0
0
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

เที่ยวพม่า...รับบุญฝ่าสายฝน... (ตอนที่1 จากย่างกุ้ง...มุ่งสู่พระธาตุอินทร์แขวน)

calendar_month 23 พ.ย. 2011 / stylus Admin Chillpainai / visibility 20,645 / เที่ยวต่างประเทศ

พาเที่ยวพม่า ย่างกุ้ง สี่วันครึ่ง-สี่คืน...


การเดินทางของเราเริ่มต้นที่สุวรรณภูมิ คราวนี้ใช้โปรของเจ้าหางเเดงเช่นเคย ห้าโมงเย็นเครื่องออก ถึงที่หมายภายในหนึ่งชั่วโมง แต่เวลาพม่าช้ากว่าไทยครึ่งชั่วโมง กลายเป็นว่าเราถึงในราวๆ ห้าโมงครึ่ง



 
 
 
ณ ย่างกุ้ง เรามาถึงเเล้ว เเละได้รับการต้อนรับจากไกด์สาวชาวไทใหญ่ พูดไทยชัดๆ นามว่า "ฟองนวล" รูปร่างเอวบางร่างน้อยมาก ทำให้คิดถึงคำลี่ ในหนังเรื่องสะบายดีหลวงพระบาง เราเห็นถึงกะหวั่นใจ ไกด์คนนี้จะรับมือก๊วนพวกเราไหวมั้ยนะ เเค่รูปร่างก็เเพ้ไปแล้ว ฮ่าๆ  เธอต้อนรับเราด้วยอาหารมื้อค่ำที่ร้าน White Rice ริมทะเลสาบกานดอจี (ทะเลสาบใหญ่ในเมืองย่างกุ้ง) มื้อเเรก ก็หรูหรา อิ่มหนำกันมากมาย ปูนิ่ม อร่อยสุดๆ เเละได้ลิ้มรสเจ้า "เฉาก๊วย" ของหวานที่ "ขม" เเปลกๆ 








 
เข้าพักโรงเเรม Summit Hotel ที่พักดูดี ติดหลายดาวเลยทีเดียว ระหว่างทางที่จะไปถึงโรงเเรม เราได้ตื่นตาตื่นใจเมื่อผ่านเจดีย์ชะเวดากองยามค่ำคืนด้วย เราได้เห็นความยิ่งใหญ่อลังการ เเถมสีเจดีย์ทองสดตัดกับสีดำเข้มของท้องฟ้าได้อย่างงดงามนัก เเละยังคงมองเห็นผู้คนพม่าเข้าวัดไหว้พระกันอยู่ตอนนี้ ฟองนวลบอกว่า วัดในพม่าจะปิดสี่ทุ่มทุกวัน เพราะตอนค่ำๆ คนพม่าจะไม่มีละครทีวีดูเหมือนอย่างบ้านเรา เเต่เค้าจะนิยมมาไหว้พระ นั่งสมาธิ ทำบุญกับครอบครัว
....วันหน้านู้นล่ะ เราถึงจะได้มายล เพราะทริปวันเเรกของเรานั้น เราจะไปไกลๆก่อน คือจะไปรัฐมอญเเละเมืองหงสา...

 

 


วันที่สอง... การเดินทางสู่พระธาตุอินทร์แขวน
 
เริ่มต้นวันเเรกของการเดินทางอย่างจริงจังด้วยบรรยากาศฝนพรำเบาๆ ตลอดทั้งวัน วันนี้เราจะหอบหิ้วกระเป๋าใบเล็กใส่เสื้อผ้าเพื่อค้างบนพระธาตุอินทร์เเขวนหนึ่งคืน ออกเดินทางเเต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าไปยังเมืองหงสาวดี หรือที่คนพม่าเรียกว่า พะโค (Bago) ระหว่างเราก็ได้พบกับชีวิตชาวบ้านๆ ของพม่า สภาพท้องถนน หน้าตาคนพม่า รถรา (รถบางคันมีอายุตั้งเเต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองเลยทีเดียว!!) เรียกได้ว่า เหมือนเมืองไทยย้อนหลังไป 30 ปี 
 



