bar_chart
0
favorite
0
shopping_cart
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

เที่ยวมาเก๊า 3 วัน 2 คืน เช็คอินที่เที่ยวฮิต ตะลุยกินร้านอร่อยระดับมิชลิน

calendar_month 20 ก.ย. 2023 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 18,255 / เที่ยวต่างประเทศ

มาเก๊า เที่ยวยังไง? เที่ยวยากไหม? ไปมูได้ไหม? ร้านไหนอร่อย?... คือคำถามที่หลายคนฝากเราไว้เมื่อรู้ว่าเราจะไปมาเก๊า

ทริปนี้จึงเป็นทริปเที่ยวมาเก๊าแบบเจาะลึก รวบรวมเป็นคัมภีร์กินเที่ยวมาเก๊าที่ให้เพื่อนๆ สามารถไปเที่ยวตามได้เลย ใช้เวลาสั้นๆ เพียง 3 วัน 2 คืน ไม่ต้องลาหัวหน้าหลายวัน มีเวลาแค่วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็ไปเที่ยวมาเก๊ากันได้แล้ว

Macao Guidebook_1200x800

การเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวมาเก๊า

 

1.มาเก๊าอยู่ตรงไหน

มาเก๊า หรือเขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งอยู่ชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีน ในอดีตเคยปกครองด้วยประเทศโปรตุเกส ก่อน พ.ศ. 2542 เรียกว่าเป็นอาณานิคมของยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศจีน และในปี พ.ศ. 2542 ได้กลายเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน โดยมีฐานะเป็นเขตบริหารพิเศษของจีนภายใต้หลักการ “หนึ่งประเทศสองระบบ” มาเก๊าจึงเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยการผสมผสานของ 2 วัฒนธรรมคือเอเชียและยุโรป ผ่านตึกรามบ้านช่อง อาหาร วัฒนธรรมได้อย่างน่าสนใจ

map

พื้นที่มาเก๊าจะแบ่งได้ 4 โซนหลักๆ เริ่มจากส่วนที่ติดกับแผ่นดินใหญ่เรียกว่าคาบสมุทรมาเก๊า ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์อย่าง เซนาโด สแควร์ ประตูโบสถ์เซนต์ปอล หรือวัดดังของสายมูทั้งหลายจะอยู่ในโซนนี้ค่ะ และท่าเรือ Outer Harbour Ferry Terminal ให้บริการเรือเฟอร์รี่ไปยังฮ่องกงและเซินเจิน นอกจากนี้ยังสามารถใช้บริการรถบัสจากมาเก๊าข้ามสะพาน ฮ่องกง จูไห่ มาเก๊า ไปยังฮ่องกงได้ที่สถานีรถบัส Hong Kong–Zhuhai–Macau Bridge (HZMB)  

ฝั่งเกาะที่ประกอบไปด้วยย่านไทปา (Taipa), โคไท (Cotai)  และโคโลอาน(Coloane) ที่เชื่อมต่อกับคาบสมุทรมาเก๊าด้วยสะพาน 3 สะพาน ได้แก่ สะพาน Governador Nobre de Carvalho Bridge หรือสะพานมาเก๊า-ไทปา,สะพาน Sai Van และสะพาน Ponte de Amizade หรือสะพานมิตรภาพ โดยในย่านไทปานั้นจะเป็นที่ตั้งของแหล่งกินฟู้ดสตรีทชื่อดังนั่นคือไทปาฟู้ดสตรีท สวนสาธารณะ มหาวิทยาลัย ที่เที่ยวทางประวัติศาตร์อย่างไทปาเฮาส์ และเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางภายนอกประเทศนั่นก็คือสนามบินนานาชาติมาเก๊า อีกทั้งยังมี Taipa Ferry Terminal ที่ให้บริการเรือเฟอร์รี่ไปยัง ฮ่องกง จูไห่ เซินเจิน และตงกวน

โซนโคไท (Cotai) เป็นโซนที่เกิดจากการถมทะเลอยู่ระหว่างไทปาและโคโลอาน โซนนี้เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า โรงแรม และแหล่งบันเทิงเหมือนกับย่านไทปา และโซนโคโลอาน(Coloane) ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของมาเก๊า ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโคโลอาน(Coloane village) โซนนี้จะเป็นโซนที่เงียบสงบ น่ารัก มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ให้เที่ยวด้วย

 



2.มาเก๊าเที่ยวได้ไม่ต้องง้อวีซ่า 

สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถถือพาสปอร์ตเข้าไปเที่ยวมาเก๊าได้เลยไม่ต้องขอวีซ่าและอยู่ได้ยาวถึง 30 วันกันเลยทีเดียว แค่เช็คว่าพาสปอร์ตของคุณยังมีอายุการใช้งานมากกว่า 6 เดือนเท่านี้ก็สามารถจองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวมาเก๊าได้แล้ว

_A733043 (1)

3.เวลามาเก๊าต่างจากไทย 1 ชั่วโมง 

ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราไม่ต้องปรับตัวในเรื่องเวลาเท่าไร ใครอยากติดต่อเพื่อน หรือติดต่องานที่ไทยก็สะดวกสบายเพราะเวลาไม่ต่างกันมาก อีกทั้งจากเมืองไทยก็บินไปไม่นานค่ะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงมาเก๊าแล้ว

4.สภาพอากาศในมาเก๊า

มาเก๊ามีอากาศค่อนข้างร้อนชื้นค่ะ อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 23 องศาเซลเซียส โดยจะมีฤดูกาลดังนี้

  • ฤดูใบไม้ผลิ (ต้นเดือนมีนาคม-กลางเดือนพฤษภาคม) อากาศกำลังเย็นสบายอยู่ระหว่าง 18-25 องศาเซลเซียสค่ะ แนะนำว่าให้ติดเสื้อคลุมหรือเสื้อคาร์ดิแกนไปด้วย
  • ฤดูร้อน(ปลายเดือนพฤษภาคม-กลางเดือนกันยายน) ช่วงนี้อากาศจะค่อนข้างร้อนและมีฝนรวมไปถึงพายุไต้ฝุ่น เสื้อผ้าที่เตรียมไปควรเป็นเสื้อผ้าบางๆ และเตรียมร่มหรือเสื้อกันฝนไปด้วยนะคะ
  • ฤดูใบไม้ร่วง (ปลายเดือนกันยายน-ปลายพฤศจิกายน) พอปลายเดือนกันยายนอากาศจะเริ่มเย็นลง ท้องฟ้าแจ่มใส เฉลี่ยประมาณ 25 องศาเซลเซียส ควรเตรียมเสื้อกันหนาวกันไว้ด้วยค่ะเพราะอากาศเย็นในช่วงกลางคืน
  • ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม-เดือนกุมภาพันธ์) ช่วงนี้อากาศค่อนข้างแห้งและหนาวเย็นโดยจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 16 องศาเซลเซียส และบางวันอาจจะต่ำถึงประมาณเลขตัวเดียวในยามค่ำคืนกันเลยค่ะแนะนำว่าควรเตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วยนะคะ

Taipa_Houses_Museum_28

5.สกุลเงินมาเก๊า

มาเก๊าใช้เงินสกุล Macanese pataca หรือ Macau pataca (MOP) โดยค่าเงินปัจจุบัน 1 MOP = 4.43 บาท สำหรับการแลกเงินจากไทยเราสามารถแลกเป็นเงิน MOP แต่ร้านแลกเงินสกุล MOP นั้นในบ้านเราค่อนข้างน้อย หรือสามารถแลกเป็นเงินดอลลาร์ฮ่องกงหรือ HKD นำไปใช้ที่มาเก๊าได้โดยเขาจะทอนให้เรากลับมาเป็นเงิน MOP แต่บางร้านอาจจะไม่รับเงิน HKD นะคะ โดยเฉพาะร้านเล็กๆ ดังนั้นควรสอบถามกับทางร้านก่อนว่าเขารับเงิน HKD ไหม

