calendar_month 16 ธ.ค. 2024 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 179 / สถานที่ยอดนิยม , ที่เที่ยว
เบื่อเมืองหลัก อยากไปสัมผัสธรรมชาติสวยๆ ของญี่ปุ่น ไปเมืองไหนดี? คำถามนี้เป็นคำถามของเหล่าเพื่อนพ้องน้องพี่ คนใกล้ตัว รวมไปถึงลูกเพจชิลไปไหนที่รัก มักจะให้เราแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ ของญี่ปุ่นอยู่เสมอ "คิวชู" คือคำตอบแรกๆ ที่เรานึกถึง เพราะจากทิศเหนือจรดใต้ของเกาะคิวชูมีที่เที่ยวมากมาย ตั้งแต่เมืองอนเซ็นชื่อดัง ภูเขาไฟ เมืองเก่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราววัฒนธรรม ไปจนถึงวิวทะเลสวย
วันนี้เราจึงมาชวนเพื่อนๆ ออกเดินทางไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติบนเกาะคิวชู และเก็บภาพความประทับใจ ถ่ายทอดมาเป็นเรื่องราวการเดินทางครั้งนี้ให้เพื่อนๆ ได้ไปตามรอยกัน
ก่อนจะออกเดินทางไปด้วยกัน มาทำความรู้จักเกาะคิวชูกันก่อน เกาะคิวชู เป็น 1 ใน 4 เกาะหลักตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย 7 จังหวัด ได้แก่ ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ซากะ (Saga) นางาซากิ (Nagasaki) คุมาโมโตะ (Kumamoto) โออิตะ (Oita) มิยาซากิ (Miyazaki) และ คาโกชิม่า (Kagoshima)
จากเมืองไทยมีสายการบินบินตรงไปลงที่สนามบินฟุกุโอกะได้เลยใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับจุดหมายในทริปนี้ของเราคือ ฟุกุโอกะ คุมาโมโตะ โออิตะ และ มิยาซากิโดยศูนย์กลางการเดินทางอยู่ที่ฟุกุโอกะสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้สะดวกสบาย ด้วยเครื่องบิน รถไฟ รถบัส และรถยนต์ส่วนตัว เหมาะทั้งกับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเอง มากับครอบครัว หรือจะขับรถเที่ยวรอบเกาะก็บอกเลยว่าทางดี วิวสวยมากๆ พร้อมแล้วก็มาสัมผัสความยิ่งใหญ่ของเกาะคิวชูไปพร้อมกัน
Highlight
คิทสึกิ (Kitsuki)
คิทสึกิ (Kitsuki) เมืองที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน และคนญี่ปุ่นหลายคนก็ไม่รู้จักเมืองนี้เช่นกัน แต่สิ่งที่บรรยายเมืองนี้เอาไว้จนทำให้เราอยากไปทำความรู้จักคือเมืองแห่งปราสาทที่มีรูปแบบแซนด์วิช มาดูกันว่า ปราสาท แซนด์วิช และคิทสึกิคืออะไรตามไปหาคำตอบกันค่ะ
คิทสึกิได้รับการขนานนามว่า เกียวโตน้อยแห่งคิวชู มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยเอโดะ โดยในอดีตเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของแหลม Kunisaki ปกครองโดยตระกูล Matsudaira ภายในเมืองมีปราสาท ที่อยู่อาศัยของซามูไรและย่านพ่อค้า ซึ่งจุดเด่นของผังเมืองคือมีเนินเขาอยู่ทางทิศเหนือและทางทิศใต้ มีถนนอยู่ตรงกลางลักษณะของเมืองจึงมีรูปร่างเหมือนแซนด์วิช เลยกลายเป็นที่มาของสมญานามเมืองรูปแบบแซนด์วิช อีกทั้งที่นี่ยังเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่เหมาะกับการใส่ชุดกิโมโนอีกด้วย ซึ่งการใส่กิโมโนมาเที่ยวในเมืองนี้คุณยังจะได้รับสิทธิ์เข้าชมที่เที่ยวภายในเมืองบางที่ฟรี และยังรับส่วนลดร้านอาหารต่างๆ ในเมืองอีกด้วย
การมาท่องเที่ยวในเมืองให้ไปเริ่มต้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของเมืองกันค่ะ จากนั้นจะมีคุณลุงคุณป้าที่เป็นไกด์ของเมืองพาเดินเที่ยวชมเมือง แต่ถ้าเราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้สามารถจองไกด์ภาษาอังกฤษล่วงหน้าได้ด้วยนะ ส่วนใครอยากเดินเที่ยวชมเมืองเองก็สามารถหยิบแผนที่พร้อมโบรชัวร์ภาษาไทยออกไปตะลุยกันได้เลย ในโบรชัวร์มีคิวอาร์โค้ดที่สามารถสแกนฟังบรรยายภาษาไทยได้ด้วยนะ
สำหรับทริปนี้เราเริ่มต้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของเมืองและเดินขึ้นเนินผ่านประตูที่อดีตเคยป็น จุดด่านตรวจเข้าเมือง (Bansho) ระหว่างนี้เราจะพบกับเขตย่านบ้านซามูไร Kitadai และ Minamidai ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "เขตอนุรักษ์กลุ่มอาคารสถาปัตยกรรม และสิ่งปลูกสร้างดั้งเดิมทรงคุณค่า (Important Preservation Districts for Groups of Traditional Buildings)" โดยจะมีบ้านซามูไรเก่าแก่ กำแพงแบบโบราณที่ยังคงแบบในอดีตให้เราได้ชมสองข้างทางซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองที่รอดจากการ
ทิ้งระเบิดในช่วงสงครามทำให้บ้านเรือนต่างๆ ยังคงสภาพเดิมเอาไว้อย่างสมบูรณ์
ภายในเมืองจะมีเนินที่ตั้งชื่อตามร้านค้าที่อยู่บริเวณเนิน เช่นเนิน Suya-no-Saka (酢屋の坂) ที่แปลว่าเนินร้านขายน้ำส้มสายชูที่ในอดีตเคยมีร้านขายน้ำส้มสายชูอยู่บริเวณนี้ หรือเนิน Kanjyoba-no-Saka (勘定場の坂) ที่ในอดีตเคยเป็นสถานที่เก็บภาษีของเมือง โดยไฮไลท์ของเนินนี้เราจะมองเห็นหอคอยปราสาทคิทสึกิอีกด้วย กิมมิคเล็กๆ ของเนินนี้คือเขาให้เราเดินลงบันไดและนับขั้นที่ 24 ก็จะเห็นรอยแกะสลักที่มีรูปทรงคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิปรากฏอยู่ ลองค้นหากันดูนะคะ