ระหว่างทางที่เราไป มีที่เเวะเที่ยวได้เเก่ วัดไจ้ปุ้น หรือพระสี่ทิศ  เป็น พระพุทธรูปนั่งสูง 30 เมตรประดิษฐานอยู่สี่ทิศ มีตำนานว่า เจดีย์ไจ้ปุ้น สร้างโดยสี่สาวพี่น้องที่อุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนาสร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง และสาบานตนไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ เชื่อกันว่าหากคนใดคนหนึ่งแต่งงาน พระพุทธรูปก็จะพังลงมา ซึ่งจะมีพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่มีลักษณะชำรุดผุพังมาก เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวในปี 1930 และได้บูรณะขึ้นใหม่เเต่ต่อเติมยังไงก็ไม่เหมือนเดิม เลยว่ากันว่าเป็นเพราะน้องคนสุดท้องได้ผิดคำสาบานที่เคยให้ไว้
 



 
วัดที่พม่านี้บางวัดจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมนำกล้องเข้าวัดด้วย 300 จ๊าด สำหรับกล้องถ่ายรูป เเละ 500 จ๊าด ถ้าเป็นกล้องวิดิโอ (อัตราเเลกเปลี่ยนแบบคร่าวๆ 1000 จ๊าด = 50 บาท) พอคุณจ่ายเงิน ก็จะได้กระดาษเล็กๆที่ผูกมากับยางรัดของ คุณพี่พม่าเค้าก็จะเอามาคล้องกล้องให้คุณเลย
 

จากนั้น ก็เข้าสู่เขตเมืองหงสาวดี เมื่อเข้าไปในเมืองจะมองเห็นสัญลักษณ์ของเมืองหงสาซึ่งก็คือ หงส์สองตัวซ้อนกัน รูปปั้นนี้ตั้งอยู่ตรงหอนาฬิกาใจกลางเมือง
 


ผ่านเมืองไปไม่ไกล เราก็ไปต่อที่ วัดไจ้คะวาย (อย่าเขียนติดกันเด็ดขาด เดี๋ยวมันจะเเปลไปอีกอย่าง) วัดนี้เป็นโรงเรียนสงฆ์ ชาวบ้านนิยมมาทำบุญใส่บาตรเเละเลี้ยงเพลพระสงฆ์ที่นี่ นักท่องเที่ยวอย่างเราก็ได้ร่วมบุญด้วย ที่นี่ใส่บาตรด้วยข้าวสวยอย่างเดียว ตักกันเป็นจานๆกันเลย ส่วนกับข้าวนั้นก็เเล้วเเต่ชาวบ้านจะถวายอะไรเพิ่มเติมอีก อย่างตอนที่ฉันไปนี่มีคนถวายไอศกรีมด้วยนะ!!
 
            

 
 

ที่นี่ทำให้เราได้รู้จักกับ "เจ้าหนี้" เป็นครั้งแรก... คือ เด็กๆดราม่าเรียกน้ำตา ขอเงินนักท่องเที่ยว บางคนตามพวกเราจากวัดหนึ่งไปอีกวัดหนึ่งได้ด้วย เเถมตามไปร้านอาหารกลางวันกันเลยทีเดียว!!! มื้อเที่ยงนี้ เราไปเเวะทานข้าวกันที่ร้าน 555 (อ่านว่าตองห้า) ในเมืองหงสามีร้านอาหารที่ทัวร์ชอบใช้บริการสองที่ อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน คือร้าน 555 กับอีกร้านที่คนไทยชอบเรียกกันว่า "ร้านเจ้าสัว" ซึ่งพรุ่งนี้ขากลับย่างกุ้ง เราจะเเวะทานที่ร้านนี้  ส่วนมื้อนี้เราตื่นเต้นกับกุ้งเเม่น้ำ ตัวใหญ่ๆเป็นอย่างมาก เเต่ฟองนวลกลับพูดเรียบๆบอกเราว่า "นี่เเค่ลูกกุ้งเท่านั้นค่ะ"
 

ผ่านพ้นเมืองหงสาออกไป ขับรถข้ามเเม่น้ำสะโตง สักราวๆชั่วโมง ก็มาถึงรัฐมอญ สภาพสองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวขจี และชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนโปรย
 