6.ภาษาที่ใช้ในมาเก๊า

คนมาเก๊าส่วนมากพูดภาษาจีนกวางตุ้ง จีนกลางค่ะ ส่วนถ้าเป็นพนักงานโรงแรม ในร้านอาหารใหญ่ๆ หรือพนักงานในห้างสรรพสินค้าส่วนมากสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่ถ้าไปเจอคุณลุง คุณป้าที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ก็ไม่ต้องกังวลคุณสามารถเปิดกูเกิลทรานสเลทเลือกฟีเจอร์ที่สามารถพูดเป็นเสียงภาษาจีนได้แล้วกดเลยค่ะ คนมาเก๊าจะเข้าใจ โดยเราใช้วิธีนี้ในการบอกเส้นทางกับแท็กซี่ แค่กดปุ่มพูดเท่านั้นพี่แท็กซี่เข้าใจกันหมดเลย หรือจะโชว์ภาพสถานที่ที่เราจะไปให้กับเเท็กซี่ได้เลยค่ะ

7.ระบบขนส่งในมาเก๊า

การเดินทางในมาเก๊าปัจจุบันมีให้เลือกทั้งรถบัส รถแท็กซี่ และล่าสุดกับรถไฟฟ้า LRT ที่เพิ่งเปิดให้บริการโดยมีทั้งหมด 11 สถานีเชื่อมต่อการเดินทางในฝั่งเกาะไทปาและโคไท

_A733044

ส่วนรถประจำทางหรือรถบัสเป็นขนส่งสาธารณะที่สะดวกและประหยัดสุดในมาเก๊า ค่าบริการอยู่ที่ 6 MOP ตลอดสาย ค่ารถสามารถจ่ายเป็นเงินสดแต่ต้องเตรียมเงินให้พอดีเพราะเครื่องจะไม่ทอน หรือสามารถจ่ายด้วยบัตร Macau Pass ซึ่งเป็นบัตร IC Card ที่สามารถใช้กับรถสาธารณะทุกคันในมาเก๊า ถ้าเราจ่ายค่ารถบัสด้วย Macau Pass เราจะจ่ายเเค่ 3 MOP ตลอดสาย เเถมอีกคือ ถ้าเราเปลี่ยนสายภายใน30นาที ไม่คิดเงินเพิ่มด้วยค่ะ รวมถึงสามารถแตะซื้อของในร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าต่างๆ ได้ โดยสามารถซื้อบัตร Macau Pass ได้ที่ร้านสะดวกซื้ออาทิ 7-Eleven และ Circle-K การขึ้นรถบัสในมาเก๊าคือขึ้นประตูด้านหน้าแตะจ่ายเงินทันทีบริเวณคนขับและลงตรงกลาง สำหรับเส้นทางรถบัสสามารถเข้าไปเช็คได้ที่ Macau Pass https://www.dsat.gov.mo

รถแท็กซี่ เป็นอีกหนึ่งขนส่งสาธารณะที่สะดวกมากๆ ค่ารถเริ่มต้นที่ 19 MOP และจะเพิ่มเป็น 2 MOP ทุกๆ 240 เมตร ถ้ามีกระเป๋าใบใหญ่ใส่ที่ท้ายรถเขาจะคิดเพิ่มอีก 3 MOP/ ชิ้น และถ้านั่งแท็กซี่จากสนามบินมาเก๊า หรือท่าเรือเฟอร์รี่ไทปา รวมไปถึงนั่งจากฝั่งมาเก๊าไปยังโคโลอานจะเสียเพิ่ม 5 MOP และถ้านั่งจากฝั่งไทปาไปยังโคโลอานจะเสียเพิ่ม 2 MOP ซึ่งแท็กซี่ของมาเก๊าสามารถโบกเรียกตามท้องถนนได้เลยค่ะ แต่ถ้าช่วงเวลาเร่งด่วนอาจจะหาแท็กซี่ยากมากกกก แนะนำว่าให้ทางโรงแรมเรียกให้ก็สะดวกสบาย ข้อดีของแท็กซี่มาเก๊าคือไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร ประตูเป็นอัตโนมัติเปิดเองได้ ส่วนวิธีการสื่อสารแนะนำว่าหาเส้นทางที่เราจะไปในกูเกิลแมปและเปิดโหมดพูดภาษาจีนคนขับจะเข้าใจเราทันทีเลยค่ะ

8.ปลั๊กไฟในมาเก๊า

มาเก๊าใช้กำลังไฟ 220 V 50 Hz เท่าของเมืองไทยค่ะ สามารถนำเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นที่หนีบผมหรือที่ม้วนผมจากไทยไปได้ แต่ต้องใช้ผ่านตัวแปลงเพราะเต้าเสียบของเขาจะเป็นแบบขาเหลี่ยม 3 ขาไม่เหมือนบ้านเรา เลยเเนะนำให้พก Universal Adapter ไปด้วยนะคะ

ทำความรู้จักมาเก๊าคร่าวๆ กันแล้วก็เตรียมตัวไปตะลุยเมือง 2 วัฒนธรรมแห่งนี้กันได้เลยยย

1

เริ่มต้นการเดินทางเรานั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองไปยังมาเก๊าโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้วค่ะ มาถึงมาเก๊าปุ๊บก็ผ่านขั้นตอนการเข้าเมือง ตม. ผ่านได้อย่างง่ายดาย ไม่ได้ถามอะไรเราเลย แต่ก็ควรเตรียมตัวในเรื่องตั๋วบินขากลับ เอกสารการจองโรงแรม และแพลนการเดินทางเอาไว้เผื่อทาง ตม.ถามด้วยนะคะ

จากนั้นก็ออกไปรับกระเป๋าและเดินออกมาบริเวณด้านนอกสิ่งแรกที่เราทำคือหาเคาน์เตอร์แลกเงินเพราะเราแลกเงินมาเป็นดอลล่าร์ฮ่องกง แม้ว่ามาเก๊าจะรับเงินฮ่องกงแต่ก็แลกเผื่อไว้สัก 30% ของเงินที่เตรียมมาเผื่อว่าบางร้านเขาไม่รับเงินฮ่องกงก็สามารถใช้เงินมาเก๊าได้

m3

พอแลกเงินปุ๊บขั้นตอนต่อไปคือหาวิธีการเข้าเมืองซึ่งบริเวณทางออกเขาจะมีป้ายบอกขนส่งสาธารณะทั้งรถบัสเข้าเมืองและรถแท็กซี่ หรือถ้าใครยืนงงในดงคนมาเก๊าก็เดินไปถามเจ้าหน้าที่ที่ Tourist Information กันได้เลย เจ้าหน้าที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้และแนะนำได้ว่าถ้าจะไปที่พักของเราวิธีการเดินทางที่ง่ายที่สุดคืออะไร และราคาประมาณเท่าไร ซึ่งวิธีเข้าเมืองมาเก๊าจะมี 3 วิธีค่ะ คือรถบัสได้แก่สาย –AP1, AP1X, MT1, MT4, N2, 26, 36, 51A & 51X บริการรถรับส่งของโรงแรมซึ่งโรงแรมใหญ่ๆ ในมาเก๊าจะมีบริการรถรับส่งลูกค้าฟรีที่สนามบินเลยและรถแท็กซี่ซึ่งครั้งนี้เราใช้บริการรถแท็กซี่เพราะสะดวกสุดๆ 

สำหรับที่พักคืนแรกของเราในทริปนี้เราจองที่ Macau Hotel S - Formerly - Macau Hotel Sun Sun ที่พักที่ตั้งอยู่ในฝั่งโซนเมืองเก่าทำเลดีเว่อร์ใกล้กับ Senado Square เพียง 350 เมตร เดินไปได้เพียง 5 นาทีเท่านั้น

Hotel_S_Macau_2Hotel_S_Macau_20

ซึ่งพอเข้ามาในที่พักก็ประทับใจเลยค่ะเพราะที่พักตกแต่งได้ฮิปน่าพักมากๆ ด้านล่างมีคาเฟ่สไตล์โมเดิร์นสุดเท่ให้บริการด้วย สำหรับห้องที่เราจองมาเป็นห้องสแตนดาร์ด ราคารวมภาษีแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 3,700 บาท/คืนค่ะ 

