calendar_month 28 เม.ย. 2023 / stylus Admin Chillpainai / visibility 37,336 / เที่ยวต่างประเทศ
ช่วงเดือนพฤษภาคมแบบนี้ ประเทศที่เหล่านักเดินทางนิยมไปท่องเที่ยวมากเป็นอันดับต้น ๆ ก็คงหนีไม่พ้นประเทศญี่ปุ่นค่ะ เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม่ผลิที่ดอกซากุระเริ่มบานสะพรั่ง แถมอากาศกำลังเย็นสบาย วันนี้ชิลไปไหนเลยจะพาทุกคนไปเที่ยวญี่ปุ่นกันแบบ 5 วัน 3 คืน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปเที่ยวพร้อม ๆ กันเลย
ก่อนออกเดินทาง เราก็ต้องมาเตรียมตัวและเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนค่ะ โดยเอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้
1.พาสปอร์ต (ผู้ที่ถือพาสปอร์ตสัญชาติไทยได้รับการยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น สำหรับการพำนักระยะสั้นไม่เกิน 15 วัน)
2.ใบรับรองผลการฉีดวัคซีน (สามารถใช้ข้อมูลแอปฯหมอพร้อมได้ค่ะ)
3.ข้อมูลการเดินทาง เช่น หมายเลขเที่ยวบิน ที่พัก
4.ลงทะเบียนผ่าน Visit Japan Web
วิธีกรอก Visit Japan >> https://chill.travel/3FtyaYa
และเพื่อป้องกันในกรณีที่เครื่องอ่านหรือแอปพลิเคชันมีปัญหา แนะนำว่าให้กรอกใบตม.และใบศุกลากรตัวที่เป็นกระดาษไปด้วยเพื่อความสะดวกรวดเร็วค่ะ ทางทัวร์ช่วยจัดการกรอกใบตม.และใบศุลกากรตัวที่เป็นกระดาษให้เราเรียบร้อยเลย สะดวกมาก ๆ หลังจากกรอกเอกสารเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว ก็เก็บกระเป๋าและออกเดินทางกันเลยยยย
ทางทัวร์นัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 20.00 น. ค่ะ (ใครที่จะเดินทางไปต่างประเทศแนะนำว่าให้เผื่อเวลาเยอะกว่าปกติหน่อยนะคะ เพราะคนรอเช็คอินและโหลดกระเป๋าคนข้างเยอะ) ทริปนี้เราเดินทางโดยสายการบิน Thai AirAsia X เป็นไฟล์ท 23.55 น. ค่ะ เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสนามบินนาริตะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งก็จะถึงสนามบินนาริตะช่วงเวลาประมาณ 8 โมงพอดี (เวลาท้องถิ่นของญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง) พร้อมเที่ยวต่อเลย
พักผ่อนบนเครื่องบิน ตื่นมาอีกทีแสงอาทิตย์ก็สาดส่องผ่านหน้าต่างเครื่องบินเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่แล้วค่ะ ทริปนี้บินแบบ Full Service เลยได้ทานอาหารเช้ากันบนเครื่องเลย และหลังทานอาหารเสร็จไม่นาน เครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินนาริตะ ถึงประเทศญี่ปุ่นแล้ววว
ทริปนี้ทางทัวร์จะมีไกด์คนไทยที่ช่วยดูแลเราตลอดการเดินทางเลยค่ะ หลังจากผ่านตม. ไกด์ก็จะพาลูกทัวร์เดินไปยังรถบัสที่ทางทัวร์เตรียมไว้ให้ เพราะการเดินทางของทริปนี้เราจะใช้รถบัสตลอดทริปเลย แต่ถ้าใครไม่อยากนั่งรถบัส ทางทัวร์เขาก็มีบริการรถตู้ ที่ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนมากขึ้น รวมทั้งสามารถขอไกด์เพื่อกลุ่มของเราโดยเฉพาะได้ด้วย ทริปนี้เราเลยเลือกนั่งเป็นรถตู้ค่ะ โดยเราจะมุ่งหน้าไปยัง วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) หรือวัดอาซากุสะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ
แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปในวัด ทางทัวร์ก็พาเรามาทานอาหารกลางวันกันก่อนค่ะ ร้านนี้จะตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับตัววัดเซ็นโซจิเลยค่ะ แต่จะอยู่บนตึก โดยมื้อแรกที่ญี่ปุ่นของเราเป็นชาบูที่เสิร์ฟมาเป็นเซตหม้อใครหม้อมัน ภายในเซตจะมีข้าวญี่ปุ่น, เนื้อหมู, ปลาย่าง, ผักต่าง ๆ, เครื่องเคียง ทานคู่กับน้ำจิ้มพอนสึคือฟินมาก และตบท้ายด้วยของหวานอย่างคัสตาร์ดเนื้อเนียนนุ่ม เป็นมื้อแรกที่ญี่ปุ่นที่ประทับใจมากกก
ทานอาหารอิ่มแล้วก็พร้อมเที่ยวแล้วค่ะ จากร้านอาหารเดินเลยมาหน่อยก็จะเจอวัดเซ็นโซจิแล้ว ที่นี่ถือเป็นวัดเก่าแก่และเป็นอีกหนึ่งวัดสำคัญของมหานครโตเกียว ถูกสร้างขึ้นเสร็จเมื่อปี ค.ศ.645 ด้านหน้าวัดจะเจอกับโคมไฟสีแดงยักษ์เด่นชัดหน้าประตู เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัดแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งจุดที่เหล่านักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปเช็กอินกัน
ผ่านประตูวัดเข้ามาก่อนจะเจอตัววัดเราจะเจอกับ ถนนนากามิเสะ ก่อนค่ะ ถนนนี้จะเป็นแหล่งร้านค้าและของกินมากมาย ใครเป็นสายช้อปก็สามารถแวะซื้อสินค้าต่าง ๆ ก่อนได้เลย
เดินมาเรื่อย ๆ จนสุดถนนนากามิเสะก็จะเจอกับประตูโฮโซมงที่จะมีโคมแดงขนาดใหญ่เช่นเดียวกับประตูใหญ่ด้านนอก ถัดมาเป็นตัวอุโบสถหลักของวัด ภายเป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิม ผู้คนนิยมมาสักการะบูชา, โยนเหรียญ 5 เยน, เสี่ยงเซียมซี, และปัดควันธูปเข้าหาตัวเพราะเชื่อว่าเป็นการชำระล้างร่างกาย ช่วยปัดเป่าความเจ็บป่วย ทำให้มีสุขภาพดีนั่นเองค่ะ
จากนั้นเราก็เดินทางต่ออีกประมาณ 3 ชั่วโมงเพื่อไปยัง เมืองโบราณนาราอิจูกุ (Narai-juku) ซึ่งตั้งอยู่ที่จ.นางาโนะค่ะ ที่นี่เป็นที่ตั้งของถนนเมืองเก่าตั้งแต่สมัยเอโดะที่มีความยาวที่สุด ท่ามกลางภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ ทั้งสองข้างทางเรียงรายไปด้วยที่พักแบบชาวบ้าน ๆ ร้านอาหาร และของฝาก รวมทั้งพิพิธภัณฑ์ วัด และสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมาย ความยาวกว่า 1 กิโลเมตร มาที่นี่จะได้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ เลยค่ะ เพราะเขามีการอนุรักษ์บ้านเรือนแบบดั้งเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด ให้เหมือนกับได้ย้อนไปในสมัยเอโดะเลย
ที่นี่มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาเดินชมเมือง รวมทั้งมีเรียวกังสำหรับพักค้างคืนได้ด้วย ใครที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศของเอโดะแท้ ๆ ก็สามารถมาพักที่นี่ได้ค่ะ