จากนี้ก็ได้เวลาเดินทางขึ้นเขา เพื่อไปยังพระธาตุอินทร์เเขวน หรือ ไจ้ทิโย ตามภาษาพม่า  พระธาตุอินทร์แขวน ตั้งอยู่บนภูเขาสูง 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถ้าจะเดินขึ้นไปเองตามถนนที่รัฐบาลพม่าทำเอาไว้ เหมือนคนพม่าที่เคร่งศาสนา ระยะทางก็ประมาณ 9.5 กิโลเมตร แต่ถ้าเลือกนั่งรถหกล้ออย่างที่เราทำ รถจะแล่นมาราว 8.5 กิโลเมตร ส่วนอีก 1 กิโลเมตรสุดท้ายต้องลงเดินเอง … นัยว่า 1 กิโลเมตรที่เหลือเป็นการพิสูจน์แรงศรัทธา
 
ลงจากรถทัวร์ เริ่มต้นด้วยรถขนหมู เอ๊ยย...รถกระบะสูง ซึ่งจุนักท่องเที่ยวได้ 25 ชีวิต (หน้าตารถ เราเคยเห็นมาเเล้วเเละได้ทำใจไว้เเล้ว 55 ) ขโยก โยกขึ้นลงดั่งรถไฟเหาะ ยิ่งคนนั่งกรี๊ดกร๊าดกัน ก็ยิ่งเหมือนจะเร่งให้คนขับขับได้หวาดเสียวกว่าเดิม !!  ราวๆครึ่งชั่วโมงก็ไปถึงจุดปล่อยเดิน ใครจะเดินหรือนั่งเสลี่ยงต่อกันไปก็ตามเเต่จิตศรัทธา ทางเดินเรียบสบาย เป็นทางถนน ไม่ไกล เเละไม่ชันเท่าไหร่  ถึงแม้ฝนจะตก แต่เราก็เดินขึ้นกันด้วยพลังศรัทธาเต็มเปี่ยม


สักชั่วโมงก็ถึงโรงเเรมบนเขา เเต่ระหว่างทางที่ไป จะเจอพวกลูกหาบยกเสลี่ยง คอยประกบเดินตาม หวังจะเก็บพวกเราที่ถอดใจเลิกเดินกลางทาง...เเต่ฝันไปซะเถอะ 555!! นอกจากนั้น ยังมีเด็กพม่าตัวเล็กๆพูดไทยชัดๆ เรียกตัวเองว่า "บอดี้การ์ด" คอยเดินขึ้นเป็นเพื่อนเรา ท้ายสุด ก็คือขอเงินเราอ่ะเเหละ ค่าเดินเป็นเพื่อน เราไม่ได้ขอเล้ยยย มันตามมาเอง... (ช่วงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเลยเพราะฝนตกตลอดเวลา)
 
 
ถึงโรงเเรมไจ้ทิโย โรงเเรมที่ดีที่สุดเเละใกล้วัดที่สุดบนเขานี้ ต้อนรับเราด้วยชาจีนร้อนๆ
อากาศบนนี้ ครึ้มไปด้วยหมอก เเละสายฝนพรำไม่หยุดหย่อน ต้องทำใจซะเเล้ว...วันนี้ฟ้าปิดตลอดเลย T^T

 



 

จากโรงเเรมนี้สามารถมองเห็นวิวพระธาตุอินทร์แขวนได้ชัดเจนมาก เเต่น่าเสียดายที่เรามาในหน้าฝน สภาพอากาศไม่เป็นใจ เเละท้องฟ้าก็ปิด นี่คือชอทเดียวที่ฟ้าเปิดเเละมองเห็นองค์เจดีย์ชัดเจนเต็มๆ
 
 
เก็บสัมภาระกันเสร็จ ก็ออกเดินเท้าเปล่าขึ้นวัด เเละเเล้ว เราก็ได้ขึ้นมาสักการะพระธาตุอินทร์เเขวน สมความตั้งใจ...

 



 
บนเส้นทางก่อนขึ้นไปถึงองค์พระธาตุนั้น จะมีอาคารให้เข้าไปไหว้สองจุดคือ ทางด้านขวา เป็นองค์พระธาตุจำลอง ตรงจุดนี้ผู้หญิงสามารถไหว้เเละสัมผัสรับพลังความศรัทธาได้จากองค์พระธาตุ ต่างกับตรงองค์จริง ซึ่งผู้หญิงเข้าไปไม่ได้ เเละยังมีรอยพระพุทธบาท ก็จะมีผู้คนนิยมเอาเเบงค์มาลอยน้ำเเล้วอธิษฐาน ว่ากันว่า ถ้าขอบเเบงค์ก็จะม้วนงอเข้าหากัน แสดงว่าคำอธิษฐานนั้นใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว
 