ห้องดีงามขนาด 20 ตารางเมตร เรารีเควสท์เป็นเตียงทวินค่ะ พื้นที่ค่อนข้างกว้างวางกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2 ใบได้สบายไม่เกะกะ ภายในห้องมีทั้งทีวี(ซึ่งไม่ได้เปิด555) อินเตอร์เน็ตไวไฟไวเว่อร์ เครื่องทำกาแฟแบบแคปซูล(อันนี้ดี) ตู้เย็น น้ำเปล่า 2 ขวด ไดร์เป่าผมของเขาก็ดีงามมากๆ (เหมือนยี่ห้อดังเลยอ่ะ) และข้อดีคือที่นี่มีปลั๊กไฟเต้าเสียบแบบขากลมเหมือนบ้านเราด้วยค่ะ สามารถเสียบเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือปลั๊กพ่วงที่เตรียมมาได้เลย

Hotel_S_Macau_14

มาถึงห้องน้ำกันบ้างแยกส่วนเปียกและแห้งและที่ประทับใจคือฝักบัวดีคือดีมากๆ เป็นฝักบัวสปารูเล็กน้ำแรงอาบแล้วไม่เจ็บ ในห้องน้ำมีสบู่ แชมพูให้พร้อม 

Macau Hotel S - Formerly - Macau Hotel Sun Sun
ราคาเริ่มต้น : ประมาณ 3,700 บาท/คืน
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/78Cp4QRNzhofzT1HA

เอาของเก็บที่พักกันแล้วก็ออกไปตระเวนเที่ยวกันเลยค่ะ แพลนในวันนี้ของเราคือไปมูกันก่อนเลยที่แรกของเราคือ วัดอาม่า(A-Ma Temple) หรือ ศาลเจ้าแม่ทับทิมจากที่พักนั่งรถบัสสาย 1,2,5,10, และ 21A ไปลงป้าย Templo Á Ma แล้วก็เดินเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ หาไม่ยากเพราะหน้าวัดจะเป็นลานกว้างๆ มองเห็นวิวทะเล

ที่เลือกที่นี่เป็นที่แรกเพราะเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า สร้างขึ้นราวปี 1488 เก่าแค่ไหนก็สร้างก่อนจะมีมาเก๊านั่นเองค่ะ โดยเดิมวัดแห่งนี้ชื่อว่า A Ma Goa ที่แปลว่า อ่าวของอาม่าสร้างขึ้นเพื่อสักการะบูชาองค์อาม่าหรือเจ้าแม่ทับทิม เทพที่ดูแลท้องทะเล ในอดีตเมื่อชาวโปรตุเกสได้ล่องเรือมาเจอชาวพื้นเมืองและได้ถามว่าสถานที่นี้ชื่อว่าอะไรชาวเมืองบอกว่า A Ma Goa จึงมีการเรียกเพี้ยนมาจนเป็นมาเก๊าจวบจนปัจจุบัน และที่นี่ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2005 อีกด้วย

A-ma_Temple_24

เมื่อเราเดินเข้ามาจะพบกับซุ้มประตูเก๋งจีนโดยหลักการเข้าวัดของคนจีนเชื่อว่าให้ก้าวเท้าซ้ายเข้ามาส่วนขาออกให้ก้าวเท้าขวาจะส่งผลให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า

ภายในประกอบไปด้วยซุ้มประตูแห่งการรำลึก หอสวดมนต์ หอแห่งความเมตตา หอเจ้าแม่กวนอิม และศาลาเซิ้งเจ้าชานหลินที่สร้างขึ้นจากความศรัทธา ซึ่งคนที่มาที่วัดอาม่าส่วนมากจะขอพรในเรื่องการงาน การเงิน และให้เดินทางปลอดภัยนอกจากนี้ยังสามารถมาขอพรเรื่องคู่ครองได้ด้วยนะคะ โดยจะมีเทียนดอกบัวคู่ราคาเริ่มต้น 38 MOP ให้นำไปสักการะองค์เจ้าแม่ทับทิม

m4

อีกจุดที่สำคัญคือบริเวณหินเรือสำเภาค่ะ โดยเป็นหินก้อนใหญ่แกะสลักรูปสำเภาโบราณโดยว่ากันว่าเป็นหินที่เจ้าแม่ทับทิมย่างเท้าเข้าสู่แผ่นดิน หลายคนจึงมักนำแบงค์พับเป็นรูปเรือใบแล้วไปลูบที่หินจากนั้นก็เก็บใส่กระเป๋าไว้เชื่อว่าจะมีโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา

วัดอาม่า(A-Ma Temple) 
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 8.00 - 18.00 น.
เข้าฟรี
การเดินทาง : รถบัสสาย 1,2,5,10, และ 21A ไปลงป้าย Templo Á Ma
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/ZNaJTEkvXBSC3dN68

จากนั้นนั่งรถบัสไปยัง Senado Square โดยให้เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามที่เราลงรถค่ะแล้วรอรบัสสาย 10 หรือ 10A ไปลงป้าย Av. De Almeida Ribeiro (San Ma Lo) อยู่ฝั่งเดียวกับเซนาโด สแควร์ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับ Senado Square หรือจะเลือกโบกรถแท็กซี่ไปก็ได้เพราะระยะมันใกล้ นั่งไปไม่แพงมาก

Senado Square จัตตุรัสใจกลางเมืองมาเก๊าและเป็นแลนด์มาร์คที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวมาเก๊า ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ซึ่งจัตตุรัสแห่งนี้เป็นที่รวบรวมสถานที่สำคัญทางประวัติศาตร์ อาคารสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป และเป็นแหล่งช้อปปิ้ง แหล่งรวมร้านอาหารอร่อยมากมาย เดินได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำกันเลยทีเดียวค่ะ

Senado_Square_27

จุดถ่ายรูปใน Senado Square อาทิอาคาร Leal Senado ตึกสไตล์บารอคอายุกว่า 400 ปีซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของรัฐบาลโปรตุเกสมาเก๊าตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของจัตุรัส

อาคาร Holy House of Mercy หรือสำนักแห่งความเมตตา ตกแต่งสไตล์นีโอคลาสสิคอายุ 400 กว่าปีในอดีตเป็นคลินิกทางการแพทย์แห่งแรกของมาเก๊า

m15

และถ้าหันหน้าเข้าจัตตุรัสและเดินเข้าทางตรอกเล็กทางซ้ายมือตรงอาคารสีชมพูก็จะพบกับวัดซําไกวุยคุน(Kuan Tai Temple) ที่เชื่อว่าสามารถปกป้องสิ่งชั่วร้ายต่างๆ เเละช่วยเสริมอำนาจบารมีในการปกครอง เเละคุ้มครองบริวาร ตำรวจ นักการเมือง เเละ ผู้นำทางธุรกิจ นิยมมาไหว้พระขอพร ที่วัดนี้  ที่แอบซ่อนอยู่ท่ามกลางอาคารรูปทรงยุโรป โดยหลายคนมักจะมาขอพรเรื่องการค้าขายกัน

m16

จากนั้นก็ไปถ่ายรูปเช็คอินกันต่อที่ โบสถ์เซนต์ดอมินิค (St. Dominic's Church) อาคารสีเหลืองสไตล์บารอคที่ผสมผสานระหว่างสไตล์โปรตุเกสและสเปน สร้างในปี 1587 และเป็นสถานที่ที่ตีพิมพ์ A Abelha da China (The China Bee) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาโปรตุเกสฉบับแรกในมาเก๊าอีกด้วย ด้านในสามารถเดินเข้าไปชมได้ฟรีนะคะแต่งดใช้เสียงและสำรวมค่

St. Dominic_s Church_3St. Dominic_s Church_8

จากนั้นท้องเริ่มหิวเราเลยปักหมุดร้าน Sei Kee Café (ไซ เก๋ย กาเฟ้) สาขา Rua da Palha (ฮูอา ดา ปาลยา) ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่มีเมนูขนมปังโปรตุเกสหมูทอดที่โด่งดังจนได้รับการแนะนำในมิชลินไกด์ 2019,2020 และ 2021 

ซึ่งตัวร้านอาจจะหายากนิสนึงเพราะไม่ได้อยู่บนถนนสายหลักของ Senado Square แต่อยู่ในซอยเล็กๆ สุดซอยเลยค่ะ เรียกว่าร้านลับได้เต็มปากจริงๆ ซึ่งตอนเราไปโชคดีคนไม่เยอะมาก มีเมนูและราคาติดอยู่หน้าร้านแม้จะเป็นภาษาจีนแต่ก็มีราคาและภาพติดเอาไว้ สามารถชี้บอกเขาได้เลย ซึ่งเมนูที่เราสั่งเป็นเมนูขนมปังหมูทอดราคา 36 MOP และชาเย็นราคา 20 MOP พอบอกปุ๊บคุณป้าคนขายก็เอาหมูมาทอดให้เราปั๊บเลย ทอดกันสดๆ ชิ้นต่อชิ้นกันเลย ซึ่งตัวหมูคือชิ้นใหญ่เว่อร์วังมากไ ขนมปังก็นุ่มสุดๆ กินชิ้นนี้เสร็จคืออิ่มยันเย็นเลยทีเดียว ส่วนชาเย็นก็หวานน้อยอร่อยมากๆ ค่ะ

m1

ใครไปไม่ถูกกด Map นี้เลยจ้า https://maps.app.goo.gl/VsBpBo7aMBYfEpcC9?g_st=ic

อิ่มท้องกันแล้วสายมูอย่างเราก็ไม่พลาดไปมูกันต่อ เพราะเขาบอกว่าแถวนี้มีวัดเปากง(Pao Kong Temple) ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อท่านเปาบุ้นจิ้น ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม เชื่อว่าถ้าได้ไปไหว้ท่าน ท่านจะช่วยปัดเป่าเรื่องไม่ดีออกไปจากตัวเรา ให้ไม่มีโรคภัย สุขภาพแข็งแรง 

Pau_Kung_13
ที่ตั้งของวัดจะอยู่บริเวณด้านหลังประตูโบสถ์เซ็นต์ปอลค่ะโดยจากโบสถ์เซ็นต์ปอลให้เดินขึ้นเนินทางขวามือ(ฝั่งยูนิโคล่)ไปจนสุด แล้วเดินไปทางขวามือ จะมีทางลงซ้ายมือไปยังวัด พอมาถึงเราจะเห็นกลุ่มวัดที่ประกอบไปด้วยวัดเปากง(Pao Kong Temple) อยู่ตรงกลาง ทางซ้ายคือวัดหนานซาน (Nanshan Temple) ส่วนด้านขวาคือศาลเจ้าแห่งเทพการแพทย์ (Temple of Divinity of Medicine)

Pau_Kung_5

ใครที่อยากมาขอพรเรื่องสุขภาพ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บก็มาที่นี่เลยค่ะ นอกจากจะมีเทพเปาบุ้นจิ้นแล้วยังมีเทพไท้ส่วยเอี้ยที่หลายคนมักมาแก้ชงกัน เทพนาจา เทพจี้กง ให้ได้มาสักการะบูชากันอีกด้วย 

วัดเปากง(Pao Kong Temple)
เข้าฟรี
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/uDn5s5jhLGTTm2on8

จากนั้นเดินย้อนมาทางเดิมเพราะเราจะไปถ่ายรูปกับซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล(Ruins of St. Paul’s)กันค่ะ ซึ่งซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลถือว่าเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของมาเก๊า เดิมรู้จักกันในชื่อคริสตจักรมาแตร์เดอี (Mater Dei) ถัดจากโบสถ์คือมหาวิทยาลัยเซนต์ปอลที่ถูกสร้างโดยพระนิกายเยซูอิต ในปีค.ศ. 1602 – ค.ศ. 1640 ซึ่งในอดีตนั้นเป็นโบสถ์แคทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ต่อมาได้ถูกทำลายด้วยเหตุการณ์ไฟไหม้และพายุไต้ฝุ่นในปี ค.ศ. 1835 เหลือเพียงซากประตูที่ให้เราได้ชมมาจนถึงปัจจุบัน

Saint_Paul_Cathedral_7
ความสวยงามซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลคือรูปปั้นนูนต่ำบนซากประตูที่มีความสูง 23 เมตร กว้าง 25.5 เมตร เป็นสถาปัตยกรรมในสไตล์บารอค สร้างจากหินแกรนิต แบ่งเป็น 5 ชั้น แต่ละชั้นจะมีศิลปะปูนปั้นที่เล่าเรื่องราวของศาสนา วัฒนธรรมที่ผสมผสานของมาเก๊าได้อย่างละเอียดและงดงาม ซึ่งที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกอีกด้วย

Saint_Paul_Cathedral_21

ด้านหลังของซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลคือซากของวิทยาลัยเซนต์ปอลซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแบบตะวันตกแห่งแรกของตะวันออกไกล ด้านในยังมีพิพิธภัณฑ์ Museum of Sacred Art and Crypt ที่มีวัตถุโบราณให้เข้าชมฟรีกันอีกด้วย

ทริคสำหรับคนที่อยากได้ภาพประตูโบสถ์เซนต์ปอลแบบคนน้อยให้มาก่อน 8 โมงเช้าค่ะคุณจะได้ภาพสวยๆ แบบไม่มีคน แต่ถ้ามาหลังจากนั้นอยากหามุมถ่ายรูปสวยๆ แบบคนน้อยเราแนะนำมุมนี้เลยค่ะ เป็นมุมลับต้นไทรที่อยู่ด้านขวามือของซากประตูคือถ้าเดินย้อนมาจากวัดเปากงเราจะพบมุมนี้ก่อน อยู่บนเนินที่สามารถมองเห็นซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลแบบสวยเต็มตาไม่ค่อยมีคนมาด้วย

Saint_Paul_Cathedral_25

ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล
Museum of Sacred Art and Crypt
เข้าชมฟรี
เปิด 9.00 - 18.00 น. (ยกเว้นวันอังคารปิดทำการเวลา 14.00 น.) เปิดให้เข้าชมรอบสุดท้ายเวลา 17.30 น.
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/6zENaFanxKno6wWG6

จากนั้นยังมีมุมไฮไลท์ที่ห้ามพลาดสำหรับสายถ่ายรูปอีกมุมค่ะนั่นคือตรอกคู่รักหรือ ทราแวซซา ดา ปายเชา (Travessa da Paixao) ถ้าหันหน้าเข้าซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลจะอยู่ทางซ้ายมือค่ะ หาไม่ยาก เป็นมุมบันไดที่แบ็คกราวด์ด้านหลังคือซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลแบบนี้เลยเก๋มากๆ

Saint_Paul_Cathedral_11Saint_Paul_Cathedral_12

สำหรับมื้อเย็นวันนี้เราฝากท้องไว้ที่ถนนสายของกินในเซนาโดสแควร์ที่ชื่อ Travessa da Se (ทราแวซซา ดา ซี) เต็มไปด้วยร้านสตรีทฟู้ดมากมาย

Senado_Square_7

โดยร้านดังๆ คนต่อแถวก็ต้องร้านนี้เลยค่ะ Kam Wai Beef Offal ร้านเครื่องในวัวต้มและโอเด้งมาเก๊า ใครที่เป็นสายเนื้อบอกเลยว่าฟิน เพราะเมนูที่เราสั่งมาจะมีทั้งเอ็นเนื้อตุ๋น และเครื่องใน มีรสเผ็ดจากเครื่องแกงคล้ายแกงกะหรี่ รสชาติอร่อยไม่เหม็นคาว ราคาถ้วยละ 35MOP เท่านั้น 

