calendar_month 22 ธ.ค. 2022 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 25,927 / เที่ยวต่างประเทศ
ต้อนรับปี 2566 ใครที่กำลังวางแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้ง วันนี้ชิลไปไหนเลยจะมาจัดแพลนทริปเที่ยวญี่ปุ่นสำหรับผู้เริ่มต้นเดินทาง ที่รับรองว่าได้ไปเที่ยวที่เที่ยวไฮไลท์ รวมถึงสถานที่แปลกใหม่ที่ต้องประทับใจกันแน่นอน กับทริปเที่ยวญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน เส้นทางโตเกียว (Tokyo) - อาโอโมริ (Aomori) สัมผัสหิมะแรกรับปี 2566
ซึ่งทริปนี้เราเดินทางไปกับ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ที่ได้จัดทริปนี้ขึ้นมา เรียกว่าเป็นทริปแรกหลังการระบาดของโรคเชื้อไวรัสโควิด บอกเลยว่าเราตื่นเต้นมากๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่จะได้สัมผัสหิมะสีขาวที่ปกคลุมไปทั่วเมือง ซึ่งได้ข่าวว่าอุณหภูมิต่ำสุดที่เมืองอาโอโมริ อยู่ที่ประมาณ -5 องศาเซลเซียสกันเลยทีเดียว
แพลนทริปเที่ยวญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืนเส้นทางโตเกียว (Tokyo) - อาโอโมริ (Aomori)
วันที่ 1
วันที่ 2
วันที่ 3
ชมเนปุตะยักษ์หนัก 19 ตัน ที่พิพิธภัณฑ์ทาชิเนปุตะ (Tachineputa no Yakata)
เดินทางกลับโตเกียวเช็คอินที่ Royal Park Hotel Tokyo Haneda
วันที่ 4
สำหรับการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบันนั้น นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเข้าไปเที่ยวได้แบบฟรีวีซ่า โดยมีระยะเวลาท่องเที่ยว 15 วัน ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนที่เข้าไปเที่ยวญี่ปุ่นจะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิดอย่างน้อย 3 เข็มโดยจะเป็นยี่ห้อไหนก็ได้ตามที่ WHO กำหนด (ซึ่งยี่ห้อที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมเลือกฉีดถือว่าเข้าข่าย ได้แก่ AstraZeneca, Moderna, Pfizer , Sinopharm, Sinovac)
ก่อนเดินทางก็ต้องลงทะเบียนเข้าประเทศญี่ปุ่นผ่านทางเว็บไซต์ Visit Japan Web ค่ะ ลงไม่ยากชิลไปไหนได้สรุปขั้นตอนในการลงให้อย่างละเอียดแล้วสามารถเข้าไปทำตามได้ที่นี่เลยค่ะ>>วิธีการลงทะเบียนเข้าญี่ปุ่น ผ่านเว็บไซต์ Visit Japan Web
การลงทะเบียนแนะนำว่าควรทำล่วงหน้าประมาณไม่เกิน 2 สัปดาห์ก่อนวันเดินทาง และอย่างน้อยต้องลงทะเบียนให้เสร็จภายใน 6 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางจากไทย และเมื่อลงทะเบียน Visit Japan Web แล้วก็กรอกใบเข้าเมืองญี่ปุ่น (ใบตม.) และการกรอกใบศุลกากรออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Visit Japan Web ได้เลยค่ะ โดยหลังจากลงทะเบียนเมื่อหน้าโปรไฟล์เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแล้ว เราก็จะได้คิวอาร์โค้ดมา 2 อัน ยื่นให้ ตม.กับศุลกากรค่ะ ซึ่งทุกอย่างให้เราแคปหน้าจอเอาไว้ เผื่อตอนลงเครื่องเกิดแอคซิเดนท์ไม่มีเน็ตเปิดหน้าเว็บไม่ได้ ก็จะได้เอาอันนี้โชว์ได้เลย
สำหรับขั้นตอนในการเข้าเมืองเมื่อเราเดินออกจากเครื่องปุ๊บก็โชว์หน้าจอที่เป็นสีน้ำเงินที่มีคำว่า Review Completed ให้กับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็จะให้เราเดินไปยังจุดตรวจคนเข้าเมืองค่ะ จากนั้นก็เตรียมเปิดคิวอาร์โค้ดที่กรอกใบเข้าเมืองให้ตม. และเมื่อผ่าน ตม.ไปปุ๊บ ก็ไปรอรับกระเป๋า จากนั้นก็สามารถนำคิวอาร์โค้ดศุลกากรไปสแกนผ่านเครื่องได้ค่ะ วันที่เราไปเครื่องไม่สามารถสแกนพาสปอร์ตของเราได้ จนสุดท้ายก็ต้องเดินไปเขียนกระดาษอีกครั้งเพื่อยื่นให้เจ้าหน้าที่ก่อนออก ซึ่งใครที่กลัวเสียเวลาก็แนะนำว่ากรอกทั้งออนไลน์และก็กรอกแบบกระดาษเอาไว้ด้วยทั้งสองแบบก็ได้ค่ะ เผื่อมีปัญหาเครื่องสแกนไม่ได้ก็จะได้ไม่เสียเวลาเที่ยว
ทริปนี้เราเดินทางไปช่วงปลายปี 2565 ค่ะ ซึ่งจุดหมายของเราคือโตเกียว และเมืองอาโอโมริซึ่งเป็นเมืองในภูมิภาคโทโฮคุตั้งอยู่เหนือสุดของเกาะฮอนชู ซึ่งเป็นเกาะหลักของญี่ปุ่น และอยู่ใต้เกาะฮอกไกโด ทำให้อุณหภูมิของสองเมืองนี้เลยค่อนข้างแตกต่างกัน โดยในโตเกียวอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 0 องศาเซลเซียส ไม่มีหิมะ ส่วนในเมืองอาโอโมริ อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ -5 องศาเซลเซียสและมีหิมะ ดังนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้ค่ะ
1)เสื้อผ้าที่เตรียมไปก็ควรเตรียมเสื้อกันหนาวขนเป็ด หรือเสื้อโค้ทที่ใส่กันลมกันละอองน้ำได้
2) ลองจอน ฮีทเทค ซึ่งวันที่เราอยู่อาโอโมริเราจะเพิ่มพวกเสื้อผ้าด้านในเยอะๆ ก็ช่วยให้อุ่นดีทีเดียวค่ะ
3) ถุงเท้า ถุงมือ หมวกไหมพรม สำคัญมากๆ เพราะสิ่งที่ทำให้เราหนาวที่สุดคือช่วงมือ หู เท้า อย่าปล่อยให้ทั้ง 3 สิ่งนี้หนาวเด็ดขาด
4) ส่วนรองเท้าแนะนำเป็นรองเท้าบูทค่ะ หรือใครที่ไม่มีรองเท้าบูทแบบใส่เดินบนหิมะก็ใช้เป็นรองเท้าผ้าใบทั่วไปที่กันน้ำ แต่แนะนำว่าควรซื้อแผ่นรองเท้าที่กันลื่นสำหรับเดินบนหิมะไปด้วย เพราะหิมะเวลาตกมาใหม่จะไม่ใช่ปัญหาแต่ถ้าไปเจอหิมะที่ตกมาสักพักและก่อตัวกันเป็นน้ำแข็งแล้วรับรองว่าบันเทิงแน่นอนซึ่งที่กันลื่นเป็นตัวช่วยได้ดีสำหรับการเดินบนหิมะกันเลยค่ะ
5) อุปกรณ์เสริมอย่างถุงกันร้อนหรือ Kairo นวัตกรรมยอดเยี่ยมจากญี่ปุ่น มีถุงนี้ปุ๊บหายหนาวปั๊บ สามารถหาซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นในช่วงหน้าหนาวจะมีขายเกือบทุกร้านค่ะ จะมีทั้งแบบที่แปะใต้ถุงเท้าของเรา แปะในเสื้อ และใส่ในกระเป๋าเสื้อ บอกเลยว่าเป็นไอเท็มที่เราชอบมากๆ วิธีใช้ก็ง่าย ฉีกซอง แล้วตบเบาๆ เท่านี้ก็อุ่นแล้วค่ะ แต่แนะนำว่าไม่ควรมาโดนผิวเราโดยตรงนะคะอาจจะทำให้ไหม้ได้
เมื่อเตรียมตัวทุกอย่างพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ โดยเรานั่งเครื่องบินจากสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง มุ่งหน้าไปยังสนามบินฮาเนดะกรุงโตเกียวในยามเช้าอีกวัน
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงเครื่องบินก็พาเราแลนด์ดิ้งสู่ประเทศญี่ปุ่นแล้วค่ะ หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองซึ่งบอกเลยว่าขั้นตอนเขารวดเร็วมากๆ อาจจะมีช้าในจังหวะที่รอคิวต่อแถวเข้าตม. เพราะนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ แต่เมื่อผ่านแถวมาแล้วก็สะดวกสบายมากๆ จากนั้นก็เดินออกมารับกระเป๋า ซึ่งแอบทึ่งกับการจัดกระเป๋าของคนญี่ปุ่นมากๆ ทุกใบหันเอาด้านที่หิ้วออกมาทุกใบเลยค่ะทำให้หยิบง่าย และกระเป๋าก็ไม่เยินด้วย (โอ๊ยยยพี่จะละเอียดไปไหน) สำหรับแพลนทริปนี้เราจะอยู่โตเกียว 1 วัน และวันพรุ่งนี้เราจะเดินทางไปหาคุณหิมะที่จังหวัดอาโอโมริกันแล้วล่ะค่ะ