จากนั้นไปชมบ้านซามูไรที่จะเปิดให้เราเข้าไปชมด้วยค่ะ โดยแต่ละที่จะมีค่าเข้าชมแต่ถ้าเราใส่ชุดกิโมโนมาสามารถเข้าไปชมฟรีได้เลย บ้านซามูไรที่เราจะพาเข้าไปชมนั้นชื่อว่า Ohara Residence หรือบ้านของตระกูล Ohara ซามูไรคนสำคัญ ตัวหลังคามุงด้วยหญ้าหนามาก เข้าไปในตัวบ้านจะพบกับห้องรับแขกมีประตูโชจิที่เปิดออกไปพบกับสวนญี่ปุ่น ตัวผนังบ้านในอดีตทาด้วยสีแดงเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายแม้ปัจจุบันสีจะซีดไปแล้วแต่ก็ยังคงเห็นร่องรอยในอดีตอยู่ ตัวพื้นของบ้านปูด้วยเสื่อทาทามิที่ผลิตในเมืองคิทสึกิซึ่งถือเป็นเมืองที่ยังรักษาการผลิตเสื่อในแบบดั้งเดิมไว้อีกด้วยค่ะ
ภายในตัวบ้านจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่สะท้อนวิถีชีวิตในอดีต และมีจุดนึงของหลังคาบ้านที่เขาจะทำรูเป็นสี่เหลี่ยมเอาไว้เพื่อไว้ฝึกยิงธนูแบบญี่ปุ่นโบราณที่ตัวคันธนูจะยาวมากๆ มีห้องครัวที่ใช้เตาฟืนซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงมีการจุดเตาฟืนเอาไว้ตลอดเวลาเพื่อเป็นการไล่แมลงที่มักจะมาทำลายตัวบ้าน นอกจากนี้ยังมีห้องน้ำแบบโบราณที่เราสามารถชมวิถีชีวิตของชนชั้นซามูไรญี่ปุ่นในอดีตว่าเขาอยู่กันอย่างไร
เนิน Suya-no-Saka (酢屋の坂) และเนิน Shioya-no-Saka (塩屋の坂) หรือเนินร้านน้ำส้มสายชู ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันค่ะ เนินสูงชันที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้มีถนนอยู่ตรงกลางด้านล่างทั้งสองข้างทางของเนินเต็มไปด้วยบ้านโบราณ พื้นถนนที่ปูด้วยหินเหมาะกับการมาใช้เวลาเนิบช้าสัมผัสความสวยงามของในอดีตที่ยังคงดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน
นอกจากบ้านซามูไรที่เราสามารถเดินชมได้แล้ว ที่นี่ยังมีร้านชาเก่าแก่ที่ชื่อว่า Tomaya (とまや) ซึ่งตัวร้านเปิดมาตั้งแต่สมัยยุคเอโดะ เป็นเวลาประมาณ 280 ปี ปัจจุบันเจ้าของร้านคือทายาทรุ่นที่ 10 ที่ยังคงสืบต่อร้านขายชาและมีกิจกรรมเวิร์กชอปสัมผัสประสบการณ์ชงชา ซึ่งมีเมนูหลากหลายที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ได้ และในครั้งนี้เราได้เข้าร่วมกิจกรรม "ดื่มชาเขียวเซ็นฉะ" มีค่าใช้จ่าย 1,100 เยน โดยทางร้านจะเตรียมอุปกรณ์คือใบชา ถ้วยชา น้ำร้อน และขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า Rakugan เอาไว้ทานกับชาค่ะ ซึ่งตัวขนมทางร้านก็ทำเองรสชาติคล้ายๆ ขนมโก๋บ้านเราแต่ของเขาสีจะเป็นสีชมพูอ่อนชิ้นกำลังพอดีคำ เวลาชงเราจะต้องล้างถ้วยน้ำชาของเราก่อนด้วยน้ำร้อนหนึ่งรอบจากนั้นตักใบชาลงไปในกาประมาณ 1 ช้อนหรือ 3 กรัม เทน้ำร้อนลงไปในถ้วยรอให้น้ำร้อนเย็นลงสักนิดแล้วค่อยเทลงไปในกาน้ำชาที่มีใบชาอยู่แล้วรอประมาณ 1 นาที เพื่อให้น้ำร้อนไปดึงรสชาติของใบชา แล้วเทน้ำชาในกาลงถ้วยแล้วทานให้หมดภายใน 1 ครั้ง จากนั้นก็สามารถเติมน้ำร้อนเพิ่มไปได้แล้วลิ้มรสขนม Rakugan ระหว่างทานน้ำชา พร้อมกับชมสวนญี่ปุ่นของทางร้าน ค่อยๆ ปล่อยเวลาให้เดินช้าๆ แล้วเสพสุนทรีย์ของความเรียบง่ายที่เต็มไปด้วยความงดงาม
ส่วนใครที่ไม่ได้มาร่วมเวิร์กชอปชงชาก็สามารถมานั่งทานชุดเซ็ตชากับขนมของทางร้านอร่อยๆ ได้เลยเริ่มที่ 550 เยน นอกจากนี้ยังมีใบชาคุณภาพดีให้เราได้ซื้อกลับบ้านอีกด้วย
ภายในเมืองยังมีหลายจุดให้เราได้ชม อาทิ บ้านโบราณ วัด ปราสาท พิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนค่าบริการเพียง 3,000 เยน/คน/วัน สามารถมาเลือกชุดลายน่ารักและออกไปถ่ายรูปในเมืองกันได้เลย
คิทสึกิ (Kitsuki) เป็นอีกหนึ่งเมืองที่เราเพิ่งมารู้จักครั้งแรกแต่กลับหลงรักเข้ากับความน่ารักของเมืองนี้ไปแล้ว ใครที่มีโอกาสมาเที่ยวคิวชูเราแนะนำว่าห้ามพลาดเมืองนี้เป็นอันขาด
คิทสึกิ (Kitsuki)
การเดินทาง
- ด้วยรถไฟจากสถานี Hakata เมือง Fukuoka ไปยังสถานี Kitsuki ใช้เวลาประมาณ 1.52 ชั่วโมง จากนั้นจะต้องนั่งรถแท็กซี่เข้าไปในโซนตัวเมืองรอบปราสาทอีกประมาณ 8 นาที
- ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจาก Fukuoka สามารถเช่ารถขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/63xswjxoFzpLjqGz7
เบปปุ (Beppu)
เบปปุ (Beppu) เมืองที่นักท่องเที่ยวชาวไทยรู้จักกันดี เพราะมีชื่อเสียงในเรื่องบ่อออนเซ็นโดยมีจำนวนแหล่งน้ำพุร้อนมากถึง 2,291 แห่ง และมีปริมาณน้ำพุร้อนมากที่สุดในญี่ปุ่นประมาณ 102,671 ลิตร/นาที และจากการที่พื้นที่ของเบปปุเมื่อกว่าพันปีก่อนมีการพวยพุ่งของไอน้ำและน้ำร้อน จนทำให้ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ผู้คนในสมัยนั้นจึงเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า "นรก (Jigoku)" และด้วยเหตุนี้ เบปปุจึงมีแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับคำว่า "นรก (Jigoku)" เป็นจำนวนมาก ซึ่งบ่อที่มีชื่อเสียงคือบ่อน้ำพุร้อนขุมนรก 8 บ่อ ประกอบไปด้วย Umi Jigoku, Oniishibozu Jigoku, Shiraike Jigoku, Kamado Jigoku, Oniyama Jigoku, Chinoike Jigoku, Tatsumaki Jigoku และ Yama Jigoku วันนี้เราจะพาไปสัมผัสเบปปุกันอีกครั้งพร้อมกับไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับการทานอาหารด้วยวิธีการนึ่งด้วยไอน้ำพุร้อนที่เราไม่เคยทานมาก่อนเลยค่ะ จะสนุกแค่ไหนตามไปชมกัน
สำหรับครั้งนี้เราจะขอพาเพื่อนๆ ไปทัวร์บ่อน้ำพุร้อน 2 บ่อสุดฮิตคือบ่อ Umi Jigoku และ Chinoike Jigoku เริ่มที่บ่อแรกกับบ่อ Umi Jigoku บ่อที่มีน้ำสีฟ้าเหมือนน้ำทะเลพร้อมกับมีควันสีขาวพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา เหมือนทะเลกำลังเดือดเลยล่ะค่ะ รอบๆ บ่อปกคลุมไปด้วยต้นไม้ มีศาลเจ้าเล็กๆ พร้อมกับเสาโทริสีแดงให้เราได้เดินขึ้นเนินไปสักการะได้อีกด้วย
ซึ่งบ่อ Umi-Jigoku เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ Tsurumi เมื่อ 1,200 ปีมาแล้ว อุณหภูมิของน้ำประมาณ 98 องศาเซลเซียส และเห็นบ่อแบบนี้อย่าคิดว่าจะไม่ลึกนะคะ ความลึกถึง 200 เมตรกันเลยทีเดียว ในส่วนสีฟ้าที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากแร่ธาตุซัลเฟตทำให้น้ำเป็นสีฟ้าเหมือนน้ำทะเลยิ่งเวลาสะท้อนกับแสงแดดสวยงามมากๆ เลยล่ะค่ะ
ส่วนใครอยากลองมาชิมไข่ต้มออนเซ็นเขาก็มีร้านให้บริการ ทานกับเกลืออร่อยนัวสุดๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังมี Onsen Pudding หรือพุดดิ้งนรกนึ่ง ที่เขานึ่งจากไอน้ำพุร้อนซึ่งความพิเศษคือตัวไอน้ำมีส่วนผสมของกำมะถันซึ่งเป็นสารกันบูดโดยธรรมชาติ จึงไม่ได้ใส่สารกันบูด บอกเลยว่าอร่อย นุ่ม ละมุนลิ้น และดีต่อสุขภาพอีกด้วยนะ
ภายใน Umi Jigoku ยังมีโซนเรือนกระจกที่มีการปลูกพืชเมืองร้อน เช่น กล้วย บัว โดยใช้ความร้อนจากออนเซ็นทำให้อุณหภูมิอบอุ่นตลอดทั้งปีแม้ในช่วงฤดูหนาว นอกจากนี้ยังมีโซนออนเซ็นเท้าให้เราได้นั่งแช่เท้าฟรีอีกด้วยนะ น้ำอุ่นสบาย เดินมาเหนื่อยๆ ได้แช่เท้าด้วยออนเซ็นเบปปุมันฟินสุดๆ
จากนั้นเดินทางไปต่อที่บ่อ Chinoike Jigoku หรือบ่อเลือดซึ่งคำว่า Chi ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าเลือด Ike แปลว่าบ่อค่ะ ลักษณะก็ตามชื่อเลยค่ะ เป็นบ่อสีแดงส้มที่มีควันพวยพุ่งขึ้นมา ซึ่งบ่อนี้เป็นบ่อนรกธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุถึง 1,300 ปี โดยสีแดงในบ่อเป็นโคลนที่ผสมเหล็กออกไซด์และแมกนีเซียมออกไซด์มีความร้อนประมาณ 78 องศาเซลเซียสและลึก 30 เมตร ลึกน้อยกว่าบ่อแรกค่ะ
สรรพคุณของแร่ธาตุในออนเซ็นยังมีส่วนในการช่วยรักษาโรคผิวหนัง
สำหรับการเที่ยวบ่อออนเซ็นทั้ง 8 บ่อในเบปปุสามารถซื้อเป็นคอร์สรถบัสที่ไปขึ้นบริเวณศูนย์รถบัสหน้าสถานีเบปปุได้ ค่ารถผู้ใหญ่ 4,000 เยน เด็ก 1,950 เยน โดยต้องจองล่วงหน้าค่ะ
จากนั้นจะพาไปทานอาหารที่นึ่งจากไอน้ำพุร้อนที่เบปปุกันค่ะกับร้าน Jigoku Mushi Kobo Kannawa ซึ่งอยู่ในย่าน Kannawa ของเบปปุ ร้านนี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาทานอย่างไม่ขาดสายวันที่เราไปแม้จะเป็นวันธรรมดาก็มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติอยู่เต็มร้านเลยค่ะ ข้อดีของร้านนี้คือเขามีระบบสั่งด้วยตู้อัตโนมัติที่มีภาษาอังกฤษที่สั่งง่าย สะดวกสบายกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
สำหรับวิธีการนึ่งด้วยไอน้ำพุร้อนอุณหภูมิ 98 องศาเซลเซียส นั้นเป็นวิธีการประกอบอาหารแบบดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะแล้วค่ะ ข้อดีของวิธีนี้คือไอน้ำร้อนจะมีความเค็มของแร่ธาตุซึ่งจะเป็นตัวช่วยดึงรสชาติอาหารให้โดดเด่นขึ้นมาและช่วยขจัดน้ำมันส่วนเกินของอาหารยิ่งทำให้อาหารอร่อยอีกทั้งยังสุขภาพดีอีกด้วย
วิธีการสั่งก็ไม่ยากค่ะ พอเข้ามาที่ร้านก็ให้ไปรับคิวที่เคาน์เตอร์ พอได้คิวแล้วก็มารอพนักงานเรียกคิว จากนั้นก็ไปกดสั่งออเดอร์ที่ตู้อัตโนมัติและชำระเงินที่ตู้ได้เลยค่ะ โดยชุดอาหารจะมีให้เลือกทั้งแบบซีฟู้ด เนื้อวัว ผัก ไข่ ข้าว โดยเมนูที่เราสั่งมาในวันนี้จะเป็นเซ็ตซีฟู้ดบวกผักพร้อมข้าว(ในใบไม้ที่หน้าตาเหมือนบ๊ะจ่าง)ราคา 1,800 เยน เซ็ตเนื้อที่มีทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ ผักและข้าว(ในใบไม้ที่หน้าตาเหมือนบ๊ะจ่าง) ราคา 1,800 เยน และเซ็ตผักพร้อมซาลาเปาราคา 1,050 เยนค่ะ จากนั้นก็ไปรับอาหารที่เคาน์เตอร์ด้วยตัวเองโดยเขาจะจัดใส่ถาดเอาไว้ให้ แล้วเราก็ต้องเอาถาดนั้นไปบริเวณหน้าร้านซึ่งเป็นเตานึ่งออนเซ็นไม่ต้องกลัวงงนะคะ เพราะจะมีพนักงานช่วยสอนการนึ่งให้เราทำด้วยตัวเองง่ายๆ เริ่มจากใส่ถุงมือกันความร้อนแล้วเปิดฝาเตานึ่ง นำเอาอาหารลงไปนึ่งในเตาแล้วเราก็ไปรอที่นั่ง จะมีกริ่งสัญญาณบอกเวลาอาหารเรา จากนั้นเมื่อกริ่งสัญญาณเตือนก็มานำอาหารออกจากเตาแล้วนำไปทานได้เลยค่ะ เป็นวิธีแบบเซลฟ์เซอร์วิสที่เขาให้เราลองทำด้วยตัวเองสนุกมากๆ เลย
สำหรับรสชาติอาหารส่วนตัวเราชอบรสชาติผักที่นึ่งจากออนเซ็นมากๆ เราว่ามันมีรสชาติหวานอร่อยและฉ่ำกว่าผักนึ่งปกติ ส่วนเนื้อสัตว์ที่นึ่งก็นุ่มอร่อยไม่ต้องจิ้มกับซอสก็ได้ หรือใครอยากเลือกทานกับซอสทางร้านก็มีซอสต่างๆ ให้เราได้เลือกทานกัน ไม่ว่าจะเป็นโชยุ ซอสงา พอนสึเป็นต้น
เบปปุ (Beppu) แม้จะเป็นเมืองที่หลายคนรู้จักกันดีแล้ว แต่สำหรับเราก็ยังเป็นเมืองที่มีความสุขทุกครั้งที่ได้เดินทางมา ได้มาแช่ออนเซ็น ชมความสวยงามของธรรมชาติที่รังสรรค์เป็นบ่อนรกออนเซ็นสีสันต่างๆ มาทานอาหารจากออนเซ็นที่เปิดประสบการณ์ครั้งใหม่ให้เรามากๆ ถ้ามาคิวชูครั้งหน้าเราก็สัญญาว่าจะกลับมาเบปปุอีกแน่นอน
เบปปุ (Beppu)
การเดินทาง
- ด้วยรถไฟจากสถานี Hakata เมือง Fukuoka ถึงสถานี Beppu ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 52 นาที
- ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจาก Fukuoka สามารถเช่ารถขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/iSKEokJZqdjmR8vt5
Highlight
คุโระคะวะ ออนเซ็น (Kurokawa Onsen)
ถ้าพูดถึงเมืองออนเซ็นชื่อดังในจังหวัดคุมาโมโตะ เราขอยกให้ คุโระคะวะ ออนเซ็น (Kurokawa Onsen) ออนเซ็นท่ามกลางธรรมชาติป่าไม้ สายน้ำ และขุนเขาเป็นเมืองออนเซ็นในฝันที่ใครหลายคนอยากเดินทางมาที่นี่ให้ได้สักครั้ง
คุโระคะวะ ออนเซ็น (Kurokawa Onsen) ออนเซ็นริมแม่น้ำ Tanoharu มีเรียวกังมากมาย 30 แห่งและมีออนเซ็นกลางแจ้ง 28 แห่ง โดยสามารถซื้อบัตร Onsen Hopping Pass หรือบัตร Nyuyou-Tegata ราคา 1,500 เยน สามารถเลือกแช่ออนเซ็นได้ 3 ที่ ภายใน 6 เดือน ซื้อได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เป็นบัตรไม้กลมๆ น่ารักมากๆ ค่ะ ถ้าพักครบแล้วก็นำกลับไปเป็นของที่ระลึกหรือจะเลือกแขวนไว้ที่ศาลเจ้าของเมืองได้เลย
ซึ่งเรียวกังที่เราได้ไปใช้บริการคือที่ Yamabiko Ryokan เรียวกังชื่อดังของคุโระคะวะ ออนเซ็น ให้บริการทั้งห้องพักและบ่อออนเซ็นกลางแจ้งท่ามกลางป่าเขา เหมาะกับการมาพักผ่อนร่างกายที่เหนื่อยล้าสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติไปพร้อมกับการแช่ตัวผ่อนคลาย
ภายในเมืองยังมีร้านคาเฟ่ ร้านเบเกอรี่ที่มีขนมชูครีมอร่อยสุดๆ มีออนเซ็นสำหรับหน้า โดยทำเป็นช่องไม้ให้เราเอาหน้าก้มไปอังกับไอน้ำซึ่งจะมีให้บริการฟรีในเมือง ทำแล้วรู้สึกสบายหน้ามากๆ ค่ะ
เป็นเมืองออนเซ็นที่ไปครั้งเดียวไม่พอจริงๆ เพราะความสวยงามของที่นี่ทำให้เราอยากเดินทางกลับมาอีกครั้ง ส่วนใครอยากมาชมงานประดับไฟช่วงหน้าหนาว แนะนำเดือนธันวาคมถึงสิ้นเดือนมีนาคมของทุกปีที่เขาจะจัดงาน Yuakari (湯あかり) โดยจะประดับโคมไฟที่ทำจากไม้ไผ่ไปทั่วเมืองในยามค่ำคืน จะเห็นแสงไฟสีเหลืองทองสว่างเรื่อเรืองไปทั่วทั้งเมือง
คุโระคะวะ ออนเซ็น (Kurokawa Onsen)
การเดินทาง
- ด้วยรถสาธารณะสามารถนั่งรถบัสจากสถานี Hakata,Tenjin Bus Center และ สนามบิน Fukuoka มายัง Kurokawa Onsen ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 16 นาที
- ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจาก Fukuoka สามารถเช่ารถขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/2pNtaQqHXK2pGD5s5
น้ำตกนาเบะกะทาคิ (Nabegataki)
จากคุโระคะวะ ออนเซ็น เราขอแนะนำอีกหนึ่งที่เที่ยวใกล้ๆ ที่สามารถขับรถมาได้กับน้ำตกนาเบะกะทาคิ (Nabegataki) น้ำตกที่สวยราวกับสวรรค์กลางป่า และที่นี่ยังเคยเป็นที่ถ่ายภาพยนตร์โฆษณาชาเขียวชื่อดังยี่ห้อหนึ่ง ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฝันที่หลายคนอยากเดินทางมา และวันนี้เราจะได้เดินทางไปที่นี่ครั้งแรกค่ะ
น้ำตกนาเบะกะทาคิ (Nabegataki) เกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ของเทือกเขาอะโซะเมื่อประมาณ 9 หมื่นปีมาแล้ว ครั้งเดียวกับที่ทำให้เกิดแอ่งบนภูเขาไฟขนาดใหญ่ และยังทำให้เกิดน้ำตกที่สวยงามแห่งนี้ การกัดเซาะของลาวาทำให้เกิดชั้นหินสูง 10 เมตรกว้าง 20 เมตรเหมือนประติมากรรมธรรมชาติก่อให้เกิดม่านน้ำสีขาวที่ไหลมาอย่างสวยงามท่ามกลางป่าเขียวขจี ซึ่งจุดเด่นของน้ำตกแห่งนี้คือเราสามารถเดินไปหลังน้ำตกได้ด้วยค่ะ โดยน้ำตกแห่งนี้มีอีกชื่อว่า Urami-no-Taki” (裏見の滝) แปลว่า น้ำตกที่ชมได้จากด้านหลัง
ตัวน้ำตกตั้งอยู่ที่เมืองโอกุนิ ตอนเหนือสุดของจังหวัดคุมาโมโตะ ใกล้กับคุโระคะวะ ออนเซ็น การเดินทางมาที่นี่ไม่มีรถสาธารณะมานะคะต้องเช่ารถขับมาเท่านั้น โดยจากจุดจอดรถจะมีบันได 120 ขั้นเดินลงไปน้ำตกไม่ไกลมากค่ะ ทางอาจจะชันเล็กน้อยซึ่งขาลงไม่เท่าไรแต่ขาขึ้นกลับมาเราหยุดพักเป็นช่วงๆ มีกิมมิคเล็กๆ บริเวณทางลงโดยจะมีหัวใจ 5 ดวงที่ซ่อนอยู่บนพื้นทางเดินโดยเราจะต้องมาตามหาหัวใจทั้ง 5 ดวงให้เจอ จากนั้นก็เดินบันไดที่อยู่ท่ามกลางป่าสนสูงชะลูดเดินลงไปจะพบกับลำธารน้ำธรรมชาติที่สวยงามมากๆ ค่ะ เดินไปอีกนิดก็จะเจอกับน้ำตกนาเบะกะทาคิที่สวยงามเหมือนสรวงสวรรค์ที่ซ่อนไว้กลางป่ากันเลยล่ะค่ะ โดยสามารถจองตั๋วล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ที่รองรับภาษาอังกฤษ หรือวอล์คอินมาซื้อตั๋วด้านหน้าได้ ราคาตั๋วผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน แต่ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือวันหยุด ขอแนะนำให้จองล่วงหน้าจะดีกว่าค่ะ
น้ำตกนาเบะกะทาคิ (Nabegataki)
การเดินทาง : สามารถเช่ารถจาก Fukuoka และขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หรือถ้าขับมาจาก คุโระคะวะ ออนเซ็นใช้เวลาประมาณครี่งชั่วโมงเท่านั้น
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/mUFrmP3jYTyKSnbL6
ปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเคะ (Mt. Aso Nakadake Crater)
ความฝันอีกหนึ่งอย่างของคนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นคือการมาสัมผัสภูเขาไฟใกล้ๆ ด้วยตาตัวเองสักครั้ง และวันนี้เราจะพาไปชมความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟชื่อดังแห่งจังหวัดคุมาโมโตะนั่นก็คือ ปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเคะ (Mt. Aso Nakadake Crater) กันค่ะ
แอ่งภูเขาไฟอะโซะเป็นภูเขาไฟรูปแบบ Caldera (ภาษาสเปน แปลว่า ”หม้อ“) ใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ 4 ครั้งในช่วง 3 แสนปีถึง 9 หมื่นปีก่อน เกิดเป็นแอ่งภูเขาไฟที่ประกอบไปด้วยภูเขาไฟ 5 ลูกได้แก่ Nekodake, Nakadake,Takadake, Eboshidake และ Kishimadake ที่มีการเรียงตัวกันเหมือนพระนอนความยาวจากตะวันออกไปตะวันตก 18 กิโลเมตร และความยาวจากเหนือไปใต้ 25 กิโลเมตร ซึ่งปากปล่องภูเขาไฟที่ยังคงปะทุอยู่คือ ภูเขาไฟ Nakadake เส้นผ่านศูนย์กลาง 600 เมตร ความลึก 130 เมตร ความยาวรอบๆ 4 กิโลเมตร โดยเราสามารถขึ้นไปชมด้านบนได้ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและการปะทุ ถ้าวันไหนปะทุหนักทางเจ้าหน้าที่ก็จะไม่เปิดให้ขึ้นค่ะ โดยเราสามารถเช็คแบบเรียลไทม์ได้ที่ https://www.aso-volcano.jp/eng/
ปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเคะ (Mt. Aso Nakadake Crater)
การเดินทาง
- ด้วยรถสาธารณะนั่งรถบัสจากสถานีรถไฟ Aso มายังสถานี Asosanjo Terminal โดยรถจะออกทุก 1-2 ชั่วโมง จากนั้นจะมีรถชัตเติ้ลบัสให้บริการไปยังปากปล่อง
- ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจาก Fukuoka สามารถเช่ารถขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/XSBzqqQcPDPQLMp77
ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ (Kusasenrigahama)
ก่อนถึงปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเคะ (Mt. Aso Nakadake Crater) มีอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เราอยากแนะนำให้แวะมากๆ ที่นี่คือ ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ (Kusasenrigahama) ทุ่งหญ้าสีเขียวที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาพร้อมวิวภูเขาและบึงน้ำขนาดใหญ่ซึ่งเป็นวิวทิวทัศน์แปลกตาที่เราไม่ค่อยได้เห็นที่ญี่ปุ่น
ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ (Kusasenrigahama) ตั้งอยู่ตีนเขาด้านเหนือของภูเขา Eboshidake ก่อนถึงปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเคะ (Mt. Aso Nakadake Crater) ถ้านั่งรถบัสจากสถานีอะโซะมาก็สามารถแวะลงมาเที่ยวก่อนกลับได้ หรือถ้าขับรถมาก็มาแวะตรงนี้ได้เลย มีทั้งพิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอะโซะ (Aso Volcano Museum) ที่จัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับแอ่งภูเขาไฟอะโซะ มีร้านอาหาร คาเฟ่ พร้อมจุดชมวิวสวยๆ ที่สามารถมองเห็นภูเขา Komezuka ซึ่งเป็นภูเขาไฟลูกเล็กที่ไม่มีต้นไม้เลยค่ะ แต่มีทุ่งหญ้าขึ้นปกคลุมทั้งภูเขาเป็นภูเขาไฟที่น่ารักมากๆ โดยหลุมตรงกลางนั้นก็มีตำนานที่ว่า เทพเจ้า “ Takeiwatatsu no Mikoto(建磐龍命) ”หรือเทพเจ้าแห่ง Aso นำข้าวมาวางบนภูเขา ซึ่งหลุมที่อยู่บนยอดเขานั้น เป็นร่องรอยมาจากที่เทพเจ้านำข้าวให้กับชาวบ้าน
วันที่เราไปถึงดอกหญ้าสีขาวกำลังออกดอกสวย พริ้วไหวไปตามแรงลมทำให้เป็นภาพที่สวยงามประทับใจจนอยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีกิจกรรมการขี่ม้าชมทุ่งหญ้าอีกด้วยนะ ราคา 1,500 เยนใช้เวลาประมาณ 5 นาทีโดยจะมีเจ้าหน้าที่จูงม้าพาเดินรอบๆ ทุ่ง น้องม้าก็น่ารักมากๆ เลยค่ะ ใครอยากได้ภาพสวยๆ ของทุ่งหญ้าคุซะเซนริพร้อมน้องม้าก็ลองเดินทางมากันเลย ส่วนใครที่ชอบเทรกกิ้ง ที่นี่เขาก็ยังมีรูทปีนเขาที่ไล่ระดับตั้งแต่เส้นทางง่ายไปจนยากให้ได้มาปีนเขากันด้วยนะ
ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ (Kusasenrigahama)
การเดินทาง
- ด้วยรถสาธารณะนั่งรถบัสจากสถานีรถไฟ Aso มาลงป้าย Kusasenri Aso Kazan Hakubutsukan Mae ได้โดยรถจะออกทุก 1-2 ชั่วโมง
- ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจาก Fukuoka สามารถเช่ารถขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 15 นาที
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/44W3WovyPcLTZK72A
Highlight
หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge)