เที่ยวกันจนเหนื่อยแล้วก็ได้เวลาเข้าไปเช็กอินที่พักกันแล้วค่ะ โดยเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง มุ่งหน้าสู่เมืองมัตสึโมโต้ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากนางาโนะ คืนนี้แรกของทริปนี้เราพักกันที่ Premier Hotel Cabin Matsumoto ที่พักนี้ถือว่ามีความสะดวกสบายสุด ๆ เลยค่ะ ห้องที่เรานอนวันนี้เป็นแบบเตียงคู่ ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งทีวี, ตู้เย็น, โต๊ะ, เก้าอี้, ฮีตเตอร์ทำความร้อน ทั้งยังมีห้องน้ำส่วนตัวที่มีทั้งอุปกรณ์อาบน้ำ, ไดร์เป่าผม, ผ้าเช็ดตัว ให้บริการครบเลยค่ะ
นอกจากนี้ด้านล่างของโรงแรมยังมีร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งยังตั้งอยู่ใกล้ร้านค้า, สถานีรถไฟ, ร้านอาหาร, ป้ายรถประจำทาง, รถแท็กซี่ สะดวกสบายสุด ๆ เลยค่ะ
จองที่พัก Premier Hotel Cabin Matsumoto ออนไลน์ที่นี่
หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อย เราก็เลยขอออกไปหาอะไรทานสักหน่อยค่ะ โดยมื้อนี้ทางทัวร์จะให้เป็นเราทานอาหารเย็นตามอัธยาศัย เราก็เลยเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งของโรงแรม เพื่อไปทานโซบะโร้อน ๆ คลายหนาวกัน ร้านนี้เขาก็มีเมนูให้เลือกเยอะมากค่ะ ทั้งโซบะร้อน, โซบะเย็น, เกี๊ยวซ่า, เทมปุระ ฯลฯ ซึ่งโซบะชามนี้ของเราราคาอยู่ที่ 1,023 เยนค่ะ ตัวเส้นมีความเหนียวนุ่ม น้ำซุปออกเค็ม ๆ มัน ๆ บอกเลยว่าชามใหญ่มากกกกก อิ่มสุด ๆ
เช้าวันที่ 3 ของทริปแล้วค่ะ ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวเราก็ต้องทานอาหารเช้ากันก่อนค่ะ เช้านี้เราจะทานกันที่ห้องอาหารของโรงแรมเลย โดยจะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ที่มีทั้ง American Breakfast, อาหารญี่ปุ่น, ของหวาน, สลัด, ผลไม้ แต่ละเมนูคืออร่อยมาก ใครชอบอาหารญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วรับรองว่าฟินนน
ภายในห้องอาหารจะมีทั้งโต๊ะแบบนั่งทานคนเดียว และโต๊ะใหญ่ สามารถเลือกนั่งได้ตามสะดวกเลย แถมยังมีวิวสวย ๆ ให้ดูเพลิน ๆ ด้วย
ทานอาหารเช้าเรียบร้อยก็ได้เวลาไปเที่ยวกันแล้วค่ะ พิกัดแรกของวันนี้ก็คือ ปราสาทมัตสึโมโต้ ซึ่งอยู่ใกล้โรงแรมที่เราพักเพียง 5 นาทีเท่านั้นค่ะ ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งปราสาทเก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1592 ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานล้ำค่าแห่งชาติ ตัวปราสาทตั้งเด่นเป็นสง่ากลางน้ำใส ท่ามกลางฉากหลังที่เป็นเทือกเขาแอลป์เหนืออันยิ่งใหญ่ ลักษณะภายนอกเป็นสีดำกับขาวตัดกัน จึงทำให้ได้รับฉายาว่า ปราสาทอีกา ในอดีตหอคอยกลางปราสาทเคยเป็นที่สำหรับระวังภัย ซึ่งปัจจุบันเขาได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมภายในตัวปราสาทได้ค่ะ
จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อไปยัง คามิโคจิ (Kamikochi) อีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมที่เหล่านักท่องเที่ยวนิยมมาเช็กอินกันค่ะ และเนื่องจากที่นี่ไม่สามารถนำรถส่วนตัวเข้าไปในอุทยานได้ เพื่อการรักษาสภาพแวดล้อม และการจัดระเบียบจราจร เราเลยต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถบัสกับทางทัวร์เพื่อเดินทางเข้าไปแทนค่ะ ที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาของเทือกเขา "เจแปนแอลป์" (JapanAlps) เป็นหุบเขาในฝันท่ีอยู่สูงขึ้นไปทางเหนือของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น โดยจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในวันที่ 17 เมษายน - 15 พฤษจิกายนของทุกปี เดินเข้ามาในอุทยานเราจะเจอกับยอดเขาสูงตระหง่านระดับ 3,000 เมตรที่ยังคงมีหิมะปลกคลุมอยู่ มีสายน้ำของแม่น้ำอะซูสะท่ีใสสะอาดดังเกล็ดแก้ว ไหลรินลอดผ่านสะพานคัปปะ ล้อมรอบด้วยผืนป่าเขียวขจี บอกเลยว่าของจริงคือสวยมากกกกกก
สำหรับใครที่ชอบบรรยากาศดี ๆ แบบนี้ อยากนอนพักสัมผัสธรรมชาติ สูดอากาศอันสดชื่น ชมวิวสวย ๆ ที่นี่เขาก็มีที่พักภายในอุทยานทั้งของรัฐบาลและเอกชน รวมทั้งยังสามารถตั้งแคมป์และนอนบังกะโลได้ด้วย
เสร็จจากที่นี่เราก็ถึงเวลาของอาหารกลางวันพอดีค่ะ มื้อนี้ทางทัวร์จัดมาให้แบบชุดใหญ่จัดเต็มของใครของมันเลยค่ะ โดยภายในเซตจะมีข้าว, ทงคัตสึ, ซุป มีเครื่องดื่มเป็นชาร้อน ๆ คลายหนาวได้ดีเลยค่ะ
ทานอาหารกลางวันกันเสร็จ เราก็จะออกเดินทางไปยัง ไร่วาซาบิไดโอะ (Daio Wasabi Farm) กันต่อค่ะ ที่นี่ตั้งอยู่ในเมืองชนบทแถบอาซุมิโนะ (Azumino)ใกล้ ๆ กับเมืองมัตสึโมโต้ (Matsumoto) เป็นไร่วาซาบิท่ีใหญ่ท่ีสุดประจำประเทศญี่ปุ่น มาที่นี่เราจะได้เห็นต้นวาซาบิของจริงปลูกเรียงรายกันเป็นแถวอย่างสวยงาม มีการใช้น้ำบริสุทธิ์จากลำธารท่ีไหลมาจากเทือกเขาทางทิศเหนือในการปลูก โดยช่วงเวลาท่ีเหมาะสมในการปลูกคือเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมค่ะ ภายในไร่นอกจากจะได้เห็นต้นวาซาบิแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์เด็ดของที่นี่ก็คือไอศกรีมวาซาบิค่ะ โดยเขาจะมีให้เลือกทั้งแบบไอศกรีมวาซิบิล้วน, แบบผสมไอศกรีมนม และไอศกรีมนมล้วนค่ะ เราเลยเลือกแบบผสมมาลองชิม รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยเลย ได้รสสัมผัสและกลิ่นของวาซาบิเบา ๆ ไม่ได้ขึ้นจมูกอย่างที่คิด ผสมผสานกับตัวไอศกรีมนมได้อย่างลงตัว ถือเป็นเมนูที่ห้ามพลาดเลย
นอกจากนี้ยังมีร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์จากวาซาบิอีกให้ได้ช้อปปิ้งกันอีกด้วย
จากนั้นเราก็เดินทางต่ออีกประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อไปยัง หมู่บ้านโอชิโนะฮักไก (OshinoHakkai) หรือที่คนไทยหลายคนเรียกกันว่า "หมู่บ้านน้ำใส" ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบคาวากูจิโกะกับทะเลสาบยามานาคาโกะในจังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) ภายในหมู่บ้านประกอบด้วยบ่อน้ำ 8 บ่อที่เป็นน้ำจากหิมะท่ีละลายในช่วงฤดูร้อนท่ีไหลมาจากทางลาดใกล้ ๆ ภูเขาไฟฟูจิผ่านหินลาวาท่ีมีรูพรุน อายุกว่า 80 ปี ทำให้น้ำใสสะอาดเป็นพิเศษ บอกเลยว่าน้ำใสสมชื่อจริง ๆ ค่ะ ทำให้เห็นปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายอย่างชัดเจน
