0
0
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

ที่เที่ยวกรุงเทพ : เดินเล่น หาของกิน สไตล์ญี่ปุ่น ที่ Hako Town (ฮาโกะ ทาวน์)

calendar_month 17 ม.ค. 2022 / stylus Admin Chillpainai / visibility 299,156 / รีวิวที่เที่ยว

 

                สวัสดีครับ ผมนายค็อปเตอร์ไม้ไผ่กลับมารายงานตัวแล้ว

            วันนี้ทำหน้าที่ไกด์พาท่านผู้อ่านออกเดินทางไปด้วยกันครับ

             คราวนี้ผมจะพาทุกท่านไปญี่ปุ่นครับ

             แต่ญี่ปุ่นของผมนี้ไม่ต้องเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเลไปไกล 

            เพราะญี่ปุ่นที่ผมพามานั้นอยู่ใกล้ๆ แถวๆ เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราของเรานี่เอง



              ที่นี่คือ Hako Town (ฮาโกะ ทาวน์) ครับ Hako ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า กล่อง รวมแล้วคือเมืองกล่อง ที่ชื่อเมืองกล่องนั้น เพราะว่าร้านต่างๆ ที่นี่เขาใช้ตู้คอนเทนเนอร์มาอะแด็ปให้กลายเป็นร้านญี่ปุ่นน่ารักๆ 



              จริงๆ แล้ว เมืองไทยนั้นมีร้านอาหารญี่ปุ่นเยอะมากเลยนะครับ แต่ผมว่าที่นี่คงเป็นที่แรกที่สร้างบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่น ในแบบเอาท์ดอร์ ใครที่ชอบความเป็นญี่ปุ่นแบบผมเข้ามาก็ต้องถูกใจ เพราะบรรยากาศมันญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น และเป็นญี่ปุ่นแบบเมืองเก่าอารมณ์แบบเกียวโตเลยล่ะครับ

           

                ร้านอาหารของที่นี่เขาก็มีให้เลือกถึง 9 ร้าน (มีแพลนจะเปิดเพิ่มอีก) และแต่ละร้านนั้นเป็นอาหารญี่ปุ่นที่เราอาจจะไม่ค่อยเคยเห็น แต่น่าลอง น่าทานมากเลยละครับ ไม่เท่านั้นเขายังมีวิธีการซื้อ การสั่งอาหาร การรออาหาร แบบ Hako Town ที่เก๋สุดๆ ไปเลยครับ


 
              เริ่มจากวิธีการซื้อก่อนนะครับ ร้านแต่ละร้านเขาไม่รับเงินสดนะครับ แต่คุณจะต้องมาซื้อบัตรที่ใช้แทนเงินสดที่ตู้นี้ครับ ไม่ว่าจะเติมเงินเพิ่ม จะคืนบัตร ก็มาทำที่ตู้นี้ได้เลย เป็นอะไรที่สะดวกสบายสุดๆ ไปเลย
 

 
             นี่ไงครับหน้าตาบัตรเขาเป็นอย่างนี้ หลังจากนี้วิธีการซื้อก็เหมือนกับฟู้ดคอร์ทแล้วล่ะครับ ต้องการร้านไหนก็เดินไปสั่งร้านนั้นได้เลยครับ


 
           ร้านแรกที่ผมอยากกินมากคือร้านนี้เลยครับร้าน Maru Sembei เพราะได้ข่าวว่าวิธีการทำเซมเบ้ของที่นี่เขาน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ


 
          ผมสั่งเซมเบ้ปลาหมึกราคา 38 บาท กับพี่เขาไป พี่เขาก็หันไปหยิบปลาหมึกชุบแป้งตัวขนาดนี้มาเลยครับ (ต่อจากนี้คนขวัญอ่อนข้ามไปได้เลยนะครับ)


 
            หลังจากนั้นพี่เขาวางเจ้าปลาหมึกเคราะห์ร้ายตัวนั้นบนเครื่อง แล้วก็ แล้วก็....จัดการทับมันครับ ผมได้ยินเจ้าปลาหมึกนั้นร้องฉ่าาาาาาา...พี่เขาก็ยังทับมันต่อไปโดยไม่ฟังเสียงอ้อนวอนขอชีวิตจากมันครับ โหดร้ายมากเลยนะครับ


 
          สุดท้ายก็ออกมาแบนแต๊ดแต๊ อย่างนี้เลยครับ โอ เจ้าปลาหมึกผู้เคราะห์ร้าย เจ้าทำไมหอม กรอบ อร่อยได้ขนาดนี้เล่า เพราะความสงสารก็เลยต้องจัดการลงท้องอย่างว่องไว อร่อยแบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มเลยล่ะครับ นอกจากนี้ยังมีเซมเบ้กุ้งให้ลองอีกด้วย ใครอยากเห็นวิธีการอันโหดร้าย แต่อร่อย คอดๆๆ ก็ลองไปร้านนี้เลยครับ