สถานที่แรกในโตเกียวที่เราจะเดินทางไปก็คือย่านสุดน่ารักที่ชื่อว่า ย่านชิบะมะตะ (Shibamata) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราได้เดินทางไปที่นี่เช่นกัน จะน่ารักแค่ไหนตามไปชมกันเลยค่ะ
ย่านเก่าสุดน่ารักที่ซ่อนอยู่ในกรุงโตเกียว
นักท่องเที่ยวชาวไทยน้อยคนจะรู้จักย่านนี้ แม้จะไม่ใช่ย่านช็อปปิ้งยอดฮิต หรือแลนด์มาร์คชื่อดัง แต่ถ้าได้แวะมาสักครั้งจะหลงรักจนหมดใจ ชิบะมะตะ (Shibamata) เป็นย่านเล็กๆ สุดน่ารักที่ซ่อนอยู่ในกรุงโตเกียว สามารถนั่งรถไฟ Keisei จากสถานี KEISEI-UENO มายังสถานี SHIBAMATA ใช้เวลาเพียง 29 นาทีค่ารถ 270 เยนเท่านั้น
พอออกจากสถานีปุ๊บเราก็จะเจอรูปปั้นผู้ชายสวมหมวกใส่สูทถือกระเป๋ากำลังหันไปเหมือนจะร่ำลาหญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งรูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นของคุณคิโยะชิ อัทสึมิ นักแสดงชาวญี่ปุ่นผู้รับบทโทระจิโร คุระมะ หรือ โทระซัง ในซีรีส์เรื่อง Otoko wa tsurai yo มหากาพย์ซีรีส์ที่ยาวนานถึง 48 ภาค เป็นซีรีส์ที่คนญี่ปุ่นรักมากๆ และได้ใช้ย่าน ชิบะมะตะ (Shibamata) แห่งนี้ในการถ่ายทำ ซึ่งเรื่องราวของซีรีส์เรื่องนี้จะเล่าเรื่องราวชีวิตของโทระซังชาวเมืองชิบะมะตะซึ่งเป็นพ่อค้าร้านแผงลอยที่จะเดินทางไปขายของตามงานเทศกาลต่างๆ และไปพบรักกับหญิงสาวในเมืองต่างๆ ที่เขาเดินทางไป แต่สุดท้ายก็ต้องอกหักและเดินทางกลับมายังบ้านเกิด
ถ้าถามว่าโทระซังนั้นฮอตฮิตขนาดไหน วัดจากร้านทุกร้านในย่านชิบะมะตะจะมีโปสเตอร์ รูปภาพ รูปปั้นไปจนถึงหุ่นฟิกเกอร์ของโทระซังยืนเรียกลูกค้าอยู่ด้านหน้าร้าน แทนแมวกวักตั้งอยู่กันแทบทุกร้านเลยค่ะ ส่วนใครที่มาถ่ายรูปกับรูปปั้นโทระซังหน้าสถานี ชิบะมะตะ (Shibamata) แนะนำว่าให้ใช้นิ้วมือของเราไปถูที่นิ้วหัวแม่โป้งเท้าของโทระซังแล้วจะโชคดีนะคะ (ไม่ได้ให้ไปขูดเลขนะคะ 555) อันนี้คนญี่ปุ่นบอกเราเองเลยล่ะค่ะ
สำหรับเราแม้จะไม่เคยดูซีรีส์เรื่อง Otoko wa tsurai yo แต่กลับทำให้เราอินไปกับบรรยากาศ และสถานที่ที่มีความเรโทร เหมือนย้อนวัยไปในสมัยเด็กๆ ที่จะมีร้านขนมแบบเก่า ร้านลูกอม ให้ได้เดินเลือกซื้อระลึกความหลัง แม้จะอยู่คนละประเทศ แต่ความร่วมสมัยของช่วงวัยก็ทำให้เราอินกับสถานที่นี้ไปด้วยได้ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีร้านขนมมากมายให้เราได้ลองชิมค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขนม Kusa-Dango (草だんご) ขนมขึ้นชื่อของที่นี่ซึ่งตัวดังโงะจะมีสีเขียวที่ไม่ใช่สีเขียวจากมัทฉะแต่เป็นสีเขียวจากใบโยโมงิที่นำไปต้มกับน้ำร้อนแล้วนำมาบดจากนั้นก็นำมาผสมกับแป้งดังโงะ รสชาติหนึบหนับทานคู่กับถั่วแดงกวนโอ๊ยยยฟินสุดๆ
ซึ่งร้านรวงต่างๆ จะตั้งเรียงรายอยู่บนถนน Taishakuten Sandō เป็นถนนคนเดินเส้นเล็กๆ ระยะทางประมาณ 200 เมตรสุดทางของถนนคือวัด Shibamata-Taishakuten หรือวัด Daikyo-ji วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาในปี ค.ศ.1629 เป็นวัดในนิกายนิชิเร็น หนึ่งในนิกายที่สำคัญของญี่ปุ่นและเป็นวัดที่โด่งดังในเรื่องงานแกะสลักไม้ ภายในประดิษฐานรูปปั้นแกะสลักไม้ของเทพ Taishakuten ซึ่งเป็นเทพองค์หนึ่งที่คุ้มครองศาสนาพุทธ
แค่ประตูทางเข้าวัดก็พบกับงานแกะสลักไม้ที่วิจิตรสวยงามมากๆ พอเข้ามาด้านในเราก็จะพบกับต้นสนอายุเก่าแก่กว่า 500 ปีที่รูปร่างเหมือนกับมังกร ตั้งอยู่หน้าบริเวณ Taishakudo Hall สำหรับใครที่ต้องการมาไหว้พระขอพรสามารถเข้ามาได้ฟรีเลยค่ะ ซึ่งวัดนี้ศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ขอพรให้หายป่วย รวมไปถึงการขอพรให้ชนะในเรื่องการแข่งขันกีฬา ความเก๋คือเครื่องรางของที่นี่มีทั้ง เครื่องรางรูปบอล รูปเทนนิส รูปกีฬาประเภทต่างๆ ให้เลือกมากมาย เครื่องรางซูปเปอร์ฮีโร่ก็มีนะคะ รับรองว่าทุกชิ้นได้รับการทำพิธีลงคาถาอาคมพร้อม!
ส่วนใครที่อยากจะเข้าไปชมความสวยงามของงานแกะสลักไม้ด้านในวัดก็สามารถจ่ายค่าตั๋วคนละ 400 เยน ที่จะรวมเข้าชมสวนญี่ปุ่นด้านในด้วยค่ะ แนะนำว่าใครที่ชอบงานแกะสลักไม้ห้ามพลาดเด็ดขาดเพราะด้านในจะมีภาพแกะสลักบนแผ่นไม้ keyaki(zelkova) ทั้งหมด 10 ภาพ ความยาว 2.27 เมตร บอกเล่าเรื่องราวในสัทธรรมปุณฑริกสูตร ซึ่งแต่ละรูปภาพสวยงาม ราวกับทุกภาพกำลังพลิ้วไหว ควรค่าแก่การมาชมมากๆ ซึ่งว่ากันว่าศิลปินที่แกะสลักไม้ในวัดนี้เป็นศิลปินคนเดียวที่ร่วมสร้างศาลเจ้านิกโก้โทโชกูที่เมืองนิกโก้อีกด้วยค่ะ
วัด Shibamata-Taishakuten
เปิด : ทุกวัน (ส่วนของภาพแกะสลักไม้และสวนเปิดให้เข้าชมเวลา 9.00 – 17.00 น. (ต้องเข้าก่อน 16.30 น.)
ค่าเข้า : ฟรี ( ส่วนของภาพแกะสลักไม้และสวนค่าเข้า 400 เยน)
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/QyxY3Hrao6hLBWpp8
จากนั้นก็ถึงเวลาทานอาหารกลางวัน ซึ่งครั้งนี้เราทานที่ร้าน Ebisu-ya (えびす家) เป็นร้านอาหารเก่าแก่ในย่านชิบะมะตะ ที่เลื่องลือในเมนูข้าวหน้าปลาไหล เปิดมากว่า 230 ปี! ตอนแรกนึกว่าฟังผิดแต่เขายืนยันว่าเป็นร้านที่มีประวัติยาวนานนับร้อยปี คือแค่ได้ยินประวัติก็อยากสัมผัสข้าวหน้าปลาไหลที่สืบทอดสูตรมา 230 ปีแล้วค่ะ
เมนูที่เราสั่งเป็นเมนูเซ็ตข้าวหน้าปลาไหลราคา 3,960 เยน แม้ราคาอาจจะดูสูงแต่บอกเลยว่าเป็นข้าวหน้าปลาไหลที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ปกติเราทานข้าวหน้าปลาไหลไปได้ไม่นานก็จะรู้สึกเลี่ยนใช่ไหมคะ แต่ของร้านนี้เราทานแบบหมดเกลี้ยงจาน ตัวปลาไหลที่ย่างมาแบบด้านนอกกรอบสีเหลืองน่าทานมากๆ ตัวข้าวเมล็ดกลมสวยงามถูกปรุงมาด้วยน้ำซอสสูตรเฉพาะของร้านทำให้รสชาติของข้าวกลมกล่อมมากๆ ค่ะ ทานคู่กับผักดองรสชาติกรอบอร่อยและน้ำซุปที่เขาใช้ตับปลาไหลให้ความมัน ละมุนลิ้น อร่อยจนขอยกให้เป็น 1 ในร้านในดวงใจถ้าได้กลับไปโตเกียวอีกครั้งจะต้องกลับไปทานอีกแน่นอน
ไม่ใช่เพียงอาหารที่อร่อยเท่านั้น สิ่งสำคัญคือบรรยากาศร้านที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นของการต้อนรับของเจ้าของร้าน ใบหน้าเปื้อนยิ้มของผู้คนที่เข้ามาทาน พร้อมกันนั้นยังมีสวนญี่ปุ่นเล็กๆ ด้านนอกให้ได้ชมความงดงามอีก เป็นความสุขที่มันเต็มอิ่มจริงๆ ค่ะ
ร้าน Ebisu-ya
เปิด : 11:00-18:00 น.