ฝั่งตรงข้ามของร้าน Kam Wai Beef Offal คือร้าน KIKA Gelato ซึ่งเป็นร้านไอศกรีมเจลาโต้หลากหลายรสชาติการันตีความอร่อยด้วย Michelin Plates ราคาเริ่มต้น 15 MOP/ 1 สกู๊ป โดยรสที่เราสั่งมาคือ Caramel Salt อร่อยมากๆ หอมคาราเมลตัดด้วยความเค็มกินเพลินสุดๆ

m2
ใกล้ถนนเส้นนี้ยังมีจุดถ่ายรูปไม่ว่าะจะเป็นศิลปะบนกำแพงที่ตกแต่งด้วยลายกระเบื้องสีฟ้าสไตล์โปรตุเกสและโบสถ์แคทอลิกให้ได้ไปถ่ายรูปกันอีกด้วย

m5

บรรยากาศ Senado Square และซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลยามค่ำคืนที่สวยมีเสน่ห์ไม่แพ้ตอนกลางวัน

Senado_Square_22

Saint_Paul_Cathedral_3

Senado Square
การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย 3,3x,4,6A,8A,18A,19,26A,33,101X,N1A มาลงป้าย Av. de Almeida Ribeiro แล้วเดินข้ามมาฝั่งตรงข้าม
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/S1iBqrJjUwAZ8sCQ6

จากนั้นก็เดินกลับที่พัก เตรียมตัวไปเที่ยวต่อกันในวันที่ 2 ค่ะ





 

3-2

เช้านี้เราเช็คเอาท์จากที่พักและฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พัก เพื่อเดินทางไปเที่ยวกันต่อไม่ต้องรอช้า โดยจุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ วัดเจ้าแม่กวนอิม (Kun Iam Temple) เป็นหนึ่งใน 3 วันเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า และยังเป็นวัดที่ใหญ่และรวยที่สุดในมาเก๊าอีกด้วยค่ะ

KunIam_Temple_26

ซึ่งพอเดินเข้าประตูมาเราก็จะพบกับท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 จากนั้นเดินผ่านประตูเข้ามาก็พบกับลานด้านหน้าวัด ที่นำไปสู่อาคารวัดด้านในที่แบ่งเป็น 3 ห้องโถง โถงด้านในสุดจะเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิมทรงชุดเจ้าสาวโบราณ วิธีการไหว้ให้เราไหว้ฟ้าดินด้านหน้าก่อน ตามความเชื่อของคนจีนเชื่อว่าเป็นการเปิดทางให้เทพเจ้าประทานพรให้แก่เรา จากนั้นก็เข้าไปไหว้องค์เจ้าแม่กวนอิมที่โถงด้านในสุดและไล่มาถึงด้านหน้าสุด

KunIam_Temple_1
องค์เจ้าแม่กวนอิมทรงชุดเจ้าสาวโบราณที่ทำจากผ้าไหมโดยจะมีการผัดเปลี่ยนทุกปี

KunIam_Temple_8

สำหรับเครื่องไหว้จะมีราคาที่แตกต่างกันไปค่ะ แต่ถ้าเป็นเครื่องไหว้ที่มาพร้อมกระดาษรูปชุดจ้าสาวราคาอยู่ที่ประมาณ 68 MOP ไหว้เสร็จแล้วก็นำกระดาษไปเผาด้านหน้า นอกจากนี้ยังมีธูปขดสำหรับใครที่อยากขอพรในเรื่องใหญ่ๆ โดยจะอยู่ได้นานประมาณ 15-30 วัน สำหรับการขอพรที่วัดเจ้าแม่กวนอิมส่วนมากจะมาขอพรในเรื่องโชคลาภ การเงิน ความสำเร็จ ใครที่เป็นสายมูห้ามพลาดวัดนี้เด็ดขาด

m6

วัดเจ้าแม่กวนอิม (Kun Iam Temple) 
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 7.30 - 17.00 น.
เข้าฟรี
การเดินทาง : รถบัสสาย 5X,17,23,25 และ 25B ไปลงป้าย Forte Mong-Há
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/9Wc6RbZLXtEh2NDw5

จากนั้นนั่งรถบัสกลับมาเอากระเป๋าที่ Macau Hotel S - Formerly - Macau Hotel Sun Sun แล้วเรียกแท็กซี่ไปยังที่พักเช็คอินที่พักที่ Grand View Hotel ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งไทปา ทำเลดีใกล้กับ Taipa Food Street รอบๆ ที่พักมีร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อมากมาย และยังใกล้กับสนามบินนั่งรถไปประมาณ 8 นาทีเท่านั้น

Grandview_Hotel_Macau_2
ห้องพักที่เราจองไว้เป็นห้องพรีเมียร์กว้างมาก 29 ตารางเมตรกันเลยทีเดียว สามารถรีเควสท์ได้ว่าจะขอเป็นห้องเตียงเดี่ยวหรือเตียงคู่ นอกจากนี้ยังสามารถจองห้องพักในชั้นที่ No Smoking ได้ด้วย

Grandview_Hotel_Macau_12

ห้องกว้าง สิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีฟรีอินเตอร์เน็ตไวไฟ พร้อมกันนั้นห้องน้ำยังมาพร้อมอ่างอาบน้ำให้นอนแช่ได้ด้วย ห้องที่เราจองราคาประมาณ 3,300 บาท/คืนเท่านั้น

Grand View Hotel
ราคาเริ่มต้น : ประมาณ 3,300 บาท/คืน
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/PLLhBbAZmpAc3NaN9?g_st=ic

เก็บของกันแล้วก็เตรียมตัวไปเที่ยวต่อกันเลยซึ่งจุดหมายของเราในวันนี้วางไว้ทางใต้สุดของมาเก๊านั่นก็คือหมู่บ้านโคโลอาน (Coloane village) หมู่บ้านสุดน่ารักบรรยากาศเงียบสงบเหมาะกับการมาสัมผัสมาเก๊าอีกหนึ่งมุมที่เราอาจจะไม่เคยเห็น โดยสามารถนั่งรถบัสสาย 26A ไปลงที่ป้าย Mercado M. De Coloane ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ซึ่งจุดท่องเที่ยวของหมู่บ้านโอโลอานคือโบสถ์ St. Francis Xavier ที่ตั้งอยู่ด้านหลังอนุสาวรีย์ปราบโจรสลัด ตัวโบสถ์สร้างขึ้นในสไตล์บาโรก ขนาดเล็กสีเหลืองไข่ไก่ ตัดด้วยกรอบประตูหน้าต่างสีฟ้า

Chapel Of St.Francis Xavier_5

ประวัติที่มาของโบสถ์นี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1928 ในอดีตเคยเป็นที่เก็บพระธาตุจากแขนของเซนต์ฟรานซิส เซเวียร์ นักบุญผู้เผยแผ่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นและเสียชีวิตลงในปี 1552 ซึ่งแต่เดิมจะนำไปเก็บไว้ที่ญี่ปุ่นแต่เกิดเหตุการณ์การเบียดเบียนศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นทำให้พระชาวต่างชาติและพระชาวญี่ปุ่น 26 รูปถูกตรึงบนไม้กางเขนในนางาซากิในปี ค.ศ.1957 รวมถึงมีการสังหารชาวคริสต์ที่เป็นคนญี่ปุ่นนับร้อยคนในเหตุการณ์กบฏชิมะบาระ ในปี ค.ศ.1637 เลยมีการนำพระธาตุของเซนต์ฟรานซิส เซเวียร์ พระทั้ง 26 รูปและกระดูกชาวคริสต์ส่วนหนึ่งนำมาเก็บไว้ที่โบสถ์เซนต์ปอลแต่ด้วยเหตุการณ์ไฟไฟม้เลยนำมาเก็บไว้ที่โบสถ์นี้ ปัจจุบันได้มีการย้ายพระธาตุไปยัง Museum of Sacred Art and Crypt และ St. Joseph's Seminary and Church แล้ว

Chapel Of St.Francis Xavier_2

ด้านหน้าคืออนุสาวรีย์ปราบโจรสลัดปี 1910 รอบๆ บริเวณนี้มีตรอกซอยเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านสไตล์ยุโรปสีสันน่ารัก พร้อมกันนั้นยังมีร้านคาเฟ่ ร้านขายของฝากน่ารักให้เราได้แวะเข้าไปเยี่ยมชมกันด้วยค่ะ บอกเลยว่าแค่เดินชมบ้านต่างๆ ในตรอกซอกซอยเล็กๆ ก็เพลิดเพลินแล้ว ใครอยากสัมผัสมาเก๊าในบรรยากาศเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่านมีความตะมุตะมิก็มาที่นี่กันเลย

m7

โบสถ์ St. Francis Xavier 
เปิด 9.30-17.30 น.
การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย 15, 21A และ 26A ไปลงป้าย Mercado M. De Coloane แล้วเดินไปที่โบสถ์ประมาณ 3 นาที
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/z5Et6UQmURKdWRMn9?g_st=ic

ท้องเริ่มหิวแล้วค่ะ แต่ไม่ต้องไปไหนไกลแค่หันหน้าเข้าหาโบสถ์แล้วหันไปทางขวามือก็จะพบกับร้านอร่อยระดับมิชลินกับร้าน Chan Seng Kei (ฉั่น เซ็ง เกย) ร้านอาหารกวางตุ้งที่ได้รับสัญลักษณ์ Michelin Bib Gourmand ในปี 2023 โดยเปิดมา 70 ปีปัจจุบันดำเนินการโดยเจ้าของร้านรุ่นที่ 3 จุดเด่นของร้านนี้คือเมนูอาการทะเลที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่จากชาวประมงในท้องถื่น ตัวร้านเปิดโล่งสามารถมองเห็นวิวทะเลจากด้านในร้านได้เลย

CHAN_SENG_KEI_3

ซึ่งเมนูที่เราสั่งมาในวันนี้อาทิ หมูผัดเปรี้ยวหวาน เต้าหู้ทอดพริกเกลือ หมึกทอดกระเทียมและข้าวผัดหยางโจวจานใหญ่ ที่ประทับใจคือตัวหมึกเนื้อสัมผัสสดเด้งดีมากๆ ค่ะ สมกับได้รับสัญลักษณ์ Michelin Bib Gourmand กันเลย รสชาติร้านนี้ทำให้นึกถึงอาหารของบ้านเราเลยค่ะ ในส่วนบรรยากาศร้านก็เป็นกันเอง พี่เจ้าของร้านสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี  ส่วนราคาค่าเสียหายของมื้อนี้อยูที่ 328 MOP

CHAN_SENG_KEI_8

ร้าน Chan Seng Kei (ฉั่น เซ็ง เกย)
เปิดทุกวันเวลา 12.00-22.30 น,
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/m8NHKe5Gscby4pXS7?g_st=ic

มาถึงดินแดนทาร์ตไข่แล้วก็ห้ามพลาดมาทานร้านไข่เจ้าดังของมาเก๊านั่นก็คือร้าน Lord Stow's Bakery (ลอร์ด สโตวส์เบเกอรี่) การันตีด้วย Michelin Bib Gourmand ซึ่งในย่านโคโลอานนี้มีร้าน Lord Stow's Bakery ร้านแรกอยู่ใกล้ๆ กับ ร้าน Chan Seng Kei เดินไปได้ใช้เวลาเพียง 2 นาที เป็นร้านเล็กๆ ที่ไม่มีที่นั่ง สำหรับซื้อกลับเท่านั้น ตอนที่เราเดินมาฝนเริ่มตั้งเค้า และมีลูกค้ายืนต่อแถวรออยู่ด้านหน้าร้านมากมายเลยค่ะ แต่ภาพนี้ถ่ายหลังฝนตกที่คนบางส่วนก็เข้าไปอยู่ในร้าน บางส่วนก็ซื้อกลับไปแล้วเลยไม่ทันได้แชะภาพความฮอตของร้านนี้ให้ได้ชม

Lord_Stow_s_9

ซึ่งร้านนี้เริ่มต้นมาจาก Andrew Stow ชาวอังกฤษที่เดินทางเข้ามามาเก๊าเพื่อมาทำงานเป็นเภสัชกร ในปี 1979 ต่อมาในปี 1989 ได้ก่อตั้งร้านนี้ขึ้นมาสร้างสรรค์เมนูทาร์ตไข่ที่เป็นเมนูโปรตุเกสแต่ผสมผสานสไตล์อังกฤษโดยใช้ครีมสด เลยทำให้ร้านนี้เริ่มมีชื่อเสียงและโด่งดังในมาเก๊า ปัจจุบันขยายสาขาไปทั่วมาเก๊าและในต่างประเทศ อาทิ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์

Lord_Stow_s_7

ภายในร้านเมื่อเดินเข้ามาเราจะได้กลิ่นหอมของทาร์ตไข่ตลบอบอวลเพราะเขาอบกันในร้านเลยค่ะ ราคาทาร์ตไข่จะมีให้เลือกแบบบ 6 ชิ้น 65 MOP และ 12 ชิ้น 130 MOP เราสั่งแบบ 6 ชิ้น ยืนรออยู่สักพักเลยได้ทาร์ตไข่ที่บรรจุอยู่ในกล่องสีเหลืองมาครอบครอง กลิ่นหอมแตะจมูกยั่วยวนให้เราลองกัดคำแรกที่บอกเลยว่าสัมผัสได้ถึงคำว่าเป็นทาร์ตไข่ที่อร่อยที่สุดที่เคยทานมาในชีวิต เพราะแป้งด้านนอกที่กรอบ เนื้อสัมผัสของตัวครีมด้านในที่หวานหอมกำลังดี เนื้อนุ่มไม่เละ ยิ่งทานตอนร้อนๆ ตอนที่ออกมาจากเตาบอกเลยว่าความสุขบนโลกนั้นอยู่ในปากเรานี่เอง อร่อยจนอยากแบกกลับไปให้คนที่บ้านได้ทาน สำหรับคนที่จะซื้อกลับแนะนำลองเสิร์ชหาร้านใกล้ๆ ที่พัก เพราะขนมทำสดใหม่มีอายุเก็บไว้ได้ไม่นาน ค่อยมาซื้อในวันกลับจะดีกว่าค่ะ

บริเวณใกล้ๆ กันยังมีร้าน Lord Stow's Bakery ที่เป็นคาเฟ่อีกสามร้านเผื่อใครอยากนั่งชิลทานทาร์ตไข่จิบเครื่องดื่มชมบรรยากาศเมืองเล็กๆ ไปพลางก็สามารถไปกันได้เลย

Lord_Stow_s_6

Lord Stow's Bakery 
เปิด : ทุกวัน 7.00-21.00 น.
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/XW2FHqVJFJkzBh9z9?g_st=ic

จากนั้นเดินไปขึ้นรถบัสที่ป้ายรถบัสสาย 25 หรือสาย 50ใกล้ๆ กับร้านชื่อป้าย Vila De Coloane ไปลงป้าย Jardim Lameiras ซึ่งใกล้กับ Taipa Houses จุดหมายต่อไปของเราในวันนี้กันค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีและเดินต่อมาอีกหน่อยก็จะพบกับ Taipa Houses บ้านเก่า 5 หลัง สถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลสีเขียวพาสเทลตั้งเรียงกันท่ามกลางควมร่มรื่นของต้นไม้

Taipa_Houses_Museum_11

บ้าน 5 หลังนี้สร้างขึ้นในปี 1921 ในอดีตเคยเป็นที่พักอาศัยของพลเรือนอาวุโส ต่อมาในปี 1992 บ้าน 5 หลังนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นอาคารที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและทางรัฐบาลได้มีการปรับปรุงบ้านให้เป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดให้ประชาชนเข้าชมในปี 1999

Taipa_Houses_Museum_8
โดยภายในบ้านแต่ละหลังจะเป็นทั้งพิพิธภัณฑ์ ห้องจัดแสดงภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในอดีต ร้านขายของที่ระลึกที่แสดงความเป็นโปรตุเกสซึ่งบอกเลยว่ามีแต่ของน่ารักมากๆ ค่ะ และบ้านพักรับรอง โดยสามารถมาเข้าชมได้ฟรี นอกจากนี้บริเวณด้านหน้าบ้านที่หันหน้าเข้าสู่บึงบัวในอดีตเคยเป็นทะเล แต่มีการถมทะเลเพื่อสร้างแผ่นดินใหม่เลยทำให้เหลือแค่บึงบัว โดยเขาจะทำสะพานทอดยาวไปในบึงบัวกลายเป็นหนึ่งในจุดยอดฮิตของการถ่ายพรีเว็ดดิ้งตอนที่เราไปก็มีคู่หนุ่มสาวมาถ่ายพรีเว็ดดิ้งกันน่ารักมากๆ ค่ะ

m8

บริเวณใกล้ๆ ไทปาเฮาส์ยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Our Lady of Carmel และมีการเพนท์ภาพบนบันไดหิน พร้อมกับมีภาพน้องแมวน่ารักที่แอบซ่อนอยู่ตรงบันไดให้เราได้แชะภาพเก๋ๆ กันอีกด้วยค่ะ

m9

Taipa Houses
เปิด : 10.00-19.00 น.(ปิดทุกวันจันทร์)
เข้าชมฟรี
การเดินทาง : รถบัสที่ให้บริการหลายสายไม่ว่าจะเป็นสาย 11,15,33,22,30,34,28A ไปลงที่ป้าย Piscinas Do Carmo/สาย AP1,25,21A,MT4,50,AP1X,36 ลงป้าย Jardim Lameiras แต่ถ้าใกล้สุดก็ป้าย Piscinas Do Carmo แล้วเดินมานิดเดียว
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/dbVqUeGSCMZ4rPFT8?g_st=ic

ส่วนอาหารเย็นวันนี้เรามาทานอาหารโปรตุเกสระดับมิชลินที่ร้าน O Castiço (โอ คาสติโซ) ตั้งอยู่ใกล้ย่าน Taipa Food Street โดยเป็นร้านเล็กๆ แต่มีลูกค้าเข้ามารอทานไม่ขาดสายกันเลยค่ะ ซึ่งการันตีความอร่อยด้วยสัญลักษณ์ Michelin Bib Gourmand

Castico_2
ซึ่งอาหารโปรตุเกสในมาเก๊าก็เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กับอาหารจีนในมาเก๊ากันเลย เป็นอีกหนึ่งหลักฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของมาเก๊าได้ดีทีเดียวค่ะ สำหรับเมนูที่เราสั่งมาทานในวันนี้ อาทิ Amêijoas à Bulhão Pato(118 MOP) ซึ่งเป็นเมนูหอยลายที่นำมาผัดกับเนยเพิ่มความสดชื่นด้วยเลม่อน เป็นเมนูที่ช่วยดึงรสชาติความสดของหอยลายออกมาได้อย่างดีค่ะ ต่อด้วย Salada de Polvo(68 MOP) สลัดหมึกยักษ์สไตล์โปรตุเกส ที่จัดเต็มผักมากมายพร้อมกับความกรุบของหมึกยักษ์ที่เนื้อเด้งสดสู้ฟันทานเพลินมากๆ และที่พลาดไม่ได้กับเมนู Pastel de Bacalhau (33 MOP) ซึ่งเป็นเมนูประจำชาติของโปรตุเกสโดยนำเนื้อปลาคอดไปบดผสมกับมันเทศแล้วนำไปทอด มีความหอม มัน ละมุนมากๆ ค่ะ

m10

O Castiço
ที่ตั้ง : ใกล้กับ Taipa Food Street
เปิดบริการ : 11.00-23.00 น.(ปิดวันพฤหัสบดี)
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/akSPhgYV2Wm9MXR46?g_st=ic

ทานอาหารเย็นเสร็จก็สามารถมาเดินเล่นซื้อของฝากหรือหาอาหารสตรีทฟู้ดสุดอร่อยกันได้ที่ Taipa Food Street ย่านสตรีทฟู้ดชื่อดังของมาเก๊าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้าน O Castiço

Taipa_Food_Street_4

Taipa Street Food ตั้งอยู่บนถนน Rua do Cunha เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านของฝาก ร้านขนมขายเต็มอยู่สองฝั่ง โดยร้านส่วนมากจะเปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้ายาวไปจนถึงสี่ทุ่ม เรียกได้ว่าอยากหามื้อเช้า มื้อบ่าย มื้อเย็นไปจนถึงมื้อดึกก็มาทานที่นี่ได้เลยค่ะ 

ร้านแนะนำอาทิร้าน Café Vong Kei ร้านนี้ถ้าเดินมาจากร้าน O Castiço และเดินเลียบถนน Direita Carlos Eugenio ก็จะพบร้านนี้ตั้งอยู่ริมถนนเลยค่ะ มาถึงก็เจอแถวต่อกันอีกแล้ว โดยร้านนี้เขาจะดังในเรื่องชานมที่ใส่มาในขวดราคา 24 MOP หวานน้อยหอมชา นอกจากนี้ยังมีเมนูกาแฟเย็นให้ลองอีกด้วย

Taipa_Food_Street_3

อีกหนึ่งร้านแนะนำที่อยากให้ไปลองคือร้านโอเด้งมาเก๊าที่เหมือนกับเซนาโดสแควร์ชื่อร้านว่า Lao Day Beef offal อีกหนึ่งร้านโอเด้งมาเก๊าและร้านเครื่องในวัวต้มส่วนตัวว่าร้านนี้อร่อยกว่าร้านที่ Senado Square ถ้าสั่งเป็นเนื้อแบบรวมจะได้เอ็นเนื้อ และเครื่องใน โดยเขาจะถามเราว่าเอาแบบเผ็ดไหม เผ็ดน้อยหรือมาก เราสั่งแบบเผ็ดน้อยเขาก็จะราดน้ำแกงมาให้ ราคาชุดเล็ก 55 MOP แต่ก็ได้เยอะมากๆ กินคนเดียวไม่หมดต้องแบ่งเพื่อนกิน และได้เอ็นแก้วเยอะมากๆ เนื้อนุ่มเป็นเจลลี่เลยค่ะ ตัวเครื่องในก็อร่อยไม่เหม็น ความฮอตของร้านนี้วัดจากจำนวนคนที่มายืนต่อแถวอยู่ตลอดไม่ว่าเราจะมาเวลาไหน

นอกจากนี้ยังมีร้านวาฟเฟิลชื่อดัง ร้านไอศกรีมที่มีเมนูเด่นคือไอศกรีมทุเรียน ร้านคุกกี้อัลมอนด์ของฝากของมาเก๊า โดยร้านดังสุดชื่อว่าร้าน Pastelaria Fong Kei ร้านนี้เป็นร้านที่ได้แนะนำในมิชลินไกด์ ความอร่อยของร้านี้วัดจากจำนวนคนที่ต่อคิวยาวจนเราท้อใจ ส่วนใครอยากซื้อหมูย่างไปเป็นของฝากก็มีให้เลือกหลายร้าน สามารถเดินชิมได้ชอบร้านไหนก็ซื้อได้เลยค่ะ 

m11Taipa_Food_Street_13

Taipa Street Food 
เปิดทุกวัน 10.00 - 22.00 น.
การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย 11,15,22,28,30,33,34 มาลงที่ป้าย Rua Do Cunha 
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/5wM9rTAXKcXaXrcj7

3

วันสุดท้ายของทริปนี้กันแล้วค่ะ เช้านี้เราเช็คเอาท์และฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พักเช่นเคยเพื่อจะได้เดินตัวปลิวไปเที่ยวและไปช้อปให้กระจุย ซึ่งวันนี้เราวางแพลนช้อป วางแพลนเช็คอินถ่ายรูปกันหลายที่มาก