 
ส่วนอาคารทางซ้าย คือ รูปปั้นพระนางชเวนันจิน ซึ่งนางเป็นส่วนหนึ่งในตำนานของพระธาตุอินทร์แขวน มีความเชื่อกันว่าหากเจ็บป่วยตรงส่วนไหนของร่างกาย เวลาไหว้พระนางก็ให้จับ บีบ นวดรูปปั้นพระนางตรงส่วนที่เจ็บป่วยแล้วตั้งจิตอธิษฐาน และกลับจับร่างกายของเราตรงที่เจ็บป่วยก็จะหายได้
 


และเเล้วเราก็ฝ่าสายหมอกฝนจนถึงองค์เจดีย์ไจ้ทิโย ลักษณะเป็นก้อนหินที่วางหมิ่นเหม่เเบบไม่น่าจะวางอยู่บนหินก้อนล่างได้ มีตำนานเรื่องเล่าน่าอัศจรรย์ต่างๆมากมาย เเละที่เเน่ๆเค้าพิสูจน์กันเเล้วว่า หินสองก้อนนั้นลอยอยู่ ไม่ได้สัมผัสกัน เพราะเคยมีคนมาพิสูจน์ด้วยการนำเส้นด้ายลอดผ่านหินทั้งสองก้อนก็ยังสามารถผ่านได้ เเละที่เราเห็นเป็นสีทองนั้น ก็เต็มไปด้วยจิตศรัทธาของคนที่มาปิดทองคำเปลวที่องค์พระธาตุทั้งนั้น  ที่นี่ผู้หญิงห้ามเเตะองค์พระธาตุ เเละห้ามเข้าไปเขตในรั้ว ต้องฝากเเผ่นทองให้ผู้ชายเข้าไปปิดทองที่องค์พระธาตุ ก่อนที่จะขอสัมผัสมือถ่ายทอดบุญกลับมาให้เรา  เราดื่มด่ำไปกับความงดงามของไจ้ทิโยอยู่นานมากๆ  เสียดายที่ท้องฟ้าในช่วงเวลานี้ปิดหมด ทำให้ไม่สามารถเก็บภาพองค์พระธาตุชัดๆสวยๆท่ามกลางฟ้าปลอดโปร่งได้เลย
 



จากนั้นก็กลับโรงเเรมเพื่อทานอาหารค่ำ อิ่มอร่อยอีกเช่นเคยมื้อนี้  ทางเดินในโรงเเรมตอนหัวค่ำ ยามเเสงโพล้เพล้ สวยดีเลยอดใจไม่ได้ที่จะเก็บภาพมา

 

 
ความเชื่อของคนพม่า บอกว่าคนเราควรขึ้นมาไหว้สักการะพระธาตุให้ครบ 3 ครั้ง จึงจะถือว่าได้บุญสูงสุด ทริปนี้พวกเราเลยตั้งใจกันไว้ว่า จะขึ้นพระธาตุกัน 3 ครั้ง หลังมื้อค่ำนี้จะขึ้นไปอีกรอบ เพื่อไปนั่งสมาธิสวดมนต์บนนั้น เเละพรุ่งนี้เช้าอีกครั้ง เพื่อตักบาตรแก่พระธาตุ (ไม่ใช่พระสงฆ์นะ) ค่ำคืนนี้เราจึงอื่มบุญด้วยการขึ้นไจ้ทิโยอีกรอบ สวดมนต์ ทำสมาธิ ด้วยความที่ฉันอยากจะเก็บภาพพระธาตุสวยๆ เลยแอบขอพระธาตุไว้ว่า พรุ่งนี้ ขอให้ได้ภาพสวยๆ ขอให้ฟ้าเปิดด้วยเถิดด.....
 
เเต่เเล้วขากลับก็ต้องผจญกับพายุฝนหนักเลย กว่าจะได้กลับโรงเเรมพักผ่อนก็ดึกซะเเล้ว อากาศในห้องนอนเหม็นอับมาก เเละชื้นมาก เนื่องจากเป็นฤดูฝน ทำเอานอนไม่หลับเลย ราตรีสวัสดิ์คืนนี้.... เเล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า เราจะย้อนรอยประวัติศาสตร์กันในเมืองหงสาวดี



เรื่องโดย : This road is mine
 


เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai