calendar_month 20 ก.ย. 2023 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 29,589 / เที่ยวต่างประเทศ
มาเก๊า เที่ยวยังไง? เที่ยวยากไหม? ไปมูได้ไหม? ร้านไหนอร่อย?... คือคำถามที่หลายคนฝากเราไว้เมื่อรู้ว่าเราจะไปมาเก๊า
ทริปนี้จึงเป็นทริปเที่ยวมาเก๊าแบบเจาะลึก รวบรวมเป็นคัมภีร์กินเที่ยวมาเก๊าที่ให้เพื่อนๆ สามารถไปเที่ยวตามได้เลย ใช้เวลาสั้นๆ เพียง 3 วัน 2 คืน ไม่ต้องลาหัวหน้าหลายวัน มีเวลาแค่วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็ไปเที่ยวมาเก๊ากันได้แล้ว
1.มาเก๊าอยู่ตรงไหน
มาเก๊า หรือเขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งอยู่ชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีน ในอดีตเคยปกครองด้วยประเทศโปรตุเกส ก่อน พ.ศ. 2542 เรียกว่าเป็นอาณานิคมของยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศจีน และในปี พ.ศ. 2542 ได้กลายเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน โดยมีฐานะเป็นเขตบริหารพิเศษของจีนภายใต้หลักการ “หนึ่งประเทศสองระบบ” มาเก๊าจึงเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยการผสมผสานของ 2 วัฒนธรรมคือเอเชียและยุโรป ผ่านตึกรามบ้านช่อง อาหาร วัฒนธรรมได้อย่างน่าสนใจ
พื้นที่มาเก๊าจะแบ่งได้ 4 โซนหลักๆ เริ่มจากส่วนที่ติดกับแผ่นดินใหญ่เรียกว่าคาบสมุทรมาเก๊า ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์อย่าง เซนาโด สแควร์ ประตูโบสถ์เซนต์ปอล หรือวัดดังของสายมูทั้งหลายจะอยู่ในโซนนี้ค่ะ และท่าเรือ Outer Harbour Ferry Terminal ให้บริการเรือเฟอร์รี่ไปยังฮ่องกงและเซินเจิน นอกจากนี้ยังสามารถใช้บริการรถบัสจากมาเก๊าข้ามสะพาน ฮ่องกง จูไห่ มาเก๊า ไปยังฮ่องกงได้ที่สถานีรถบัส Hong Kong–Zhuhai–Macau Bridge (HZMB)
ฝั่งเกาะที่ประกอบไปด้วยย่านไทปา (Taipa), โคไท (Cotai) และโคโลอาน(Coloane) ที่เชื่อมต่อกับคาบสมุทรมาเก๊าด้วยสะพาน 3 สะพาน ได้แก่ สะพาน Governador Nobre de Carvalho Bridge หรือสะพานมาเก๊า-ไทปา,สะพาน Sai Van และสะพาน Ponte de Amizade หรือสะพานมิตรภาพ โดยในย่านไทปานั้นจะเป็นที่ตั้งของแหล่งกินฟู้ดสตรีทชื่อดังนั่นคือไทปาฟู้ดสตรีท สวนสาธารณะ มหาวิทยาลัย ที่เที่ยวทางประวัติศาตร์อย่างไทปาเฮาส์ และเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางภายนอกประเทศนั่นก็คือสนามบินนานาชาติมาเก๊า อีกทั้งยังมี Taipa Ferry Terminal ที่ให้บริการเรือเฟอร์รี่ไปยัง ฮ่องกง จูไห่ เซินเจิน และตงกวน
โซนโคไท (Cotai) เป็นโซนที่เกิดจากการถมทะเลอยู่ระหว่างไทปาและโคโลอาน โซนนี้เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า โรงแรม และแหล่งบันเทิงเหมือนกับย่านไทปา และโซนโคโลอาน(Coloane) ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของมาเก๊า ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโคโลอาน(Coloane village) โซนนี้จะเป็นโซนที่เงียบสงบ น่ารัก มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ให้เที่ยวด้วย
2.มาเก๊าเที่ยวได้ไม่ต้องง้อวีซ่า
สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถถือพาสปอร์ตเข้าไปเที่ยวมาเก๊าได้เลยไม่ต้องขอวีซ่าและอยู่ได้ยาวถึง 30 วันกันเลยทีเดียว แค่เช็คว่าพาสปอร์ตของคุณยังมีอายุการใช้งานมากกว่า 6 เดือนเท่านี้ก็สามารถจองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวมาเก๊าได้แล้ว
3.เวลามาเก๊าต่างจากไทย 1 ชั่วโมง
ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราไม่ต้องปรับตัวในเรื่องเวลาเท่าไร ใครอยากติดต่อเพื่อน หรือติดต่องานที่ไทยก็สะดวกสบายเพราะเวลาไม่ต่างกันมาก อีกทั้งจากเมืองไทยก็บินไปไม่นานค่ะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงมาเก๊าแล้ว
4.สภาพอากาศในมาเก๊า
มาเก๊ามีอากาศค่อนข้างร้อนชื้นค่ะ อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 23 องศาเซลเซียส โดยจะมีฤดูกาลดังนี้
5.สกุลเงินมาเก๊า
มาเก๊าใช้เงินสกุล Macanese pataca หรือ Macau pataca (MOP) โดยค่าเงินปัจจุบัน 1 MOP = 4.43 บาท สำหรับการแลกเงินจากไทยเราสามารถแลกเป็นเงิน MOP แต่ร้านแลกเงินสกุล MOP นั้นในบ้านเราค่อนข้างน้อย หรือสามารถแลกเป็นเงินดอลลาร์ฮ่องกงหรือ HKD นำไปใช้ที่มาเก๊าได้โดยเขาจะทอนให้เรากลับมาเป็นเงิน MOP แต่บางร้านอาจจะไม่รับเงิน HKD นะคะ โดยเฉพาะร้านเล็กๆ ดังนั้นควรสอบถามกับทางร้านก่อนว่าเขารับเงิน HKD ไหม
6.ภาษาที่ใช้ในมาเก๊า
คนมาเก๊าส่วนมากพูดภาษาจีนกวางตุ้ง จีนกลางค่ะ ส่วนถ้าเป็นพนักงานโรงแรม ในร้านอาหารใหญ่ๆ หรือพนักงานในห้างสรรพสินค้าส่วนมากสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่ถ้าไปเจอคุณลุง คุณป้าที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ก็ไม่ต้องกังวลคุณสามารถเปิดกูเกิลทรานสเลทเลือกฟีเจอร์ที่สามารถพูดเป็นเสียงภาษาจีนได้แล้วกดเลยค่ะ คนมาเก๊าจะเข้าใจ โดยเราใช้วิธีนี้ในการบอกเส้นทางกับแท็กซี่ แค่กดปุ่มพูดเท่านั้นพี่แท็กซี่เข้าใจกันหมดเลย หรือจะโชว์ภาพสถานที่ที่เราจะไปให้กับเเท็กซี่ได้เลยค่ะ
7.ระบบขนส่งในมาเก๊า
