0
0
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

พิชิตภูเขาไฟ Rinjani อินโดนีเซีย ตอน1 : รอบเกาะ Lombok

calendar_month 16 ก.ย. 2012 / stylus Admin Chillpainai / visibility 28,706 / เที่ยวต่างประเทศ

"ห๊ะ! ปีนภูเขาไฟเนี่ยนะพี่ นึกยังไงมาชวนหนูไปด้วย"

 

please นั่นคือคำแรกที่อุทานออกมา หลังจากได้รับคำชวนจากรุ่นพี่นักเดินป่าว่าจะชวนไปเดินภูเขาไฟที่อินโดนีเซีย นามว่า "รินจานี" (Rinjani)

 

“พี่เชื่อว่าหนูทำได้นะ... ดูจากทรงแล้ว... คีนาบาลูก็ผ่านมาได้!! แถมที่นี่มันสวยมากๆเลยนะ... อืมม รีบตอบนะ เพราะจะจองตั๋วเครื่องบินอีกวันสองวันนี้แล้ว" แล้วคุณพี่ก็ตัดสายไป เหอๆ

 

อุ้ย! เอาแล้วไง เดินป่าในไทยยังพอว่า แต่นี่จะให้ไปเดินป่าเมืองนอก แถมยังเป็นภูเขาไฟอีกแน่ะ...

นึกอะไรไม่ออกก็ต้องรีบเสิร์ชหาข้อมูลทางอินเตอร์เนตเพื่อสร้างกิเลสใส่ตัว

 

ในอินเตอร์เนต ข้อมูลเกี่ยวกับรินจานีสำหรับหน้าเว็บคนไทยมีน้อยมาก มีคนไทยเพียงไม่กี่กลุ่มที่เคยไปพิชิต แต่ถ้าให้ดูจากเว็บต่างประเทศแล้ว ภูเขาไฟลูกนี้ผ่านตาผ่านขานักเทรคกิ้งมาหลายเชื้อชาติแล้ว

 

Rinjani เป็นภูเขาไฟสูง 3,776 เมตร สูงอันดับสองของอินโดนีเซีย และสูงสุดของเกาะลอมบอก ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ห่างจากเกาะบาหลี ไม่กี่สิบกิโลเมตร มาทางทิศตะวันออก ภูเขาไฟลูกนี้ยังไม่ดับ เคยปะทุครั้งล่าสุดเมื่อปี 1994 ทำให้เกิดภูเขาไฟลูกเล็กขึ้นภายในปากปล่องภูเขาไฟอีกที ซึ่งจะมีทะเลสาบล้อมรอบภูเขาไฟลูกเล็กนั้น... นี่คือภาพภูเขาไฟ Rinjani ที่เซฟมาจากอินเตอร์เนต เห็นข้อมูลคร่าวๆ แค่เพียงเท่านั้นแหละ ก็รีบโทรบอกพี่เขากลับไปเลยว่า
" ไป!!! " 


 

 

สิ่งสำคัญก่อนเดินทางคือการเตรียมความพร้อม ทั้งทางร่างกาย จิตใจ มันนี่ และอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เราไปให้ถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อกันหนาวสำหรับอุณหภูมิเลขตัวเดียว ไม้เท้าสำหรับเดินป่า รองเท้าเดินป่าอย่างดี ไฟฉายคาดหัว gaiter (ถุงสวมกันเศษหินเข้ารองเท้า) ฯลฯ ออกกำลังกายเน้นเดินวิ่ง ลุกนั่ง ให้ขาแข็งแรง ที่เหลือก็... ใจล้วนๆ...ใจป๊าวว!!