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/bUHiSGKsJ31gs1C58
ชมวิวมหานครโตเกียวแบบ 360 องศา
จากนั้นเราเดินทางมาชมวิวมหานครโตเกียวที่ ชิบุยะ สกาย(SHIBUYA SKY) เป็นจุดชมวิวบนตึก SHIBUYA SCRAMBLE SQUARE เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนปี 2019 สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเราเป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่ที่น่าไปมากๆ
การเดินทางก็ง่ายเพราะตั้งอยู่ติดกับสถานี Shibuya เลยค่ะ พอไปถึงก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 14 เพื่อไปซื้อตั๋วที่หน้าเคาน์เตอร์ราคา 2,000 เยน หรือจะจองผ่านหน้าเว็บไซต์ก็ได้ค่ะ ราคา 1,800 เยน จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ต่อไปยังชั้น 46 ค่ะ โดยในลิฟต์เขาก็จะมีกราฟฟิกและเสียงเพลงประกอบด้วย ซึ่งพอลิฟต์เปิดมาเราก็จะต้องเดินต่อขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นดาดฟ้าค่ะ แต่ไม่อนุญาตให้ใส่หมวก หรือถือกระเป๋าเข้าไปนะคะ โดยจะมีตู้ล็อกเกอร์ให้ฝากของเอาไว้ก่อนจะขึ้นไปชมบริเวณดาดฟ้าค่ะ (ได้เงินคืน)
เมื่อฝากของใส่ตู้ล็อกเกอร์เรียบร้อยแล้ว เราก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นดาดฟ้า ซึ่งสามารถมองวิวมหานครโตเกียวได้ถึง 360 องศาบนความสูง 229 เมตร ในวันอากาศดีก็ทำให้เราเห็นไกลไปถึงฟูจิซัง ด้านบนมีมุมให้ถ่ายรูปยอดนิยม ทั้งโซฟา มีที่นั่งตาข่ายหรือแนะนำว่าถ้ามาตอนกลางคืนวิวจะสวยงามโรแมนติกสุดๆ ซึ่งในยามค่ำคืนเขาจะมีการเปิดไฟเก๋ไก๋มากๆ
จากนั้นก็เดินลงบันไดเลื่อนลงมาชั้นที่ 46 ซึ่งบริเวณชั้นนี้ยังมีจุดสวยๆ ให้เราถ่ายรูปโดยวันที่เราไปเขาทำเป็นลูกบอลสีเงินให้ถ่ายรูปกันด้วยซึ่งจะมีแค่ช่วงเวลาจำกัด แถมยังมีร้านกาแฟ Paradise Lounge ที่บอกเลยว่าการได้ดื่มกาแฟพร้อมชมวิวมหานครโตเกียวไปด้วยยิ่งทำให้กาแฟอร่อยยิ่งขึ้นค่ะ และกลางคืนยังมี music bar เสิร์ฟเครื่องดื่มให้จิบพร้อมชมวิวฟินๆ นอกจากนี้ยังมีมุมของฝากให้เราได้ซื้อกลับบ้านอีกด้วย
ชิบุยะ สกาย (SHIBUYA SKY)
วิธีการเดินทาง : ติดกับสถานี Shibuya
ค่าชม : ค่าเข้าชม 2,000 เยน (ซื้อตั๋วหน้างาน)
ค่าเข้าชม 1,800 เยน (จองทาง Web)
สำหรับเด็กและนักเรียนนักศึกษาสามารถตรวจสอบค่าเข้าชมทางเว็บไซต์
เปิด : 10.00-22.30 น.(ต้องเข้าก่อน 21.20 น.)
เว็บไซต์ : https://www.shibuya-scramble-square.com/en/
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/dYP6A2EgkZ5iJhmz7
จุดเช็คอินแห่งใหม่สำหรับคนทุกวัยในกรุงโตเกียว
ชมวิวสวยๆ ของโตเกียวกันจนเต็มอิ่มเราก็เดินทางมาเช็คอินที่ต่อไปกับ สวนมิยะชิตะ (Miyashita Park) จุดเช็คอินแห่งใหม่ล่าสุดที่เปิดเมื่อปี 2020 ค่ะ เป็นที่เที่ยวสำหรับคนทุกวัยจริงๆ ซึ่งทำเลที่ตั้งก็ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีชิบุยะ โดยเราสามารถเดินจากตึก Shibuya scramble square มาได้ใช้เวลาประมาณ 7 นาที ที่นี่เป็นสถานที่ที่รวมทั้งร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้า และยังมีร้านกินดื่มสุดชิลสไตล์อิซะกะยะให้เลือกนั่งกันอีกด้วย
การดีไซน์ของตึกก็เก๋มากๆ ค่ะ ปกติเราจะเห็นตึกสูงๆในโตเกียวใช่ไหมคะ แต่ตึกนี้สูงเพียง 4 ชั้น แต่ด้วยความที่ตัวตึกมีขนาดยาวถึง 330 เมตร แบ่งเป็นโซน North และ South แต่ละชั้นก็เลยมีพื้นที่ให้เราเดินสำรวจกันสนุกเลยล่ะค่ะ ภายในมีร้านให้บริการประมาณ 90 ร้าน ไฮไลท์ก็จะมีชั้น 3 โซน South ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้าน GBL ซึ่งเป็นร้านเสื้อผ้าแบรนด์ที่สร้างขึ้นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบผลงานของ Studio Ghibli โดยภายในร้านมีสินค้าของ Studio Ghibli ที่ผลิตด้วยผ้าหรือวัสดุที่คัดสรรและการออกแบบที่ซับซ้อนให้เราได้เลือกช้อปกันค่ะ นอกจากนี้ภายในร้านมีกิมมิกน่ารักๆ ซ่อนอยู่มากมายให้เราได้ตามหากันทั่วมุมร้าน อ๊ะ! และที่ห้ามพลาดไม่ได้กับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Castle in the Sky เป็นที่สนุกสนานและเพลิดเพลินสำหรับแฟน ๆ ของ Studio Ghibli อย่างเรามากๆ
ส่วนด้านบนชั้นดาดฟ้าจะเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะที่รวมคนทุกวัยไม่ว่าจะวัยรุ่นที่มานั่งชิลรับแดดอุ่นๆ ในช่วงหน้าหนาว มีร้านกาแฟ ร้านอาหารให้เลือกทาน มีโซนสำหรับเด็กๆ ให้ปีนป่าย รวมไปถึงลานสเก็ตที่นี่ก็มีค่ะ ส่วนใครเป็นสายดื่มเราขอแนะนำชั้นล่างเลยกับโซน Shibuya-yokocho (渋谷横丁) เป็นการรวมร้านอาหารสไตล์อิซะกะยะ หรือร้านกินดื่มในแต่ละภูมิภาคของญี่ปุ่นตั้งแต่ฮกไกโดไปจนถึงโอกินะวะ รวมกว่า 19 ร้านในความยาวกว่า 100 เมตร ได้อารมณ์เหมือนตรอก Omoide-Yokocho ที่ชินจูกุเลยล่ะค่ะ แต่ที่นี่เปิดตั้งแต่ 11.00 - 23.00 น.เราเลยได้เห็นเด็กๆ มานั่งทานอาหารกับผู้ปกครองที่นี่ด้วย
สวนมิยะชิตะ (Miyashita Park)
การเดินทาง : ใกล้สถานี Shibuya
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/67ZLnF4bkcGHqUcd6
มาเที่ยวโตเกียวก็ต้องห้ามพลาดกับการเดินข้ามแยกชิบุยะ
หนึ่งในสัญลักษณ์ของโตเกียวก็ต้องที่นี่เลยค่ะ 5 แยกชิบุยะ แยกที่ไม่เคยเงียบเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ยืนรอสัญญาณไฟและเมื่อสัญญาณไฟเขียวของคนข้ามปรากฏขึ้น คลื่นฝูงชนจากทั้ง 5 มุมถนนก็จะต่างเดินไปด้านหน้าราวกับคลื่นสีดำที่คลืบคลานปกคลุมท้องถนน กลายเป็นภาพสุดแปลกตาที่สื่อความเป็นมหานครโตเกียวได้อย่างดีค่ะ ซึ่งย่านนี้ยังเต็มไปด้วยร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้ามากมาย และไฮไลท์คืออย่าลืมไปทักทายน้องหมาฮะจิโคสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์ซึ่งกลายมาเป็นจุดนัดพบของคนที่มาแยกชิบุยะแห่งนี้ ใครที่หลงกับเพื่อน แค่บอกว่ามาเจอกันที่น้องหมาฮะจิโครับรองว่าเจอกันแน่นอน
ชมวิวแม่น้ำสุมิดะ
อีกหนึ่งประสบการณ์ที่เราประทับใจมากสำหรับการเที่ยวโตเกียวในครั้งนี้คือการได้มาล่องเรือ Yakata-bune ซึ่งเป็นเรือสไตล์โบราณภายนอกตกแต่งด้วยโคมไฟสีแดง ด้านในตกแต่งด้วยเสื่อตาตามิ ที่นั่งจะเป็นแบบห้อยขาไม่ต้องกลัวเมื่อยค่ะ และแต่ละที่จะมีฉากกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว ภายในเรือมีห้องน้ำสะอาดให้บริการ ด้านบนเรือมีชั้นดาดฟ้าที่ให้ขึ้นไปถ่ายรูปชมวิวได้ด้วย
บริการล่องเรือ Yakata-bune นั้นจะมีให้บริการหลายเจ้าค่ะ ซึ่งครั้งนี้เราใช้บริการเรือของบริษัท Amitatsu (あみ達) ราคา 11,000 เยน/คน รวมอาหารแต่ไม่รวมเครื่องดื่ม จุดลงเรือจะอยู่บริเวณท่าเรือสะพาน Azuma-bashi (Asakusa) ใกล้กับตึกอาซาฮีและยังสามารถชมวิวโตเกียวสกายทรีริมแม่น้ำสุมิดะได้ด้วย โดยการล่องเรือจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงล่องไปตามแม่น้ำสุมิดะชมวิวริมแม่น้ำ และล่องไปจนถึงเกาะโอไดบะชมวิวสะพานสายรุ้งกันเลย
นอกจากวิวจะประทับใจแล้วอาหารของที่นี่บอกเลยว่าเด็ดทุกเมนู โดยเขาจะเสิร์ฟให้เราเป็นชามเล็กๆ แบบสไตล์ไคเซกิค่ะ มีทั้งอาหารเครื่องเคียงอย่างไข่หวาน หอยเชลล์ สลัด ไข่ตุ๋น และมีจานหลักอย่างปลาดิบ เทมปุระที่เขาจะเสิร์ฟมาทีละชิ้น มีทั้ง เทมปุระกุ้ง เทมปุระผัก เรียกว่าเสิร์ฟตลอดจนอิ่มเลย แต่ที่เลิฟเลยก็คือเนื้อที่มาแบบหม้อดินเผา นุ่มแทบละลายในปาก ช่วงท้ายจะมีข้าวผัด มีขนมให้ด้วย ทุกจานคือดีงามอร่อยแบบต้องร้องว่าโออิชี่ทุกคำเลยค่ะ ใครมาเที่ยวโตเกียวแนะนำว่าต้องลองมากันสักครั้ง
Yakata-bune
ราคา : ค่าล่องเรือรวมค่าอาหาร(ไม่รวมเครื่องดื่ม) 11,000 เยน/คน
รายะเวลา : 2 ชั่วโมง
จอง : ผ่านเว็บไซต์ https://www.amitatsu.jp/english/ (จองได้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป)
ที่พักสะดวกสบาย เดินทางง่ายใกล้สถานีรถไฟ
สำหรับที่พักคืนนี้เราพักที่ OURS INN HANKYU ที่พักทำเลดีตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเจอาร์ Ōimachi ค่ะ บริเวณรอบๆ มีห้างสรรพสินค้า แถมด้านข้างของโรงแรมเป็นที่ตั้งของร้านสะดวกซื้อที่เชื่อมต่อกับตัวโรงแรมมีลิฟต์ที่สามารถลงมาร้านสะดวกซื้อได้เลย สะดวกสบายสุดๆ ใครหิวดึกๆ ไม่ต้องห่วงกันเลยทีเดียว ภายในห้องขนาดกะทัดรัดแต่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งทีวี กาต้มน้ำร้อน เครื่องทำความชื้น แอร์เปลี่ยนเป็นฮีตเตอร์ได้ มีน้ำเปล่าให้ มีไวไฟเร็วมากๆ ส่วนห้องน้ำจะเป็นแบบฝักบัวค่ะน้ำแรงและอุ่นกำลังดีปรับง่าย ตัวห้องน้ำแยกโซนเปียกกับแห้ง มีสบู่เหลว แชมพู ครีมนวด ส่วนสุขภัณฑ์จะเป็นแบบอัตโนมัติ
สัมผัสหิมะแรกที่อาโอโมริ
เช้านี้เราตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังสนามบินฮาเนดะ เพราะเช้านี้เรามีแพลนเดินทางไปยังเมืองอาโอโมริกันค่ะ โชคดีที่อากาศที่สนามบินฮาเนดะแจ่มใสเลยได้เห็นฟูจิซังจากสนามบินกันเลย เป็นเหมือนสัญญาณว่าวันนี้เราจะต้องเจอแต่เรื่องราวดีๆ
เรานั่งเครื่องบินจากสนามบินฮาเนดะมายังสนามบินอาโอโมริใช้เวลาประมาณ 1.25 ชั่วโมงค่ะ พอมาถึงสนามบินอาโอโมริ คำแรกที่อยากอุทานเลยว่า โอ้โหวววว ทำไมหิมะมันหนาขนาดนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกของเราที่เห็นหิมะปกคลุมขาวโพลนไปทั่วเมือง ความรู้สึกตอนนี้มั้นทั้งตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจกับความงดงามที่รอเราอยู่ราวกับตัวเองกำลังเดินเข้าไปในหนังขาวดำกันเลยค่ะ
อิ่มอร่อยไปกับเมนู "นคเคะดง (nokkedon)"
พอลงเครื่องปุ๊บสถานที่แรกที่เราตรงดิ่งมาเลยคือ ตลาดปลา Furukawa Fish Market เป็นตลาดปลาที่เราอยากมามากๆ เพราะรู้มาว่าที่นี่เราสามารถซื้อข้าวแล้วเดินเลือกปลาที่เขาใส่มาในจานเล็กๆ แล้วนั่งทานที่นี่ได้เลย เป็นความฝันของปลาดิบเลิฟเวอร์แบบเรามากๆ ค่ะ
โดยเมนูที่เราจะมาทานนั้นชื่อว่าเมนู "นคเคะดง (nokkedon)" เป็นเมนูที่เราสามารถครีเอตข้าวหน้าปลาดิบที่เราอยากทานได้เอง ซึ่งขั้นตอนการทานก็ไม่ยากค่ะ พอเดินเข้ามาในตลาดก็มองหาเคาน์เตอร์ที่ติดกับประตูทางเข้า แล้วก็ยื่นเงินให้พนักงาน 2,000 เยนเขาก็จะให้คูปองสีชมพูแบบนี้มาให้เราค่ะ ตัวคูปองจะสามารถฉีกเป็นใบเล็กๆ ได้ 10 ใบ โดยเริ่มแรกก็ไปซื้อข้าวเปล่าก่อนใช้คูปอง 1 ใบ พนักงานจะตักข้าวเปล่าใส่ถ้วยมาให้ จากนั้นก็ถึงเวลาสนุกแล้วสิ เดินเลือกปลาที่อยากกินเลยค่ะ โดยแต่ละร้านเขาจะใส่ไว้ในถ้วยเล็กๆ มีป้ายติดตัวเลขเอาไว้ว่าเมนูนี้ใช้คูปองกี่ใบ มีตั้งแต่ 1 ใบไปจนถึง 3-4 ใบ ตามราคาของปลาชิ้นนั้นๆ ค่ะ
ซึ่งเมนูที่เราเลือกมาในวันนี้มีทั้งกุ้งตัวโตเนื้อสดหวาน ปลาแซลม่อน หอยโฮตาเตะเนื้อหวานกรุบ ไข่ปลาแซลม่อนสดๆ ปลาดิบ ไข่ปลาแฮริ่ง อูนิ จานนี้ 2000 เยนเท่านั้น ถือว่าถูกมากๆ จากนั้นก็มานั่งทานที่ที่นั่งที่ทางตลาดจัดเอาไว้ให้ มีบริการโชยุ วาซาบิ น้ำชา ให้ด้วยค่ะ
Furukawa Fish Market
เปิด : 7.00-16.00 น.
การเดินทาง : เดิน 5 นาทีจากสถานีเจอาร์อาโอโมริ
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/QEayUJZ6zwxC8duy9
สัมผัสอาหารแบบคนอาโอโมริที่แท้จริง
อย่าเพิ่งรีบอิ่มเพราะเราจะเดินทางไปทานอาหารแบบคนอาโอโมริแท้ๆ ต่อที่ร้าน Nishimura ที่ตั้งอยู่บนชั้น 10 ของอาคาร Aomori Prefecture Tourism Information Center ASPAM ซึ่งร้านนี้เปิดมากว่า 30 ปี ตัวร้านบรรยากาศอบอุ่นเหมือนเข้ามาในบ้านคนญี่ปุ่น ตกแต่งแบบสไตล์ญี่ปุ่นแท้มีที่นั่งทั้งแบบนั่งพื้นบนเสื่อตาตามิ และที่นั่งแบบโต๊ะเก้าอี้ พร้อมกับชมวิวอ่าว Mutsu Bay จากมุมสุงที่ตอนนี้มีหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่ว
จุดเด่นของร้านนี้คือเป็นร้านอาหารท้องถิ่นที่เชฟจะไปเลือกวัตถุดิบสดใหม่มาจากตลาดรังสรรค์เป็นเมนูอร่อยที่ให้เราได้ทานทุกวัน เมนูที่เราสั่งมาจะเป็นเซ็ตเมนูราคา 1,850 เยนค่ะ ในเซ็ตจะมีทั้งหอยเชลล์หรือโฮตาเตะ ซุปซัปปะจิรุซึ่งเป็นซุปปลาทาระหรือปลาคอดรสกลมกล่อมมากๆ ยิ่งได้ทานช่วงหน้าหนาวฟินสุดๆ เครื่องเคียงมีปลาทาระดองอันนี้อร่อยมากๆ รสจะออกเค็มๆ หวานๆ ตัวปลาจะมีความกรุบๆ ทานกับข้าวสวยเริ่ดดดด และไฮไลท์คือ Grilled Scallops with Miso ซึ่งเป็นหอยเชลล์หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ย่างกับมิโสะ เสิร์ฟมาในฝาหอยเชลล์ยักษ์รสนุ่มละมุนลิ้นมากๆ
ร้าน Nishimura
เปิด : ร้านเปิด 2 รอบค่ะ มื้อกลางวันเวลา 11.00-15.00 น. และมื้อเย็นเวลา 16.30 - 19.00 น.
การเดินทาง : เดินจากสถานีเจอาร์อาโอโมริประมาณ 8 นาที
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/FUdMhaqRdxcMyXvr6
ชมวิวเมืองอาโอโมริจากมุมสูง
จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ต่อไปยังชั้น 13 ซึ่งเราจะไปชมวิวเมืองอาโอโมริกันค่ะ โดยด้านบนของตึก Aomori Prefecture Tourism Information Center ASPAM จะมีจุดให้เราชมวิวที่สามารถเดินได้แบบ 360 องศา บนความสูงกว่า 51 เมตรที่สามารถมองเห็นวิวเมืองอาโอโมริทั้งเมือง เห็นวิวสะพานแขวน Aomori Labridge ที่ตอนนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว พร้อมกันนั้นยังมีจุดถ่ายรูปที่เป็นน้องอิคุเบคุงมาสค็อตของการท่องเที่ยวจังหวัดอาโอโมริให้เราได้แชะภาพกันอีกด้วย
Aomori Prefecture Tourism Information Center ASPAM ชั้น 13
เปิด : 9.30 – 18.00 น.
ค่าบริการ : ตั๋ว A ราคา 850 เยน (ชมวิวจุดชมวิว + panoramic movie theater )
ตั๋ว B ราคา 650 เยน (ชมเฉพาะ panoramic movie theater)
ตั๋ว C ราคา 400 เยน (ชมเฉพาะจุดชมวิว)
การเดินทาง : เดินจากสถานีเจอาร์อาโอโมริประมาณ 8 นาที
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/v9gEeKe511Vx5NTD6
มีขนมจากแอปเปิ้ลให้เลือกซื้อเยอะมากๆ
สำหรับคนที่ขับรถเที่ยวแนะนำเลยว่าถ้าอยากหาของฝากจากเมืองอาโอโมริ โดยเฉพาะแอปเปิ้ลสุดอร่อยพร้อมมีสวนแอปเปิ้ลให้เข้าไปเที่ยวด้วย ปักหมุดที่นี่ไว้เลยค่ะ กับ Roadside Station Namioka Apple Hill ที่สามารถขับรถจากตัวเมืองอาโอโมริมาประมาณ 30 นาที ส่วนถ้าใครไม่ได้เช่ารถเที่ยวอาจจะนั่งรถไฟจากสถานีเจอาร์อาโอโมริมาลงที่สถานีเจอาร์ Namioka แล้วเรียกแท็กซี่มาที่นี่ได้ไม่ไกลใช้เวลาประมาณ 6 นาที
ภายในจะแบ่งเป็นโซนทั้งโซนขายของฝากจากเมืองอาโอโมริ ซึ่งพระเอกหลักของเมืองนี้คือแอปเปิ้ลค่ะ ใครชอบทานแอปเปิ้ล หรือน้ำแอปเปิ้ลบอกเลยว่าที่นี่คือสวรรค์ โดยเฉพาะน้ำแอปเปิ้ลที่นี่มีให้เลือกเยอะ หลายแบบ หลายราคามากๆ เรานี่อยากจะหยิบมาชิมทุกขวด ซึ่งไม่ว่าลองขวดไหนก็หวานอร่อยแบบพร้อมตายกันเลยทีเดียว ตลอดเวลาที่เราอยู่อาโอโมริ คือเรียกว่าแทบจะดื่มน้ำแอปเปิ้ลแทนน้ำเปล่าก็ว่าได้ค่ะ เพราะมันอร่อยจริงๆ (ดื่มกันจนไม่กลัวค่าน้ำตาลขึ้นกันเลยทีเดียว 555) นอกจากนี้ยังมีขนมจากแอปเปิ้ลไม่ว่าจะเป็นพาย ทาร์ต คุกกี้ก็ล้วนแล้วแต่ทำจากแอปเปิ้ลให้เลือกช้อปเยอะมากๆ ค่ะ สินค้าของฝากอื่นๆ ที่ไม่ใช่แอปเปิ้ลก็มีนะคะ พร้อมกันนั้นยังมีโซนขนมเบเกอรี่สดใหม่จากแอปเปิ้ลให้ได้ทานกันด้วย
ต่อกันด้วยโซนสำหรับสินค้าทางการเกษตรเช่นพืชผักและแอปเปิ้ลสดก็มีให้ได้เลือกช้อป นอกจากนี้ที่นี่เขายังมีกิจกรรมเก็บแอปเปิ้ลให้นักท่องเที่ยวได้มาลองทานแอปเปิ้ลอาโอโมริสดๆ จากต้นด้วยนะคะ แต่ต้องมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงค่ะ ตอนที่เราไปสวนแอปเปิ้ลนั้นปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวหนามากๆ จนมองไม่เห็นต้นแอปเปิ้ลกันเลยค่ะ
แถมภาพบรรยากาศในช่วงฤดูร้อนที่ดอกไม้จะผลิบานสวยงามมากๆ ค่ะ ส่วนถ้ามาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็จะมีกิจกรรมให้เก็บแอปเปิ้ลอาโอโมริหวานๆ สดจากต้นแบบนี้กันได้เลย
Roadside Station Namioka Apple Hill
การเดินทาง : รถยนต์ส่วนตัวจากตัวเมืองอาโอโมริขับมาประมาณครึ่งชั่วโมงหรือ สามารถนั่งรถไฟเจอาร์จากสถานีอาโอโมริมาลงสถานีนามิโอกะ ถ้าเลือกนั่งรถไฟธรรมดา JR Ou Line ก็ใช้เวลาประมาณ 28 นาที ค่ารถ 420 เยน หรือเลือกนั่งรถด่วน Ltd. Exp. Tsugaru ใช้เวลาประมาณ 21 นาทีค่ารถ 1,470 เยน แล้วเรียกแท็กซี่มาที่นี่ได้ไม่ไกลใช้เวลาประมาณ 6 นาที
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/vHxaC7kUQs4BSgVf7
ชมเรื่องราวงานเทศกาลเนปุตะและลองทำสึกะรุดาโกะ
จากนั้นเดินทางมายังเมืองฮิโรซากิ ซึ่งเป็นเมืองในจังหวัดอาโอโมริเพื่อมายัง พิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน สึกะรุฮัง เนปุตะ (Tsugaru-han Neputa Village) ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมของจังหวัดอาโอโมริ ที่มีทั้งงานเทศกาล ดนตรี งานศิลปะ และยังมีกิจกรรมให้ได้ลองทำมากมายเลยล่ะค่ะ ซึ่งพอเดินเข้ามาด้านในเราจะได้พบกับพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเนปุตะซึ่งเป็นโคมไฟทรงพัด ขนาดใหญ่สุดจะมีความสูงประมาณ 10 เมตร ใช้เวลาทำประมาณ 1 เดือน เพนท์ลวดลายดุดันของนักรบ ซึ่งโคมไฟเฟล่านี้จะใช้แห่ในงานเทศกาลเนปุตะฮิโรซากิที่จะจัดขึ้นเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1-7 ในเดือนสิงหาคมของทุกปี
โดยตำนานต้นกำเนิดเทศกาลเนปุตะฮิโรซากินั้นมาจากที่สมัยก่อนชาวนามักจะรู้สึกเหนื่อยและง่วงนอนระหว่างการทำนาในฤดูร้อนส่งผลให้งานออกมาไม่เรียบร้อยและเกิดการบาดเจ็บจึงเกิดความคิดจะ "ปลดปล่อยความง่วงให้ลอยลงสู่แม่น้ำพร้อมกับโคมไฟดวงเล็กๆ" จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเทศกาลนี้ ซึ่งคำว่า "เนปุตะ" นั้นสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า "เนปุเตะ หรือ เนปุเตะจ้า" ที่แปลว่าง่วงนอนในภาษาถิ่นชาวเมืองสึกะรุ
ซึ่งในจังหวัดอาโอโมริจะมีงานเทศกาลใหญ่ๆ อยู่ 2 เทศกาลคืองานเทศกาลเนบุตะอาโอโมริ ที่จะทำโคมไฟเป็นรูปตุ๊กตา 3 มิติ มีการกระโดดโลดเต้นกันตอนแห่ และงานเทศกาลเนปุตะฮิโรซากิที่จะมีความแตกต่างคือจะทำเป็นรูปพัดและจะมีการเดินแห่อย่างสุขุมไม่กระโดดโลดเต้น จึงเป็นความต่างกันของวัฒนธรรมในจังหวัดเดียวกันที่แต่ละที่ก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีเรื่องราว มีประวัติศาสตร์ตำนานเล่าขานของตัวเอง ที่น่ามาเรียนรู้มากๆ ค่ะ
วันที่เราไปมีการแสดง "ชามิเซน" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของญี่ปุ่นที่มีต้นกำเนิดมาจากเครื่องดนตรีที่ทำจากหนังงูของประเทศจีนที่เรียกว่า "ซังชิน" บรรเลงโดยศิลปินชามิเซนที่ออกมาทั้งไพเราะและสนุกสนานครื้นเครง บางจังหวะน่าทึ่งกับการรัวนิ้วลงบนเส้นสายชามิเซนจนเราอยากจะลุกขึ้นมาตรบมือรัวๆ ให้กับศิลปินกันเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ยังมีการแสดงตีกลองไทโคะโดยให้เราได้ลองไปสัมผัสการตีกลองด้วยค่ะ อีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจคือการที่เจ้าหน้าที่พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยก็ตั้งใจอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เราฟังเป็นภาษาไทยน่ารักมากๆ เลยล่ะค่ะ
หลังจากที่เราได้ชมเรื่องราวของเนปุตะกันไปแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะได้มาลองเรียนรู้วัฒนธรรมเมืองผ่านกิจกรรมเวิร์คช้อปการทำสึกะรุดาโกะหรือว่าวสึกะรุกันค่ะ โดยครั้งนี้มีเซ็นเซย์ผู้เชี่ยวชาญในงานศิลปะมาช่วยสอนการวาดภาพหน้าซามูไรลงบนกระดาษ ซึ่งว่าวซึการุนั้นในอดีตเป็นงานเสริมของซามูไรระดับล่างที่ยากจนมาทำว่าวเพื่อเป็นของเล่นสำหรับเด็ก ภาพบนตัวว่าวนั้นส่วนมากจะเป็นภาพของขุนศึกที่น่าเกรงขาม โครงว่าวไม่ได้ทำจากไม้ไผ่เหมือนว่าวทั่วไปแต่ทำจากไม้หอมฮิบะ ซึ่งเป็นพืชพรรณพิเศษที่หาได้ในจังหวัดอาโอโมริ สำหรับวันนี้เราทำแค่การเพนท์ภาพซามูไรบนกระดาษค่ะ บอกเลยว่าไม่ยากและไม่ง่าย แต่ช่วยฝึกสมาธิได้ดีทีเดียวค่ะ ใครที่อยากพาน้องๆ หนูๆ มาทำกิจกรรมฝึกสมาธิแนะนำกิจกรรมนี้เลย
นอกจากนี้ภายใน พิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน สึกะรุฮัง เนปุตะ (Tsugaru-han Neputa Village) ยังมีเรื่องราวทางวัฒนธรรมมากมายให้เราได้รับชม อาทิ ชมกรรมวิธีการทำสึกะรุนุริ หรือเครื่องเขินสำหรับชนชั้นสูง นิทรรศการเล่าเรื่องราวศิลปินชามิเซนที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ชมสวนโยคิเอ็น สวนญี่ปุ่นที่ใช้วิธีการสร้างแบบสึกะรุ ภายในมีต้นไม้อายุเก่าแก่กว่า 300 ปีซึ่งตอนนี้ทั้งสวนปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวราวกับภาพวาดกันเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีช้อปให้ซื้อของฝาก ขนม มาส์กหน้าที่มีขายเฉพาะภูมิภาคนี้ให้ได้ช้อปกลับบ้านอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน สึกะรุฮัง เนปุตะ (Tsugaru-han Neputa Village)
เปิด : 9.00 – 17.30 น. (ต้องเข้าก่อน 17.00 น.)
ค่าเข้าชม : คนละ 600 เยน / ค่าทำกิจกรรมเวิร์คช้อปซึการุดาโกะ 1,300 เยน(90 นาที)
การเดินทาง : สามารถนั่งรถไฟเจอาร์จากสถานีอาโอโมริมาลงสถานีฮิโรซากิ ถ้าเลือกนั่งรถไฟธรรมดา JR Ou Line ก็ใช้เวลาประมาณ 47 นาที ค่ารถ 680 เยน หรือเลือกนั่งรถด่วน Ltd. Exp. Tsugaru ใช้เวลาประมาณ 34 นาทีค่ารถ 1,530 เยน แล้วเรียกรถแท็กซี่ไปได้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาทีจากสถานี Hirosaki
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/TJhRCYYMdRjSUTSWA
ชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยสุดเท่แห่งเมืองฮิโรซากิ
จาก Tsugaru-han Neputa Village เรานั่งรถต่อมาประมาณ 9 นาทีเพื่อมายัง Hirosaki Museum Of Contemporary Art พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยสุดเท่แห่งเมืองฮิโรซากิ ซึ่งเปิดมาให้ชมเมื่อวันที่ 11 เมษายน ปี ค.ศ. 2020 ซึ่งเป็นการรีโนเวทอาคาร Yoshino-cho Brick Warehouse โกดังอิฐแดงอายุเก่าแก่กว่า 100 ปีที่สร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ในอดีตเคยเป็นโรงกลั่นเหล้าสาเก ต่อมาได้กลายเป็นโรงงานผลิตไซเดอร์ โดยอาคารแห่งนี้เป็นอาคารประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของเมืองฮิโรซากิและเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมือง ปัจจุบันกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงงานศิลปะของศิลปินชาวญี่ปุ่นและศิลปินต่างประเทศ โดยแบ่งเป็นโซนพิพิธภัณฑ์และโซนคาเฟ่
ในวันที่เรามาถึงทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงนิทรรศการ Hello, How Can We Do a Nara Yoshitomo Show? Documents on Nara Yoshitomo’s Hirosaki Exhibitions 2002-2006 ซึ่งเป็นงานแสดงนิทรรศการที่นำเสนอสื่อจดหมายเหตุ ภาพถ่าย และวิดีโอมากมายที่ติดตามการจัดแสดงนิทรรศการ 3 นิทรรศการของศิลปินชาวญี่ปุ่นชื่อดัง Nara Yoshitomo และยังเป็นชาวเมืองฮิโรซากิ ซึ่งเคยมาจัดแสดงนิทรรศการที่อาคารแห่งนี้ตั้งแต่ปี 2002-2006
ซึ่ง Nara Yoshitomo เป็นศิลปินชื่อดังชาวญี่ปุ่นที่ย้ายไปอยู่เยอรมันในปี 1988 และสร้างชื่อเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ ในปี 2000 เขาเดินทางกลับมาบ้านเกิดและจัดแสดงผลงานนิทรรศการครั้งแรกของเขาที่ชื่อว่า “I DON’T MIND, IF YOU FORGET ME.” และมาจัดแสดงที่ Yoshino-cho Brick Warehouse ในปี 2002 ต่อมาในปี 2005 ได้กลับมาจัดแสดงนิทรรศการที่ชื่อว่า “From the Depth of My Drawer” และในปี 2006 กับการแสดงนิทรรศการที่ชื่อ “YOSHITOMO NARA + graf A to Z” ณ อาคาร Yoshino-cho Brick Warehouse แห่งนี้ ซึ่งนิทรรศการ Hello, How Can We Do a Nara Yoshitomo Show? Documents on Nara Yoshitomo’s Hirosaki Exhibitions 2002-2006 จะบอกเล่าเรื่องราวการทำงานของทั้ง 3 นิทรรศการ จัดแสดงให้ชมตั้งแต่วันที่ 17 กันยายนปี 2022 ไปจนถึง วันที่ 21 มีนาคม ปี 2023 ใครที่มาเที่ยวเมืองฮิโรซากิในช่วงนี้ก็ลองเดินทางมาชมกันเลยค่ะ
ปิดท้ายกับ CAFE & RESTAURANT BRICK ซึ่งเป็นอาคารอิฐแดงหลังเล็กที่ตั้งอยู่ข้างๆ กับ Hirosaki Museum Of Contemporary Art เปิดให้บริการอาหารและเครื่องดื่มซึ่งวันนี้เราสั่งเมนู Hirosaki Brick Apple Pie ซึ่งเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน ราคา 990 เยน เป็นพายแอปเปิ้ลที่ทำมาเป็นรูปแอปเปิ้ลตัวแป้งด้านนอกกรอบด้านในนุ่มทานกับไอศกรีมวานิลลาหวานเย็นชื่นใจมากๆ
Hirosaki Museum Of Contemporary Art
เปิด : 9.00-17.00 น. ปิดทุกวันอังคาร (ถ้าวันอังคารเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์จะเปิดให้บริการแล้วไปปิดในวันถัดไป)
ค่าเข้า : ขึ้นอยู่แต่ละนิทรรศกาลราคาจะไม่เท่ากัน สามารถเช็ครายละเอียดได้ที่ https://www.hirosaki-moca.jp/en/information/
โซน CAFE & RESTAURANT BRICK
เปิด : 11.00 - 18.00 น.(Last Order 17.30 น.) วันศุกร์ - วันเสาร์เปิดถึง 20.00 น.(Last Order 19.00 น.)
ปิดทุกวันอังคาร (ถ้าวันอังคารเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์จะเปิดให้บริการแล้วไปปิดในวันถัดไป)
การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย Konan Tetsudo-Owani Line ลงสถานี Chuohirosaki แล้วเดินมาได้ประมาณ 2 นาที หรือนั่งรถไฟเจอาร์จากสถานีอาโอโมริมาลงสถานีฮิโรซากิ ถ้าเลือกนั่งรถไฟธรรมดา JR Ou Line ก็ใช้เวลาประมาณ 47 นาที ค่ารถ 680 เยน หรือเลือกนั่งรถด่วน Ltd. Exp. Tsugaru ใช้เวลาประมาณ 34 นาทีค่ารถ 1,530 เยน แล้วนั่งแท็กซี่ต่อมาประมาณ 8 นาที
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/DzjHnKvvbqcjAdyX6
ที่พักสไตล์เรียวกังพร้อมบ่อแช่ออนเซ็น
คืนนี้เราพักที่ Owani Onsen Fujiya Hotel ซึ่งตั้งอยู่ใน Owani Hot Spring Resort เป็นที่พักสไตล์เรียวกังพร้อมกับมีบ่อแช่ออนเซ็น ตัวที่พักตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮิระ ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ซึ่งตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว
ห้องพักที่เราจองมาจะเป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่นปูเสื่อตาตามิ ห้องกว้างขวางมากๆ ค่ะ สามารถนอนได้ประมาณ 5 คน ภายในห้องพักมีทั้งทีวี กาต้มน้ำร้อนพร้อมชาเขียวและขนมให้ด้วย มีตู้เย็น โต๊ะที่นั่ง ในตู้เสื้อผ้าเปิดไปจะเป็นชุดยูกาตะพร้อมเสื้อคลุมและผ้าขนหนูถูกพับเอาไว้ให้เรียบร้อย ในส่วนห้องน้ำเปิดเข้าไปจะเจอห้องแต่งตัวที่แยกห้องอาบน้ำและห้องสุขาออกจากกัน
ซึ่งพอเข้ามาพนักงานก็ปูที่นอนฟุตงให้เราเรียบร้อยแล้วค่ะอยากทิ้งตัวลงนอนทันทีเลย การได้นอนสอดตัวในฟุตงกับผ้านวมอุ่นในวันอากาศหนาวแบบนี้ โอ๊ยยยฟินสุดๆ แต่อ๊ะ เรายังมีมื้ออาหารเย็นรออยู่นะคะ ซึ่งเราจองห้องสำหรับ 1 คนราคาประมาณ 14,300 เยนรวมห้องพัก + อาหาร 2 มื้อคืออาหารเย็นวันที่เข้าพัก และอาหารเช้าวันเช็คเอาท์ให้แล้วด้วยค่ะ ถือว่าราคาดีงามคิดเป็นเงินไทยคนละประมาณ 3500 กว่าบาทเท่านั้น
มาดูอาหารกันค่ะ บอกเลยว่าอร่อยอีกแล้ว ซึ่งเป็นอาหารสไตล์ไคเซกิเป็นจานเล็กตะมุตะมิ เลือกได้ว่าจะให้เขาเสิร์ฟทีเดียวเลยหรือออกมาทีละเซ็ต ในเซ็ตก็จะมีทั้งพวกจานเคียงเล็กๆ ที่เป็นผักดอง สลัด เมนูจานหลักอย่างซาชิมิ ซึ่งความพิเศษคือมีเมนูชิราโกะ (Shirako) หรือถ้าแปลเป็นไทยคือ ท่อเก็บน้ำอสุจิปลา ชื่ออาจจะน่ากลัวแต่มาแล้วต้องลองค่ะ บอกเลยว่ามันโอเคเกินคาด ใครที่ชอบอาหารแนวครีมมี่มันจะมีรสแบบนั้นไม่มีกลิ่นคาวเลยสักนิด โดยส่วนตัวเราถ้าถามว่ากินได้ไหมกินได้ แต่อาจจะไม่ได้ว้าวแบบอยากจะทานอีก อันนี้แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลยค่ะ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ทานอาหารญี่ปุ่นสุดแปลกของเราครั้งแรกเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีเมนูปลาย่าง ข้าวอบที่หอมอร่อยมากๆ และหม้อไฟ เป็นอีกหนึ่งมื้อที่อิ่มอร่อยมากๆ
หลังทานอาหารเสร็จแล้วเราก็พักรอให้ให้อาหารย่อย จากนั้นก็ไปแช่ออนเซ็นกันก่อนนอน โดยออนเซ็นที่นี่เปิดตั้งแต่ ตี 5 ไปจนถึงเที่ยงคืนเลย เป็นออนเซ็นรวมแต่แยกหญิงชายนะคะ ซึ่งความพีคคือก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ถามพนักงานเรียวกังว่าออนเซ็นฝั่งไหนสำหรับผู้หญิง ฝั่งไหนสำหรับผู้ชาย คิดเองเองว่าคงมีภาษาอังกฤษติด แต่พอลงไปเจอแต่ป้ายผ้าสีชมพู และป้ายผ้าสีน้ำเงินภาษาญี่ปุ่น ปรากฏว่าอ่านไม่ออกยืนงงอยู่ในดงออนเซ็นตั้งนาน แถมตอนเราไปดึกแล้วไม่มีใครมาแช่เลยสักคน สุดท้ายใช้การเดาว่าผู้หญิงน่าจะสีชมพูนะ และฝั่งผู้ชายน่าจะสีน้ำเงิน ปรากฏว่าเดาถูกค่ะ 555 ใครที่มาพักเรียวกังก่อนจะใช้ออนเซ็นแนะนำว่าลองถามรายละเอียดต่างๆ กับทางพนักงานให้ชัวร์กันนะคะ
สำหรับห้องออนเซ็นของที่นี่จะมีทั้งโซนอินดอร์และเอาท์ดอร์ตอนเรามาแช่เป็นช่วง 5 ทุ่มเกือบเที่ยงคืน มองไม่เห็นอะไรข้างนอกแล้วและอากาศข้างนอกนั้นก็หนาวมากๆ ด้วย เลยเลือกแช่ด้านใน ซึ่งวิธีการแช่ก็ต้องเริ่มจากถอดเสื้อผ้าออกให้หมด จากนั้นทำความสะอาดร่างกายด้วยการอาบน้ำก่อนโดยเขาจะมีฝักบัวอาบน้ำพร้อมสบู่แชมพูเอาไว้ให้ แล้วก็ลงแช่โดยค่อยๆ หย่อนไปทีละครึ่งตัวก่อนค่ะ เพราะน้ำแร่จะร้อนมากๆ แต่สักพักเมื่อร่างกายค่อยๆ ปรับตัวได้บอกเลยว่าสวรรค์ชัดๆ
สำหรับคนไทยที่ไม่ชินกับการอาบน้ำรวมตอนแรกอาจจะมีเขินๆ แต่ถ้าได้ลองแล้วจะติดใจจนลืมเขินไปเลย เพราะเรารู้สึกเลยว่าเลือดลมไหลเวียนได้ดี รู้สึกผ่อนคลายไปทั่วร่างกาย ขาที่เมื่อยล้าจากการเดินมาทั้งวันก็สบายขึ้น ผิวพรรณนุ่มขึ้นใครมาเที่ยวญี่ปุ่นต้องมาลองแช่กันให้ได้สักครั้งนะคะ
ยามเช้าเราตื่นมาพร้อมกับภาพหิมะที่กำลังโปรยปรายนอกหน้าต่าง แค่นอนมองหน้าต่างห้องที่มีภาพของหิมะสีขาว ที่ปกคลุมขุนเขาและแม่น้ำ เหมือนกำลังนั่งมองจิตรกรที่กำลังแต่งแต้มภาพวาดเบื้องหน้าเลยค่ะ เป็นความสวยงามที่เราอยากให้คุณลองมาเห็นด้วยตัวเองสักครั้ง จากนั้นก็ตื่นมาทานอาหารเช้าซึ่งเขาจะจัดเป็นเซ็ตอาหารเช้าไว้ให้ มีปลาย่าง สลัด ไข่หวาน ผักดอง นัตโตไข่ออนเซ็นซึ่งอยากบอกว่าไข่ออนเซ็นที่นี่อร่อยมาก ก.ไก่ล้านตัว มันหนุบ มันหนึบฟินมากๆ ข้าวของเขาก็นุ่มอร่อยสุดๆ แล้วก็มีโยเกิร์ต พร้อมน้ำแอปเปิ้ลที่อร่อยเช่นเคย
Owani Onsen Fujiya Hotel
ราคาที่พัก + อาหาร 2 มื้อคนละประมาณ 14,300 เยน
การเดินทาง : นั่งรถไฟ
Ltd. Exp. Tsugaru จากสถานี Aomori มาลงสถานี OWANIONSEN ได้เลยใช้เวลาประมาณ 50นาทีค่ารถประมาณ 1,710 เยน จากนั้นเรียกแท็กซี่จากสถานีนั่งมาประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้น
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/sY4JT8M4eFhqU2j56
ชมความอลังการของเสาโทริสีแดงที่เรียงรายไปบนภูเขา
หลังจากเช็คเอาท์ออกจากที่พักแล้วเราก็เดินทางต่อมายัง Takayama Inari Shrine เพื่อมาชมความอลังการของเสาโทริสีแดงนับพันต้นที่เรียงรายไปบนเนินเขา ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่ในเมือง Tsugaru อยู่ทางตอนเหนือของอาโอโมริ ซึ่งพอมาถึงภาพของเสาโทริสีแดงที่ตัดกับหิมะสีขาวเป็นภาพที่ตรึงตราตรึงใจให้เรายกกล้องมาลั่นชัตเตอร์กันรัวๆ เมื่อถึงเราจะต้องผ่านเสาโทริสีแดงขนาดใหญ่แล้วเดินขึ้นเขาไปด้านบนเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันก่อน
จากนั้นจะมีทางลงเขาไปยังเสาโทริที่เรียงรายนับพันบนเนินเขา ซึ่งเสาโทริเหล่านี้เกิดจากการบริจาคของผู้ที่มีจิตศรัทธา ราคาเสาโทริต้นละ 150,000 เยนค่ะ ซึ่งถ้าเราบริจาคก็จะมีชื่อของเราพร้อมกับปีที่บริจาคติดอยู่บนเสาโทริ อารมณ์เหมือนการบริจาคสร้างศาลาวัดที่บ้านเราแล้วจะมีชื่อสลักอยู่บนศาลาเลยค่ะ
ทางเดินขึ้นไปยังด้านบนเดินไม่ยากค่ะ เป็นเนินเตี้ยๆ แต่พอเดินไปถึงด้านบนแล้วมองลงมา ภาพเบื้องหน้านั้นงดงามอลังการมากๆ แถวของเสาโทริสีแดงที่เรียงกันมาตามแนวเขา ขดไปมาราวกับมังกรสีแดงที่กำลังเลื้อยอยู่บนพื้นหิมะสีขาวเลยค่ะ บอกเลยว่าถ้าอยากได้ภาพแบบนี้ต้องมาที่นี่ในช่วงหน้าหนาวเท่านั้น ส่วนถ้าใครมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะได้ชมดอกซากุระสีชมพูตัดกับเสาโทริสีแดงก็เป็นภาพที่สวยงามไปกันคนละแบบ
Takayama Inari Shrine
เปิด : ทุกวัน
เข้าชมฟรี
การเดินทาง : จากสถานี Goshogawara นั่งรถ Konan bus Kodomari Line ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ลงที่ป้ายหน้าทางเข้าศาลเจ้า Takayama Shrine Entrance แล้วต่อแท็กซี่อีก 5 นาที
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/ronqYSUoUry9RcUu6
อร่อยเหมือนมีคุณแม่มาทำให้
มาเที่ยวเมือง Tsugaru อยากหาร้านอร่อยทานแนะนำร้านนี้เลยค่ะ Maruyo Takahashi Shokudo Seiniku (まる洋高橋食堂精肉店) เป็นอาหารสไตล์โลคัลที่บรรยากาศโฮมมี่และอร่อยมากๆ แม้คุณป้ากับคุณลุงเจ้าของร้านจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และไม่มีเมนูภาษาอังกฤษแต่คุณป้าก็น่ารักมากๆ ค่ะ ซึ่งร้านนี้คนญี่ปุ่นพามาทาน มีเมนูทั้งราเมน ข้าวผัดหรือชาฮั่งโดยเฉพาะชาฮั่งของเขาคือดีงามมากๆ คนผัดจะเป็นคุณลุงที่ผัดให้ชมด้านในร้านเลย ลุงผัดมาแบบเมล็ดข้าวแห้งร่วนกำลังดี ปรุงรสมาแบบอร่อยมากทานกับน้ำซุปร้อนๆ จนต้องพูดโออิชี่ตลอดเวลา ได้อารมณ์เหมือนกำลังอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นที่กินอาหารอร่อยจนแสงพุ่งออกปากกันเลยค่ะ ใครที่กลัวว่าจะสื่อสารไม่เป็นก็เซฟเมนูนี้ไว้แล้วโชว์ให้คุณป้าดูเลยค่ะ
ร้าน Maruyo Takahashi Shokudo Seiniku
เปิด : 10.00 - 18.00 น. วันเสาร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เปิด 10.00-15.00. น.
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/WHWy56Y3oFtv3iR6A
รถไฟเตาถ่านบรรยากาศสุดอบอุ่น
อีกหนึ่งกิจกรรมห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวจังหวัดอาโอโมริในหน้าหนาวคือการสัมผัสประสบการณ์การนั่งรถไฟเตาถ่านสุดคลาสสิคที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 1930 ที่จะวิ่งไปบนทุ่งหิมะสีขาว บนรถไฟจะมีเตาถ่านที่คอยให้ความอบอุ่นแทนฮีตเตอร์ ซึ่งผู้โดยสารสามารถสั่งปลาหมึกมาปิ้งกินได้ รถไฟสายนี้มีเพียงที่อาโอโมริเท่านั้นกับรถไฟ Tsugaru railway เปิดให้เริ่มนั่งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี และจะให้บริการไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม
โดยรถไฟสุดน่ารัก Tsugaru railway นั้นวิ่งระหว่างสถานี Tsugaru Goshogawara ถึง สถานี Tsugaru Nakazato ค่าโดยสารเพียง 1,370 เยน (ค่ารถไฟ 870 เยน และค่ารถไฟเตาถ่าน 500 เยน)ใช้ระยะเวลาวิ่งตลอดสายประมาณ 45 นาทีให้บริการเพียง 3 รอบ/วัน สำหรับทริปนี้เราขึ้นที่สถานี Tsugaru Nakazato เพื่อไปยังสถานี Tsugaru Goshogawara
ภายในโบกี้บรรยากาศเรโทรสุดๆ เลยค่ะ เหมือนกำลังอยู่ในหนังญี่ปุ่นย้อนยุคหรือในอนิเมะญี่ปุ่น ตัวโบกี้ตกแต่งด้วยไม้ ตัวที่นั่งเป็นไม้บุด้วยนวมนั่งสบาย มีเตาถ่านอยู่ด้านหน้าที่จะมีพนักงานรถไฟคอยเดินมาเติมถ่านอยู่ตลอดเวลาค่ะ ซึ่งถ่านเหล่านี้จะให้ความอบอุ่นกับเราแทนฮีตเตอร์
นั่งไปสักพักก็จะมีพนักงานเข็นของมาขายที่มีทั้งสาเก ปลาหมึก คุกกี้ถ่านที่หน้าตาเหมือนถ่านมากๆ แต่อร่อยโฮก แถมยังมีบริการปิ้งปลาหมึกให้เราด้วยน่ารักมากๆ ค่ะ ระหว่างที่ปิ้งทั้งรถไฟก็หอมคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นปลาหมึกย่าง แกล้มด้วยสาเกตรงหน้า พร้อมกับชมวิวทุ่งหิมะสีขาวที่เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ระหว่างนั้นพนักงานก็จะเล่าเรื่องราวที่เราฟังไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไรแต่ได้ยินคนญี่ปุ่นหัวเราะกันใหญ่ ก็รู้เลยว่าเป็นเรื่องราวที่สนุกแน่นอน ปิดท้ายด้วยเสียงเพลงเพราะๆ จากพนักงานรถไฟ เป็นช่วงเวลา 45 นาทีที่แม้จะสั้นๆ แต่อัดแน่นไปด้วยความสุขกับเพื่อนร่วมทางบนรถไฟสายความสุขขบวนนี้
รถไฟ Tsugaru railway
เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ไปจนถึง 31 มีนาคมของทุกปี วันละ 3 รอบ
ค่ารถไฟเตาผิง 500 เยน (และยังต้องจ่ายค่าโดยสารรถไฟคิดตามระยะที่ใช้บริการ)
ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>https://www.jnto.or.th/winter2019/railway/
หลังจากลงจากรถไฟที่สถานี Tsugaru Goshogawara ก็ทราบมาว่าเมืองนี้มีร้านขนมไทยากิชื่อดัง คือร้าน Miwaya เป็นร้านเล็กๆ ที่มีคุณลุงเจ้าของร้านทำเอง โดยจุดเด่นของไทยากิร้านนี้คือเขาจะอบก่อนแล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อนๆ โรยด้วยน้ำตาล ทำให้แป้งด้านนอกกรอบ ด้านในนุ่มฟู มีไส้ถั่วแดงที่อัดแน่นเต็มตัวปลาทานช่วงหน้าหนาวแบบนี้ฟินสุดๆ
ร้าน Miwaya
เปิด : 9.00 - 17.00 น. (ปิดวันอาทิตย์)
การเดินทาง : ตัวร้านตั้งอยู่ห่างจากสถานี Tsugaru Goshogawara ประมาณ 600 เมตร สามารถเดินได้ใช้เวลาประมาณ 7 นาที
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/4UoZrfNSieSLXb7A8
ชมเนปุตะยักษ์หนัก 19 ตัน
ก่อนจะขึ้นเครื่องกลับโตเกียวเราแวะไปชมเนปุตะยักษ์ที่ พิพิธภัณฑ์ทาชิเนปุตะ (Tachineputa no Yakata) ที่ตั้งอยู่ในเมือง Goshogawara บอกเลยว่าพอเข้ามาถึงกับร้องสุโค่ยดังมากกับภาพเนปุตะยักษ์ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าหนัก 19 ตัน สูง 4 ชั้น ใช้แรงงานคนทำกว่า 60 คนในระยะเวลา 1 เดือน มูลค่า 15 ล้านเยน ที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในฮอลล์ของ พิพิธภัณฑ์ทาชิเนปุตะ เห็นแล้วก็อยากมาดูวันที่เขาแห่ว่ามันจะอลังการงานสร้างขนาดไหน ใครอยากมาชมความยิ่งใหญ่ของเนปุตะมาชมได้เลยที่ พิพิธภัณฑ์ทาชิเนปุตะ หรือถ้าอยากมาชมงานเทศกาล Goshogawara Tachineputa เทศกาลแห่สุดยิ่งใหญ่มาได้ในวันที่ 4-8 สิงหาคมของทุกปี
พิพิธภัณฑ์ทาชิเนปุตะ (Tachineputa no Yakata)
ค่าเข้าชม : ราคา 650 เยน (ชมเฉพาะ Tachineputa Exhibition Hall ),ราคา 300 เยน (ชมเฉพาะ Art Gallery)และ 850 เยน เข้าชมได้ทั้งหมด
เปิด : 9.00-17.00 น.
การเดินทาง : เดิน 5 นาทีจากสถานี Tsugaru-Goshogawara
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/WqKYQo9jQ1JN38rj7
โรงแรมสุดสะดวกสบายในสนามบินฮาเนดะ
โบกมือลาเมืองอาโอโมริแล้วเดินทางมายังสนามบินฮาเนดะในกรุงโตเกียวค่ะ คืนนี้เราพักที่พักในสนามบินฮาเนะดะเลย เพราะพรุ่งนี้เราต้องนั่งเครื่องบินไฟลท์เช้ากลับเมืองไทย เราเลยเลือกพักที่ Royal Park Hotel Tokyo Haneda เป็นที่พักที่ทำเลดีงามสุดๆ เพราะอยู่ในสนามบิน ไม่ต้องรีบตื่นเช้า มีเวลาทานอาหารเช้าได้อีกด้วย ส่วนร้านอาหารสามารถหาทานได้ในสนามบินเลยค่ะ พร้อมกันนั้นยังมีร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดเวลา หรือใครอยากนั่งรถไฟเข้าไปเที่ยวต่อในโตเกียวก็ได้ค่ะ เพราะจากสนามบินฮาเนดะเข้าโตเกียวใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น
สำหรับห้องพักของเราห้องกว้างขวางกำลังพอดี สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีไวไฟ ทีวี กาต้มน้ำร้อน ตู้เย็น ส่วนห้องน้ำแบ่งโซนสุขาและโซนห้องอาบน้ำที่มาพร้อมอ่างอาบน้ำ ในห้องน้ำมีสบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผมครบเลยค่ะ
じゃ、またね
เตรียมโบกมือลาญี่ปุ่นแล้วพบกันใหม่แน่นอน
ตอนเช้าเราตื่นมาทานอาหารเช้าซึ่งเป็นแบบบุฟเฟ่ต์มีอาหารให้เลือกเยอะทั้งแบบอาหารญี่ปุ่นและอาหารตะวันตก อิ่มแล้วก็เช็คเอาท์ และเตรียมบอกลาญี่ปุ่นกันแล้ว ทริปนี้ก็ขอขอบคุณทาง องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ที่มาเปิดประสบการณ์เที่ยวญี่ปุ่นให้กับเรา พาเราไปสัมผัสสถานที่สวยงามและความประทับใจตลอด 4 วัน ใครที่อยากลองนำทริปนี้ไปใช้ก็ได้เลยค่ะ เราว่าเป็นทริปที่เที่ยวไม่ยาก เหมาะกับทั้งคนนั่งรถสาธารณะเที่ยว คนขับรถเที่ยว หรือจะมาเที่ยวคนเดียวก็เที่ยวได้ ญี่ปุ่นสำหรับเราไม่ได้มีครั้งเดียวในชีวิต เพราะถ้าได้ลองมาแล้วครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 จะตามมาแน่นอนค่ะ สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่น ปีนี้เป็นปีที่ดีที่จะได้ลองเดินทางมาสัมผัสความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นที่รอต้อนรับคุณอยู่ รออะไรล่ะเก็บกระเป๋าแล้วหาตั๋วมากันเลย!
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.jnto.or.th/readysetgojapan/
Tags: ญี่ปุ่น เที่ยวต่างแดน japan JNTO Thailand ReadySetGoJapan ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน การท่่องเที่ยว การท่องเที่ยวองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว ที่เที่ยวโตเกียว เที่ยวญี่ปุ่น2023 เที่ยวญี่ปุ่น2566 โรงแรมโตเกียว ที่พักโตเกียว tokyo aomori อาโอโมริ เที่ยวอาโอโมริ ที่กินอาโอโมริ ที่เที่ยวอาโอโมริ ที่พักอาโอโมริ เรียวกัง ออนเซ็น มาตรการเข้าญี่ปุ่น2023 มาตรการเข้าญี่ปุ่น2566 Shibamata Shibuya Sky Yakata-bune OURS INN HANKYU Furukawa Fish Market Nishimura Aomori Prefecture Tourism Information Center ASPAM Roadside Station Namioka Apple Hill พิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน สึกะรุฮัง-เนปุตะ Hirosaki Museum Of Contemporary Art ฮิโรซากิ Owani Onsen Fujiya Hotel Takayama Inari Shrine Maruyo Takahashi Shokudo Seiniku Tsugaru railway รถไฟเตาถ่าน Miwaya พิพิธภัณฑ์ทาชิเนปุตะ Royal Park Hotel Tokyo Haneda
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 577 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 822 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 24 ก.ย. 2024 | 689 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ย. 2024 | 1,280 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 30 ก.ค. 2024 | 2,127 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 19 ก.ค. 2024 | 4,367 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 2,115 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 18 เม.ย. 2024 | 3,553 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 21 ก.พ. 2024 | 5,472 อ่าน