การเดินทางในมาเก๊าปัจจุบันมีให้เลือกทั้งรถบัส รถแท็กซี่ และล่าสุดกับรถไฟฟ้า LRT ที่เพิ่งเปิดให้บริการโดยมีทั้งหมด 11 สถานีเชื่อมต่อการเดินทางในฝั่งเกาะไทปาและโคไท
ส่วนรถประจำทางหรือรถบัสเป็นขนส่งสาธารณะที่สะดวกและประหยัดสุดในมาเก๊า ค่าบริการอยู่ที่ 6 MOP ตลอดสาย ค่ารถสามารถจ่ายเป็นเงินสดแต่ต้องเตรียมเงินให้พอดีเพราะเครื่องจะไม่ทอน หรือสามารถจ่ายด้วยบัตร Macau Pass ซึ่งเป็นบัตร IC Card ที่สามารถใช้กับรถสาธารณะทุกคันในมาเก๊า ถ้าเราจ่ายค่ารถบัสด้วย Macau Pass เราจะจ่ายเเค่ 3 MOP ตลอดสาย เเถมอีกคือ ถ้าเราเปลี่ยนสายภายใน30นาที ไม่คิดเงินเพิ่มด้วยค่ะ รวมถึงสามารถแตะซื้อของในร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าต่างๆ ได้ โดยสามารถซื้อบัตร Macau Pass ได้ที่ร้านสะดวกซื้ออาทิ 7-Eleven และ Circle-K การขึ้นรถบัสในมาเก๊าคือขึ้นประตูด้านหน้าแตะจ่ายเงินทันทีบริเวณคนขับและลงตรงกลาง สำหรับเส้นทางรถบัสสามารถเข้าไปเช็คได้ที่ Macau Pass https://www.dsat.gov.mo
รถแท็กซี่ เป็นอีกหนึ่งขนส่งสาธารณะที่สะดวกมากๆ ค่ารถเริ่มต้นที่ 19 MOP และจะเพิ่มเป็น 2 MOP ทุกๆ 240 เมตร ถ้ามีกระเป๋าใบใหญ่ใส่ที่ท้ายรถเขาจะคิดเพิ่มอีก 3 MOP/ ชิ้น และถ้านั่งแท็กซี่จากสนามบินมาเก๊า หรือท่าเรือเฟอร์รี่ไทปา รวมไปถึงนั่งจากฝั่งมาเก๊าไปยังโคโลอานจะเสียเพิ่ม 5 MOP และถ้านั่งจากฝั่งไทปาไปยังโคโลอานจะเสียเพิ่ม 2 MOP ซึ่งแท็กซี่ของมาเก๊าสามารถโบกเรียกตามท้องถนนได้เลยค่ะ แต่ถ้าช่วงเวลาเร่งด่วนอาจจะหาแท็กซี่ยากมากกกก แนะนำว่าให้ทางโรงแรมเรียกให้ก็สะดวกสบาย ข้อดีของแท็กซี่มาเก๊าคือไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร ประตูเป็นอัตโนมัติเปิดเองได้ ส่วนวิธีการสื่อสารแนะนำว่าหาเส้นทางที่เราจะไปในกูเกิลแมปและเปิดโหมดพูดภาษาจีนคนขับจะเข้าใจเราทันทีเลยค่ะ
8.ปลั๊กไฟในมาเก๊า
มาเก๊าใช้กำลังไฟ 220 V 50 Hz เท่าของเมืองไทยค่ะ สามารถนำเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นที่หนีบผมหรือที่ม้วนผมจากไทยไปได้ แต่ต้องใช้ผ่านตัวแปลงเพราะเต้าเสียบของเขาจะเป็นแบบขาเหลี่ยม 3 ขาไม่เหมือนบ้านเรา เลยเเนะนำให้พก Universal Adapter ไปด้วยนะคะ
ทำความรู้จักมาเก๊าคร่าวๆ กันแล้วก็เตรียมตัวไปตะลุยเมือง 2 วัฒนธรรมแห่งนี้กันได้เลยยย
เริ่มต้นการเดินทางเรานั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองไปยังมาเก๊าโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้วค่ะ มาถึงมาเก๊าปุ๊บก็ผ่านขั้นตอนการเข้าเมือง ตม. ผ่านได้อย่างง่ายดาย ไม่ได้ถามอะไรเราเลย แต่ก็ควรเตรียมตัวในเรื่องตั๋วบินขากลับ เอกสารการจองโรงแรม และแพลนการเดินทางเอาไว้เผื่อทาง ตม.ถามด้วยนะคะ
จากนั้นก็ออกไปรับกระเป๋าและเดินออกมาบริเวณด้านนอกสิ่งแรกที่เราทำคือหาเคาน์เตอร์แลกเงินเพราะเราแลกเงินมาเป็นดอลล่าร์ฮ่องกง แม้ว่ามาเก๊าจะรับเงินฮ่องกงแต่ก็แลกเผื่อไว้สัก 30% ของเงินที่เตรียมมาเผื่อว่าบางร้านเขาไม่รับเงินฮ่องกงก็สามารถใช้เงินมาเก๊าได้
พอแลกเงินปุ๊บขั้นตอนต่อไปคือหาวิธีการเข้าเมืองซึ่งบริเวณทางออกเขาจะมีป้ายบอกขนส่งสาธารณะทั้งรถบัสเข้าเมืองและรถแท็กซี่ หรือถ้าใครยืนงงในดงคนมาเก๊าก็เดินไปถามเจ้าหน้าที่ที่ Tourist Information กันได้เลย เจ้าหน้าที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้และแนะนำได้ว่าถ้าจะไปที่พักของเราวิธีการเดินทางที่ง่ายที่สุดคืออะไร และราคาประมาณเท่าไร ซึ่งวิธีเข้าเมืองมาเก๊าจะมี 3 วิธีค่ะ คือรถบัสได้แก่สาย –AP1, AP1X, MT1, MT4, N2, 26, 36, 51A & 51X บริการรถรับส่งของโรงแรมซึ่งโรงแรมใหญ่ๆ ในมาเก๊าจะมีบริการรถรับส่งลูกค้าฟรีที่สนามบินเลยและรถแท็กซี่ซึ่งครั้งนี้เราใช้บริการรถแท็กซี่เพราะสะดวกสุดๆ
สำหรับที่พักคืนแรกของเราในทริปนี้เราจองที่ Macau Hotel S - Formerly - Macau Hotel Sun Sun ที่พักที่ตั้งอยู่ในฝั่งโซนเมืองเก่าทำเลดีเว่อร์ใกล้กับ Senado Square เพียง 350 เมตร เดินไปได้เพียง 5 นาทีเท่านั้น
ซึ่งพอเข้ามาในที่พักก็ประทับใจเลยค่ะเพราะที่พักตกแต่งได้ฮิปน่าพักมากๆ ด้านล่างมีคาเฟ่สไตล์โมเดิร์นสุดเท่ให้บริการด้วย สำหรับห้องที่เราจองมาเป็นห้องสแตนดาร์ด ราคารวมภาษีแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 3,700 บาท/คืนค่ะ
ห้องดีงามขนาด 20 ตารางเมตร เรารีเควสท์เป็นเตียงทวินค่ะ พื้นที่ค่อนข้างกว้างวางกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2 ใบได้สบายไม่เกะกะ ภายในห้องมีทั้งทีวี(ซึ่งไม่ได้เปิด555) อินเตอร์เน็ตไวไฟไวเว่อร์ เครื่องทำกาแฟแบบแคปซูล(อันนี้ดี) ตู้เย็น น้ำเปล่า 2 ขวด ไดร์เป่าผมของเขาก็ดีงามมากๆ (เหมือนยี่ห้อดังเลยอ่ะ) และข้อดีคือที่นี่มีปลั๊กไฟเต้าเสียบแบบขากลมเหมือนบ้านเราด้วยค่ะ สามารถเสียบเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือปลั๊กพ่วงที่เตรียมมาได้เลย
มาถึงห้องน้ำกันบ้างแยกส่วนเปียกและแห้งและที่ประทับใจคือฝักบัวดีคือดีมากๆ เป็นฝักบัวสปารูเล็กน้ำแรงอาบแล้วไม่เจ็บ ในห้องน้ำมีสบู่ แชมพูให้พร้อม
Macau Hotel S - Formerly - Macau Hotel Sun Sun
ราคาเริ่มต้น : ประมาณ 3,700 บาท/คืน
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/78Cp4QRNzhofzT1HA