ถ้าให้จัดอันดับที่เที่ยวในเกาะคิวชูที่เราประทับใจ หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge) คือที่เที่ยวที่ติดอันดับท็อป 5 ในใจของเรากันเลยค่ะ ซึ่งหุบเขาทะคะจิโฮะ นั้นเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟอะโซะ 4 ครั้ง คือเมื่อ 2 แสน 7 หมื่นปีก่อน, 1 แสน 4หมื่นปีก่อน, 1 แสน 2 หมื่นปีก่อน และครั้งสุดท้ายคือเมื่อ 9 หมื่นปีก่อน ลาวาที่ไหลลงมาในแม่น้ำ Gokasegawa พอแข็งตัวก็ก่อให้เกิดโตรกธารหินสีดำที่มีรูปร่างแปลกตาลักษณะเป็นแท่งหินทรงเหลี่ยมเรียงกันไปตามแนวธารน้ำ ความสูงของหน้าผาเฉลี่ยประมาณ 80 เมตร และสูงสุดประมาณ 100 เมตร
เราเดินทางมาที่นี่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วค่ะ ครั้งแรกมาเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติแต่ไม่ได้ไปพายเรือ ครั้งนี้เราจะได้พายเรือไปในลำธารเพื่อไปชมความงดงามของน้ำตก Manai Falls หนึ่งในร้อยน้ำตกที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิดกันสักครั้ง
โดยเรือเป็นแบบเรือพายค่ะ หนึ่งลำสามารถนั่งได้ 3 คน ราคา 4,100-5,100 เยน/ลำ ใช้เวลาพายรอบละ 30 นาที โดยสามารถจองผ่านทางเว็บไซต์ https://takachiho-kanko.info/en/boat_kagura/ ได้เลยค่ะ ก่อนจะพายจะมีเจ้าหน้าที่ช่วยสวมเสื้อชูชีพแบบรัดเอวให้เราด้วย ซึ่งชอบเสื้อแบบนี้มากๆ เพราะตอนพายมันไม่เทอะทะและเกะกะ ซึ่งถ้าถามว่าพายยากไหมบอกเลยว่ายากกกกก เราใช้เวลาเรียนรู้กว่าจะพายเป็นก็จัดวนไปหลายรอบเลยล่ะคะ แต่พอพายเป็นแล้วบอกเลยว่าสนุกมากๆ ยิ่งตอนได้พายไปใกล้ๆ น้ำตก Manai Falls น้ำตกที่สูง 17 เมตร เห็นสายน้ำที่ตกจากบนลงล่างด้วยตาตัวเองเป็นความสวยงามที่ประทับใจจนบรรยายมาเป็นตัวอักษรได้ไม่พอ แนะนำว่าเป็นที่เที่ยวที่ต้องมาดูด้วยตาตัวเองกันสักครั้ง
หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge)
การเดินทาง
- ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจาก Fukuoka สามารถเช่ารถขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/mHMzegrrj4UTVFht7
Takachiho Amaterasu Railway ทางรถไฟแห่งความสุข
ถ้ารถไฟคือตู้ที่บรรทุกความฝัน Takachiho Amaterasu Railway แห่งนี้คือขบวนรถไฟที่อัดแน่นไปด้วยความสุขและความฝันจนล้นออกมาด้านนอกกันเลย
ย้อนไปก่อนปี 2005 มีทางรถไฟ Takachiho Railway ที่ให้บริการระหว่างเมือง Nobeoka และ Takachiho ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตรเส้นทางที่ผ่านทั้งภูเขา ป่าไม้ สะพานสูงเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่เต็มไปด้วยความสวยงาม แต่ด้วยเหตุการณ์ไต้ฝุ่นเมื่อปี 2005 ทำให้ทางรถไฟเสียหายและไม่สามารถกลับมาเปิดบริการได้อีก แม้รถไฟจะขนส่งเหมือนเดิมไม่ได้ แต่ความฝันมันยังไม่จบเท่านี้เพราะมีการเปลี่ยนเส้นทางรถไฟนี้ให้กลายเป็นรถไฟท่องเที่ยวใช้ระยะทางไปกลับประมาณ 5.1 กิโลเมตร บนรถไฟแบบเปิดหลังคาโล่ง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที/เที่ยว ค่ารถ 2,000 เยน
ความน่ารักของรถไฟขบวนนี้คือจะมีคนขับที่คอยเอ็นเตอร์เทนอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ แม้เราจะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออกแต่ฟังจากเสียงหัวเราะของคนในรถก็รู้เลยว่าต้องเป็นเรื่องที่สนุกแน่นอน ระหว่างทางจะผ่านทั้งนาขั้นบันได ผ่านอุโมงค์ซึ่งไม่ต้องกลัวเหงาเพราะคนขับจะเปิดไฟที่สะท้อนอุโมงค์เป็นรูปดวงดาววิบวับ จากนั้นจะไปจอดตรงกลางสะพานเหล็กที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นความสูง 105 เมตร ให้เราได้ชมวิว ถ่ายรูป พร้อมกันนั้นพี่คนขับยังใช้เครื่องทำฟองสบู่ช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้สวยงามขึ้นไปอีก ส่วนใครที่ได้มาช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะพบกับความสวยงามของดอกซากุระที่ผลิบานตลอดสองข้างทางสวยงามมากๆ
นอกจากนี้ยังมีบริการสุดเก๋โดยให้เรามาลองขับรถไฟด้วยตัวเองสานฝันคนอยากเป็นคนขับรถไฟสุดๆ และยังมีพิพิธภัณฑ์ให้เราได้ไปชมเรื่องราวความเป็นมาของทางรถไฟสายนี้และมีการจำลองเส้นทางรถไฟในอนาคตว่าถ้ากลับมาวิ่งได้จริงเส้นทางจะเป็นอย่างไร จะผ่านที่ไหนบ้าง และจะสวยงามขนาดไหน
Takachiho Amaterasu Railway ทำให้เรารู้สึกว่าอย่าหยุดฝัน แม้ว่าเราจะเจอเหตุการณ์เลวร้ายขนาดไหน เพราะความฝันทำให้เรายังยิ้มได้ ยังมีความสุขได้ และรับรู้ถึงการมีลมหายใจอยู่ เหมือนเส้นทางรถไฟสายนี้ที่ไม่มีวันหยุดวิ่ง
Takachiho Amaterasu Railway
การเดินทาง
- ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจาก Fukuoka สามารถเช่ารถขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 33 นาที
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/x23wREvUFRnHMLBW8
เมืองมิยาซากิ