 

ว่าแล้วก็ออกเดินทางเลยดีกว่า ทริปนี้ใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน นั่งเครื่องบินไปลงที่เมืองสุราบายา อินโดนีเซีย จากนั้นต้องต่อเครื่องบินในประเทศไปยังเมืองมาทาแรม (Mataram) แห่งเกาะลอมบอค (Lombok) เที่ยวเล่นรอบเกาะ 1 วัน ส่วนภูเขาไฟนั้นเราใช้เวลา 3 วัน 2 คืนเต็มๆ อีกวันสุดท้ายก็การเดินทางกลับ ดีหน่อยที่คราวนี้เราติดต่อบริษัทที่ทำทัวร์เดินป่ารินจานีโดยเฉพาะ แพคเกจทั้งหมดเลยค่อนข้างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นค่าลูกหาบและไกด์ เต๊นท์นอน เครื่องนอน อาหารน้ำดื่ม รวมไปถึงค่าที่พักในเมือง 2 คืน และรถรับส่งจากสนามบิน (แพคเกจ รินจานี 3 วัน 2 คืน ตกคนละ 200++ US)

 

แถมเขายังพาเราเที่ยวลั้ลลาในเมืองลอมบอคอีกด้วย!! และนี่แหละค่ะ สกู๊ปภาคแรกที่ทุกท่านจะได้อ่าน...

 

 

จากสุราบายาถึงลอมบอค...karok_eat

 

แม้ว่าเป้าหมายจะคือขุนเขาที่ทุกคนใฝ่ฝัน แต่เพื่ออรรถรสในการท่องเที่ยวให้มากขึ้น เราก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งสวยงามที่อยู่ข้างทางด้วย เราออกเดินทางโดยเจ้าหางแดงเช่นเคย บินลัดฟ้าไปยังเมืองสุราบายา จากนั้นก็นอนรอที่สนามบินเพื่อต่อเครื่องบินในประเทศ (Lion Air) ไปยังเมืองมาทาแรม เกาะลอมบอค

 


 

 

ระหว่างบินจากสุราบายาไปเกาะลอมบอคนั้น มองเห็นภูเขาไฟมากมาย
ก็อินโดนีเซียนั้นเต็มไปด้วยภูเขาไฟน่ะซิ

 

คาดว่าน่าจะเป็นภูเขาไฟโบรโม่ แห่งสุราบายา เรียกได้ว่า เป็นลมหายใจแห่งเกาะชวา เลยล่ะ

 

อันนี้น่าจะเป็นช่วงที่เราบินผ่านเกาะบาหลี ภูเขาไฟอากุง ภูเขาไฟที่สูงที่สุดแห่งเกาะบาหลี (3,100 เมตร)

 

 

และแล้วก็ถึงสนามบินเกาะลอมบอคโดยสวัสดิภาพ (เกาะนี้เวลาเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง) มีรถตู้มารับเราไปยังที่พัก ซึ่งระหว่างทาง เขาพาเราไปสัมผัสตลาดยามเช้า ซึ่งที่นี่เขาจะมีตลาดนัดกันอาทิตย์ละครั้ง เราโชคดีมากๆ ที่มาในวันที่มีตลาดพอดี (วันพฤหัสบดี) ดังนั้นพอถึงตลาด ก็ไม่ต้องตกใจถ้ามันเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

 


 

บ้านเรือนของคนที่นี่จะเป็นชั้นเดียว หลังคาปั้นหยาเอียง 45 องศา ดูแล้วน่ารักดี เหมือนๆกันทุกบ้านเลย

 

  

ชาวบ้านผู้หญิงจะนุ่งผ้าทอลายสวยๆ เทินของไว้บนศีรษะ

 


 

  

พ่อค้าแม่ค้าน่ารักมาก ยิ้มแย้มให้กล้องตลอด hahaha

 

  

ชุดเด็กนักเรียน น่ารักดีนะ

 

ที่นี่ยังคงใช้รถม้าเป็นพาหนะ อยากลองนั่งเหมือนกันแต่ไม่มีโอกาส


 

ถัดจากตลาดมาไม่ไกล เราแวะหมู่บ้านที่ชื่อว่า Sukarare Village ที่นี่มีศูนย์หัตถกรรมทอผ้า ยังคงใช้กี่กระตุก เหมือนทางอีสานบ้านเฮาเลย

 


 

 

