฬิกาไว้ด้วยเผื่อหลับลึกเพราะชินกังเซ็นนั้นวิ่งนิ่มมากๆ เหมือนกำลังนั่งเครื่องบินเลยล่ะค่ะ ฮานะเคยดูหนังเรื่องหนึ่งที่เกียวกับเหตุการณ์หลังการแพ้สงครามของญี่ปุ่น สิ่งที่ญี่ปุ่นทำหลังแพ้สงครามคือการสร้างโตเกียวทาวเวอร์ และการสร้างรถไฟชินกังเซ็นนี่แหละ จนวันนี้กลายเป็นรถไฟที่ติดอันดับความเร็วสูงสุดในโลก ช่างเป็นประเทศที่ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรเลยจริงๆ

จาก UTSUNOMIYA เราต้องเปลี่ยนไปนั่ง JR Nikko Line เพื่อเดินทางสู่นิกโก้ ประมาณ 42 นาทีรถไฟก็พาเรามาถึงสถานีเจอาร์นิกโก้ พอมาถึงก็ประทับใจกับตัวสถานีมากๆ เพราะดีไซน์สวยและเรโทรมากๆ

จากสถานีเราจะต้องนั่งรถบัสไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในนิกโก้ ซึ่งใครที่ต้องการจะเที่ยวเฉพาะวัดและศาลเจ้ามรดกโลกก็สามารถซื้อตั๋ววันเดย์พาส ราคา 500 เยน แต่สำหรับเรามีแพลนจะไปเที่ยวที่ทะเลสาบจูเซนจิ ซึ่งต้องนั่งรถไปอีกประมาณ 50 นาที เราเลยเลือกตั๋วแบบทูเดย์พาสราคา 2,000 เยน ซึงสามารถซื้อตั๋วที่สถานีเจอาร์นิกโก้ได้เลย

พอได้ตั๋วแล้วก็ออกมายืนรอตรงป้ายรถบัสหน้าสถานี โดยเขาจะมีป้ายระบุเวลารถบัสที่จะมาให้ด้วย

มาถึงแล้วค่ะวิธีขึ้นรถบัสของญี่ปุ่นคือขึ้นจากประตูหลัง สำหรับรถคันนี้สามารถใช้บัตร IC-Card เช่นบัตร Suica หรือ Passmo ได้ ก็แตะตรงทางขึ้นเลยค่ะ ส่วนใครที่อยากจ่ายแบบรายเที่ยวก็ให้หยิบตั๋วตรงกล่องสีเหลืองๆ ตรงประตู โดยที่ตั๋วของเราจะระบุหมายเลขสถานีที่ขึ้นเอาไว้ เวลาจะลงก็ดูตรงแผงจอด้านหน้ารถ ที่ระบุว่าสถานีอะไรต้องจ่ายเท่าไร แล้วเวลาจ่ายเงินก็จ่ายตรงเครื่องรับเงินอัตโนมัตรที่อยู่ตรงคนขับ ใครมีแบงค์ไม่ต้องกลัวเพราะสามารถแลกเหรียญจากตู้นี้ได้เลย ส่วนฮานะซื้อพาสมาก็ไม่ต้องยุ่งยากแค่โชว์พาสให้คนขับดูตอนจะลงเท่านั้น 

แพลนของเราวันนี้คือเที่ยววัดและศาลเจ้าก่อนแล้วค่อยนั่งรถบัสไปเที่ยวทะเลสาบ

ไม่นานรถบัสก็มาจอดที่ Nishi-sando โดยวัดและศาลเจ้าของที่นี่จะมีทั้งหมด 4 ที่ ได้แก่ Toshogu Shrine,Taiyuinbyo, Rinnoji Temple, Futarasan Shrine ใครจะเลือกเข้าทั้ง 5 ที่ก็ได้ เพราะแต่ละที่จะอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ฮานะเลือกเข้าเฉพาะ Toshogu Shrine เพราะจะต้องไปทะเลสาบต่อ

จากจุดจอดรถจะต้องเดินผ่านป่าสนเพื่อไปยังศาลเจ้าโทโชกุ

ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีสวยมากๆ

ค่าเข้าศาลเจ้าราคา 1,300 เยน แต่ก่อนนั้นเขาจะมีตั๋วราคา 1,000 เยน ซึ่งสามารถเข้าได้ทั้งหมด แต่เพิ่งมายกเลิกไปเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ศาลเจ้าและวัดแต่ละที่นั้นเก็บค่าเข้าเอง  ความลำบากเลยตกมาที่นักท่องเที่ยวกระเป๋าแบนแฟนไม่มีอย่างฮานะ เพราะถ้าจะเข้าให้ครบก็เสียค่าเข้าพันกว่าบาทเลย T_T

แต่เงินที่เสียไปก็ไม่เสียดายเมื่อเข้ามาเจอความสวยงามด้านใน

ซึ่งศาลเจ้าโทโชกุนั้นก็เป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญต่อนิกโก้และต่อญี่ปุ่นมาก เพราะเป็นสุสานของโชกุน โตกุกาว่า อิเอยาสุ ซึ่งเป็นโชกุนที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมากๆ รวมถึงที่นี่ยังมีการอัญเชิญดวงวิญญาณอีกสองดวงคือโตโยโตมิ ฮิเดโยชิ ไดเมียวคนสำคัญ และมินาโมโตะ โยริโตโมะ ผู้ที่จัดตั้งรัฐบาลทหาร มาสถิตย์ ณ ที่แห่งนี้ด้วย

และที่นี่ยังเป็นที่รวมของผลงานศิลปะ อย่างเช่นภาพแกะสลักไม้บนศาลาที่นักท่องเที่ยวต่างมาถ่ายรูปกันนี้

ภาพแกะสลักลิงปิดตา ปิดหู ปิดปาก คือปริศนาธรรม ที่สอนเราให่ไม่พูด ไม่มอง ไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ดี

รูปปั้นแมวหลับทางไปสุสานของโชกุนซึ่งใครมาก็ต้องมาถ่ายรูปคือผลงานของสิลปินคนเดียวกับที่ภาพแกะสลักลิง

จากนั้นเราออกมารอรถบัสที่ป้ายรถเพื่อเดินทางสู่ทะเลสาบ Chuzenji  ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่่งชั่วโมง  ฮานะคาดหวังว่าจะได้เจอใบไม้แดงแบบเต็มอิ่ม

รถบัสขับผ่านเส้นทางถนนอันคดเคี้ยวและสูงชัน มองลงไปเห็นถนนเป็นเลข 8 เลยล่ะค่ะ แต่เมื่อรถมาถึงทะเลสาบก็ต้องพบภาพที่น่าผิดหวัง...

เพราะใบไม้แดงที่เราหวังจะเจอได้ร่วงไปหมดแล้ว ซึ่งมาทราบทีหลังว่าเราไปช้าเพียงไม่กี่วัน ก่อนหน้านี้ รอบๆ ทะเลสาบแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยใบไม้แดง สวยงามมากๆ

ใกล้ๆ ทะเลสาบ  Chuzenji ยังเป็นที่ตั้งของน้ำตก Kegon ซึ่งเราก็ไปไม่ทันใบไม้แดงเช่นเดียวกัน

จากทะเลสาบเรานั่งรถมาด้วยความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เห็นภาพสวยงามนั้น เราตัดสินใจแวะที่สุดท้ายในนิกโก้ นั่นก็คือสะพานชินเคียว พอมาถึงความเสียดายเมื่อกี้หายไปเลยล่ะค่ะ เพราะภาพตรงหน้านั้นสวยเกินบรรยาย สะพานสีแดงที่ทอดตัวบนลำธารสีเขียวมรกต มีฉากหลังเป็นภูเขาซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี

ใครอยากจะเดินข้ามสะพานก็เสียค่าเข้า 300 เยน แต่ฮานะขอยืนถ่ายรูปสวยๆ ด้านนอก และส่งภาพสวยๆ ที่ราวกับภาพวาดลงอินสตาร์แกรมโชว์ให้เพื่อนที่เมืองไทยชมกัน เท่านี้ก็พอแล้วล่ะค่ะ

วันที่ 5

วันนี้เราไม่มีโปรแกรมอะไรค่ะ เพราะเราต้องออกจากที่พักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อนั่งรถไฟของบริษัท Keisei กลับมายังสนามบินนาริตะ ระหว่างนั่งรถไฟออกจากโตเกียวนั้นฟ้ากำลังเริ่มสางเลยล่ะค่ะ เป็นความรู้สึกที่เหงาแปลกๆ แม้จะดีใจที่จะได้กลับบ้าน แต่ก็รู้สึกว่ายังเที่ยวที่นี่ไม่อิ่มเลย ก็เพราะญี่ปุ่นนั้นเที่ยวครั้งเดียวไม่เคยพอจริงๆ ค่ะ ยังมีอีกหลายสถานที่ หลายมุมของญี่ปุ่นที่น่าไปสัมผัสมากๆ แม้วันนี้เราจะโบกมือลาญี่ปุ่น แต่ขอบอกเลยว่าต้องมีครั้งหน้าแน่นอน

Tags: เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว-นิกโก้-คาวากูจิโกะ 5 วัน 4 คืน ชมใบไม้แดง (ตอนที่ 2)

เขียนโดย

Admin Chillpainai

แชร์บทความนี้