น้ำใสมากกกกกกก บ่อนี้ความลึกประมาณ 8 เมตร
นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านยังมีร้านอาหาร ร้านค้า ร้านจำหน่ายของที่ระลึก รวมทั้งและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอื่น ๆ อีกมากมายให้ได้เลือกซื้อกันแบบจุใจเลย
ต่อไปก็ได้เวลาไปเช็กอินที่พักกันแล้วค่ะ คืนนี้เรานอนกันที่ Yukari No Mori ค่ะ ห้องที่เราพักเป็นห้องเตียงคู่ มีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างเยอะ ภายในห้องมีการแบ่งสัดส่วนเป็นโซนต่าง ๆ อย่างชัดเจน ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องน้ำที่แบ่งย่อยออกเป็น 2 ห้องคือห้องอาบน้ำและห้องสุขา มาพร้อมกับสิ่งอำนยความสะดวกที่จำเป็นครบครัน ทั้งทีวี,ตู้เสื้อผ้า, โซฟา, ตู้เสื้อผ้า, ชุดนอน, ไดร์เป่าผม, สบู่, แชมพู ฯลฯ ถือเป็นห้องที่กว้างขวางและสะดวกสบาย พอดีกับการพัก 2 คนเลยค่ะ
จองที่พัก Yukari No Mori ออนไลน์ที่นี่
เก็บกระเป๋าเรียบร้อยก็ลงมาทานอาหารเย็นที่ห้องอาหาร ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ของโรงแรมค่ะ มื้อนี้ทางทัวร์จัดการให้เรียบร้อยเลย เราจะได้ทานเป็นบุฟเฟ่ต์ขาปูกันค่ะ บอกเลยว่าขาปูใหญ่มาก ๆ เนื้อปูแน่น สด หวาน ทานคู่กับน้ำจิ้มคืออร่อยสุด ๆ โดยนอกจากขาปูที่สามารถตักได้ไม่อั้นแล้ว เขายังมีเครื่องเคียงอื่น ๆ เช่น ข้าว, ของทอด, ซุป, อุด้ง, รวมทั้งผลไม้ต่าง ๆ ให้เลือกทานได้ตามใจชอบ รับรองเลยว่ามื้อนี้อิ่มอร่อยกันทุกคนแน่นอน
เช้าวันที่ 4 ของทริปแล้วค่ะ หลังจากทำธุระส่วนตัวและทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย เราก็เช็กเอาท์ ออกเดินทางไปเที่ยวต่อกันเลย พิกัดแรกของวันนี้ก็คือ เราจะไปชม เทศกาลฟูจิชิบะซากุระ (Fuji Shiba-sakura) กันค่ะ เทศกาลดอกไม้ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม ที่นี่เราจะได้ชมความสวยงามของดอกพิงค์มอสทั้งสีชมพู สีขาว และสีแดงม่วง ที่บานสะพรั่งราวกับท้องทะเลกว่า 800,000 ดอก โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิตั้งตระหง่านตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า นอกจากนี้เขายังมีพร็อพและจุดถ่ายรูปน่ารัก ๆ อย่างประตูสีเหลืองแห่งความสุขที่ราวกับว่าคุณได้เข้าสู่โลกสีชมพูที่ทอดยาวไปจนถึงภูเขาไฟฟูจิ หรือจะเป็นมุมเรือในทะเลที่พอถ่ายรูปออกมาจะเหมือนกับเรากำลังลอยอยู่ทะเลสีชมพู สวยงามอลังการมากค่ะ
ส่วนใครที่อยากมาจิบกาแฟ รับอากาศดี ๆ พร้อมชมวิวสวย ๆ เขามีร้านกาแฟ ร้านขนม พร้อมโต๊ะเก้าอี้ให้บริการ ใครเป็นสายชิลถูกใจแน่นอน
ถ่ายภาพกันจนจุใจแล้วก็ได้เวลาเดินทางไปเที่ยวต่อแล้วค่ะ จุดมุ่งหมายต่อไปของเราก็คือ ภูเขาไฟฟูจิชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นที่รถโดยสารสามารถขึ้นไปจอดได้ ภูเขาไฟฟูจินับว่าเป็นเป็นภูเขาไฟท่ีสูงท่ีสุดในญี่ปุ่นและยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ทั้งยังเป็นภูเขาไฟที่สามารถชมความงามได้ตลอดทั้งปีเพราะในแต่ละฤดูภูเขาไฟฟูจิจะมีความงดงามท่ีแตกต่างกัน ที่นี่เราจะได้สัมผัสกับภูเขาไฟฟูจิบแบบใกล้ชิด มีมุมถ่ายรูปสวย ๆให้เลือกถ่ายภาพหลากหลายมุม นอกจากนี้บริเวณใกล้ ๆ กันนั้นยังมีร้านขนม ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ให้ได้นั่งชิลและช้อปปิ้งกันเพลิน ๆ อีกด้วย