เอาของเก็บที่พักกันแล้วก็ออกไปตระเวนเที่ยวกันเลยค่ะ แพลนในวันนี้ของเราคือไปมูกันก่อนเลยที่แรกของเราคือ วัดอาม่า(A-Ma Temple) หรือ ศาลเจ้าแม่ทับทิมจากที่พักนั่งรถบัสสาย 1,2,5,10, และ 21A ไปลงป้าย Templo Á Ma แล้วก็เดินเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ หาไม่ยากเพราะหน้าวัดจะเป็นลานกว้างๆ มองเห็นวิวทะเล
ที่เลือกที่นี่เป็นที่แรกเพราะเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า สร้างขึ้นราวปี 1488 เก่าแค่ไหนก็สร้างก่อนจะมีมาเก๊านั่นเองค่ะ โดยเดิมวัดแห่งนี้ชื่อว่า A Ma Goa ที่แปลว่า อ่าวของอาม่าสร้างขึ้นเพื่อสักการะบูชาองค์อาม่าหรือเจ้าแม่ทับทิม เทพที่ดูแลท้องทะเล ในอดีตเมื่อชาวโปรตุเกสได้ล่องเรือมาเจอชาวพื้นเมืองและได้ถามว่าสถานที่นี้ชื่อว่าอะไรชาวเมืองบอกว่า A Ma Goa จึงมีการเรียกเพี้ยนมาจนเป็นมาเก๊าจวบจนปัจจุบัน และที่นี่ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2005 อีกด้วย
เมื่อเราเดินเข้ามาจะพบกับซุ้มประตูเก๋งจีนโดยหลักการเข้าวัดของคนจีนเชื่อว่าให้ก้าวเท้าซ้ายเข้ามาส่วนขาออกให้ก้าวเท้าขวาจะส่งผลให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า
ภายในประกอบไปด้วยซุ้มประตูแห่งการรำลึก หอสวดมนต์ หอแห่งความเมตตา หอเจ้าแม่กวนอิม และศาลาเซิ้งเจ้าชานหลินที่สร้างขึ้นจากความศรัทธา ซึ่งคนที่มาที่วัดอาม่าส่วนมากจะขอพรในเรื่องการงาน การเงิน และให้เดินทางปลอดภัยนอกจากนี้ยังสามารถมาขอพรเรื่องคู่ครองได้ด้วยนะคะ โดยจะมีเทียนดอกบัวคู่ราคาเริ่มต้น 38 MOP ให้นำไปสักการะองค์เจ้าแม่ทับทิม
อีกจุดที่สำคัญคือบริเวณหินเรือสำเภาค่ะ โดยเป็นหินก้อนใหญ่แกะสลักรูปสำเภาโบราณโดยว่ากันว่าเป็นหินที่เจ้าแม่ทับทิมย่างเท้าเข้าสู่แผ่นดิน หลายคนจึงมักนำแบงค์พับเป็นรูปเรือใบแล้วไปลูบที่หินจากนั้นก็เก็บใส่กระเป๋าไว้เชื่อว่าจะมีโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา
วัดอาม่า(A-Ma Temple)
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 8.00 - 18.00 น.
เข้าฟรี
การเดินทาง : รถบัสสาย 1,2,5,10, และ 21A ไปลงป้าย Templo Á Ma
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/ZNaJTEkvXBSC3dN68
จากนั้นนั่งรถบัสไปยัง Senado Square โดยให้เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามที่เราลงรถค่ะแล้วรอรบัสสาย 10 หรือ 10A ไปลงป้าย Av. De Almeida Ribeiro (San Ma Lo) อยู่ฝั่งเดียวกับเซนาโด สแควร์ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับ Senado Square หรือจะเลือกโบกรถแท็กซี่ไปก็ได้เพราะระยะมันใกล้ นั่งไปไม่แพงมาก
Senado Square จัตตุรัสใจกลางเมืองมาเก๊าและเป็นแลนด์มาร์คที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวมาเก๊า ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ซึ่งจัตตุรัสแห่งนี้เป็นที่รวบรวมสถานที่สำคัญทางประวัติศาตร์ อาคารสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป และเป็นแหล่งช้อปปิ้ง แหล่งรวมร้านอาหารอร่อยมากมาย เดินได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำกันเลยทีเดียวค่ะ
จุดถ่ายรูปใน Senado Square อาทิอาคาร Leal Senado ตึกสไตล์บารอคอายุกว่า 400 ปีซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของรัฐบาลโปรตุเกสมาเก๊าตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของจัตุรัส
อาคาร Holy House of Mercy หรือสำนักแห่งความเมตตา ตกแต่งสไตล์นีโอคลาสสิคอายุ 400 กว่าปีในอดีตเป็นคลินิกทางการแพทย์แห่งแรกของมาเก๊า
และถ้าหันหน้าเข้าจัตตุรัสและเดินเข้าทางตรอกเล็กทางซ้ายมือตรงอาคารสีชมพูก็จะพบกับวัดซําไกวุยคุน(Kuan Tai Temple) ที่เชื่อว่าสามารถปกป้องสิ่งชั่วร้ายต่างๆ เเละช่วยเสริมอำนาจบารมีในการปกครอง เเละคุ้มครองบริวาร ตำรวจ นักการเมือง เเละ ผู้นำทางธุรกิจ นิยมมาไหว้พระขอพร ที่วัดนี้ ที่แอบซ่อนอยู่ท่ามกลางอาคารรูปทรงยุโรป โดยหลายคนมักจะมาขอพรเรื่องการค้าขายกัน
จากนั้นก็ไปถ่ายรูปเช็คอินกันต่อที่ โบสถ์เซนต์ดอมินิค (St. Dominic's Church) อาคารสีเหลืองสไตล์บารอคที่ผสมผสานระหว่างสไตล์โปรตุเกสและสเปน สร้างในปี 1587 และเป็นสถานที่ที่ตีพิมพ์ A Abelha da China (The China Bee) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาโปรตุเกสฉบับแรกในมาเก๊าอีกด้วย ด้านในสามารถเดินเข้าไปชมได้ฟรีนะคะแต่งดใช้เสียงและสำรวมค่ะ
จากนั้นท้องเริ่มหิวเราเลยปักหมุดร้าน Sei Kee Café (ไซ เก๋ย กาเฟ้) สาขา Rua da Palha (ฮูอา ดา ปาลยา) ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่มีเมนูขนมปังโปรตุเกสหมูทอดที่โด่งดังจนได้รับการแนะนำในมิชลินไกด์ 2019,2020 และ 2021
ซึ่งตัวร้านอาจจะหายากนิสนึงเพราะไม่ได้อยู่บนถนนสายหลักของ Senado Square แต่อยู่ในซอยเล็กๆ สุดซอยเลยค่ะ เรียกว่าร้านลับได้เต็มปากจริงๆ ซึ่งตอนเราไปโชคดีคนไม่เยอะมาก มีเมนูและราคาติดอยู่หน้าร้านแม้จะเป็นภาษาจีนแต่ก็มีราคาและภาพติดเอาไว้ สามารถชี้บอกเขาได้เลย ซึ่งเมนูที่เราสั่งเป็นเมนูขนมปังหมูทอดราคา 36 MOP และชาเย็นราคา 20 MOP พอบอกปุ๊บคุณป้าคนขายก็เอาหมูมาทอดให้เราปั๊บเลย ทอดกันสดๆ ชิ้นต่อชิ้นกันเลย ซึ่งตัวหมูคือชิ้นใหญ่เว่อร์วังมากไ ขนมปังก็นุ่มสุดๆ กินชิ้นนี้เสร็จคืออิ่มยันเย็นเลยทีเดียว ส่วนชาเย็นก็หวานน้อยอร่อยมากๆ ค่ะ