           ส่วนร้านข้างที่ผมสั่งนั้นคือร้าน GYOZA ที่มีทั้งรสออริจันัล รสกิมจิ แกงกะหรี่ และหูฉลาม ราคาเริ่มต้นที่ 65 บาทเท่านั้นครับ

 

 
              อ้อลืมบอกไปครับ ว่าหลังจากเราไปสั่งอาหารทางร้านเขาก็จะให้เจ้าเครื่องเพจเจอร์นี้มา โดยเราไม่ต้องมายืนรอหน้าร้าน ไปเดินสั่งร้านอื่น หรือไปนั่งรอที่โต๊ะ พออาหารของเราเสร็จแล้ว เจ้าเครื่องนี้ก็จะส่งสัญญาณทั้งเสียง ทั้งสั่น ทั้งแสงสีแดง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ยินเลยครับ หลังจากนั้นเราก็เดินไปรับอาหารที่ร้าน และขอบอกว่าวิธีนี้เวิร์คมากๆ ครับเป็นการลดต้นทุนการจ้างพนักงานเสิร์ฟ แล้วแก้ปัญหาการเสิร์ฟผิดโต๊ะด้วย



                 มาต่อด้วยร้านนี้ครับร้าน Maru Soba มีทั้งแบบโซบะเย็น แบบน้ำ และแบบทรงเครื่อง ราคาเริ่มต้นที่ 68 บาทเท่านั้น ส่วนผมเลือกแบบโซบะแห้งทรงเครื่องครับ สั่งพี่เขาไว้แล้ว เดี๋ยวมาดูกันว่าเป็นอย่างไร ตอนนี้ขอไปสั่งร้านอื่นต่อเลยนะครับ

 


 ขอพักโฆษณาด้วยสาวน่ารักคนนี้นะครับ


 
             มาต่อกันที่้ร้าน Oyako กันครับ ร้านนี้ถ้าแปลเป็นไทยประมาณว่าร้านแม่ไก่กับไข่ เพราะร้านนี้เขาขายอาหารที่ทำจากไก่และไข่เป็นหลักครับ เขาว่าไก่ย่างยากิโทริร้านนี้อร่อย ผมเลยสั่งไป 2 ไม้ ราคาไม้ละ 20 บาทเท่านั้น



              ต่อกันด้วยร้านนี้ครับร้าน CHA-ZUKE ร้านนี้เขาดังเรื่องข้าวหน้าปลาดิบในซุปชาปลาแห้ง จะหน้าตาเป็นอย่างไรเดี๋ยวลองมาดูกันครับ ผมสั่งไปเรียบร้อยแล้ว
 


ต่อไปคือร้าน KUSHIMARU ร้านนี้เขาเมนูแนะนำเขาเป็นพวกปิ้งย่าง ทั้ง หมูและเนื้อครับ



 กลิ่นหอมๆ จากเตาปิ้งย่างนั้น โชยเรียกลูกค้าให้เข้ามาร้านนี้ตลอดเวลาเลยล่ะครับ


 
              แต่ที่ผมสะดุดใจคือเจ้าตู้เห็ดภายในร้านครับ ถามทางร้านเขาบอกว่าที่นี่ปลูกเห็ดเอง เก็บกันสดๆ แล้วนำมาปรุงอาหารให้ลูกค้าทันที มีทั้งย่าง ทั้งทอด ผมก็เลยลองสั่งแบบทอดเขาไป


 
            ระหว่างที่รออาหารก็มาสั่งเครื่องดื่มกันที่ร้านนี้ครับกับ Yoi Bar มีสาเกเย็น ค็อกเทลญี่ปุ่น และเครื่องดื่มอื่นให้เลือกมากมาย ค็อกเทลที่นี่เขาราคาแก้วละไม่ถึง 100 ส่วนสาเกก็ราคาร้อยกว่าบาทเท่านั้น ถูกมากๆ เลยครับ
           

             สั่งที่อยากทานครบแล้วก็มาเลือกที่นั่งรอทานอาหารกันได้เลยครับ โต๊ะ เก้าอี้ที่นี่ให้อารมณ์เหมือนในสวนของญี่ปุ่นเลยครับ

            ไม่นานเจ้าเพจเจอร์ที่มือผมที่มีอยู่ประมาณ 6-7 อัน ก็ร้องปี๊บๆ แข่งกัน ผมเลยเดินไปรับอาหารมาจากแต่ละร้าน มาดูกันว่าอาหารแต่ละร้านที่ผมสั่งไปนั้นหน้าตาจะเป็นอย่างไรบ้าง

 
 