ชมความงามของภูเขาไฟฟูจิกันเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วค่ะ มื้อนี้ทางทัวร์พาเรามาทานปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น เสิร์ฟมาเป็นเซตของใครของมัน ในเซตจะมีหมู, ข้าว, ซุปมิโสะ ทานคู่กับน้ำจิ้มพอนสึรสชาติสดชื่น ภายในร้านจะเป็นที่นั่งแบบญี่ปุ่น มีเตาปิ้งอยู่ตรงกลาง สามารถปิ้งเองได้ตามสะดวกเลยค่ะ
ทานอาหารกลางวันกันอิ่มแล้ว ก็ไปกันต่อเลยค่ะ โดยเราจะไป เรียนรู้พิธีชงชาแบบญี่ปุ่น กัน พอเข้าภายในห้องก็จะเจอกับอุปกรณ์การชงชาต่าง ๆ เตรียมไว้ให้บนโต๊ะ วิวด้านหน้าของห้องนี้จะมองเห็นทั้งวิวภูเขาไฟฟูจิและทะเลสาบคาวากูจิโกะ สวยงามมาก ๆ ค่ะ เมื่อพร้อมแล้วเซนเซก็จะสอนวิธีการชงชาแบบญี่ปุ่นตั้งแต่การวอร์มอุปกรณ์ การชง และขั้นตอนการดื่มอย่างละเอียด นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีร้านปลอดภาษีให้ได้ช้อปปิ้งกันอีกด้วย ใครลองดื่มชาแล้วติดใจ อยากจะซื้อชา รวมทั้งสินค้าต่าง ๆ ติดไม้ติดมือกลับเมืองไทยก็ช้อปปิ้งได้ตามสะดวกเลย
ศึกษาวัฒนธรรมมกันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาสนุกกันแล้วค่ะ เพราะจุดหมายต่อไปที่เราจะไปเช็กอินนั่นก็คือ สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) ที่นี่เป็นหนึ่งในสวนสนุกที่ได้รับความนิยมแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ภายในสวนสนุกมีเครื่องเล่นต่าง ๆ มากมาย ทั้งเครื่องเล่นถ้วยชา, จานร่อน, ล่องซุงมหาสนุก, เรือโจรสลัด , ดรอปทาวเวอร์,ชิงช้าสวรรค์, ม้าหมุน ,ชิงช้าหมุน (Sky Swings) และที่พลาดไม่ได้ก็คือ Takabisha รถไฟเหาะที่ชันมากท่ีสุดในโลกถึง 121 องศา เรื่องความหวาดเสียวรับรองว่าสะใจแน่นอน นอกจากนี้ยังมี Fujiyama Tower หอคอยที่สร้างอยู่ภายในเครื่องเล่นรถไฟเหาะ มีความสูงราว 55 เมตร บนหอคอยนี้จะได้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามมาก ๆ ด้วยค่ะ
ส่วนใครที่ไม่ชอบความหวาดเสียว เขาก็มีมุมถ่ายรูปน่ารัก ๆ รวมทั้งร้านขนม ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกน่ารัก ๆ ให้ได้เดินชมและช้อปปิ้งเพลิน ๆ ด้วย
สนุกสนานกับเครื่องเล่นเรียบร้อยแล้วก็เอาใจสายช้อปกันบ้างค่ะ เพราะเราจะไปต่อกันที่ ย่านชินจูกุ (Shinjuku) ย่านช้อปปิ้งที่มีทั้งห้างสรรพสินค้า สินค้าแฟชัน ร้านอาหาร ร้านเครื่องสำอาง ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่าง Isetan, Takashimaya และ Marui เรียงรายกันอยู่มากมาย แถมสินค้าบางอย่างยังถูกกว่าที่ไทยอีกด้วย สายช้อปอย่างเราเลิฟมากกกกก
แถมย่านนี้ยังมี Cat 3D ป้ายโฆษณาแบบ 3 มิติ ความคมชัดระดับ 4K ที่จะมีแมวยักษ์ขยับตัวไปมาเสมือนจริงอยู่ที่แยกชินจูกุบริเวณตึก Cross Shinjuku ด้วย น้อนน่ารักมากกก
ช้อปปิ้งกันจนเพลินก็ได้เวลากลับที่พักกันแล้วค่ะ เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปสนามบินในวันพรุ่งนี้ คืนนี้เราเลยนอนกันที่ Hotel Welco Narita ซึ่งห้องของเราเป็นแบบเตียงคู่ค่ะ ภายในห้องถือว่ากว้างขวางมาก ๆ ทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างตู้เสื้อผ้า, ทีวี, ตู้เย็น, กาต้มน้ำ, โต๊ะทำงาน, โซฟา ฯลฯ เป็นห้องพักที่สะดวกสบายมากค่ะ
ภายในห้องน้ำมีทั้งฝักบัวและอ่างอาบน้ำ มาพร้อมกับอุปกรณ์อาบน้ำ แถมยังมีราวจับสำหรับผู้สูงอายุด้วย
จองที่พัก Hotel Welco Narita ออนไลน์ที่นี่
เช้าวันที่ 5 วันสุดท้ายของทริปนี้แล้วค่ะ หลังจากตื่นนอนและทำธุระเสร็จเรียบร้อย เราก็มาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรมกันก่อน โดยจะเป็นแบบอินเตอร์เนชันแนลบุฟเฟ่ต์ค่ะ หลังจากทานเสร็จเราก็เก็บกระเป๋าขึ้นรถบัสและเดินทางไปยังสนามบินนาระตะเพื่อกลับประเทศไทยเป็นอันจบทริปค่ะ
ทริปนี้บอกเลยว่าเวลาผ่านไปไวมากกก ไม่อยากกลับเลยค่ะ เพราะนอกจากจะได้สัมผัสอากาศที่เย็นกำลังดีแล้ว ยังได้ไปเช็กอินสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ อีกเพียบ ใครที่อยากมาเที่ยวญี่ปุ่นแต่ไม่รู้ว่าจะต้องเที่ยวยังไง มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง ก็สามารถนำทริปนี้ไปปรับใช้ หรือเลือกมาเที่ยวกับทัวร์แบบเราก็สบายไปอีกแบบค่ะ
บทความแนะนำ:
รวมแพ็คเกจทัวร์ญี่ปุ่น 2565 เที่ยวญี่ปุ่น ไหว้พระวัดดัง
Tags: ญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวต่างประเทศ ต่างประเทศ วัดเซ็นโซจิ Sensoji Temple วัดอาซากุสะ ถนนนากามิเสะ เมืองโบราณนาราอิจูกุ Narai-juku Premier Hotel Cabin Matsumotoปราสาทมัตสึโมโต้ คามิโคจิ Kamikochi ไร่วาซาบิไดโอะ Daio Wasabi Farm หมู่บ้านโอชิโนะฮักไก OshinoHakkai Yukari No Mori ภูเขาไฟฟูจิชั้น 5 เทศกาลฟูจิชิบะซากุระ Fuji Shiba-sakura สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ Fuji-Q Highland ย่านชินจูกุ Shinjuku
เที่ยวต่างประเทศ | 21 พ.ย. 2024 | 297 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 12 พ.ย. 2024 | 299 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 912 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 1,218 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 24 ก.ย. 2024 | 968 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ย. 2024 | 1,798 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 30 ก.ค. 2024 | 2,716 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 19 ก.ค. 2024 | 5,448 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 2,714 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 1,014 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 18 เม.ย. 2024 | 3,815 อ่าน