มิยาซากิ (Miyazaki) เมืองทางตอนใต้ของเกาะคิวชูที่ขึ้นชื่อในเรื่องเมืองพักตากอากาศโดยในอดีตคู่รักมักเลือกมาฮันนีมูนที่เมืองมิยาซากิ ซึ่งเมืองนี้มีศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์อายุกว่า 1,200 ปีที่ขึ้นชื่อในเรื่องการขอคู่ครองและขอลูกมากๆ ที่นี่คือ ศาลเจ้าอะโอะชิมะ (Aoshima Shrine) ศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลเป็นเกาะเล็กๆ ที่มีความยาวรอบเกาะเพียง 1.5 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาทึบ การเดินทางไปยังศาลเจ้าเราต้องเดินเท้าข้ามสะพานยาโยอิสะพานปูนที่เชื่อมเกาะ ระหว่างนั้นเราจะได้พบกับประติมากรรมธรรมชาติ ที่เรียกว่า Oni-no-Sentakuita หรือกระดานซักผ้าของยักษ์ โดยจะเป็นชั้นดินสีดำที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเรียงตัวกันเป็นแนวยาวแบบนี้ไปตลอดแนวคลื่นเลยค่ะ ความแปลกคือความสมมาตรของแนวชั้นดินที่ตัดตรงเหมือนมีคนนำไม้บรรทัดมาวัดกันเลยทีเดียว
เราเดินข้ามสะพานมายังเกาะก็พบความแตกต่างของเม็ดทราย ซึ่งบนฝั่งที่ข้ามมาจะเป็นสีเทาค่ะ แต่ทรายของเกาะสีอ่อนกว่าและเต็มไปด้วยเปลือกหอยมากมายที่ทับถมกัน ซึ่งความเชื่อของที่นี่คือให้ลองมองหาเปลือกหอยที่หน้าตาเหมือนในมือของเราตามภาพด้านล่างแล้วนำไปอธิษฐานที่ศาลเจ้าด้านในแล้วจะสมหวัง
หลังจากหาเปลือกหอยกันได้แล้วก็เดินลอดซุ้มเสาโทริสีแดงแสดงถึงการเข้าสู่เขตศาลเจ้า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่มายาวนานกว่า 1,200 ปี ตัวศาลเจ้าเป็นสีแดง ก่อนเข้าศาลเจ้าก็ต้องล้างมือ ล้างปากด้วยกระบวยตักน้ำเพื่อเป็นการชำระร่างกายและจิตใจให้สะอาดก่อนเข้าไปสักการะศาลเจ้า
เมื่อเดินข้ามาในศาลเจ้าก็เหมือนหลุดไปในอีกโลกหนึ่งเลยค่ะ จากแดดร้อนๆ ของทะเลก็ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาทึบเหมือนที่นี่เป็นโอเอซิสกลางทะเล ภายในประดิษฐานเทพเจ้า Hikohohodemi no Mikoto และ เทพ Toyotamahime no Mikoto ของศาสนาชินโตซึ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องความรัก ขอคู่ครอง ขอลูกและขอในเรื่องการคลอดบุตรให้ปลอดภัย มีทางเดินเข้าไปศาลเจ้าเล็กๆ ด้านในอีกซึ่งทางเดินในอดีตจะให้เฉพาะจักรพรรดิเท่านั้น แต่ในปัจจุบันเปิดให้คนทั่วไปเข้าไปได้ ภายในศาลเจ้าเล็กๆ ด้านในยังมีพิธีขอพรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำเปลือกหอยที่เราเก็บมาไปอธิษฐานและวางบนเนิน พิธี Ama no Hirakanage ซึ่งเป็นพิธีโยนจานดินเผาไปในระหว่างต้นไม้เพื่อเรียกโชคลาภและขับไล่สิ่งชั่วร้าย พิธีผูกเชือกสีต่างๆ เพื่อขอพร นอกจากนี้บริเวณหน้าศาลเจ้ายังมีพิธี Watatsumi no Harai ให้เราเขียนคำอธิษฐานลงบนกระดาษจากนั้นเป่าหนึ่งครั้งแล้วนำไปลอยน้ำถ้าคำอธิษฐานของเราหายไปแปลว่าคำขอจะเป็นจริง
หลังจากขอพรที่ศาลเจ้ากันแล้วก็สามารถเดินกลับมาพักผ่อนชิลๆ ริมทะเลกันได้ค่ะ ที่นี่บรรยากาศเหมาะกับการนั่งจิบกาแฟ ชมวิวทะเล โดยมีร้านกาแฟให้บริการ มีตู้ไปรษณีย์สีเหลืองสุดน่ารักที่ยังสามารถส่งจดหมายได้จริงให้เราได้ถ่ายรูป หรืออยากจะเดินไปชมสวนบริเวณใกล้ๆ ก็มีสวนพฤกษศาสตร์ Miyako Botanic Garden Aoshima ซึ่งเป็นสวนที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและสิงคโปร์ให้เราได้ไปชมฟรีกันอีกด้วยนะ ภายในมีน้องเมอไลอ้อนจำลองให้ชมกันด้วย ใครที่อยากเดินทางมาสามารถขับรถจากตัวเมืองมิยาซากิมาได้เลยใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเท่านั้น
ศาลเจ้าอะโอะชิมะ (Aoshima Shrine)
การเดินทาง
- ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจาก Fukuoka สามารถเช่ารถขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/nPnKgo9ZqHiC2UCw6
อีกหนึ่งที่เที่ยวในเมืองมิยาซากิที่อยากแนะนำกับ Florante Miyazaki สวนพฤกษศาสตร์ในเมืองมิยาซากิที่มีพื้นที่ 51,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซน 15 โซน อาทิ กลาสเฮาส์ สวนดอกไม้ สวนหิน สวนพืชผักสมุนไพร ให้เราได้เดินชมมากมาย ค่าเข้าชมสวนเพียง 310 เยน ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเลยค่ะ
นอกจากนี้ยังให้บริการเช่าสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยง ถ่ายรูปพรีเว็ดดิ้ง หรือจะเป็นเวิร์กชอปประชุมในราคาที่ไม่แพงด้วยค่ะ โดยมีบ้านต่างๆ ให้เลือกทั้งบ้านสไตล์ยุโรป บ้านสไตล์ญี่ปุ่น ใครอยากหาสถานที่ถ่ายพรีเว็ดดิ้งก็ลองติดต่อมาได้เลย
ส่วนใครที่มาเที่ยวช่วงฤดูหนาวประมาณต้นเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม เขาจะมีงาน Florante Miyazaki Illumination Flower Garden ที่จะประดับไฟที่สวนแห่งนี้สวยงามมากๆ ค่ะ
Florante Miyazaki
การเดินทาง
- ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจาก Fukuoka สามารถเช่ารถขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/TRrzMkAgKt9bHNum7
จากนั้นเราจะพาไปสัมผัสเมืองมิยาซากิผ่านอาหารของคนท้องถิ่นกันบ้างที่ร้าน Kakomi-an ร้านอาหารสไตล์อิซะกะยะสาขา Miyazaki Tachibana Dori Nishi ที่รวบรวมอาหารท้องถิ่นสไตล์คิวชูให้เราได้เลือกทาน ไม่ว่าจะเป็นเมนู Jidori Sumibi Yaki ซึ่งเป็นเมนูไก่ท้องถิ่นย่างด้วยถ่านไม้ ไก่เนื้อนุ่มหอมอร่อยมากๆ