ใครไปไม่ถูกกด Map นี้เลยจ้า https://maps.app.goo.gl/VsBpBo7aMBYfEpcC9?g_st=ic
อิ่มท้องกันแล้วสายมูอย่างเราก็ไม่พลาดไปมูกันต่อ เพราะเขาบอกว่าแถวนี้มีวัดเปากง(Pao Kong Temple) ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อท่านเปาบุ้นจิ้น ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม เชื่อว่าถ้าได้ไปไหว้ท่าน ท่านจะช่วยปัดเป่าเรื่องไม่ดีออกไปจากตัวเรา ให้ไม่มีโรคภัย สุขภาพแข็งแรง
ที่ตั้งของวัดจะอยู่บริเวณด้านหลังประตูโบสถ์เซ็นต์ปอลค่ะโดยจากโบสถ์เซ็นต์ปอลให้เดินขึ้นเนินทางขวามือ(ฝั่งยูนิโคล่)ไปจนสุด แล้วเดินไปทางขวามือ จะมีทางลงซ้ายมือไปยังวัด พอมาถึงเราจะเห็นกลุ่มวัดที่ประกอบไปด้วยวัดเปากง(Pao Kong Temple) อยู่ตรงกลาง ทางซ้ายคือวัดหนานซาน (Nanshan Temple) ส่วนด้านขวาคือศาลเจ้าแห่งเทพการแพทย์ (Temple of Divinity of Medicine)
ใครที่อยากมาขอพรเรื่องสุขภาพ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บก็มาที่นี่เลยค่ะ นอกจากจะมีเทพเปาบุ้นจิ้นแล้วยังมีเทพไท้ส่วยเอี้ยที่หลายคนมักมาแก้ชงกัน เทพนาจา เทพจี้กง ให้ได้มาสักการะบูชากันอีกด้วย
วัดเปากง(Pao Kong Temple)
เข้าฟรี
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/uDn5s5jhLGTTm2on8
จากนั้นเดินย้อนมาทางเดิมเพราะเราจะไปถ่ายรูปกับซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล(Ruins of St. Paul’s)กันค่ะ ซึ่งซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลถือว่าเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของมาเก๊า เดิมรู้จักกันในชื่อคริสตจักรมาแตร์เดอี (Mater Dei) ถัดจากโบสถ์คือมหาวิทยาลัยเซนต์ปอลที่ถูกสร้างโดยพระนิกายเยซูอิต ในปีค.ศ. 1602 – ค.ศ. 1640 ซึ่งในอดีตนั้นเป็นโบสถ์แคทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ต่อมาได้ถูกทำลายด้วยเหตุการณ์ไฟไหม้และพายุไต้ฝุ่นในปี ค.ศ. 1835 เหลือเพียงซากประตูที่ให้เราได้ชมมาจนถึงปัจจุบัน
ความสวยงามซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลคือรูปปั้นนูนต่ำบนซากประตูที่มีความสูง 23 เมตร กว้าง 25.5 เมตร เป็นสถาปัตยกรรมในสไตล์บารอค สร้างจากหินแกรนิต แบ่งเป็น 5 ชั้น แต่ละชั้นจะมีศิลปะปูนปั้นที่เล่าเรื่องราวของศาสนา วัฒนธรรมที่ผสมผสานของมาเก๊าได้อย่างละเอียดและงดงาม ซึ่งที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกอีกด้วย
ด้านหลังของซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลคือซากของวิทยาลัยเซนต์ปอลซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแบบตะวันตกแห่งแรกของตะวันออกไกล ด้านในยังมีพิพิธภัณฑ์ Museum of Sacred Art and Crypt ที่มีวัตถุโบราณให้เข้าชมฟรีกันอีกด้วย
ทริคสำหรับคนที่อยากได้ภาพประตูโบสถ์เซนต์ปอลแบบคนน้อยให้มาก่อน 8 โมงเช้าค่ะคุณจะได้ภาพสวยๆ แบบไม่มีคน แต่ถ้ามาหลังจากนั้นอยากหามุมถ่ายรูปสวยๆ แบบคนน้อยเราแนะนำมุมนี้เลยค่ะ เป็นมุมลับต้นไทรที่อยู่ด้านขวามือของซากประตูคือถ้าเดินย้อนมาจากวัดเปากงเราจะพบมุมนี้ก่อน อยู่บนเนินที่สามารถมองเห็นซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลแบบสวยเต็มตาไม่ค่อยมีคนมาด้วย
ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล
Museum of Sacred Art and Crypt
เข้าชมฟรี
เปิด 9.00 - 18.00 น. (ยกเว้นวันอังคารปิดทำการเวลา 14.00 น.) เปิดให้เข้าชมรอบสุดท้ายเวลา 17.30 น.
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/6zENaFanxKno6wWG6
จากนั้นยังมีมุมไฮไลท์ที่ห้ามพลาดสำหรับสายถ่ายรูปอีกมุมค่ะนั่นคือตรอกคู่รักหรือ ทราแวซซา ดา ปายเชา (Travessa da Paixao) ถ้าหันหน้าเข้าซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลจะอยู่ทางซ้ายมือค่ะ หาไม่ยาก เป็นมุมบันไดที่แบ็คกราวด์ด้านหลังคือซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลแบบนี้เลยเก๋มากๆ
สำหรับมื้อเย็นวันนี้เราฝากท้องไว้ที่ถนนสายของกินในเซนาโดสแควร์ที่ชื่อ Travessa da Se (ทราแวซซา ดา ซี) เต็มไปด้วยร้านสตรีทฟู้ดมากมาย
โดยร้านดังๆ คนต่อแถวก็ต้องร้านนี้เลยค่ะ Kam Wai Beef Offal ร้านเครื่องในวัวต้มและโอเด้งมาเก๊า ใครที่เป็นสายเนื้อบอกเลยว่าฟิน เพราะเมนูที่เราสั่งมาจะมีทั้งเอ็นเนื้อตุ๋น และเครื่องใน มีรสเผ็ดจากเครื่องแกงคล้ายแกงกะหรี่ รสชาติอร่อยไม่เหม็นคาว ราคาถ้วยละ 35MOP เท่านั้น
ฝั่งตรงข้ามของร้าน Kam Wai Beef Offal คือร้าน KIKA Gelato ซึ่งเป็นร้านไอศกรีมเจลาโต้หลากหลายรสชาติการันตีความอร่อยด้วย Michelin Plates ราคาเริ่มต้น 15 MOP/ 1 สกู๊ป โดยรสที่เราสั่งมาคือ Caramel Salt อร่อยมากๆ หอมคาราเมลตัดด้วยความเค็มกินเพลินสุดๆ
ใกล้ถนนเส้นนี้ยังมีจุดถ่ายรูปไม่ว่าะจะเป็นศิลปะบนกำแพงที่ตกแต่งด้วยลายกระเบื้องสีฟ้าสไตล์โปรตุเกสและโบสถ์แคทอลิกให้ได้ไปถ่ายรูปกันอีกด้วย
บรรยากาศ Senado Square และซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลยามค่ำคืนที่สวยมีเสน่ห์ไม่แพ้ตอนกลางวัน
Senado Square
การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย 3,3x,4,6A,8A,18A,19,26A,33,101X,N1A มาลงป้าย Av. de Almeida Ribeiro แล้วเดินข้ามมาฝั่งตรงข้าม
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/S1iBqrJjUwAZ8sCQ6
จากนั้นก็เดินกลับที่พัก เตรียมตัวไปเที่ยวต่อกันในวันที่ 2 ค่ะ
เช้านี้เราเช็คเอาท์จากที่พักและฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พัก เพื่อเดินทางไปเที่ยวกันต่อไม่ต้องรอช้า โดยจุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ วัดเจ้าแม่กวนอิม (Kun Iam Temple) เป็นหนึ่งใน 3 วันเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า และยังเป็นวัดที่ใหญ่และรวยที่สุดในมาเก๊าอีกด้วยค่ะ
ซึ่งพอเดินเข้าประตูมาเราก็จะพบกับท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 จากนั้นเดินผ่านประตูเข้ามาก็พบกับลานด้านหน้าวัด ที่นำไปสู่อาคารวัดด้านในที่แบ่งเป็น 3 ห้องโถง โถงด้านในสุดจะเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิมทรงชุดเจ้าสาวโบราณ วิธีการไหว้ให้เราไหว้ฟ้าดินด้านหน้าก่อน ตามความเชื่อของคนจีนเชื่อว่าเป็นการเปิดทางให้เทพเจ้าประทานพรให้แก่เรา จากนั้นก็เข้าไปไหว้องค์เจ้าแม่กวนอิมที่โถงด้านในสุดและไล่มาถึงด้านหน้าสุด
องค์เจ้าแม่กวนอิมทรงชุดเจ้าสาวโบราณที่ทำจากผ้าไหมโดยจะมีการผัดเปลี่ยนทุกปี
สำหรับเครื่องไหว้จะมีราคาที่แตกต่างกันไปค่ะ แต่ถ้าเป็นเครื่องไหว้ที่มาพร้อมกระดาษรูปชุดจ้าสาวราคาอยู่ที่ประมาณ 68 MOP ไหว้เสร็จแล้วก็นำกระดาษไปเผาด้านหน้า นอกจากนี้ยังมีธูปขดสำหรับใครที่อยากขอพรในเรื่องใหญ่ๆ โดยจะอยู่ได้นานประมาณ 15-30 วัน สำหรับการขอพรที่วัดเจ้าแม่กวนอิมส่วนมากจะมาขอพรในเรื่องโชคลาภ การเงิน ความสำเร็จ ใครที่เป็นสายมูห้ามพลาดวัดนี้เด็ดขาด
วัดเจ้าแม่กวนอิม (Kun Iam Temple)
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 7.30 - 17.00 น.
เข้าฟรี
การเดินทาง : รถบัสสาย 5X,17,23,25 และ 25B ไปลงป้าย Forte Mong-Há
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/9Wc6RbZLXtEh2NDw5
จากนั้นนั่งรถบัสกลับมาเอากระเป๋าที่ Macau Hotel S - Formerly - Macau Hotel Sun Sun แล้วเรียกแท็กซี่ไปยังที่พักเช็คอินที่พักที่ Grand View Hotel ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งไทปา ทำเลดีใกล้กับ Taipa Food Street รอบๆ ที่พักมีร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อมากมาย และยังใกล้กับสนามบินนั่งรถไปประมาณ 8 นาทีเท่านั้น
ห้องพักที่เราจองไว้เป็นห้องพรีเมียร์กว้างมาก 29 ตารางเมตรกันเลยทีเดียว สามารถรีเควสท์ได้ว่าจะขอเป็นห้องเตียงเดี่ยวหรือเตียงคู่ นอกจากนี้ยังสามารถจองห้องพักในชั้นที่ No Smoking ได้ด้วย
ห้องกว้าง สิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีฟรีอินเตอร์เน็ตไวไฟ พร้อมกันนั้นห้องน้ำยังมาพร้อมอ่างอาบน้ำให้นอนแช่ได้ด้วย ห้องที่เราจองราคาประมาณ 3,300 บาท/คืนเท่านั้น
Grand View Hotel
ราคาเริ่มต้น : ประมาณ 3,300 บาท/คืน
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/PLLhBbAZmpAc3NaN9?g_st=ic
เก็บของกันแล้วก็เตรียมตัวไปเที่ยวต่อกันเลยซึ่งจุดหมายของเราในวันนี้วางไว้ทางใต้สุดของมาเก๊านั่นก็คือหมู่บ้านโคโลอาน (Coloane village) หมู่บ้านสุดน่ารักบรรยากาศเงียบสงบเหมาะกับการมาสัมผัสมาเก๊าอีกหนึ่งมุมที่เราอาจจะไม่เคยเห็น โดยสามารถนั่งรถบัสสาย 26A ไปลงที่ป้าย Mercado M. De Coloane ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ซึ่งจุดท่องเที่ยวของหมู่บ้านโอโลอานคือโบสถ์ St. Francis Xavier ที่ตั้งอยู่ด้านหลังอนุสาวรีย์ปราบโจรสลัด ตัวโบสถ์สร้างขึ้นในสไตล์บาโรก ขนาดเล็กสีเหลืองไข่ไก่ ตัดด้วยกรอบประตูหน้าต่างสีฟ้า
ประวัติที่มาของโบสถ์นี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1928 ในอดีตเคยเป็นที่เก็บพระธาตุจากแขนของเซนต์ฟรานซิส เซเวียร์ นักบุญผู้เผยแผ่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นและเสียชีวิตลงในปี 1552 ซึ่งแต่เดิมจะนำไปเก็บไว้ที่ญี่ปุ่นแต่เกิดเหตุการณ์การเบียดเบียนศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นทำให้พระชาวต่างชาติและพระชาวญี่ปุ่น 26 รูปถูกตรึงบนไม้กางเขนในนางาซากิในปี ค.ศ.1957 รวมถึงมีการสังหารชาวคริสต์ที่เป็นคนญี่ปุ่นนับร้อยคนในเหตุการณ์กบฏชิมะบาระ ในปี ค.ศ.1637 เลยมีการนำพระธาตุของเซนต์ฟรานซิส เซเวียร์ พระทั้ง 26 รูปและกระดูกชาวคริสต์ส่วนหนึ่งนำมาเก็บไว้ที่โบสถ์เซนต์ปอลแต่ด้วยเหตุการณ์ไฟไฟม้เลยนำมาเก็บไว้ที่โบสถ์นี้ ปัจจุบันได้มีการย้ายพระธาตุไปยัง Museum of Sacred Art and Crypt และ St. Joseph's Seminary and Church แล้ว
ด้านหน้าคืออนุสาวรีย์ปราบโจรสลัดปี 1910 รอบๆ บริเวณนี้มีตรอกซอยเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านสไตล์ยุโรปสีสันน่ารัก พร้อมกันนั้นยังมีร้านคาเฟ่ ร้านขายของฝากน่ารักให้เราได้แวะเข้าไปเยี่ยมชมกันด้วยค่ะ บอกเลยว่าแค่เดินชมบ้านต่างๆ ในตรอกซอกซอยเล็กๆ ก็เพลิดเพลินแล้ว ใครอยากสัมผัสมาเก๊าในบรรยากาศเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่านมีความตะมุตะมิก็มาที่นี่กันเลย
โบสถ์ St. Francis Xavier
เปิด 9.30-17.30 น.
การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย 15, 21A และ 26A ไปลงป้าย Mercado M. De Coloane แล้วเดินไปที่โบสถ์ประมาณ 3 นาที
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/z5Et6UQmURKdWRMn9?g_st=ic
ท้องเริ่มหิวแล้วค่ะ แต่ไม่ต้องไปไหนไกลแค่หันหน้าเข้าหาโบสถ์แล้วหันไปทางขวามือก็จะพบกับร้านอร่อยระดับมิชลินกับร้าน Chan Seng Kei (ฉั่น เซ็ง เกย) ร้านอาหารกวางตุ้งที่ได้รับสัญลักษณ์ Michelin Bib Gourmand ในปี 2023 โดยเปิดมา 70 ปีปัจจุบันดำเนินการโดยเจ้าของร้านรุ่นที่ 3 จุดเด่นของร้านนี้คือเมนูอาการทะเลที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่จากชาวประมงในท้องถื่น ตัวร้านเปิดโล่งสามารถมองเห็นวิวทะเลจากด้านในร้านได้เลย
ซึ่งเมนูที่เราสั่งมาในวันนี้อาทิ หมูผัดเปรี้ยวหวาน เต้าหู้ทอดพริกเกลือ หมึกทอดกระเทียมและข้าวผัดหยางโจวจานใหญ่ ที่ประทับใจคือตัวหมึกเนื้อสัมผัสสดเด้งดีมากๆ ค่ะ สมกับได้รับสัญลักษณ์ Michelin Bib Gourmand กันเลย รสชาติร้านนี้ทำให้นึกถึงอาหารของบ้านเราเลยค่ะ ในส่วนบรรยากาศร้านก็เป็นกันเอง พี่เจ้าของร้านสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี ส่วนราคาค่าเสียหายของมื้อนี้อยูที่ 328 MOP
ร้าน Chan Seng Kei (ฉั่น เซ็ง เกย)
เปิดทุกวันเวลา 12.00-22.30 น,
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/m8NHKe5Gscby4pXS7?g_st=ic
มาถึงดินแดนทาร์ตไข่แล้วก็ห้ามพลาดมาทานร้านไข่เจ้าดังของมาเก๊านั่นก็คือร้าน Lord Stow's Bakery (ลอร์ด สโตวส์เบเกอรี่) การันตีด้วย Michelin Bib Gourmand ซึ่งในย่านโคโลอานนี้มีร้าน Lord Stow's Bakery ร้านแรกอยู่ใกล้ๆ กับ ร้าน Chan Seng Kei เดินไปได้ใช้เวลาเพียง 2 นาที เป็นร้านเล็กๆ ที่ไม่มีที่นั่ง สำหรับซื้อกลับเท่านั้น ตอนที่เราเดินมาฝนเริ่มตั้งเค้า และมีลูกค้ายืนต่อแถวรออยู่ด้านหน้าร้านมากมายเลยค่ะ แต่ภาพนี้ถ่ายหลังฝนตกที่คนบางส่วนก็เข้าไปอยู่ในร้าน บางส่วนก็ซื้อกลับไปแล้วเลยไม่ทันได้แชะภาพความฮอตของร้านนี้ให้ได้ชม
ซึ่งร้านนี้เริ่มต้นมาจาก Andrew Stow ชาวอังกฤษที่เดินทางเข้ามามาเก๊าเพื่อมาทำงานเป็นเภสัชกร ในปี 1979 ต่อมาในปี 1989 ได้ก่อตั้งร้านนี้ขึ้นมาสร้างสรรค์เมนูทาร์ตไข่ที่เป็นเมนูโปรตุเกสแต่ผสมผสานสไตล์อังกฤษโดยใช้ครีมสด เลยทำให้ร้านนี้เริ่มมีชื่อเสียงและโด่งดังในมาเก๊า ปัจจุบันขยายสาขาไปทั่วมาเก๊าและในต่างประเทศ อาทิ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์
ภายในร้านเมื่อเดินเข้ามาเราจะได้กลิ่นหอมของทาร์ตไข่ตลบอบอวลเพราะเขาอบกันในร้านเลยค่ะ ราคาทาร์ตไข่จะมีให้เลือกแบบบ 6 ชิ้น 65 MOP และ 12 ชิ้น 130 MOP เราสั่งแบบ 6 ชิ้น ยืนรออยู่สักพักเลยได้ทาร์ตไข่ที่บรรจุอยู่ในกล่องสีเหลืองมาครอบครอง กลิ่นหอมแตะจมูกยั่วยวนให้เราลองกัดคำแรกที่บอกเลยว่าสัมผัสได้ถึงคำว่าเป็นทาร์ตไข่ที่อร่อยที่สุดที่เคยทานมาในชีวิต เพราะแป้งด้านนอกที่กรอบ เนื้อสัมผัสของตัวครีมด้านในที่หวานหอมกำลังดี เนื้อนุ่มไม่เละ ยิ่งทานตอนร้อนๆ ตอนที่ออกมาจากเตาบอกเลยว่าความสุขบนโลกนั้นอยู่ในปากเรานี่เอง อร่อยจนอยากแบกกลับไปให้คนที่บ้านได้ทาน สำหรับคนที่จะซื้อกลับแนะนำลองเสิร์ชหาร้านใกล้ๆ ที่พัก เพราะขนมทำสดใหม่มีอายุเก็บไว้ได้ไม่นาน ค่อยมาซื้อในวันกลับจะดีกว่าค่ะ
บริเวณใกล้ๆ กันยังมีร้าน Lord Stow's Bakery ที่เป็นคาเฟ่อีกสามร้านเผื่อใครอยากนั่งชิลทานทาร์ตไข่จิบเครื่องดื่มชมบรรยากาศเมืองเล็กๆ ไปพลางก็สามารถไปกันได้เลย
Lord Stow's Bakery
เปิด : ทุกวัน 7.00-21.00 น.
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/XW2FHqVJFJkzBh9z9?g_st=ic
จากนั้นเดินไปขึ้นรถบัสที่ป้ายรถบัสสาย 25 หรือสาย 50ใกล้ๆ กับร้านชื่อป้าย Vila De Coloane ไปลงป้าย Jardim Lameiras ซึ่งใกล้กับ Taipa Houses จุดหมายต่อไปของเราในวันนี้กันค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีและเดินต่อมาอีกหน่อยก็จะพบกับ Taipa Houses บ้านเก่า 5 หลัง สถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลสีเขียวพาสเทลตั้งเรียงกันท่ามกลางควมร่มรื่นของต้นไม้
บ้าน 5 หลังนี้สร้างขึ้นในปี 1921 ในอดีตเคยเป็นที่พักอาศัยของพลเรือนอาวุโส ต่อมาในปี 1992 บ้าน 5 หลังนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นอาคารที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและทางรัฐบาลได้มีการปรับปรุงบ้านให้เป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดให้ประชาชนเข้าชมในปี 1999
โดยภายในบ้านแต่ละหลังจะเป็นทั้งพิพิธภัณฑ์ ห้องจัดแสดงภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในอดีต ร้านขายของที่ระลึกที่แสดงความเป็นโปรตุเกสซึ่งบอกเลยว่ามีแต่ของน่ารักมากๆ ค่ะ และบ้านพักรับรอง โดยสามารถมาเข้าชมได้ฟรี นอกจากนี้บริเวณด้านหน้าบ้านที่หันหน้าเข้าสู่บึงบัวในอดีตเคยเป็นทะเล แต่มีการถมทะเลเพื่อสร้างแผ่นดินใหม่เลยทำให้เหลือแค่บึงบัว โดยเขาจะทำสะพานทอดยาวไปในบึงบัวกลายเป็นหนึ่งในจุดยอดฮิตของการถ่ายพรีเว็ดดิ้งตอนที่เราไปก็มีคู่หนุ่มสาวมาถ่ายพรีเว็ดดิ้งกันน่ารักมากๆ ค่ะ
บริเวณใกล้ๆ ไทปาเฮาส์ยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Our Lady of Carmel และมีการเพนท์ภาพบนบันไดหิน พร้อมกับมีภาพน้องแมวน่ารักที่แอบซ่อนอยู่ตรงบันไดให้เราได้แชะภาพเก๋ๆ กันอีกด้วยค่ะ
Taipa Houses
เปิด : 10.00-19.00 น.(ปิดทุกวันจันทร์)
เข้าชมฟรี
การเดินทาง : รถบัสที่ให้บริการหลายสายไม่ว่าจะเป็นสาย 11,15,33,22,30,34,28A ไปลงที่ป้าย Piscinas Do Carmo/สาย AP1,25,21A,MT4,50,AP1X,36 ลงป้าย Jardim Lameiras แต่ถ้าใกล้สุดก็ป้าย Piscinas Do Carmo แล้วเดินมานิดเดียว
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/dbVqUeGSCMZ4rPFT8?g_st=ic
ส่วนอาหารเย็นวันนี้เรามาทานอาหารโปรตุเกสระดับมิชลินที่ร้าน O Castiço (โอ คาสติโซ) ตั้งอยู่ใกล้ย่าน Taipa Food Street โดยเป็นร้านเล็กๆ แต่มีลูกค้าเข้ามารอทานไม่ขาดสายกันเลยค่ะ ซึ่งการันตีความอร่อยด้วยสัญลักษณ์ Michelin Bib Gourmand
ซึ่งอาหารโปรตุเกสในมาเก๊าก็เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กับอาหารจีนในมาเก๊ากันเลย เป็นอีกหนึ่งหลักฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของมาเก๊าได้ดีทีเดียวค่ะ สำหรับเมนูที่เราสั่งมาทานในวันนี้ อาทิ Amêijoas à Bulhão Pato(118 MOP) ซึ่งเป็นเมนูหอยลายที่นำมาผัดกับเนยเพิ่มความสดชื่นด้วยเลม่อน เป็นเมนูที่ช่วยดึงรสชาติความสดของหอยลายออกมาได้อย่างดีค่ะ ต่อด้วย Salada de Polvo(68 MOP) สลัดหมึกยักษ์สไตล์โปรตุเกส ที่จัดเต็มผักมากมายพร้อมกับความกรุบของหมึกยักษ์ที่เนื้อเด้งสดสู้ฟันทานเพลินมากๆ และที่พลาดไม่ได้กับเมนู Pastel de Bacalhau (33 MOP) ซึ่งเป็นเมนูประจำชาติของโปรตุเกสโดยนำเนื้อปลาคอดไปบดผสมกับมันเทศแล้วนำไปทอด มีความหอม มัน ละมุนมากๆ ค่ะ
O Castiço
ที่ตั้ง : ใกล้กับ Taipa Food Street
เปิดบริการ : 11.00-23.00 น.(ปิดวันพฤหัสบดี)
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/akSPhgYV2Wm9MXR46?g_st=ic
ทานอาหารเย็นเสร็จก็สามารถมาเดินเล่นซื้อของฝากหรือหาอาหารสตรีทฟู้ดสุดอร่อยกันได้ที่ Taipa Food Street ย่านสตรีทฟู้ดชื่อดังของมาเก๊าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้าน O Castiço
Taipa Street Food ตั้งอยู่บนถนน Rua do Cunha เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านของฝาก ร้านขนมขายเต็มอยู่สองฝั่ง โดยร้านส่วนมากจะเปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้ายาวไปจนถึงสี่ทุ่ม เรียกได้ว่าอยากหามื้อเช้า มื้อบ่าย มื้อเย็นไปจนถึงมื้อดึกก็มาทานที่นี่ได้เลยค่ะ
ร้านแนะนำอาทิร้าน Café Vong Kei ร้านนี้ถ้าเดินมาจากร้าน O Castiço และเดินเลียบถนน Direita Carlos Eugenio ก็จะพบร้านนี้ตั้งอยู่ริมถนนเลยค่ะ มาถึงก็เจอแถวต่อกันอีกแล้ว โดยร้านนี้เขาจะดังในเรื่องชานมที่ใส่มาในขวดราคา 24 MOP หวานน้อยหอมชา นอกจากนี้ยังมีเมนูกาแฟเย็นให้ลองอีกด้วย
อีกหนึ่งร้านแนะนำที่อยากให้ไปลองคือร้านโอเด้งมาเก๊าที่เหมือนกับเซนาโดสแควร์ชื่อร้านว่า Lao Day Beef offal อีกหนึ่งร้านโอเด้งมาเก๊าและร้านเครื่องในวัวต้มส่วนตัวว่าร้านนี้อร่อยกว่าร้านที่ Senado Square ถ้าสั่งเป็นเนื้อแบบรวมจะได้เอ็นเนื้อ และเครื่องใน โดยเขาจะถามเราว่าเอาแบบเผ็ดไหม เผ็ดน้อยหรือมาก เราสั่งแบบเผ็ดน้อยเขาก็จะราดน้ำแกงมาให้ ราคาชุดเล็ก 55 MOP แต่ก็ได้เยอะมากๆ กินคนเดียวไม่หมดต้องแบ่งเพื่อนกิน และได้เอ็นแก้วเยอะมากๆ เนื้อนุ่มเป็นเจลลี่เลยค่ะ ตัวเครื่องในก็อร่อยไม่เหม็น ความฮอตของร้านนี้วัดจากจำนวนคนที่มายืนต่อแถวอยู่ตลอดไม่ว่าเราจะมาเวลาไหน
นอกจากนี้ยังมีร้านวาฟเฟิลชื่อดัง ร้านไอศกรีมที่มีเมนูเด่นคือไอศกรีมทุเรียน ร้านคุกกี้อัลมอนด์ของฝากของมาเก๊า โดยร้านดังสุดชื่อว่าร้าน Pastelaria Fong Kei ร้านนี้เป็นร้านที่ได้แนะนำในมิชลินไกด์ ความอร่อยของร้านี้วัดจากจำนวนคนที่ต่อคิวยาวจนเราท้อใจ ส่วนใครอยากซื้อหมูย่างไปเป็นของฝากก็มีให้เลือกหลายร้าน สามารถเดินชิมได้ชอบร้านไหนก็ซื้อได้เลยค่ะ
Taipa Street Food
เปิดทุกวัน 10.00 - 22.00 น.
การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย 11,15,22,28,30,33,34 มาลงที่ป้าย Rua Do Cunha
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/5wM9rTAXKcXaXrcj7
วันสุดท้ายของทริปนี้กันแล้วค่ะ เช้านี้เราเช็คเอาท์และฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พักเช่นเคยเพื่อจะได้เดินตัวปลิวไปเที่ยวและไปช้อปให้กระจุย ซึ่งวันนี้เราวางแพลนช้อป วางแพลนเช็คอินถ่ายรูปกันหลายที่มาก
เริ่มจากจุดแรกคือถนน Cotai Strip จุดรวมที่เที่ยวแลนด์มาร์คดังๆ จากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น The Londoner Macao จําลองแลนด์มาร์กของอังกฤษ เช่น Elizabeth Tower หรือหอนาฬิกาบิ๊กเบน,The Londoner Macao's façade จําลองพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ พร้อมกับมีรถลอนดอนบัส ตู้โทรศัพท์สีแดงที่แสดงถึงความเป็นกรุงลอนดอนให้เราแชะภาพกันอีกด้วย ใครเดินเหนื่อยก็สามารถเดินเข้าไปตากแอร์ด้านในตัวอาคารที่เป็นทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม และแหล่งบันเทิงชั้นนำ
ถัดจาก The Londoner Macao คือ The Parisian Macao จำลองกรุงปารีสของประเทศฝรั่งเศสมาไว้อย่างเป๊ะปังมาก เริ่มจากหอไอเฟลที่ทำออกมาได้เหมือนเป๊ะมากๆ ด้านบนหอไอเฟลสามารถขึ้นไปชมวิวได้ด้วยนะ ส่วนเราเลือกจุดสวนสาธารณะบริเวณตรงข้ามที่ได้อารมณ์เหมือนสวน Champ de Mars ในปารีสเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีการจำลอง Love Lock Bridge หรือสะพานปงเดซาร์ข้ามแม่น้ําแซนให้เราได้แชะภาพกันอีกด้วย
จากนั้นเดินย้อนมาทาง The Londoner Macao แล้วเดินข้ามสะสุดฮิตที่ยกเวนิสประเทศอิตาลีมาไว้ในมาเก๊ากับ The Venetian Macao
ความพิเศษของที่นี่คือเขาจำลอง The Grand Canal ในเวนิสมาไว้ที่นี่เลยค่ะ ซึ่งไม่ได้แค่เล็กๆ แต่คลองใหญ่และยาวที่มาพร้อมกับเรือกอนโดล่าที่สามารถนั่งได้จริงมีคนพายเรือที่แต่งตัวเหมือนคนพายเรือกอนโดล่าในเวนิสและร้องเพลงให้เราฟังอีกด้วย ใครที่อยากนั่งจะมีค่าบริการคนละประมาณ 135 MOP บริเวณรอบๆ คลองเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านช้อปปิ้งแบรนด์เนมมาย ในอาคารสไตล์อิตาลี พร้อมกันนั้นยังมีสะพานข้ามคลองให้เราได้เดินเล่นถ่ายรูปอีกด้วย
Cotai Strip
การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย 15,21A,25,25AX,25BS,26,26A,56,73S และ N3 มาลงป้าย Est.Do Istmo / Londoner
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/XJuDRVzDBHCab27M9
เดินถ่ายรูปกันจนท้องเริ่มหิวเราเลยไปแวะเติมพลังกันที่ Din Tai Fung (ติ่น ไท่ ฟง)ร้านอาหารจีนเซี่ยงไฮ้ การันตีความอร่อยด้วย Michelin Bib Gourmand ซึ่งร้านนี้จะตั้งอยู่ใน City of Dreams คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่รวมทั้งโรงแรม 5 ดาว ศูนย์การค้า และแหล่งรวมความบันเทิงมากมายซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ The Venetian Macao เลยค่ะ ตกแต่งได้โมเดิร์นเท่น่าเดินมากๆ
ซึ่งตอนเดินเข้ามาพบว่าเขากำลังมีนิทรรศกาล MrDoodle First Exhibition in Macao ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินชาวอังกฤษ Sam Cox ที่รู้จักกันในชื่อ MrDoodle โดยผลงานของเขาคือศิลปะแบบป๊อปอาร์ต โดยการสเก็ตต์ภาพการ์ตูนด้วยลายเส้นที่โดดเด่นสร้างเป็นลายเซ็นศิลปะในชื่อว่า Doodle ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ครั้งนี้เขามาเนรมิตรพื้นที่บริเวณล็อบบี้ตั้งแต่พื้นไปจนถึงเสาให้เป็นศิลปะแบบ Doodle พร้อมกับมีการจัดแสดงผลงานให้ชมที่ Artelli พื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้า City of Dreams ที่สามารถเข้าชมฟรีค่ะแต่ต้องสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจองเข้าชมงานใครสนใจก็ลองไปชมได้เลยเขาจัดแสดงถึงวันที่ 15 ตุลาคมนี้นะคะ
จากนั้นก็ถึงเวลาไปลิ้มรสความอร่อยที่ร้าน Din Tai Fung (ติ่น ไท่ ฟง) ร้านอาหารจีนเซียงไฮ้ที่มาพร้อมสัญลักษณ์ Michelin Bib Gourmand กันแล้วค่ะซึ่งตัวร้านตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ที่บริเวณ SOHO ซึ่งอยู่ตรงล็อบบี้ที่จัดแสดงผลงานของ MrDoodle เลยค่ะขึ้นบันไดเลื่อนก็เจอร้านเลย
เมนูแนะนำของร้านได้แก่ ข้าวผัดหน้าหมูทอดชิ้นโตบิ๊กเบิ้มราคา (108 MOP) จานนี้ใหญ่จนแบ่งกินได้ 2 คน ต่อด้วยก๊วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น (102 MOP) ที่ตัวเส้นบะหมี่เส้นเล็กนุ่มอร่อยมากๆ ค่ะ ตัวซุปรสชาติกลมกล่อมส่วนเนื้อตุ๋นก็นุ่มแทบจะละลายในปาก อีกเมนูที่ห้ามพลาดคือเมนูเสี่ยวหลงเปาที่มีให้เลือกทั้งไส้หมู ไส้ไก่ ไส้หมูผสมปู ซึ่งวันนี้เราสั่งไส้หมู(6 ชิ้น/70 MOP) ตัวแป้งมากอร่อยมากไม่แข็งเลย เวลาทานเขาจะมีวิธีการทานโดยนำนำเสี่ยวหลงเปาลงไปจิ้มในน้ำซอสที่ผสมกับขิง แล้วนำมาวางไว้ในช้อน ใช้ตะเกียบเจาะให้เสี่ยวหลวงเปาแตกเพื่อให้น้ำไหลออกมาและเป็นการระบายความร้อนไม่ให้น้ำซุปลวกปาก แล้วใช้ตะเกียบคีบเส้นขิงลงไปวางบนเสี่ยวหลงเปาจากนั้นก็ลิ้มรสความอร่อยได้เลย
Din Tai Fung (ติ่น ไท่ ฟง)
ชั้น 2 โซน SOHO ใน City of Dreams
เปิดบริการ : ทุกวัน เที่ยง - 21.00 น.
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/b8TocMWuT6bdhQ6S8
ปิดท้ายทริปนี้ก่อนโบกมือลามาเก๊าเราแวะมาช้อปปิ้งกันที่ Lisboeta Macau คอมเพล็กซ์ที่รวมห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร โรงแรมและความบันเทิงมากมายเอาไว้ที่นี่
ซึ่งใครอยากช้อปน้ำหอม สนีกเกอร์ เสื้อผ้าก็ปักหมุดที่นี่เลยมีร้านแบรนด์แนมมากมายให้เราได้เลือกช้อปก่อนกลับบ้านเยอะมากๆ ค่ะ
Lisboeta Macau
การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย 35,51,59 มาลงป้าย Rua Da Patinagem/ Lisboeta
พิกัด GPS : https://maps.app.goo.gl/kxnzH9SWG8HaQjXj6
เวลา 3 วัน 2 คืน มาเก๊าทำให้เรารู้ว่า เราต้องกลับมาที่นี่อีก เพราะยังมีที่เที่ยว ยังมีร้านอร่อย ยังมีเสน่ห์ของมาเก๊าอีกมากมายที่รอเราไปสัมผัส
มาเก๊า ไม่ได้มาครั้งเดียว แต่ต้องมา
เที่ยวต่างประเทศ | 21 พ.ย. 2024 | 2,127 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 12 พ.ย. 2024 | 952 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 26 ต.ค. 2024 | 1,085 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 1,396 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 1,577 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 24 ก.ย. 2024 | 1,811 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ย. 2024 | 2,552 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 30 ก.ค. 2024 | 3,501 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 19 ก.ค. 2024 | 6,784 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 4,385 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 1,154 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 18 เม.ย. 2024 | 4,381 อ่าน