เริ่มจากจุดแรกคือถนน Cotai Strip จุดรวมที่เที่ยวแลนด์มาร์คดังๆ จากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น The Londoner Macao จําลองแลนด์มาร์กของอังกฤษ เช่น Elizabeth Tower หรือหอนาฬิกาบิ๊กเบน,The Londoner Macao's façade จําลองพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ พร้อมกับมีรถลอนดอนบัส ตู้โทรศัพท์สีแดงที่แสดงถึงความเป็นกรุงลอนดอนให้เราแชะภาพกันอีกด้วย ใครเดินเหนื่อยก็สามารถเดินเข้าไปตากแอร์ด้านในตัวอาคารที่เป็นทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม และแหล่งบันเทิงชั้นนำ

The_Londoner_Macao_41
m12

ถัดจาก The Londoner Macao คือ The Parisian Macao จำลองกรุงปารีสของประเทศฝรั่งเศสมาไว้อย่างเป๊ะปังมาก เริ่มจากหอไอเฟลที่ทำออกมาได้เหมือนเป๊ะมากๆ ด้านบนหอไอเฟลสามารถขึ้นไปชมวิวได้ด้วยนะ ส่วนเราเลือกจุดสวนสาธารณะบริเวณตรงข้ามที่ได้อารมณ์เหมือนสวน Champ de Mars ในปารีสเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีการจำลอง Love Lock Bridge หรือสะพานปงเดซาร์ข้ามแม่น้ําแซนให้เราได้แชะภาพกันอีกด้วย

The_Parisian_Macao_8
จากนั้นเดินย้อนมาทาง The Londoner Macao แล้วเดินข้ามสะสุดฮิตที่ยกเวนิสประเทศอิตาลีมาไว้ในมาเก๊ากับ The Venetian Macao

The_Venetian_Macao_3

ความพิเศษของที่นี่คือเขาจำลอง The Grand Canal ในเวนิสมาไว้ที่นี่เลยค่ะ ซึ่งไม่ได้แค่เล็กๆ แต่คลองใหญ่และยาวที่มาพร้อมกับเรือกอนโดล่าที่สามารถนั่งได้จริงมีคนพายเรือที่แต่งตัวเหมือนคนพายเรือกอนโดล่าในเวนิสและร้องเพลงให้เราฟังอีกด้วย ใครที่อยากนั่งจะมีค่าบริการคนละประมาณ 135 MOP บริเวณรอบๆ คลองเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านช้อปปิ้งแบรนด์เนมมาย ในอาคารสไตล์อิตาลี พร้อมกันนั้นยังมีสะพานข้ามคลองให้เราได้เดินเล่นถ่ายรูปอีกด้วย

The_Venetian_Macao_10

Cotai Strip
การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย 15,21A,25,25AX,25BS,26,26A,56,73S และ N3 มาลงป้าย Est.Do Istmo / Londoner
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/XJuDRVzDBHCab27M9

เดินถ่ายรูปกันจนท้องเริ่มหิวเราเลยไปแวะเติมพลังกันที่ Din Tai Fung  (ติ่น ไท่ ฟง)ร้านอาหารจีนเซี่ยงไฮ้ การันตีความอร่อยด้วย Michelin Bib Gourmand ซึ่งร้านนี้จะตั้งอยู่ใน City of Dreams คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่รวมทั้งโรงแรม 5 ดาว ศูนย์การค้า และแหล่งรวมความบันเทิงมากมายซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ The Venetian Macao เลยค่ะ ตกแต่งได้โมเดิร์นเท่น่าเดินมากๆ

CITY_OF_DREAMS_18

ซึ่งตอนเดินเข้ามาพบว่าเขากำลังมีนิทรรศกาล MrDoodle First Exhibition in Macao ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินชาวอังกฤษ Sam Cox ที่รู้จักกันในชื่อ MrDoodle โดยผลงานของเขาคือศิลปะแบบป๊อปอาร์ต โดยการสเก็ตต์ภาพการ์ตูนด้วยลายเส้นที่โดดเด่นสร้างเป็นลายเซ็นศิลปะในชื่อว่า Doodle ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

ครั้งนี้เขามาเนรมิตรพื้นที่บริเวณล็อบบี้ตั้งแต่พื้นไปจนถึงเสาให้เป็นศิลปะแบบ Doodle พร้อมกับมีการจัดแสดงผลงานให้ชมที่ Artelli พื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้า City of Dreams ที่สามารถเข้าชมฟรีค่ะแต่ต้องสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจองเข้าชมงานใครสนใจก็ลองไปชมได้เลยเขาจัดแสดงถึงวันที่ 15 ตุลาคมนี้นะคะ

m13

จากนั้นก็ถึงเวลาไปลิ้มรสความอร่อยที่ร้าน Din Tai Fung (ติ่น ไท่ ฟง) ร้านอาหารจีนเซียงไฮ้ที่มาพร้อมสัญลักษณ์ Michelin Bib Gourmand กันแล้วค่ะซึ่งตัวร้านตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ที่บริเวณ SOHO ซึ่งอยู่ตรงล็อบบี้ที่จัดแสดงผลงานของ MrDoodle เลยค่ะขึ้นบันไดเลื่อนก็เจอร้านเลย

DIN_TAI_FUNG_11

เมนูแนะนำของร้านได้แก่ ข้าวผัดหน้าหมูทอดชิ้นโตบิ๊กเบิ้มราคา (108 MOP) จานนี้ใหญ่จนแบ่งกินได้ 2 คน ต่อด้วยก๊วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น (102 MOP) ที่ตัวเส้นบะหมี่เส้นเล็กนุ่มอร่อยมากๆ ค่ะ ตัวซุปรสชาติกลมกล่อมส่วนเนื้อตุ๋นก็นุ่มแทบจะละลายในปาก อีกเมนูที่ห้ามพลาดคือเมนูเสี่ยวหลงเปาที่มีให้เลือกทั้งไส้หมู ไส้ไก่ ไส้หมูผสมปู ซึ่งวันนี้เราสั่งไส้หมู(6 ชิ้น/70 MOP) ตัวแป้งมากอร่อยมากไม่แข็งเลย เวลาทานเขาจะมีวิธีการทานโดยนำนำเสี่ยวหลงเปาลงไปจิ้มในน้ำซอสที่ผสมกับขิง แล้วนำมาวางไว้ในช้อน ใช้ตะเกียบเจาะให้เสี่ยวหลวงเปาแตกเพื่อให้น้ำไหลออกมาและเป็นการระบายความร้อนไม่ให้น้ำซุปลวกปาก แล้วใช้ตะเกียบคีบเส้นขิงลงไปวางบนเสี่ยวหลงเปาจากนั้นก็ลิ้มรสความอร่อยได้เลย

DIN_TAI_FUNG_8

Din Tai Fung (ติ่น ไท่ ฟง)
ชั้น 2 โซน SOHO ใน City of Dreams
เปิดบริการ : ทุกวัน เที่ยง - 21.00 น.
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/b8TocMWuT6bdhQ6S8

ปิดท้ายทริปนี้ก่อนโบกมือลามาเก๊าเราแวะมาช้อปปิ้งกันที่ Lisboeta Macau คอมเพล็กซ์ที่รวมห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร โรงแรมและความบันเทิงมากมายเอาไว้ที่นี่

Lisboeta_Macau_22

ซึ่งใครอยากช้อปน้ำหอม สนีกเกอร์ เสื้อผ้าก็ปักหมุดที่นี่เลยมีร้านแบรนด์แนมมากมายให้เราได้เลือกช้อปก่อนกลับบ้านเยอะมากๆ ค่ะ

m14

Lisboeta Macau 
การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย 35,51,59 มาลงป้าย Rua Da Patinagem/ Lisboeta
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/kxnzH9SWG8HaQjXj6



เวลา 3 วัน 2 คืน มาเก๊าทำให้เรารู้ว่า เราต้องกลับมาที่นี่อีก เพราะยังมีที่เที่ยว ยังมีร้านอร่อย ยังมีเสน่ห์ของมาเก๊าอีกมากมายที่รอเราไปสัมผัส 

มาเก๊า ไม่ได้มาครั้งเดียว แต่ต้องมา

 

เขียนโดย
นางสาวฮานะ ชิลไปไหน
นางสาวฮานะ ชิลไปไหน