นอกจากนี้ยังมีเมนูอย่าง Miyazaki Chicken Nanban ไก่ทอดที่ราดด้วยซอสนัมบังรสเปรี้ยวๆหวานๆ อร่อยสุดๆ, Katsuo no Tataki ปลาคาสึโอะที่นำไปย่างด้วยฟาง ผิวเกรียมด้านนอกนิดๆ เนื้อหวานอร่อยสุดๆ และ ปลา Mehikari ทอด ตัวปลาจะมีรสชาติเข้มข้นมีรสเผ็ดนิดๆ ถูกปากคนไทยแน่นอน ส่วนเครื่องดื่มแนะนำเมนู Hebesu Soda ซึ่ง Hebesu คือส้มขึ้นชื่อของเมืองมิยาซากิลักษณะคล้ายมะนาว เปรี้ยว หวาน หอมอร่อยมากๆ
ใครที่มาทานร้านนี้จะได้รับชุดชาบูฟรีๆ แบบนี้ไปเลย ถูกใจเราสุดๆ บรรยากาศร้านก็เหมาะกับการชวนเพื่อนมาปาร์ตี้แฮงค์เอาท์มากๆ ใครมาเที่ยวเมืองมิยาซากิก็ปักหมุดร้านนี้กันไว้เลยค่ะ
หลังจากทานอาหารกันแล้วก็สามารถเดินเล่นบนย่าน Nishitachi กันต่อได้เลยซึ่งเป็นย่านสถานบันเทิงที่จะแขวนโคมหลากสีเรียงรายไปบนถนน มาเดินเล่นชมสีสันยามค่ำคืนของเมืองมิยาซากิได้ที่นี่กันเลย
เมืองมิยาซากิ
การเดินทาง
-ด้วยเครื่องบิน มีสายการบินในประเทศให้บริการเที่ยวบินจากฟุกุโอกะมายังเมืองมิยาซากิ ระยะเวลาในการบินประมาณ 50-55 นาที
-ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจาก Fukuoka สามารถเช่ารถขับมาเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 40 นาที
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/E99c43e6KMGirYuc9
Highlight
สัมผัสอาหารสตรีทฟู้ดสไตล์ฟุกุโอกะกับร้าน Yatai
มาถึงเมืองสุดท้ายกับฟุกุโอกะจังหวัดศูนย์กลางทั้งการเดินทางและเศรษฐกิจของเกาะคิวชูค่ะ ซึ่งเป็นจุดที่เราต้องเตรียมตัวเดินทางเพื่อจะกลับเมืองไทย แต่ก่อนกลับก็สามารถมาแวะช้อปปิ้ง พักผ่อนพร้อมกับลองมาสัมผัสประสบการณ์ทานอาหารแบบสตรีทฟู้ดในร้าน Yatai ร้านแผงลอยริมทางที่มีโต๊ะที่นั่งไม่กี่ตัว มีเจ้าของร้านที่เป็นพ่อครัวทำอาหารอยู่ตรงกลาง เป็นบรรยากาศการทานอาหารที่น่ารัก สนุกและอบอุ่นมากๆ เพราะนอกจากเราจะสนุกเฮฮาไปกับเจ้าของร้านแล้วด้วยพื้นที่ที่แคบก็ทำให้เราต้องทำความรู้จักคนข้างๆ สุดท้ายก็ได้เพื่อนใหม่นั่งทานอาหาร พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวมากมายต่อกัน
สำหรับร้าน Yatai ที่เราจะพามาทานชื่อว่าร้าน Yatai Chusuke (屋台忠助)ที่ตั้งอยู่หน้าธนาคารแห่งชาติสาขา Fukuoka ใกล้สถานีเทนจิน โดยร้านนี้เปิดมาประมาณ 60 ปีแล้วค่ะ คุณลุงเจ้าของร้านเป็นทายาทรุ่นที่ 2
จุดเด่นของร้านนี้คือเมนูของเขามีภาษาอังกฤษและราคาบอกชัดเจนสะดวกสบายต่อนักท่องเที่ยวมากๆ สามารถชี้เมนูบอกกับทางเจ้าของร้านได้เลย สำหรับเมนูเด่นของร้านเป็นเมนูเกี๊ยวซ่าชิ้นเล็กๆ ที่อร่อยสุดๆ ข้างนอกกรอบข้างในนุ่ม ซึ่งแต่ละเมนูจะเป็นแบบทำขึ้นจานต่อจาน เช่น เกี๊ยวซ่าสั่งปุ๊บคุณลุงก็ปั้นโยนลงกระทะตอนนั้นเลย จะมีโอเด้งที่เขาต้มไว้ในหม้อแล้ว นอกจากนี้ยังมีราเมนในน้ำซุปกระดูกหมูที่อร่อยแบบแสงออกปากมากๆ เส้นราเมนเส้นเล็กนุ่ม ซดกับน้ำซุปกระดูกหมูอร่อยสุดๆ นอกจากนี้ยังมีเมนูสไตล์อิซะกะยะให้สั่งมาทานพร้อมกับเครื่องดื่มเย็นๆ
ส่วนใครที่มาช่วงฤดูหนาวเขาจะนำผ้าใบมาปิดได้บรรยากาศดีไปอีกแบบ ใครมาเที่ยวฟุกุโอกะแวะมาทานได้เลยค่ะร้านเปิดตั้งแต่ 6 โมงเย็นไปจนถึง 5 ทุ่ม ปิดทุกวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ
ร้านแผงลอยริมทาง (Yatai)
การเดินทาง
- ด้วยรถแท็กซี่จากสถานี Hakata ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/NxAJPV9YQX2pgx599
คิวชู เกาะที่เที่ยวกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลยค่ะ เพราะยังมีที่เที่ยวสวยอันซีนมากมายที่ให้เราออกเดินทางไปค้นหา ใครที่อยากมาสัมผัสความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแห่งเกาะคิวชูเหมือนอย่างเรา ก็ไม่ต้องรอค่ะ จองตั๋วเครื่องบิน เก็บกระเป๋า หยิบพาสปอร์ตแล้วมาออกเดินทางไปเที่ยวคิวชูกันเลย
จองทัวร์เที่ยวคิวชูได้ที่นี่ : https://bit.ly/japantravelcampaign
Tags: ญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น ที่เที่ยวญี่ปุ่น คิวชู เที่ยวคิวชู ที่เที่ยวคิวชู kyushu เกาะคิวชู
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 11 ธ.ค. 2024 | 648 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 09 ธ.ค. 2024 | 2,230 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 07 ธ.ค. 2024 | 1,844 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 04 ธ.ค. 2024 | 1,567 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 05 ธ.ค. 2024 | 2,694 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 13 ธ.ค. 2024 | 244 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่กิน | 04 ธ.ค. 2024 | 678 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 25 พ.ย. 2024 | 1,620 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 25 พ.ย. 2024 | 763 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 02 ธ.ค. 2024 | 833 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 29 พ.ย. 2024 | 393 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 27 พ.ย. 2024 | 1,087 อ่าน