 
                เมนูแรกจากร้าน GYOZA กับเกี๊ยวซ่าแกงกะหรี่ ข้างนอกกรอบส่วนข้างในกัดไปก็พบกับไส้แกงกะหรี่ที่อัดแน่นอยู่
 

 
             จานต่อมาครับจากร้าน Maru Soba กับ โซบะ ทรงเครื่อง ที่รวมทุกอย่าง ทั้งเส้นโซบะเส้นเหนียวนุ่ม ไข่ต้มยางมะตูม หมูทอดชีส มาม่าแห้ง ผักกาดดอง หอมใหย่ กากหมู กระเทียมเจียว ถั่วงอก สาหร่าย เวลาทานก็คลุกๆ ทุกอย่างให้รวมกัน จานนี้ขอบอกว่าสุโค่ย มากๆ ครับ

             ส่วนเครื่องดื่ม 2 แก้วข้างบนนั้นก็คือเหล้าบ๊วย และเหล้าเกาลัด เป็นค็อกเทลแบบญี่ปุ่นที่รสชาติดี และทำให้เลือดฝาดไปทั้งหน้าเลยล่ะครับ


 
ต่อด้วยไก่ย่างยากิโทริ จากร้าน Oyako ที่ผมชอบมากๆ เนื้อไก่นุ่ม อร่อยสุดๆ


 
           เมนูนี้คือ ข้าวหน้าปลาดิบในซุปชาปลาแห้ง จากร้าน CHA-ZUKE ดูหน้าตาธรรมดาเหมือนข้าวต้มบ้านเรา แต่ถ้าได้ลองทานแล้วจะรักเลยล่ะครับ เพราะน้ำซุปเขาหอม อร่อย กลมกล่อม เข้ากับข้าวญี่ปุ่น และเนื้อปลาได้ดีมากๆ

 
           ปิดท้ายด้วยเห็ดทอดจากร้าน KUSHIMARU จานนี้ผมให้คะแนนความอร่อยระดับปานกลางนะครับ เพราะแป้งหนาไปนิดจนผมไม่ค่อยรู้สึกถึงเห็ดเท่าไร คราวหน้าต้องมาลองเห็ดย่างท่าทางจะเวิร์ค

               วันนี้อิ่มอร่อยมากเลยครับ ตอนนี้มองนาฬิกาหกโมเงเย็นกว่าๆ ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มแล้ว ตอนนี้ Hako Town ก็เริ่มสว่างสไว ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ผมว่าสวยและมีเสน่ห์แตกต่างไปกับตอนเย็น


 
บรรยากาศแบบนี้พาให้นึกถึงญี่ปุ่นเอามากๆ เลยครับ


 
             ที่นี่เขายังมีจัดกิจกรรมเกี่ยวกับญี่ปุ่น อย่างเทศการดอกไม้ไฟโดยให้คนที่มาใส่ชุดยูกาตะ และมีการแสดงดนตรี กิจกรรมแบบญี่ปุ่น มากมาย


 
              มีสะพานสีแดงแบบญี่ปุ่นที่เชื่อมลานจอดรถกับ Hako Town จุดนี้ตอนกลางวันจะสวยกว่านะครับ แล้วเป็นจุดแลนด์มาร์คที่คนมาถ่ายรูปกันเยอะด้วย


จำลองป้ายในวัดญี่ปุ่นที่ให้เขียนคำอธิษฐาน



ห้องน้ำที่นี่ก็เก๋มากๆ ครับ ผมไม่บอกล่ะ ให้คุณลองเข้ามาใช้บริการดู


 
               ลองมาดูกันนะครับ "ฮาโกะ ทาวน์" ผมว่าเป็นที่หนึ่งที่น่าเดิน และราคาอาหารก็ถูกกว่าร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป แต่ติดอย่างเดียวอาจจะไม่สะดวกสำหรับคนไม่มีรถส่วนตัว แนะนำว่าให้นั่งแท็กซี่ ถ้ามาจากเส้นลาดพร้าวก็นั่งจากบิ๊กซี ลาดพร้าว หรือจากรถไฟใต้ดินลาดพร้าว ก็ได้นะครับ วันนี้ผมคงต้องลาไปทำหน้าที่ลูกที่ดีให้กับคุณแม่ก่อนนะครับแล้วเจอกันเสาร์หน้านะครับ







เปิดบริการ : 
วันศุกร์ เวลา 16.00-24.00 น. / วันเสาร์ เวลา 11.00-24.00 น./ วันอาทิตย์ เวลา 11.00-22.00 น.
โทร. 08-6881-8785


ดูรายละเอียดและ GPS เพิ่มเติมได้ที่ : https://www.chillpainai.com/travel/471

 
เรื่อง : ค็อปเตอร์ไม้ไผ่
 ภาพ : This road is mine

 
 
จองที่พักแบบ Online ได้ทันที
agoda_but.jpg booking_but.jpg

 



 

เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai