calendar_month 25 ต.ค. 2022 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 70,955 / เที่ยวต่างประเทศ
พอรู้ว่าญี่ปุ่นเปิดฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวได้อย่างอิสระเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 65 ฮานะก็ไม่รอช้ารีบหาตั๋วเครื่องบิน (ที่ต่างขยับขึ้นกันเป็นขั้นบันได) เพื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นประเทศที่สุดในใจแจ้ล่ะ ซึ่งหลังจากโควิดเราไม่ได้ไปญี่ปุ่นมาเกือบ 3 ปี ใครอยากรู้ว่าญี่ปุ่นตอนนี้เป็นอย่างไร บ้านเมืองเขาไปถึงไหน การท่องเที่ยวญี่ปุ่นเปลี่ยนไปอย่างไร เราจะไปอัปเดตให้ชมกัน รวมถึงมาตรการเข้าประเทศญี่ปุ่นล่าสุด และเป็นการเดินทางต่างประเทศคนเดียวอีกครั้งในรอบ 3 ปี ถ้าพร้อมแล้วมาเตรียมตัวไปพบกับญี่ปุ่นหลังโควิดกันได้เลย
1.จองตั๋วเครื่องบิน
เราหาตั๋วเครื่องบินไปโตเกียวจาก SkyScanner ค่ะ ซึ่งพอประกาศฟรีวีซ่าปุ๊บ ตั๋วก็ขึ้นปั๊บสุดท้ายได้ตั๋วของฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ไป-กลับกรุงเทพฯ - ฮาเนดะในราคา 14,850 บาท ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่มะนิลา แม้จะเป็นไฟลท์แบบเปลี่ยนเครื่องแต่ข้อดีคือเป็นบริการแบบ Full Service มีบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องทั้ง 4 ไฟลท์ไป-กลับ พร้อมกับน้ำหนักกระเป๋า 30 กิโลกรัม จัดเต็มกันไปเลยวิ แม้จะต้องแลกกับการเปลี่ยนเครื่องแต่ด้วยราคาและความคุ้มค่าที่มากมาย เราเลยกดจองโล้ด ทางไปจองที่นี่เลย>>https://chill.travel/3U1n1SJ
2.จองที่พัก
ทริปนี้จองที่พักผ่านทาง Booking.com ค่ะ ซึ่งทริปนี้เราไปคนเดียวเลยหาที่พักที่ใกล้สถานี เป็นห้องเดี่ยว และมีห้องน้ำในตัว เลยได้ที่ Artsy Inn ค่าที่พัก 5 คืน ประมาณ 5300 บาท ตกคืนละ 1,060 บาทเท่านั้นไม่มีอาหารเช้า
ใครอยากหาที่พักในโตเกียวคลิกที่นี่เลย>>10 ที่พักโตเกียวใกล้รถไฟใต้ดิน Tokyo Metro ปี 2565 มีห้องน้ำในตัวเริ่มต้น 826 บาท/คน
3.ซื้อประกันการเดินทาง
สิ่งสำคัญในการเดินทางทุกครั้งคือประกันการเดินทางค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าจะไปเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อุบัติเหตุ มะนาวต่างดุ๊ด หรือไปติดโควิดระหว่างเดินทาง ก็ควรทำไปกันนะคะ เราทำประกันการเดินทางของ MSIG ค่ะ เบี้ยเริ่มต้นหลักร้อยเท่านั้น
4.ลงทะเบียน MySOS
เมื่อได้ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และประกันการเดินทางเรียบร้อยแล้วก็ไปลงทะเบียนเข้าประเทศญี่ปุ่นผ่านแอปพลิเคชั่น MySOS ค่ะ ดูวิธีการลงทะเบียนที่นี่(สอนแบบเข้าใจง่ายม้ากกกแม่)>>วิธีการลงทะเบียน MySOS ที่ต้องทำก่อนเดินทางเข้าไปเที่ยวญี่ปุ่น
ซึ่งข้อกำหนดการเข้าญี่ปุ่นคือต้องฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มจะเป็นยี่ห้อไหนก็ได้ ใครที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนก็สามารถนำผลตรวจ RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมง(เวอร์ชั่นญี่ปุ่น) มาใช้ในการเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้ค่ะ
อัปเดตล่าสุดวันที่ 1 พ.ย. มีการเปลี่ยนยกเลิกการกรอกกับแอป MY SOS ใครที่กรอกเอาไว้แล้วและเดินทางภายในวันที่ 13 พ.ย.สามารถใช้ในแอปได้เลยค่ะ ใครที่ยังไม่ได้ลงให้ไปกรอก ที่ https://vjw-lp.digital.go.jp/en/ ซึ่งเป็นอันเดียวที่กรอกใบตม.และใบศุลกากรค่ะ ดูวิธีการสมัครและการใช้งานที่นี่>>https://www.chillpainai.com/scoop/14780/
5.ลงทะเบียน ตม.ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Visit Japan
เป็นการกรอกใบเข้าเมือง (Immigration Form) และ ใบศุลกากร (Customs Declaration Form)อันนี้จะลงหรือไม่ลงก็ได้ค่ะ เพราะสามารถไปสะกิดพี่แอร์ขอฟอร์มกรอกบนเครื่องได้ แต่ถ้าทำเอาไว้ก็สะดวกสบายค่ะไปถึงก็แค่ยื่นคิวอาร์โค้ดอย่างเดียว
ดูวิธีการกรอกที่นี่>>วิธีกรอกใบตม.ญี่ปุ่นออนไลน์ อย่างละเอียดทุกขั้นตอน
6.ซิมการ์ด
ปัจจุบันการใช้อินเตอร์เน็ตในต่างประเทศสะดวกสบายค่ะ ในไทยก็มีค่ายมือถือมากมายที่ให้บริการอินเตอร์เน็ตในต่างประเทศ ซึ่งครั้งนี้เราเลือก AIS Sim2Fly 399 บาทสามารถใช้เน็ตได้ 6 GB ภายในระยะเวลา 10 วัน และยังสามารถใช้เน็ตในประเทศโซนเอเชียและออสเตรเลียได้อีกด้วย ซื้อได้ที่สนามบินเคาน์เตอร์ AIS ของสนามบินสุวรรณภูมิจะอยู่บริเวณชั้น 2 ระหว่างประตูทางออกที่ 6 กับ 7
7. แอปฯ ที่ต้องโหลดติดเครื่อง
แอปฯ ตารางรถไฟ
ก่อนโควิดเราเคยใช้เว็บไซต์ hyperdia ในการเช็คตารางรถไฟแต่ปัจจุบันทาง hyperdia ไม่มีแล้ว ร้องวี้ดหนักมากแล้วฉันจะเดินทางอย่างไร ตั้งสตินะวิเพราะตอนนี้เขามีแอปพลิเคลชั่นของ Japan Travel ค่ะที่สามารถเช็คตารางรถไฟได้เหมือนกัน อ้าวไปโหลดกันโล้ด
เว็บไซต์ Tokyo Metro
อีกวิธีในการเช็คตารางรถไฟเฉพาะในเขตโตเกียว ไม่ได้เป็นแอปค่ะ แต่เป็นเว็บไซต์ของ Tokyo Metro>>https://transfer.tokyometro.jp/?lang=th อันนี้จะบอกละเอียดเลยว่ารถของเรามาชานชาลาที่เท่าไร แถมมีภาษาไทยด้วย
แอปฯ เตือนแผ่นดินไหว
ส่วนอีกแอปที่อยากให้โหลดติดเครื่องไว้ก็คือ Yurekuru หรือแอปน้อนปลาดุก ซึ่งเป็นแอปฯ เตือนแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น รู้กันอยู่ว่าญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศเกาะตั้งอยู่แนววงแหวนแห่งไฟ แผ่นดินไหวของเขามักจะเกิดเป็นเรื่องปกติค่ะ แต่เราสามารถเช็คได้ว่าอ้อที่เราเจอมันขนาดความแรงเท่าไร รุนแรงแค่ไหน จะได้เตรียมตัวหาทางหนีทีไล่ถูก เราเคยเจอครั้งนึงที่โตเกียวตอนนั้นแผ่นดินไหวน่าจะระดับ 5 มั้งเตียงสั่นไปหมด ตอนแรกก็นึกว่าฝัน แต่น้องปลาดุกนี่สิเตือนเสียงดังมากๆ แบบว่าไม่รู้จะตกใจจากแผ่นดินไหวหรือน้องปลาดุกกันดี
8. เช็คสภาพอากาศ
อยู่ญี่ปุ่นต้องคอยเช็คสภาพอากาศว่าวันนี้อากาศเท่าไร ฝนตกไหม เพราะเราเคยเจอบางวันอากาศแปรปรวนมากๆ อย่างทริปนี้เจอทั้งฝน เจอทั้งร้อนแบบอุณหภูมิเท่าๆ ไทย แต่พออีกหวันก็หนาวเกือบเลขตัวเดียวก็มี โดยสามารถเช็คผ่านแอปของไอโฟนหรือแอนดรอยด์ได้ค่ะ หรือถ้าจะให้แบบแม่นยำสุดๆ แนะนำเว็บไซต์ของ JMA ค่ะสามารถระบุไปถึงเขตที่อยู่ว่าจะมีฝนหรืออากาศเท่าไรในแต่ละวัน
9.แลกเงิน
ช่วงนี้ค่าเงินญี่ปุ่นถูกมากๆ ตอนที่เราไปประมาณ 25.60 บาท/100 เยนค่ะ โดยสามารถแลกได้ตามร้านแลกเงินทั่วไปและในสนามบิน หรือแนะนำอีกวิธีคือสมัครบัตรพวก Travel Card ค่ะที่สามารถแลกเงินเก็บเอาไว้ในบัตร และนำบัตรซึ่งเป็นบัตรเดบิตไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มได้เลยสะดวกมากๆ (ไม่แนะนำนะไปหาเอาเอง)
วันแรกไฟลท์เราออกจากกรุงเทพ 22.55 น.ค่ะ วันที่เราไปเป็นคืนวันที่ 13 ตุลาคม เป็น 2 วันหลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดฟรีวีซ่า เลยทำให้มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปญี่ปุ่นค่อนข้างคับคั่ง แนะนำให้เผื่อเวลาไปถึงสนามบินสักประมาณ 3-4 ชั่วโมงนะคะ
22.55 น.ออกเดินทางจากสนามบินสุวรณภูมิสู่สนามบิน NINOY AQUINO INTERNATIONAL AIRPORT มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ค่ะ เครื่องบินเป็นแบบ Air Bus ที่นั่งแบบ 3-3 ที่นั่งไม่แคบมากค่ะ มีทีวี มีหนังให้ดูไม่เหงาเลย(แต่เป็นซับ Eng T_T) ส่วนอาหารเสิร์ฟอาหารร้อนวันที่เราไปเป็นแกงเนื้อรสชาติดีเลยค่ะ อร่อยเลยอ่ะ มีขนมปัง เนย ถั่ว และช็อคโกแลตรสไวน์(อร่อยแบบคาดไม่ถึง) ที่สำคัญมีเครื่องดื่มทั้งน้ำผลไม้ น้ำอัดลม และที่อเมซซิ่งคือมีบริการเบียร์ ไวน์บนเครื่องด้วยแกร อยากได้แบบไหนบอกคุณพี่แอร์ได้เลย แอร์ฟิลิปปินส์น่ารัก บริการเต็มที่
เราถึงสนามบิน NINOY ประมาณตีสามครึ่งค่ะ ซึ่งฟิลิปปินส์นั้นเวลาเร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมง ใช้เวลาบินรวมประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งการต่อเครื่องที่สนามบิน NINOY ก็ไม่ยาก ออกจากเครื่องมาก็เดินตามป้าย Connecting Flight หรือ Transfer โดยมีเจ้าหน้าที่คอยบอกตลอดว่าเดินไปตรงไหน เดินไปไม่ไกลมีการตรวจตั๋วและตรวจกระเป๋า เช็ควัคซีนเรา(อย่าลืมนำวัคซีนพาสปอรืตหรือแคปหน้าจอในหมอพร้อมติดเครื่องไว้ล่ะ) จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์มาก็ถึงเกตเราได้เลย ในเกตมีร้านคาเฟ่ ห้องน้ำสะอาด มีปลั๊กชาร์จไฟ(จุดเดียว) มีตู้กดน้ำเย็น น้ำร้อนให้ ใครที่ไม่อยากเสียเงินค่าน้ำก็สามารถนำขวดเปล่ามาเติมน้ำได้ สำหรับในสนามบินรับเป็นเงินดอลล่าและเงินเปโซฟิลิปปินส์ หรือจะใช้บัตรเครดิตรูดก็ได้
แต่สิ่งที่ระวังคือหมั่นคอยดูหน้าจอเกตของเราค่ะ เพราะตอนที่เราไปมีการเปลี่ยนเกต แต่ดีที่เทอร์มินอลของเราไม่ได้ใหญ่มากเลยเดินหาได้ง่าย (เคยไปเจอสนามบินฟินแอร์วิ่งเปลี่ยนเกตกันตาเหลือก)
8.25 น. ก็ถึงเวลาเดินทางจากมะนิลาไปยังสนามบินฮาเนดะ กรุงโตเกียวกันแล้วค่ะ เครื่องบินเป็นแบบ Air Bus เหมือนเดิม ส่วนอาหารมีให้เลือกเป็นเจแปนเซ็ตด้วย แถมมผลไม้มีขนม รสชาติดีเลยทีเดียวค่ะ และที่สำคัญไฟลท์นี้คุณแอร์ยังคงเดินหน้าเสิร์ฟเครื่องดื่มแบบจัดเต็มเหมือนเคย คุ้มค่าตั๋วล่ะ 555
ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ เราก็ถึงสนามบินฮาเนดะแล้วค่า โดยมาถึงสนามบินเวลาประมาณ 13.40 น. บอกเลยว่าจังหวะที่ เครื่องบินแหวกเมฆลงมา เผยภาพพื้นดินญี่ปุ่นให้เราเห้น น้ำตาแตกกันเลยทีเดียว บอกกับตัวเองว่าทริปนี้จะตั้งใจเที่ยว และจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด
พอเครื่องแตะรันเวย์ปุ๊บ เราก็เตรียวเดินออกจากเครื่องพร้อมกับเปิดแอปพลิเคชั่น MySOS เอาไว้ ใครที่ไม่มีเน็ตก็แคปหน้าจอและคิวอาร์โค้ดเตรียมไว้นะ หรือถ้ากลัวหายจัดก็ปริ๊นท์เป็นเปเปอร์เอาติดใส่กระเป๋าไปเลย ซึ่งหน้าจอใน MySOS จะมีทั้งสีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน เจ้าหน้าที่สนามบินจะแยกผู้โดยสารเป็นสีหน้าจอ ของเราเป็นสีน้ำเงินพอมาถึงทางเจ้าหน้าที่ก็ให้แผ่นป้ายสีน้ำเงินและแยกเราเดินไปยังจุดคัดกรองก่อนจะเข้าตม.ค่ะ บริเวณจุดคัดกรองก็จะให้เราเปิดคิวอาร์โค้ดและทำการสแกน จากนั้นก็ให้เราไปยังจุดตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเราก็แค่โชว์คิวอาร์โค้ดที่ได้กรอกในเว็บของ Visit Japan เจ้าหน้าที่ตม.ก็ทำการสแกนคิวอาร์โค้ดและประทับตราเข้าเมืองให้รวดเร็วมากๆ จากนั้นก็ไปรับกระเป๋าที่สายพาน และไปจุดสุดท้ายคือด่านศุลกากรซึ่งเราก็เพียงนำคิวอาร์โค้ดที่กรอกจาก Visit Japan ก็สามารถผ่านได้เลย ใช้เวลาไม่รวมรอกระเป๋าไม่ถึงครึ่งชั่วโมงค่ะ โดยเจ้าหน้าที่แทบจะไม่ถามคำถามอะไรเราเลย
ขั้นตอนต่อไปคือการกดเงินจากตู้เอทีเอ็มค่ะ เพราะทริปนี้แลกเงินเยนติดตัวมาน้อยมาก กะว่าจำนำบัตร Travel Card มาลองกดที่นี่แล่ะ โดยมองหาตู้เอทีเอ็มที่มีสัญลักษณ์ VISA (ซึ่งก็มีแทบทุกตู้นะวิ) ก็กดได้เลยมีภาษาไทยให้ด้วยง่ายดายมากๆ โดยจะกดได้ครั้งละ 50,000 เยน และมีค่ากด 220 เยนเท่านั้น
จากนั้นก็ไปซื้อตั๋ว JR TOKYO Wide Pass ซึ่งเป็นพาสรถไฟของบริษัทเจอาร์ที่ใช้เที่ยวในโตเกียวและเมืองรอบๆ โตเกียวภายในเวลา 3 วันติดต่อกัน ราคา 10,180 เยน โดยสามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ของเจอาร์ภายในสนามบิน และสามารถบุ้คที่นั่งได้ 1 ทริปไป-กลับ เราเลยให้เจ้าหน้าที่สำรองที่นั่งรถไฟที่จะนั่งไปที่คาวากูจิโกะให้เลย
พื้นที่ที่สามารถใช้ JR TOKYO Wide Pass ได้
ภาพจาก : www.jreast.co.jp
หรือสามารถซื้อได้ที่เครื่อง JR East Reserved Seat Ticket Vending Machine ซึ่งเป็นเครื่องสำรองที่นั่งอัตโนมัติโดยจะมีอยู่ภายในสถานีรถไฟเจอาร์ และยังสามารถสำรองที่นั่งผ่านเจ้าตู้นี้ได้ค่ะ แต่ใครไม่ถนัดทำกับเครื่องก็สามารถไปให้เจ้าหน้าที่ช่วยสำรองให้ได้
สำหรับการเข้าเมืองโตเกียวจากสนามบินฮาเนดะ ถ้าเป็นรถไฟจะมีให้เลือก 2 เจ้าค่ะ คือ โตเกียวโมโนเรล ที่ใครมีเจอาร์พาสสามารถนั่งได้ฟรี และอีกเจ้าคือ Keikyu Line โดยเราเลือกรถไฟของ Keikyu Line เพราะเป็นสายที่เชื่อมต่อกับรถไฟใต้ดินได้ ซึ่งที่พักที่เราจองไว้ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน Inaricho ค่ะเลยเลือกเดินทางด้วยวิธีนี้จะสะดวกกว่า
โดยสามารถซื้อตั๋วได้ที่ตู้หรือสามารถใช้บัตร IC-Card แตะเข้าไปได้ค่ะ แต่เรายังไม่ได้ซื้อตัวบัตร IC-Card เลยซื้อเป็นตั๋วรายเที่ยวราคา 430 เยนไปลงที่สถานี Shimbashi แล้วเปลี่ยนรถไฟเป็นรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สายกินซ่าไปยังที่พัก ใครซื้อไม่เป็นจะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือเป็นภาษาอังกฤษให้ค่ะ
รถไฟจะเป็นรถไฟแบบนี้ค่ะ เหมือนกับรถไฟทั่วไปใครมีกระเป๋าใหญ่อาจจะลำบากหน่อยนะคะ เรานี่ต้องคอยนั่งหนีบกระเป๋ากลัวไหลไปโดนคนอื่นเขา แต่ข้อดีคือค่ารถไฟถูกมากและใกล้กว่าสนามบินนาริตะ เพราะสนามบินนาริตะอยู่ในจังหวัดชิบะค่ะ อารมณ์ กรุงเทพ ปทุมธานี แต่ฮาเนดะนั้นอยู่ในโตเกียวเลย
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็ถึงสถานีชิมบาชิซึ่งจากสถานีนี้เราจะต้องเปลี่ยนเป็นรถไฟใต้ดินแทน พอถึงสถานีชิมบาชิเราเลือกซื้อตั๋วแบบ Tokyo Subway Ticket 72 Hour ราคา 1500 เยนใช้แบบติดต่อกัน 72 ชั่วโมงหรือ 3 วัน โดยเขาจะนับตามชั่วโมงเช่นซื้อวันนี้ตอนเวลา 4 โมงเย็น ก็จะไปครบ 1 วันตอนเวลา 4 โมงเย็นของพรุ่งนี้ค่ะ เป็นตั๋วที่แนะนำให้ซื้อเลยสำหรับคนที่จะเที่ยวในโตเกียว ซึ่งการเดินทางหลักๆ สามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟใต้ดินโดยจะใชได้ทั้งของบริษัท Tokyo Metro และ Toei ทุกสาย มีให้เลือกทั้งแบบ 24,48 และ 72 ค่ะ ราคาตามนี้
Tokyo Subway 24-hour Ticket – ผู้ใหญ่: 800 เยน เด็ก: 400 เยน
Tokyo Subway 48-hour Ticket – ผู้ใหญ่: 1,200 เยน เด็ก: 600 เยน
Tokyo Subway 72-hour Ticket – ผู้ใหญ่: 1,500 เยน เด็ก: 750 เยน
เราว่าสะดวกมากๆ เพราะถ้านั่งรถไฟใต้ดิน/เที่ยวก็ประมาณ 160 เยนไปกลับก็ 300 เยนแล้ว แต่ถ้าเราเที่ยววันนึงหลายๆ ที่เช่นไปชิบุย่า ไปชินจูกุ ไปอูเอโนะ ไปกลับก็เกือบ 1000 เยนแล้วค่ะ ดังนั้น ซื้อแบบนี้คุ้มมากๆ เพราะตั๋วแบบ 72 ชั่วโมงหารแล้วตกวันละ 500 เยนเท่านั้น แต่สำคัญคือต้องวางแพลนดีๆนะคะ ถ้าวันนั้นไม่ได้เน้นเที่ยวในโตเกียว แต่ออกไปเที่ยวข้างนอก ตั๋วนี้ก็อาจจะไม่คุ้มค่ะ
วิธีการซื้อสามารถซื้อได้ภายใน Travel Information ในสถานีค่ะ และต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อ จริงๆ ก่อนโควิดเหมือนจะกดซื้อจากตู้ด้านนอกได้เลยนะ แต่ครั้งนี้เราต้องไปซื้อภายใน Travel Information ซึ่งภายในก็จะมีตู้นี้ตั้งอีกที แต่ไม่ต้องกลัวงงเจ้าหน้าที่ที่นี่คือพูดอังกฤษเก่งมากและพร้อมจะช่วยเหลือเต็มที่ค่ะ นอกจากนี้ยังสามารถซื้อบัตร IC Card ได้จากตู้นี้ได้เลย (IC Card คือบัตรเหมือน Rabbit บ้านเราแต่ใช้ได้ครอบคลุมทั่วประเทศและได้เกือบทุกระบบขนส่งสาธารณะที่มีระบบตั๋วอัตโนมัติรองรับและยังสามารถใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ในตู้คอยน์ล็อกเกอร์ และอีกมากมายได้ เรียกว่าเอเวอรี่ติงจิงกะเบล อยากให้ระบบบ้านเราสะดวกแบบนี้จัง)
เรานั่งสายกินซ่าไลน์จากสถานีชิมบาชิมาลงสถานีอินาริโจ ใช้เวลาประมาณ 16 นาทีจากนั้นก็เดินมายังที่พัก Artsy Inn ประมาณ 4 นาทีเท่านั้นค่ะ หน้าซอยมีร้านมินิมาร์ท และแถวบริเวณสถานีก็มีร้านข้าวหน้าเนื้อ และร้านอื่นๆ อีก ไม่ต้องกลัวอดกันเลยทีเดียว แถมทำเลดีคนไม่พลุกพล่านส่วนมากเป็นย่านที่อยู่อาศัย
ซึ่งพอมาถึงพนักงานก็แนะนำอย่างดีแต่เป็นภาษาญี่ปุ่น T_T แต่ก็พอจับใจความได้ค่ะ โดยห้องพักเราจะอยู่บริเวณชั้น 3 มีลิฟต์ให้บริการ ชั้นแรกมีไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า ถ้าจะทิ้งขยะต้องแยกระหว่างขยะที่เผาไฟได้กับขยะเผาไฟไม่ได้ ส่วนในห้องเปิดเข้ามาประทับใจมาก กว้างกำลังดี เตียงถือว่าใหญ่เลยถ้ามา 2 คนก็ไม่อึดอัดถภายในห้องมีทีวี ไวไฟ กาต้มน้ำร้อน ในห้องน้ำมีไดร์เป่าผม แชมพู ครีมนวด สบู่อาบน้ำ แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัวทั้งผืนสั้นและยาว ชักโครกแบบอัตโนมัติพร้อมระบบอุ่นฝาชักโครก น้ำฝักบัวแรงได้ใจอุ่นดีมาก แต่จะไม่มีบริการทำความสะอาดในแต่ละวันนะคะ ถ้าต้องการจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งเราก็ไม่ได้รีเควสท์ตรงนี้
ใครสนใจก็สามารถจองได้ที่นี่เลย
เมื่อเก็บของเข้าที่พักแล้วเราก็นั่งรถไฟใต้ดินไปชิบุย่าค่ะ มา 5 แยกชิบุย่าที่คิดถึง ซึ่งคนก็เยอะมากๆ เหมือนก่อนโควิดเลย
ทักทายน้องฮาจิโกะค่ะ ยังคงยืนเด่นเป็นสง่าเหมือนเดิม
แวะทานราเมน แต่จำร้านไม่ได้แล้วค่ะ เป็นร้านในชิบุย่าเลย มีตู้อัตโนมัติอยู่หน้าร้านให้สั่งอาหารและจ่ายตังค์ได้เลย ราคาประมาณ 850 เยน ชามใหญ่แบบตกใจเลยว่าจะกินหมดไหม แต่ด้วยหิวและความอร่อยเลยหมดไปในพริบตา
เดินเล่นชมบรรยากาศกันต่อไป
วันนี้ได้ที่เดียวก็ขอบายกลับไปนอนก่อนค่ะ เดินทางมาเกือบ 24 ชั่วโมงแล้ววันนี้ เดี๋ยวลุยต่อพรุ่งนี้ค่ะ
เช้านี้แวะกินข้าวหน้าเนื้อตรงสถานีค่ะ โดยมี 2 ร้านให้เลือกคือโยชิโนะยะ กับสุคิยะเปิดตรงข้ามประชันหน้ากันเลย และเปิด 24 ชม.ทั้งคู่จำไม่ได้ว่าจานนี้มาจากร้านไหนแต่เราว่าร้านข้าวหน้าเนื้อในญี่ปุ่นอร่อยหมดเลย ร้านไหนก็ได้ ราคาไม่แพงด้วย เซ็ตนี้ประมาณ 500 เยน ใครที่กินเนื้อวัวได้อยากเที่ยวแบบประหยัดวิ่งเข้าร้านหน้าเนื้อเลยโล้ด
จากนั้นก็เดินทางไปยังวัดเซ็นโซจิย่านอาซากุสะ ใชดบัตร 72 ชั่วโมงนั่งรถไฟใต้ดินสายกินซ่าไลน์ไปประมาณ 2 สถานีก็ถึงแล้วค่ะ มาถึงประมาณ 8 โมงเช้าแทบไม่มีคนเลย
มาโตเกียวก็ต้องมาถ่ายกับโคมยักษ์หน้าวัดเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง
ถนนนากามิเสะ ถนนทางเข้าวัดปกติจะมีร้านมาเปิดและคนเดินกันเยอะมาก ๆ
บรรยากาศภายในวัด
บรรยากาศเช้านี้เงียบมากไม่ชินกับอาซากุสะที่คนน้อยเลย
แอบเดินไปถ่ายรูปกับตึกอาซาฮีและโตเกียวสกายทรีกันก่อน
เดินเล่นประมาณ 9 โมงกลับมาร้านเริ่มมาเปิดกันแล้วค่ะ คนเริ่มคึกคักขึ้น
ร้านขายของฝากกลับมาเปิดกันแล้ว
ขนมรูปสัตว์ รูปโคมไฟ และรูปเจดีย์ข้างในเป็นไส้ถั่วแดง
ร้านมันจูทอดร้านนี้คนเยอะมากๆ
ร้านเซ็มเบ้ร้านนี้ก็ดัง
ร้านไดฟุกุสตรอเบอร์รี่เคยมากินอร่อยอยู่นะลูกนึงประมาณ 350 เยน
จากนั้นพอดีมีลูกเพจทักมาตอนไลฟ์ว่าให้ไปกินไอศกรีมชาเขียวที่เข้มที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่แถวๆ วัดเซ็นโซจินี่แล่ะค่ะ เราก็ไม่รอช้ารีบหาข้อมูลแล้วบึ่งไปเลย แต่ไปถึงร้านยังไม่เปิดเพราะเปิด 11 โมง แต่หน้าร้านมีคนมายืนรอแล้วจ้าประมาณ 2-3 คน เวลาตอนนั้นคือประมาณ 10 โมงเช้าเอง เราก็เลยไปเดินหาร้านกาแฟกินก่อน ไปเจอร้านนี้ Feb's coffee & scone กาแฟดีงาม ปักหมุดตามนี้เลยจ้า >>https://goo.gl/maps/nai7BZLCWmUwh4c96
ใกล้ 11 โมงก็เดินไปร้านปรากฏว่าคนยืนต่อคิวกันเยอะมากๆ ร้านนี้ชื่อว่าร้าน Suzukien Asakusa หน้าร้านมีป้ายการันตีว่า The Strongers Matcha in the World ประกาศให้โลกรู้ว่าเข้มสุดๆ ในสามโลกกันเลยทีเดียว
ก่อนจะเข้าไปในร้านก็มีพนักงานเอาเมนูมาให้เลือกก่อน ซึ่งเข้มสุดต้อง No.7 ค่ะโดยราคาเบอร์ 7 จะแพงสุดเราสั่งแบบโคนลูกเดียวประมาณ 650 เยน
ตัวไอศกรีมเป็นเนื้อเจลาโต้หนึบหนับดูจากสีที่ไม่ได้ผ่านฟิลเตอร์ใดๆ คือเขียวมาก เขียวยันมือที่โดนไอศกรีมเลยแกร รสชาติเข้มข้นมากๆ หวานกำลังดีไม่ได้ขมปี๋แบบกินไม่ได้ ทานคำแรกไปคือลืมไอศกรีมชาเขียวที่ทานมาทั้งชีวิต อร่อยแบบที่พร้อมจะตายไม่เกินเลยจริงๆ ซึ่งเราเป็นคนชอบชาเขียวขมๆ อยู่แล้วมาเจอร้านนี้คือหลงรักเลย เสียดายที่สั่งแค่ลูกเดียว T_T
จากนั้นไปตะลุยช้อปที่ตลาดนัดมือสอง Oi Racecourse Flea Market ซึ่งโชคดีที่เรามาตอนที่เขาจัดพอดี โดยจะจัดช่วงวันเสาร์-วันอาทิตย์ ถ้าช่วงไหนฝนตกก็อาจจะงด โดยสามารถเช็คตารางตลาดนัดและงานอื่นๆ ในโตเกียวได้ที่เว็บไซต์ tokyocheapo
สำหรับการเดินทางไปยัง Oi Racecourse Flea Market ก็ไม่ยากค่ะนั่ง โตเกียวโมโนเรลไปลงสถานี Oikeibajo-Mae Station ออกจากสถานีปุ๊บเลี้ยวซ้ายจะมีป้ายทางออกที่เขียนว่า Oi Horse Racecourse เดินมาตามสะพานลอยแล้วเลียบถนนมาเรื่อยๆ จะผ่านทางเข้าสนามม้าเดินเลยมานิดนึงตรงลานจอดรถก็จะเจอตัวตลาดนัดค่ะ ปักหมุดไว้ให้แล้วค่ะ >>https://goo.gl/maps/VK8V4ssNg9TXy4689
แนะนำให้มาตั้งแต่เช้าเพราะเขาเปิดตั้งแต่ 9.00 - 14.30 น. เราไปช่วงบ่ายโมงเขาเก็บกันเกือบหมดแล้วค่ะ เสียดายมากๆ เพราะที่นี่เป็นเหมือนขุมทรัพย์ของคนที่ชอบสินค้ามือสอง คุณอาจจะเจอกระเป๋ากุชชี่ราคาหลักร้อยที่นี่ก็เป็นได้ค่ะ
การเดินทาง : นั่งโตเกียวโมโนเรลลงสถานี Oikeibajo-Mae
ตลาดจะจัด ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ของเดือน
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/VK8V4ssNg9TXy4689
หลังจากที่ยังไม่เต็มอิ่มกับตลาดนัดมือสองที่สนามม้าก็ทราบมาว่ามีอีกหนึ่งตลาดมือสองที่จัดวันนี้เหมือนกันที่ศาลเจ้า Nezu ซึ่งอยู่แถวมหาวิทยาลัยโตเกียว เราก็ไม่พลาดนั่งรถไฟไปต่อค่ะ ซึ่งจากสถานีจะเดินค่อนข้างไกลนิดนึงแต่ก็เพลินมากๆ เพราะได้พบกับบรรยากาศความเป็นมหาวิทยาลัยของโตเกียว ได้ยินเสียงนักศึกษาม.โตไดอันดับหนึ่งของโตเกียวเล่นฟุตบอลกันมันช่างดีต่อใจแจ้จริงๆ ค่า ซึ่งในม.โตไดเราเคยไปเดินเล่นแล้ว บรรยากาศดีมากๆ ยิ่งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีต้นกิงโกะหรือต้นแปะก๊วยในม.จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสวยมากๆ ค่ะ
ศาลเจ้า Nezu นั้นเป็นศาลเจ้าเก่าแก่สร้างขึ้นประมาณปี 1705 ภายในจะมีเสาโทริอิที่เรียงรายเหมือนกันศาลเจ้าฟูชิมิอินาริที่เกียวโตเลยค่ะ แต่ไม่ได้เยอะเท่า และที่นี่ยังเป็นสถานที่ชมดอกอาซาเลียที่สวยงามมาก โดยเขาจะจัดเทศกาลชมดอกอาซาเลียประมาณเดือนเมษายนค่ะ
สำหรับวันนี้จะเป็นเทศกาลที่ชื่อว่า Nezu Sendagi Shitamachi Festival โดยภายในงานจะมีการออกร้านจำหน่ายพวกสินค้าทางการเกษตร และมีตลาดนัดมือสองเล็กๆ ให้ได้เดินเลือกซื้อของกันด้วย
ศาลเจ้า Nezu
การเดินทาง นั่งรถไฟใต้ดินโตเกียวเมโทรไปลงสถานี Todaimae แล้วเดินไปประมาณ 7 นาที
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/7KGHY8nGePLTENcb6
ถ้าถามว่าสถานที่ไหนในโตเกียวที่โรแมนติกเหมาะกับพาแฟนไปเราขอยกให้ที่นี่เลยค่ะ โอไดบะ เกาะที่มนุษย์สร้างขึ้น สามารถเดินทางไปได้ด้วยรถไฟสายยูริกาโมเมะ หรือรถไฟสายนกนางนวลที่สถานีชิมบาชิ แล้วไปลงที่สถานีไดบะค่ะ จุดนี้จะเป็นจุดที่ทำเป็นทางเดินลอยฟ้าเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้า โรงแรมมากมาย และยังเป็นจุดชมวิวอ่าวโตเกียวที่ฉากหลังจะเป็นสะพานสายรุ้งเชื่อมต่อฝั่งโตเกียวกับโอไดบะ พร้อมกันนั้นยังมีความงดงามของโตเกียวทาวเวอร์ที่จะส่องแสงประกายยามค่ำคืนอีก ถ้าได้มาเดินที่นี่สักครั้งรับรองว่าจะหลงรักคนที่พามาด้วยแน่นอน ส่วนใครมาคนเดียวอย่างฮานะก็ได้แต่มองคู่รักชาวญี่ปุ่นเดินชมวิวเป็นคู่ไปอย่างเหงาๆ ค่า
มีเทพีเสรีภาพจำลองด้วยนะ มาถ่ายรูปกันได้เลย
ตึกฟูจิทีวีเท่มากๆ เดินไปถ่ายรูปตรงบันไดได้
ถ้าเหงาก็มาทักทายกันดั้มยูนิคอร์นหน้าห้างไดเวอร์ซิตี้กันค่ะ ซึ่งปกติจะมีโชว์ทุก 30 นาทีตั้งแต่เวลา 19.30-21.30 น.ที่เขาบอกกันว่าเป็นโชว์ที่ยิ่งใหญ่อลังการมีแปลงร่างได้ด้วย เราก็ตั้งตามายืนรอดูเต็มที่ แต่เอ...ทำไมเขาไม่ปิดไฟหว่า พอหาข้อมูลในเว็บเท่านั้นได้ความว่าเขาปิดซ่อมแซมตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม - 24 พฤศจิกายน ซึ่งวันที่เรามาคือวันที่ 15 ตุลาคม แจ็คพ็อตเลยค่ะ มาซ่อมอะไรช่วงนี้เนี่ยยย T_T
แม้ไม่ได้ชมโชว์กันดั้มก็สามารถเดินเล่นถ่ายรูปบันไดที่ห้างไดเวอร์ซิตี้ที่มีการประดับไฟและเปลี่ยนสีได้แทน
เช้านี้วางไว้จะไปงานเทศกาลที่เมืองคาวาโกเอะค่ะ แต่ยังพอมีเวลาเลยแวะไปเดินตลาดนัดมือสองอีกที่ที่ศาลเจ้า Hanazono แถวๆ ชินจูกุค่ะ ซึ่งเป็นตลาดนัดของวินเทจมือสอง จัดทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 6.30 - 15.00 น. ใครที่ชอบสะสมของเก่า ของแต่งบ้าน ถ้วย จาน ชามไปจนถึงชุดกิโมโน เริ่มต้นตัวละ 1000 เยนก็มีให้เลือกซื้อกันค่ะ
หนังสือเก่ามากกกก
ของสะสมแบบเรโทร เหมาะกับเอาไปแต่งบ้าน
ตุ๊กตาไม้ แจกัน ถ้วยชามมาดูที่นี่ได้เลย
ถ้วยชา จาน ชาม แจกันเก่ามากมาย แต่ละชิ้นสวยด้วย
โปสเตอร์หนังญี่ปุ่นก็มี
ศาลเจ้า Hanazono
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินโตเกียวเมโทร หรือ Toei ไปลงสถานี Shinjuku-Sanchome ออกทางออก E2 ก็ถึงเลย
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/ThrewgLKV8cksLQd6
จากนั้นก็นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Ikkebokuro แล้วต่อรถไฟ Tobu Tojo Line ไปยังเมืองคาวาโกเอะค่ะ ซึ่งวันนี้เขามีงานเทศกาลที่ชื่อว่า Kawagoe Matsuri เป็นงานใหญ่ของเมืองคาวาโกเอะ โดยจะจัดขึ้นช่วงวันเสาร์ อาทิตย์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของเมืองมีประวัติมายาวนาน 360 ปี วันแรกจะมีงานแห่เกี้ยวหรือ Yatai ไปรอบเมือง ส่วนกลางคืนก็จะมีการประดับประดาเกี้ยวด้วยโคมไฟและแห่ไปรอบเมืองสวยงามมากๆ เรามาวันที่ 2 ค่ะ จะมีกิจกรรมแห่เกี้ยวแค่ตอนกลางวัน ซึ่งพอมาถึงก็ตื่นตะลึงกับความสวยงามและเป็นงานที่คนในเมืองร่วมแรงร่วมใจกันดีมาก เราจะเห็นคนญี่ปุ่นทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาช่วยกันลากเกี้ยวนี้ไปด้วยกัน
ซึ่งตัวเกี้ยวไม่ได้มีคันเดียวนะคะ แต่มีหลายคันเลยค่ะ ประดับประดาอย่างสวยงาม บนเกี้ยวก็จะมีการเล่นดนตรี เป่าขลุ่ย ตีกลอง และก็มีคนสวมหน้ากาก ออกมาร่ายรำด้วยท่วงท่าต่างๆ
ส่วนในเมืองก็เต็มไปด้วยการออกร้านค้า ร้านอาหารมากมาย รวมทั้งยังมีกิจกรรมอย่างการตกปลาทอง ยิงปืน ตักไข่ อารมณ์เหมือนไปเดินงานวัดบ้านเราเลยค่ะ แต่ที่ประทับใจคือเขามีการจัดการขยะได้ดี โดยจะมีจุดทิ้งขยะที่จะต้องแยกขยะเป็นประเภทต่างๆ และในเมืองก็แทบจะมีไม่ขยะเกลื่อนถนนทั้งที่คนมหาศาลมากๆ
สำหรับเมืองคาวาโกเอะเวลาปกติก็เป็นเมืองที่น่าเที่ยวมากๆ เพราะเป็นเมืองที่มีตึกรามบ้านช่องแบบย้อนยุคที่ได้รับสมญานามว่าเอโดะจิ๋ว ตลอดสองข้างทางค่ะ เหมาะกับการมาเดินเล่น นั่งชิลในร้านคาเฟ่ ถ่ายรูปสวยๆ กัน ที่สำคัญยังใกล้โตเกียวนั่งรถไฟมาชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว
เมืองคาวาโกเอะ
การเดินทาง : สามารถนั่งรถไฟของเจอาร์ไลน์ และของ Tobu Tojo Line มาลงสถานีคาวาโกเอะ จากสถานีสามารถเดินมาย่านโซนเมืองเก่าได้ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เดินตรงอย่างเดียวค่ะ สองข้างทางมีร้านมากมายทำให้รู้สึกว่าไม่ไกลเลย
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/duYGJvS7jAuQSXVT7
เป็นเวลาเกือบ 3 ปีที่เราไม่ได้เดินทางมาญี่ปุ่น ซึ่ง To do List ที่เราจดเอาไว้ว่าถ้าญี่ปุ่นเปิดเมื่อไรจะต้องไปทำสิ่งนี้ให้ได้ คือการมาสวัสดีฟูจิซังค่ะ โดยเราเลือกมาชมฟูจิซังที่ทะเลสาบคาวากูจิโกะ โดยการเดินทางสามารถใช้ตั๋ว Tokyo Wide Pass ที่ซื้อมาได้เลย และให้เจ้าหน้าที่สำรองที่นั่งรถไฟให้ ซึ่งรถไฟที่เรานั่งมานั้นเป็นรถไฟสาย Fuji Kyuko Fuji Kaiyu ที่วิ่งตรงจากชินจูกุไปสุดสายที่คาวากูจิโกะได้เลย ไม่ต้องไปเปลี่ยนรถที่ Otsuki แต่จะมีรอบรถไม่เยอะนะคะ ต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ของเจอาร์ที่สถานีช่วยสำรองที่นั่งให้ค่ะ
สำหรับการใช้ตั๋วโตเกียวไวด์พาสก็ไม่ยากค่ะ สามารถเสียบที่ช่องเสียบตั๋วตรงประตูทางเข้าออกได้เลย ถ้าสถานีไหนไม่มีช่องเสียบตั๋วตรงประตูก็แค่โชว์ให้นายสถานีดูค่ะก็สามารถเข้าออกสถานีได้ ส่วนตัวที่เป็นตั๋วสำรองที่นั่งก็เก็บเอาไว้เช็ครอบรถ หมายเลขที่นั่ง หมายเลขคัน และเผื่อเจ้าหน้าที่ตรวจค่ะ
โดยเราเลือกเวลาเช้าตรู่ รอบ 7.30 น. ขึ้นที่สถานีชินจูกุ ซึ่งวีธีขึ้นรถไฟญี่ปุ่นก็ไม่ยาก พอเข้ามาในสถานีแล้วหลายคนอาจจะงงว่าต้องเดินไปขึ้นที่ชานชาลาที่เท่าไร เพราะในสถานีใหญ่ๆ อย่างชินจูกุนั้นชานชาลาเยอะมากๆ วิธีที่เราใช้คือเช็คในเว็บไซต์ของโตเกียวเมโทรมาล่วงหน้าซึ่งในเว็บจะบอกละเอียดถึงชานชาลาที่เราต้องไปขึ้น สลับกับการดูจอตารางรถไฟซึ่งสถานีใหญ่ๆ จะมีภาษาอังกฤษบอกค่ะ จากนั้นก็เดินไปตามชานชาลา และแต่ละชานชาลาก็จะมีป้ายไฟด้านบนที่บอกว่ารถไฟที่กำลังเข้าสู่ชานชาลาเป็นรถขบวนไหน เราก็คอยเช็คว่าใช่รถขบวนเราไหม และตรงชานชาลาจะมีป้ายที่ติดเลขของตู้ที่เรานั่งค่ะ ของเราเป็นคันที่ 10 ก็ไปยืนรอตรงคันที่ 10 เพียงเท่านี้ก็สามารถขึ้นรถไฟไปเที่ยวในญี่ปุ่นได้ง่ายๆ แล้วค่ะ
ก่อนจะขึ้นรถก็เตรียมเสบียงซื้อข้าวกล่องรถไฟไปทานเป็นอาหารเช้าบนรถไฟ
ซึ่งรถที่เรานั่งก็จะเป็นรถแบบที่นั่ง 2-2 เหมือนในรถไฟชินกันเซ็นค่ะ มีโต๊ะสำหรับวางอาหาร หรือวางโน๊ตบุ้ค เบาะปรับได้ มีห้องน้ำบนรถไฟเลยค่ะ
นั่งรถไฟประมาณชั่วโมงครึ่งได้ยินเสียงประกาศว่าจะถึงสถานี Shimoyoshida ซึ่งที่นี่มีจุดชมภูเขาไฟฟูจิซึ่งเป็นวิวเจดีย์ชุเรโตะเราเคยมาหลายปีแล้ว และจำได้ว่าวิวข้างบนสวย ก็เลยกระโดดลงเลยค่ะ ซึ่งจากสถานี Shimoyoshida ไปยังสถานีคาวากุจิโกะมันใกล้กันมากๆ สามารถใช้บัตรโตเกียวไวด์พาสนั่งรถไฟโลคัลเทรนสายฟูจิคิวโกะไปได้และรอบรถจะมีตลอดไม่ต้องจอง เราก็เลยตัดสินใจลงที่สถานีนี้
ซึ่งจากตัวสถานีเดินไปอย่างไรนั้น จำไม่ได้แล้วค่า ฮายะเลยต้องเปิดอากู๋ Googla Map นำทางเราปักหมุดไว้ตามนี้เลย>>https://goo.gl/maps/x8PvdpWXyH7tt4we9
เดินมาตามกูเกิลแมปเรื่อยๆ ก็เจอทางขึ้นไปชมวิวด้านบนแล้วค่ะ
ใบไม้กำลังเริ่มแดงเลย
ทางเข้าจะมีเสาโทริอิสีแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การเข้าศาลเจ้าค่ะ
เดินมาไม่นานก็เจอกับตัวศาลเจ้า ศาลเจ้าอาราคุระ ฟูจิ เซ็นเก็นค่ะ เป็นศาลเจ้าเล็กๆ บรรยากาศสงบ แต่ตัวเจดีย์ชุเรโตะนั้นอยู่ข้างบน
ก่อนจะเดินขึ้นไปก็แวะไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาฤกษ์เอาชัยกันก่อน
จากนั้นก็ถึงเวลาเดินและเดินขึ้นบันไดอย่างเดียวใครมีปัญหาเรื่องข้อเข่าไม่แนะนำเพราะเหนื่อยจริงๆ ระหว่างทางขึ้นมีป้ายเตือนระวังน้องหมีด้วย นี่แอบภาวนาว่าอย่ามาป๊ะกันแหมเลย
พยุงสังขารเดินขึ้นมาแบบหอบแรงจนอายคนญี่ปุ่นกันเลย ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเราก็เดินมาถึงด้านบนแล้วค่ะ วิวด้านบนก็งามงด
ทางที่ฮานะเดินขึ้นมาขาสั่นพั่บๆ
เจดีย์ชุเรโตะ
มาถึงผ่างงงง... ไม่เห็นอะไรเลย แม้กระทั่งเงาฟูจิซังก็ไม่มีให้เห็นเพราะวันนี้ฝนตก ท้องฟ้าแย่มากๆ ร้องไฮ่หนักมาก แต่ก็ดีใจที่ได้เดินทางกลับมาที่เที่ยวที่เคยมาหลายปีแล้วอีกครั้ง วันหลังจะต้องขึ้นมาชมซากุระที่นี่ให้ได้เลย เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวซากุระและภูเขาไฟฟูจิที่งดงามมากๆ
ผิดหวังจากชิโมโยชิดะเราก็กระโดดขึ้นรถไฟสายฟูจิคิวโกะไลน์ ไปได้ทุกสายเลยค่ะ (ที่เป็นรถธรรมดานะ) ซึ่งทุกขบวนก็จะไปสุดที่สถานีคาวากูจิโกะ โดยรถจะผ่านสถานี Fuji ซึ่งใครที่จะไปปีนเขาไฟฟูจิหรือจะไปฟูจิช้ัน 5 จะต้องลงสถานีนี้ จากนั้นก็จะไปจอดที่สถานีฟูจิคิวไฮแลนด์ ซึ่งเป็นสวนสนุกชื่อดังวิวภูเขาไฟฟูจิเลย แล้วสถานีสุดท้ายค่อยไปจอดที่คาวากูจิโกะ
พอออกจากสถานีปุ๊บก็ไปยืนรอรถบัสที่วิ่งรอบสถานีคาวากูจิโกะสายสีแดงไปยังสถานีสุดท้ายคือสถานีที่ 20 ค่ะ ซึ่งเป็นจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยที่สุดค่ารถ 490 เยน สามารถใช้บัตร IC Card แตะได้ จริงๆ เขามีพาสรถบัสนะคะ ซึ่งราคา 1500 เยน สามารถนั่งได้ 3 สายคือสายสีแดงรอบทะเลสาบคาวากูจิโกะ สายสีเขียวไปทะเลสาบไซโกะ และสายสีน้ำเงินไปนารุซาว่า ทะเลสาบโชจิ และทะเลสาบโมโตสุโกะ ซึ่งเป็นทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิได้ 2 วัน คุ้มค่ามากๆ สามารถซื้อได้ที่ Travel Center ภายในสถานีคาวากูจิโกะได้เลย แต่เรากะมาแค่สถานีเดียวเลยไม่ได้ซื้อพาสค่ะ (แต่จริงๆ เพิ่มอีก 500 เยนก็ได้พาสแล้วนะ 555)
โดยวิธีการขึ้นรถบัส คนขับจะเปิดให้ขึ้นประตูด้านหลัง ตรงประตูจะมีที่ให้แตะบัตร IC Card (แต่บางคันคนขับเปิดให้ขึ้นด้านหน้าก็ไปแตะบัตรตรงด้านหน้าคนขับ) ตอนลงก็แค่แตะบัตร IC Card ที่หน้าทางลงตรงประตูหน้า ส่วนใครที่ไม่ได้ใช้บัตร IC Card ก็สามารถจ่ายเงินสดได้ วิธีการคือตรงประตูทางขึ้นจะมีตั๋วเล็กๆ ที่ออกมาจากช่องตั๋ว ให้เราหยิบมาเก็บไว้ ในตั๋วจะมีหมายเลขป้ายที่เราขึ้นมา จากนั้นก็ดูตรงหน้าจอด้านหน้ารถจะมีบอกราคา โดยราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามระยะทางค่ะ เวลาจ่ายเงินก็จ่ายตามราคาตามป้ายที่เราขึ้นมา จ่ายเป็นเหรียญนะคะ หยอดได้ตรงคนขับค่ะ ส่วนใครมีแบงค์ก็ไม่ต้องกลัวเพราะมีเครื่องแตกแบงค์ที่ตรงคนขับได้เลย อัตโนมัติมาก
พอมาถึงสถานีที่ 20 ปุ๊บ สิ่งที่เจอคือฐานฟูจิ พี่เขาออกมาแค่นี้จริงๆ ขอสารภาพว่าแม้ฮานะจะมาญี่ปุ่นบ่อยแต่ก็ไม่เคยเจอฟูจิซังที่ชัดๆ แบบไม่มีอะไรบดบังเลยสักครั้ง เคยเจอครั้งนึงตอนอยู่บนเครื่องบินที่คิดว่าสมบูรณ์สุดๆ แล้ว แต่กับวิวบนพื้นดินแบบนี้ยังไม่เคยมิชชั่นคอมพลีทเลย สงสัยคุณฟูจิซังคงอยากจะให้มาญี่ปุ่นบ่อยๆ ก็เป็นได้ค่ะ
แต่ถึงแม้จะไม่เห็นฟูจิซังก็ยังมีวิวสวยๆ ของพุ่มต้นโคเชียที่เปลี่ยนเป็นสีแดงยามฤดูใบไม้ร่วงให้ได้ถ่ายรูปสวยๆ กันอีกด้วย
ถ่ายรูปกันเต็มที่ก็เตรียมไปขึ้นรถบัสกลับไปคาวากูจิโกะ แต่ตอนนั่งรถมาเห็นว่าป้ายหมายเลข 8 วิวสวยดีค่ะ ก็เลยแวะลงไปถ่ายรูป
ใบไม้กำลังแดงเลยสวยมากๆ ขากลับเราเปิด Map เห็นว่าสามารถเดินกลับสถานีได้ไม่ไกลมากเลยตัดสินใจเดินแถมยังประหยัดค่ารถขากลับอีกต่างหาก
เดินมาเจอคาเฟ่นี้ค่ะ เลยแวะไปนั่งหน่อย
ร้านน่ารักกาแฟและเค้กดี
จากนั้นก็เดินกลับสถานี ระหว่างเดินกลับ อ๊ะ เห็นฟูจิซังที่เมฆค่อยๆ คลี่เผยให้เห็นภาพตัวฟูจิซังที่เด่นชัดขึ้น มาลุ้นกันค่ะว่าเราจะเจอคุณฟูจิซังเขาไหม
เดินลุ้นมาจนถึงสถานีก็เห็นภาพแบบนี้ค่ะ น้ำตาไหลเลย เหมือนคุณฟูจิซังจะบอกว่าขอบคุณที่พยายามเดินทางมาหาฉันนะ อ่ะตอบแทนในความพยายามเอาไปเท่านี้ละกัน คราวหลังมาเจอกันอีกนะ
เห็นเท่านี้ก็ถือว่าโชคดีแล้วค่ะ ใครจะมาแนะนำว่าเช็คอากาศมากันดีๆ นะคะ มาวันฟ้าปิดก็เจอคุณฟูจิซังแบบนี้ แถมอีกหนึ่งภาพของร้าน Lawson ที่วิวด้านหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิ อิจฉาพนักงานเลยคงจะเห็นฟูจิซังจนเบื่อกันเลยทีเดียว
จากนั้นก็นั่งรถยิงตรงมายังชินจูกุถึงชินจูกุค่ำเลยค่ะ มาถึงก็มาทักทายน้องแมว แลนด์มาร์คใหม่ของย่านชินจูกุค่ะ น้องจะอยู่บนจอ 3D แบบนี้ เหมือนแมวจริงๆ มากๆ น้องจะออกมาเกือบทุก 5-10 นาทีค่ะ ยืนรอแชะน้องได้เลย ใครจะมาหาน้องแมวปักหมุด Cross Shinjuku Vision ในกูเกิลแมปไว้ได้เลย>>https://goo.gl/maps/8m5YNK8bCtSeoTUB9
จากนั้นก็เดินเล่นชมแสงสีของย่านชินจูกุไปเรื่อยๆ
เดินจนมาถึงตรอก Omoide Yokocho ค่ะ เป็นหนึ่งในสถานที่ในโตเกียวที่เราชอบมากๆ โดยจะเป็นย่านกินดื่มแบบสมัยยุคโชวะ ได้อารมณ์เหมือนในหนัง Always: Sunset on Third Street กันเลยล่ะค่ะ
เป็นตรอกเล็กๆ ที่ทั้งสองข้างทางจะเป็นร้านกินดื่มแนวอิซากะยะ
ใครลองโตเกียวก็ลองมาเที่ยวได้ค่ะ พิกัดอยู่ชินจูกุฝั่ง west ค่ะ
วันนี้เราวางแพลนไปนิกโกค่ะ แต่วันนี้ฮานะทำพลาดคือไปเช็ครอบรถไฟใน Japan Travel แล้วลืมไปติ๊กเลือกรถไฟชินกันเซ็น ซึ่งในแอปคำนวณการเดินทางแบบรถไฟธรรมดาให้กับเรา โดยเราจะไปขึ้นรถไฟที่ไป Utsunomiya ที่สถานีอุเอโนะ แล้วค่อยไปต่อเป็นนิกโกไลน์ที่สถานีนิกโก ตอนขึ้นก็ขึ้นไปแบบงงๆ เพราะว่าจำได้ว่าเคยนั่งชินกันเซ็นไปนี่หว่า ก็เลยเออไม่เป็นไร คิดไปจนถึงขั้นว่าหรือว่ารถไฟชินกันเซ็นเขาไม่วิ่งสายนี้แล้ววะ
ปรากฎว่านั่งคันนี้ไปนานมากๆ พี่เล่นจอดทุกสถานีใช้เวลาจาก Ueno ไป Utsunomiya ปาไปเกือบ 2 ชั่วโมง T_T (จริงๆ ถ้านั่งชินกันเซ็นประมาณ 40 นาทีค่ะ) แล้วค่อยไปต่อนิกโก้ไลน์จาก Utsunomiya ไปอีก 40 นาที ใช้เวลาเดินทางไปทั้งหมดเกือบ 3 ชั่วโมงแพลนทุกอย่างเลยรวนเพราะกะว่าจะไปถึงนิกโก้เช้าๆ แล้วกลับมาซื้อของฝากที่ตึกม่วงตอนเย็น สุดท้ายไปถึงนิกโกก็บ่ายแล้วค่ะ
เหลือเวลาเที่ยวนิกโกแค่ 2 ชั่วโมงเลยไปหา Travel Center ให้ช่วยแนะนำการเดินทางให้เพราะเรากะว่าจะไปศาลเจ้านิกโกโทโชกุที่เดียว โดยจากสถานีนิกโกจะต้องนั่งรถบัสไปค่ะ ตอนแรกก็กะว่าจะซื้อพาสรถบัสราคา 600 เยนเพราะคิดว่าค่ารถจะแพง แต่เจ้าหน้าที่แนะนำว่าไปแค่ที่เดียว ไปจ่ายรายเที่ยวบนรถดีกว่า ค่ารถแค่ประมาณ 220 เยนเท่านั้น ไปลงป้ายตรงสะพานชินเคียว ป้ายที่ 7 แล้วเดินต่อไปนิดเดียว
นี่แทบจะกราบเจ้าหน้าที่ที่แนะนำการเดินทางให้ดีมากๆ เราเลยใช้ IC Card นั่งรถบัสมาลงตรงสะพานชินเคียวค่ะ จริงๆ ถ้าอยากเข้าไปถ่ายด้านในจะเสียค่าเข้า 300 เยน แต่เราถ่ายด้านนอกเอา วิวสวยเหมือนกันค่ะ ได้ภาพสะพานชินเคียวที่พาดผ่านโตรกธารสีมรกต มีฉากหลังเป็นภูเขาที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีอย่างกับภาพวาดเลยล่ะค่ะ
จากนั้นก็เดินมาตามทางเรื่อยๆ มาถึงที่แรกคือวัดรินโนจิ ซึ่งวัดนี้ถ้าเข้าไปในตัวอาคารและในตัวสวนก็จะเสียค่าเข้า แต่ถ้าไม่ได้เข้าก็ถ่ายรูปด้านนอกได้ค่ะ
ข้างๆ วัดจัดเป็นสวนเซนใบไม้กำลังแดงเลยค่ะ
จากนั้นก็เดินไปยังจุดหมายของเราคือศาลเจ้านิกโกโทโชกุที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
สิ่งที่เราชอบนิกโกคือบรรดาต้นไม้ที่นี่ซึ่งล้วนเป็นต้นสนสูงชะลูด ขนาดลำต้นใหญ่รู้เลยว่าอายุอานามคงเป็นคุณทวดสนกันได้แล้วล่ะค่ะ
ทางเข้าศาลเจ้าโทโชกุ
ซึ่งค่าเข้าที่นี่ก็แพงเอาเรื่อง บัตรค่าเข้าเฉพาะตัวศาลเจ้า 1300 เยน บัตรเข้าพิพิธภัณฑ์ 1000 เยน ถ้าจะเข้าทั้งสองที่ก็ 2100 เยนค่ะ เราเลือกแบบแรกค่ะ โดยบัตรสามารถซื้อที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติได้เลย จะจ่ายเป็นเงินสดหรือใช้บัตร IC - Card จ่ายก็ได้
ซึ่งด้านในก็สวยจริงๆ
ศาลเจ้านิกโกโทโชกุนั้นเป็นศาลเจ้าเก่าแก่อายุอานาม 400 กว่าปีในอดีตเคยเป็นที่อยู่อาศัยของโชกุนโตกุกาว่า อิเอยาสุ โชกุนคนแรกของตระกูลโทคุคาว่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นมากๆ
ซึ่งจุดไฮไลท์ของศาลเจ้ามีหลายจุดให้ชมค่ะ ทั้ง รูปแกะสลัก ลิงปิดหู ปิดตา ปิดปาก และด้านในยังมีรูปแกะสลักแมวหลับอีกด้วย แต่ด้วยเวลาที่จำกัดเราทำได้แค่วิ่งไปแชะภาพแล้วต้องรีบนั่งรถกลับโตเกียวเพราะกลัวตึกม่วงจะปิด เสียดายมากๆ ที่ไม่ได้ใช้เวลาที่นี่อย่างเต็มที่
สุดท้ายกลับมาช้อปของฝากที่ตึกม่วง ซึ่งในช่วงนี้เขาเปิดถึง 1 ทุ่ม โดยแต่ก่อนเปิดถึง 2 ทุ่มกันเลยค่ะ ภายในเรารู้สึกว่าขนมน้อยลง แต่ก่อนจำได้ว่าของเยอะกว่านี้ คนก็ไม่ค่อยเยอะค่ะ ตอนจ่ายตังค์ถ้าจะทำ Tax Refund จะต้องไปจ่ายบริเวณด้านหลัง ตอนเราไปไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว พนักงานเลยเหมือนจะปิดบูธ Tax Refund แล้ว ตอนเราไปเขาเดินมาเปิดให้เราคนเดียวค่ะ วิธีการจ่ายก็ยื่นพาสปอร์ตไป ซึ่งภาษีสินค้าญี่ปุ่นตอนนี้เป็น 10% ค่ะตอนที่เราซื้อของที่ญี่ปุ่นเขาจะติดสองราคาคือราคาที่ยังไม่รวมภาษีกับราคาที่รวมภาษีแล้ว ซึ่งถ้าทำ Tax Refund ที่ตึกม่วงเขาก็จะไม่คิดราคาภาษีจะหักเป็นราคาสินค้าแบบไม่บวก Tax ให้เราเลยทันที
วันสุดท้ายยังมีเวลาก่อนขึ้นเครื่องเพราะเครื่องเราออกประมาณบ่ายสามค่ะ เลยแวะไปเดินตลาดซึกิจิไปหาร้านข้าวหน้าปลาดิบกิน หลายคนที่คิดว่าตลาดปลาซึกิจิย้ายไปแล้วไม่ใช่เหรอ แต่โซนที่ย้ายคือโซนประมูลปลาและโซนตลาดส่งออกอาหารทะเลเท่านั้น ในซึกิจิยังมีร้านอาหารอร่อยอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านซูชิชื่อดัง ร้านข้าวหน้าปลาดิบ ร้านข้าวหน้าเครื่องในวัว ร้านราเมนยืนกิน ร้านไข่หวานชื่อดัง มื้อนี้เราเลยจัดข้าวหน้าปลาดิบจานนี้ราคา 1600 เยนปิดทริปค่ะ
ถึงเวลาจะต้องบอกลาญี่ปุ่นแล้วค่ะ ไม่ขอเอ่ยคำว่าซาโยนาระ เพราะยังไงก็ต้องเจอกันใหม่แน่นอน ขอใช้คำว่า จ้า มาตาเนะ แล้วเจอกันใหม่นะเจแปน
สรุปค่าใช้จ่าย
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 14850 บาท
- ค่าที่พัก 5300 บาท
- ค่ากิน 5,000 บาท
- ค่าเดินทาง 5,000 บาท
- ค่าช้อปปิ้งและอื่นๆ 5,000 บาท
รวม 35,150
บทความแนะนำ:
- 10 ที่พักโตเกียวสำหรับครอบครัวหรือแก๊งค์เพื่อนเดินทางง่ายใกล้สถานีรถไฟเริ่มต้น 800 บาท / คน อัปเดตปี 2565
- ทริปเที่ยวญี่ปุ่นกับทัวร์ เส้นทางฮิโรชิม่า ฟุกุโอกะ เบปปุ ยุฟุอิน 6 วัน 4 คืน
- รวมแพ็คเกจทัวร์ญี่ปุ่น 2565 เที่ยวญี่ปุ่น ไหว้พระวัดดัง
Tags: ญี่ปุ่น เที่ยวต่างแดน เที่ยวญี่ปุ่น การเดินทางเข้าญี่ปุ่น มาตรการเข้าญี่ปุ่น ฟรีวีซ่าญี่ปุ่น รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวโตเกียว การเดินทางในโตเกียว สนามบินฮาเนดะ ฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ จองตั๋วไปญี่ปุ่น ตั๋วเครื่องบินญี่ปุ่น การกรอกMySOS การลงทะเบียนMySOS ญี่ปุ่น2022 ญี่ปุ่น2565 japan tokyo เที่ยวญี่ปุ่น2022 เที่ยวญี่ปุ่น2565 เที่ยวญี่ปุ่นหลังโควิด การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองโตเกียว จองที่พักญี่ปุ่น ที่พักโตเกียว จองที่พักโตเกียว ที่พักโตเกียวใกล้สถานีรถไฟ ที่พักญี่ปุ่นราคาประหยัด Travel Card การกดเงินที่ญี่ปุ่น ตม.ญี่ปุ่น visit Japan JNTO การท่องเที่ยวญี่ปุ่น Tokyo Wide Pass ตั๋วรถไฟญี่ปุ่น รถไฟใต้ดินโตเกียว ตั๋วรถไฟโตเกียว AIS Sim2fly โรงแรมโตเกียว ชิบุย่า ชินจูกุ อุเอโนะ คาวาโกเอะ โอไดบะ ภูเขาไฟฟูจิ ชิโมโยชิดา คาวากูจิโกะ นิกโก้ ซึกิจิ shibuya Shinjuku nilkko odaiba Kawaguchiko Kawagoe ueno งานเทศกาลญี่ปุ่น ย่านช้อปปิ้งญี่ปุ่น Omoide yokocho ที่เที่ยวโตเกียว ทัวร์ญี่ปุ่น ทัวร์โตเกียว บริษัททัวร์ญี่ปุ่น จองทัวร์ญี่ปุ่น จองทัวร์โตเกียว รถไฟญี่ปุ่น jr pass
เที่ยวต่างประเทศ | 12 พ.ย. 2024 | 203 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 819 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 1,148 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 24 ก.ย. 2024 | 857 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ย. 2024 | 1,668 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 30 ก.ค. 2024 | 2,582 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 19 ก.ค. 2024 | 5,210 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 2,541 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 1,003 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 18 เม.ย. 2024 | 3,745 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 21 ก.พ. 2024 | 5,720 อ่าน