เนื่องจากว่าช่วงที่ฉันไปเป็นเดือนสิงหาซึ่งเป็นช่วงรอมฎอน เทศกาลถือศีลอดพอดี เลยหาของกินยากหน่อย เพราะเขาจะปิดร้านไม่ขายอาหารเลยจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน โชคดีที่เเวะมาหมู่บ้านสำหรับการท่องเที่ยวพอดี เขาเลยจัดหาอาหารเช้ามาให้เราทานได้บ้าง (เกือบต้องกินขนมปังมินิมาร์ทข้างทางซะแล้ว) เป็นเนื้อทอดเสียบไม้ (อิสลามเขาไม่ทานหมูกัน) ทานคู่กับไข่ต้ม และผัดผักแห้งๆ พวกมะเขือเทศ มะเขือยาว ตามด้วยชามะนาวเย็นๆ พอดับหิวได้บ้าง 

 

  

 

นั่งรถต่ออีกไกลเลย สักเกือบสองชั่วโมงก็มาถึงที่พัก เป็นโฮมสเตย์ชื่อว่า Madatika เอนกายอาบน้ำเปลี่ยนชุดกันก่อนเราจะออกไปลั้ลลา เที่ยวทะเลรอบเกาะลอมบอคกัน ^___^
 

 


 

เที่ยวทะเล เที่ยววัด เมืองนอก... karok_dive

 

พูดเหมือนไปไกล แต่ความจริงก็แค่อินโดเอง 555+

รถตู้สองคันพาเรา 12 คน ออกเดินทางตระเวนรอบๆเกาะ เพิ่งจะรู้ว่า เกาะลอมบอคแห่งนี้มีชื่อเสียงทางด้านท้องทะเลที่สวยงาม พอๆกับภาคใต้ของเราเลยล่ะ เห็นทะเลแค่จากด้านบนหน้าผาก็สวยงามจะแย่แล้ว แล้วถ้าได้ลงไปดำผุดดำว่ายข้างล่างก็คงจะสวยมากไปกว่านี้แน่ๆ

 


 

 

ถนนเส้นที่เรามาเป็นถนนเลียบชายหาดฝั่งตะวันตก สภาพถนนดีมากรองรับพวกโรงแรมรีสอร์ทใหญ่ๆ ริมทะเลที่กำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่งบนเกาะสงบๆ แห่งนี้ คาดว่าอีกไม่นาน เกาะลอมบอคก็คงจะคึกคักไปด้วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวพอๆ กับที่บาหลี

 


 

 

humถนนหนทางเลี้ยวเลาะไปตามเขาเรื่อยๆ และเลียบไปกับชายหาด ทำให้ได้แวะถ่ายรูปตามจุดชมวิวไปตลอดทาง มีอ่าวใหญ่น้อยมากมาย มองไปมองมาก็คล้ายๆ จุดชุมวิวสามอ่าวแถวภูเก็ต

 


 

ไกลๆ ด้านหลังแหลมโขดหินในภาพ มีเกาะเล็กๆ แบนๆ 3 เกาะเรียงติดกัน ชื่อว่า หมู่เกาะกีรี (Gili) มีชื่อเสียงมาก เพราะมีทะเลที่สวยงาม เรียกได้ว่าถ้าใครมาที่ลอมบอค จะต้องมาเที่ยว 3 เกาะนี้ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง(ฉันไม่ได้ไป แปลว่ามาไม่ถึงสิเนี่ย 555) 
 

 

วนมาอีกด้านหนึ่งของแหลม ทะเลก็ยังสวยไม่ต่างจากเดิม


karok_beachballรถพาเราเเวะชายหาดเเห่งหนึ่ง ฉันตื่นเต้นมาก รีบถอดรองเท้าวิ่งลงไปหาทะเล
เพราะนี่คือครั้งแรกที่ได้เหยีบน้ำทะเลต่างบ้านต่างเมือง ฮ่าๆ ดีใจสุดๆ

 

   
 


 

เนื้อทรายไม่ขาวละเอียด แต่มีทรายสีดำปนบ้าง คิดว่าน่าจะเป็นทรายภูเขาไฟ เหมือนชายหาดที่บาหลี

 

เรือบ้านเขาไม่เหมือนบ้านเรา ของเขามีคานยื่นออกมาสองข้างของลำเรือ

 

 

จากนั้น เราเดินทางต่อไปยัง วัด Pura Meru Temple วัดฮินดูที่ใหญ่สุดบนเกาะลอมบอกwhat
 


 

 

วัดที่นี่จะคล้ายๆกับวัดที่บาหลี ไม่ต้องนุ่งโสร่ง แต่ก่อนเข้าวัด เขาให้ผ้าผืนนึงไว้คาดผูกที่เอวเป็นธรรมเนียม ตัวภายในวัดก็สวยดีและมีความหมายเกี่ยวกับ เทพเจ้าและภูเขาไฟรินจานีที่อยู่บนเกาะแห่งนี้ด้วย (ขออภัย ที่ไกด์อธิบาย ข้าพเจ้าลืมไปหมดแว้ว แหะๆ)

 


 

   

 

herher เรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบใจเวลาไปเที่ยววัดแบบนี้ (รวมไปถึงที่บาหลี) คือชาวบ้านเจ้าถิ่น ไขกุญแจพาเข้าชมวัดแล้วให้บริจาคหยอดตู้ค่าเข้าชมก่อนเข้า แล้วพอชมวัดเสร็จก็จะมาขอค่าพาเข้าไปอีก รวมเข้าไปชมแป๊ปเดียวแค่ราวๆ 20 นาที ได้ไป 190,000 รูเปี๊ยะต่อกลุ่ม(ประมาณ 600 กว่าบาท) จริงๆเขาเรียกแพงกว่านี้อีก แต่นี่ต่อราคาลง มันก็คงจะดีถ้าเงินที่ให้ไปมันเข้าวัด แต่คิดว่า น่าจะเข้ามือชาวบ้านเขามากกว่า เหอๆ 


 

ได้เวลาเย็นย่ำ คือเวลาดีใจของพวกเรา เพราะร้านอาหารเปิด จะได้ทานข้าวแบบเต็มอิ่มเสียที karok_waipra
มื้อนี้เราตกลงจะไปทานข้าวกินบรรยากาศพระอาทิตย์ตกริมทะเล


 

พระอาทิตย์ตกริมทะเลที่นี่ สวยงามจริงๆนะ (ถ้ามองข้ามพวกขยะ และชาวบ้านที่ชอบสูบยาเส้นควันคลุ้งไปทั่วไม่ว่าจะไปที่แห่งไหน)

 


 

   
 


 


ดื่มด่ำบรรยากาศพอแล้ว จะแนะนำให้ลองดื่มบินตัง เบียร์ดาวแดงชื่อดังของที่นี่... cumpai


 

เมนูค่ำคืนแรกบนเกาะลอมบอคแห่งนี้ เราจัดเต็มไปกับกุ้ง ไก่ ปลาย่าง กินกับน้ำจิ้ม 4 แบบ และผักบุ้งต้มที่มีซอสถั่วแดงๆราดมาบนนั้น ถือว่าก็แปลกแต่ก็อร่อยถูกปากเลยล่ะ
 

  

 

กลับที่พักอย่างง่วงงุน แต่จริงๆแล้วในใจตื่นเต้นมาก sad เพราะหลังทานข้าวนี้ เจ้าหน้าที่จากทางทัวร์จะมาบรีพเกี่ยวกับเส้นทางเดินป่ารินจานีในวันพรุ่งนี้ รวมไปถึงข้อควรระวัง จุดไหนโหด จุดไหนชัน จุดไหนเดินยาก... ฉันนั่งฟังไปอย่างตั้งใจและรู้สึกได้เลยว่าในใจเต้นแรงอย่างมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงยอดบนสูงสุดนั่นให้ได้!!



 

เขาว่ามันโหด เขาว่ามันยาก แต่ชีวิตมีครั้งเดียว ใช้ให้คุ้ม

รินจานี... สู้เว้ยยย!!  what

 

 

ติดตาม "พิชิตภูเขาไฟ Rinjani อินโดนีเซีย ตอนที่ 2" เร็วๆนี้ มาร่วมเดินทางไปด้วยกันนะ

 

เรื่องและภาพ โดย This road is mine
 



เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai