calendar_month 04 ธ.ค. 2021 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 30,881 / ทริปตัวอย่าง
มีเวลาวันเดียวจะไปเที่ยวที่ไหนดี ก็นนทบุรีนี่ไงที่เที่ยวใกล้ๆ ที่คิดถึงเมื่อไรก็ไปได้ทุกเมื่อ แถมยังเป็นจังหวัดที่มีคาเฟ่เยอะ มีจุดถ่ายรูปเช็คอินสวยๆ อีกมากมาย วันนี้ชิลไปไหนเลยขอจัดทริปเที่ยวนนทบุรี ที่ได้ทั้งความสนุก ความสุข และความรู้อีกเพียบเลยล่ะค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ตามไปชมกันเลยดีกว่า
9.30 น.
เริ่มทริปเที่ยวนนทบุรีกันในยามเช้าทริปนี้ขอเติมพลังด้วยกาแฟและขนมอร่อยๆ ที่ร้าน the barn brasserie ร้านขนมและร้านกาแฟเปิดใหม่ล่าสุดในย่านบางกรวยค่ะ โดยตั้งอยู่ในซอยถนนสำเร็จพัฒนา ขับเข้าไปจะพบกับร้านตั้งอยู่ริมถนนมีที่จอดรถได้ทั้งบริเวณหน้าร้านและฝั่งตรงข้าม
ตัวร้านได้ฟีลเหมือนร้านขนมริมทางในชนบทของยุโรป การตกแต่งเป็นสไตล์วินเทจ ให้บริการแบบ Grab&GO คือไม่ได้เน้นนั่งทาน แต่ถ้าใครอยากนั่งทางร้านก็จะมีที่นั่งด้านนอกให้
ร้านนี้เปิดบริการมาได้ประมาณ 4 เดือนค่ะ เป็นร้านของพี่แป๋ม และพี่อุ้ยเจ้าของเดียวกับร้าน Wood cafe ย่านลาดพร้าววังหิน ด้วยความที่พี่แป๋มชอบทำขนม ส่วนพี่อุ้ยมาสายอินทีเรียร์ตกแต่ง เลยทำให้เกิดร้านขนมที่มีการตกแต่งที่น่ารัก น่าถ่ายรูปมากๆ ค่ะ และด้วยความที่ทั้งสองชอบทานกาแฟเลยเลือกกาแฟเมล็ดพันธุ์ดีมารังสรรค์เป็นกาแฟหอมอร่อยทานกับขนมที่อบสดใหม่ทุกวัน
วันที่เราไปเป็นช่วงที่พี่ๆ กำลังเปิดร้านเลยค่ะ ได้กลิ่นหอมกรุ่นของขนมออกมาจากตัวร้าน พี่แป๋มบอกกับเราว่ารอแป๊บนึงนะคะ ขนมกำลังทยอยออกจากเตา พี่อุ้ยเลยรับน่าที่เป็นบาริสต้าเสิร์ฟกาแฟให้เราได้ทานกันก่อน
ซึ่งกาแฟของทางร้านนั้นใช้เป็นกาแฟ House Blend จากเมล็ดกาแฟบราซิล และโคลัมเบีย 80% อีก 20% เป็นเมล็ดกาแฟไทยค่ะเมนูที่เราสั่งในวันนี้คือ Very Dirty (100 บาท) ซึ่งใช้ช็อตกาแฟเอสเปรสโซ่เข้มข้นเทไปบนนมสดเย็นจนเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ได้เป็นเลเยอร์กาแฟที่แยกชั้นกับนมสดเมื่อผสมผสานกันกลายเป็นกาแฟรสนุ่มละมุน หอม มัน อร่อยสุดๆ เลยค่ะ
สำหรับสายกาแฟกับน้ำผลไม้อยากได้เมนูเรียกความสดชื่นในยามเช้าแบบนี้ขอแนะนำ Orange with Espresso shot(125 บาท) ซึ่งใช้ช็อตกาแฟเอสเปรสโซ่เข้มข้นเทลงไปบนน้ำส้มคั้นสด ความหวานจากธรรมชาติ ทานแล้วสดชื่นช่วยรีเฟรชร่างกายได้ดีทีเดียวค่ะ ส่วนใครที่ไม่ใช่สายกาแฟพี่อุ้ยแนะนำเมนู Fruit Tea(100 บาท) ชาผลไม้ที่มีส่วนผสมของน้ำเสาวรส ส้ม มะม่วง เลม่อน เบลนด์กับน้ำผึ้งรส เปรี้ยวหวาน สดชื่นมากๆ ค่ะ
ไม่นานขนมที่เราสั่งก็ทยอยออกจากเตา มีทั้ง Red Velvet (125 บาท ) ขนมเค้กสีแดงเข้มเนื้อแน่น หวานน้อย ตัดกับครีมชีสที่มีความเค็มๆ มันๆ อร่อยสุดๆ ต่อด้วย Chocolate dusty (125 บาท) ที่เหมาะกับทานคู่กับกาแฟ Very Dirty มากๆ ค่ะ เค้กช็อกโกแลตสุดเข้มข้นหวานน้อยด้านบนราดด้วยคาราเมลและช็อกโกแลตซอส พร้อมกับโรยผงช็อกโกแลต ตกแต่งด้วยเคพกูสเบอร์รี่ที่มีรสเปรี้ยว บอกเลยว่าถ้าได้เริ่มทานจะหยุดไม่อยู่จริงๆ ค่ะ อีกเมนูที่เราชอบมากๆ กับ Lemon Drizzle (125 บาท) ทำจากบัตเตอร์เค้กหอม นุ่ม ละมุนลิ้นผสมผสานความเปรี้ยวของเลม่อน โรยด้วย Poppy Seed ให้ความกรุบๆ อร่อยมากๆ
เมนูสุดท้ายที่ได้ใจเราไปเต็มๆ กับพายไส้อั่ว (85 บาท) ที่เขาจะมีทำเฉพาะวันจันทร์ และวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้นค่ะ พายร้อนๆ ที่ด้านในเป็นไส้อั่วจากเมืองเหนือซึ่งพี่อุ้ยนำมาผัดมาปรุงใหม่ให้รสชาติอร่อย กลมกล่อมยิ่งขึ้นแล้วใส่ไปในเนื้อพายด้านใน บอกเลยว่าชิ้นเดียวไม่พอจริงๆ ค่ะ
ในส่วนภาชนะที่ร้านจะเน้นใช้ภาชนะที่ทำจากกระดาษ โดยลูกค้าเมื่อซื้อแล้วสามารถนำไปทานที่บ้าน หรือทานบนรถได้เลย ส่วนใครที่นั่งทานในร้านเมื่อทานเสร็จแล้วก็จะต้องนำขยะไปทิ้งในถังขยะที่ทางร้านจะแยกระหว่างพลาสติกกับกระดาษเอาไว้ แล้วนำถาดเสิร์ฟไปคืนที่หน้าร้าน เป็นระบบบริการแบบ Self Service ที่สะดวกสบายมากๆ ค่ะ
ที่ตั้ง : 49/15, ตำบล ศาลากลาง อำเภอบางกรวย นนทบุรี
เปิดบริการ : 9.30-17.00 น. ปิดทุกวันศุกร์(ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่ตรงกับวันศุกร์)
เบอร์ติดต่อ : 095 928 9924
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/BwJSpifQ5fRHnMzSA
10.30 น.
เมื่อเติมพลังในยามเช้ากันแล้วเราก็เดินทางไปต่อยัง ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง (EGAT Learning Center) บอกเลยว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ห้ามพลาดเมื่อมานนทบุรี เพราะเดินเพลิน ได้ทั้งความสนุก ความรู้ และได้รูปถ่ายกลับไปมากมายเลยล่ะค่ะ
ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง (EGAT Learning Center) ตั้งอยู่ที่ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี วิธีการเดินทางไปก็ง่ายค่ะ โดยสามารถขับรถมาได้ มีที่จอดรถสะดวกสบาย หรือจะนั่งเรือด่วนมาลงที่ท่าสะพานพระราม 7 ก็ได้ อีกวิธีที่สะดวกสุดๆ คือนั่ง MRT มาลงสถานี บางอ้อ แล้วต่อมอเตอร์ไซค์วินมาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น
ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 แบบนี้การเข้าชมภายในศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง (EGAT Learning Center) จะต้องมีการจองล่วงหน้าค่ะ เพราะจำกัดการเข้าชมต่อวัน รอบละ 10 คน ตั้งแต่เวลา 9.00-15.00 น. (เปิดให้เข้าชมทุกวันยกเว้นวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) และผู้เข้าชมจะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือมีการตรวจ ATK หรือ RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเข้าชม โดยเป็นมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างรัดกุมเพื่อให้ผู้ที่เยี่ยมชมได้รับความมั่นใจและปลอดภัยในการเยี่ยมชม
ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง (EGAT Learning Center) แห่งนี้เป็นหนึ่งใน 8 ศูนย์การเรียนรู้ของ กฟผ. ที่เปิดทำการทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลางแห่งนี้, ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง, พิพิธภัณฑ์ถ่านหินลิกไนต์ศึกษา (เหมืองแม่เมาะ) เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, ศุนย์การเรียนรู้ กฟผ.เขื่อนศรีนครินทร์ (ราชานุรักษ์), ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. จะนะ (พลังคิด) และศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ทับสะแก (พลังคิด ดี) ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ และ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
การออกแบบตัวอาคารของ EGAT Learning Center ได้แรงบันดาลใจมาจากเส้นสายของพลังงานธรรมชาติ ซึ่งเส้นโค้งสองเส้นที่สอดประสานกันก็เหมือนกับการหมุนเวียนพลังงานโดยที่ไม่สิ้นสุด และสิ่งที่น่าทึ่งคือแนวคิดการออกแบบอาคารแห่งนี้ให้เป็น “อาคารเขียว” ตามมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ระดับ Platinum ประเภทการออกแบบและก่อสร้างอาคารใหม่ ของสภาอาคารเขียว ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยภายใน EGAT Learning Center จะมีทั้งหมด 4 ชั้นค่ะ แบ่งเป็นส่วนโซนนิทรรศการทั้งหมด 7 โซนที่จะอยู่บริเวณชั้น 2 - 4 ซึ่งเมื่อเราเข้ามาก็จะต้องผ่านขั้นตอนการวัดอุณหภูมิ และลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ไทยชนะบริเวณชั้น 1 ก่อนที่จะเดินเข้าสู่บริเวณชั้น 2 ซึ่งเป็นจุดลงทะเบียน โดยสามารถเลือกเดินขึ้นบันได หรือใครที่พาผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือผู้ที่ใช้วีลแชร์มาก็สามารถเลือกใช้บริการลิฟต์ได้ค่ะ สะดวกสบายมากๆ
โซนแรกคือโซน “จุดประกาย” บริเวณชั้น 2 ซึ่งเมื่อมาถึงทางเจ้าหน้าที่ก็ให้เราไปชมวีดิทัศน์เกี่ยวกับเรื่องราวของ EGAT Learning Center และมาตรการการเข้าชมแบบนิวนอร์มอล โดยจะมีการเว้นระยะห่าง และมีการทำความสะอาดบริเวณพื้นผิวสัมผัสต่างๆ ภายในศูนย์ฯ อยู่เสมอ
เมื่อฟังบรรยายกันเสร็จแล้วก็ถึงเวลาไปลงทะเบียนเพื่อเข้าไปสัมผัสความสนุกในศูนย์แห่งนี้ค่ะ โดยเขาจะให้การ์ดอิเล็กโทรนิกส์ หรือ RFID ในการทำกิจกรรม จากนั้นนำการ์ดไปลงทะเบียนด้วยการถ่ายรูปตัวเราที่ตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติพร้อมเลือกอวาตาร์ (Avatar) ตัวเราที่มีให้เลือกทั้งผู้หญิง ผู้ชายทั้งหมด 6 คาแรกเตอร์ แล้วให้เรากำหนดชื่อ กรอกอีเมลเพื่อรับข้อมูลต่างๆ ของศูนย์ฯ ที่จะส่งไปในที่อยู่อีเมลที่เราได้กรอกเอาไว้
โถงตรงกลางมีบันไดเลื่อนที่นำเราไปสู่ชั้นบน ก่อนขึ้นไปก็อย่าลืมไปแตะมือทักทายกับน้องพาวเวอร์มาสคอตประจำศูนย์แห่งนี้ตัวแทนแห่งความทุ่มเทในการผลิตไฟฟ้าที่มีความสูงเกือบ 5 เมตร ซึ่งพอแปะมือปุ๊บน้องพาวเวอร์เขาจะกะพริบตาทักทายเราด้วยค่ะ น่ารักมากๆ
เส้นทางในการเข้าชมครั้งนี้เราจะต้องไปเริ่มต้นที่ชั้นบนสุดค่ะ คือบริเวณชั้น 4 ด้านบนจะเจอน้องแฮปปี้มาสคอตอีกตัวของศูนย์ ตัวแทนแห่งความสุขที่รอทักทายเรา ซึ่งน้องพาวเวอร์และน้องแฮปปี้ก็สร้างมาจากสโลแกนของ กฟผ. นั่นก็คือ “ผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย”
โซนที่ 2 คือ “จากแสงแรก สู่แสงนิรันดร์” โซนนี้เป็นโซนที่เราชอบมากๆ ค่ะ เพราะได้ชมภาพยนตร์ 4 มิติ From First to Long Lasting Light โดยจอที่ให้เราได้ชมเป็นจอที่กว้างแบบ 180 องศา ใหญ่อลังการรอบตัวกันเลยทีเดียวค่ะ แถมบริเวณพื้นยังมีเทคนิคอินเตอร์แอคทีฟที่เหมือนเราเดินอยู่ในน้ำ และจะกระเพื่อมทุกครั้งเมื่อเราก้าวไป
โซนที่ 3 “คืนสู่สมดุล” โซนนี้จะจำลองโลกอนาคตที่ตัวเรา ธรรมชาติและเทคโนโลยีอยู่ด้วยกัน โดยตรงกลางจะมีต้นไม้แห่งชีวิตให้เราได้ลองสร้างพลังงานจากพลังกลด้วยการกระโดด และใช้มือตบกับพื้นผิวจนเกิดเป็นพลังงานไฟฟ้าสร้างแสงและเสียง โดยใช้หลักการที่เรียกว่า เพียโซอิเล็กทริกซิตี้ (Piezoelectricity) คือการใช้แผ่นผลิตพลังงานซึ่งทำจากวัสดุที่มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนพลังงานกลต่างๆ เช่น แรงดัน การสั่น หรือแรงกระทำอื่นๆ ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า บอกเลยว่าเป็นจุดที่สนุกสนานมากๆ ค่ะ นอกจากนี้ยังมีเกมให้เราลองสร้างบ้านและสร้างเมืองอัจฉริยะ โดยใช้การ์ดที่ได้มาแตะที่แป้นเพื่อเล่นเกม สามารถเล่นแข่งกับเพื่อนเพื่อสะสมคะแนนได้อีกด้วย
จากนั้นมาชมการปลูกพืชในอาคาร ซึ่งเป็นแนวคิดการทำเกษตรแห่งโลกอนาคต โดยเป็นการเปลี่ยนการเกษตรแนวราบสู่การเป็นการเกษตรแนวตั้ง และใช้เทคโนโลยีในการควบคุมน้ำ สารอาหาร แสงและอุณหภูมิ
เดินออกมาด้านนอกเราก็จะพบกับสวนดาดฟ้าซึ่งเป็นสวนสีเขียวที่ช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่อาคาร ช่วยให้อาคารประหยัดพลังงาน และลดปรากฏการณ์เกาะร้อน และมีการใช้ระบบน้ำหมุนเวียนโดยนำน้ำเสียของอาคารไปบำบัดแล้วนำกลับมาใช้รดน้ำต้นไม้เป็นการช่วยประหยัดค่าน้ำประปาได้อีกด้วย บริเวณนี้ยังเป็นจุดถ่ายรูปสุดฮิตที่เราสามารถชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้จากตัวอาคารกันเลยค่ะ
เข้าสู่โซนที่ 4 นั่นคือ “สายน้ำแห่งความภูมิใจ” โซนนี้เซอร์ไพรส์มากๆ เพราะมีหุ่นยนต์ Robot น้อง Engy ที่สามารถเคลื่อนไหวได้สามารถกล่าวทักทายเราได้ด้วยค่ะ น้อง Engy มาต้อนรับเราและพาเราชมการแสดงสายน้ำแห่งความภูมิใจ โดยใช้เทคนิคเปลี่ยนภาพขาวดำบนผนังให้กลายเป็นภาพสีสันสดใสเล่าเรื่องราวการออกเดินทางจากป่าต้นน้ำ สู่แม่น้ำเจ้าพระยาตามภารกิจผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย จากนั้นเมื่อการแสดงจบลง ม่านในห้องจะเปิดออกเผยให้เห็นภาพแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงามด้านนอก พร้อมกันนั้นยังมีกิมมิคสนุกๆ โดยจะมีจอ 3 จอที่ใช้ภาพแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเรียลไทม์ ผสานกับเทคนิค AR โดยจอแรกแสดงภาพความสมบูรณ์ของแม่น้ำเจ้าพระยา จอที่สองมีน้องพาวเวอร์และน้องแฮปปี้ออกมาทักทาย ส่วนจอสุดท้ายฉายภาพแม่น้ำเจ้าพระยาในอนาคต
ลงจากชั้น 4 มายังชั้น 3 เพื่อมายังโซนที่ 5 ค่ะ คือ “โซนนวัตกรรมเพื่อชีวิต” โซนนี้จะเป็นโซนที่ทำให้เราได้เรียนรู้ประวัติการพัฒนาพลังงานจากอดีตสู่ปัจจุบันของพลังงานในเมืองไทยและในโลก รวมถึงได้เรียนรู้เรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงงานไฟฟ้าต่างๆ
เข้าสู่โซนที่ 6 “โลกที่ยั่งยืน” โซนนี้ให้เราได้รู้ระบบการผลิตพลังงานของทั่วโลก ว่าแต่ละประเทศเขาใช้พลังงานจากไหน และได้รู้เรื่องราวอนาคตไฟฟ้าของอาเซียนที่แต่ละประเทศจะมีการแชร์พลังงานกัน พร้อมกันนั้นยังมีจอที่แสดงผลความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยแยกย่อยไปในแต่ละภูมิภาคเทียบกับกำลังการผลิตและจ่ายไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ให้อีกด้วย เลยทำให้รู้ว่าแม้ว่าความต้องการจะมากกว่ากำลังการผลิต แต่ไฟฟ้าก็ไม่ดับเพราะมีการแชร์พลังงานจากโรงไฟฟ้าหนึ่งมาสู่โรงไฟฟ้าหนึ่งได้ด้วย
โซนสุดท้าย โซนที่ 7 “แสงนิรันดร์” โซนนี้พอเข้ามาเหมือนเรากำลังอยู่ในจักรวาลที่มีมวลหมู่ดาวและแสงมากมาย เป็นจุดที่ถ่ายภาพออกมาแล้วสวยฮิปมากๆ โดยจะเป็นโซนสุดท้ายที่จะสรุปกิจกรรมทั้งหมด พร้อมกับสรุปผลคะแนนจากที่เราทำกิจกรมทั้งหมดมา และมีการจัดอันดับคนที่ได้มากที่สุดด้วยค่ะ โดยสุดท้ายจะขึ้นอวาตาร์ตัวเราบนจอพร้อมกับอวาตาร์ของคนอื่นให้เราออกไปค้นหาอวาตาร์ของตัวใครเจอแล้วก็อย่าลืมถ่ายรูปเก็บไว้นะคะ
ปิดท้ายมาถ่ายรูปเท่ๆ ไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อยด้วยกล้องแบบ 360 องศา โดยกล้องจะเคลื่อนตัวรอบตัวเรา ให้เราได้ลองกระโดดภาพที่ได้จะเหมือนว่าเรากำลังลอยค้างอยู่ในอากาศ เท่สุดๆ กันไปเลย ซึ่งภาพเหล่านี้เขาก็จะส่งมาให้ทางอีเมลที่เราลงทะเบียนไว้ในตอนแรกนั่นเองค่ะ
จากนั้นลงมาที่บริเวณชั้น 2 แวะซื้อของที่ระลึกกันสักนิด โดยที่นี่มีตุ๊กตาน้อง ENGY ซึ่งเป็นมาสคอตของทาง กฟผ. ให้ซื้อกลับบ้านไปนอนกอดอีกด้วยค่ะ มีให้เลือก 2 ไซส์ ไซส์ S ราคา 209 บาท และไซส์ M ราคา 359 บาท
ทริปนี้เรายังไม่จบนะคะเพราะทางเจ้าหน้าที่แนะนำให้เราไปชมบ้านรักษ์พลังงาน เรากับคุณแฟนกำลังมีแพลนสร้างบ้านอยู่แล้วด้วยเลยขอไปยลโฉมหน่อย ซึ่งบอกเลยว่าน่าทึ่งมากๆ เพราะเขาให้ความสำคัญตั้งแต่โครงสร้างผนังที่ใช้อิฐมวลเบาประหยัดพลังงานเบอร์ 5 และสีที่ทาภายในก็ใช้ประหยัดพลังงานเบอร์ 5 ในส่วนโครงสร้างเหนือฝ้าก็ใช้ฉนวนใยแก้วกันความร้อน ใช้ฝ้ายิปซั่มบอร์ดฉาบเรียบ ในส่วนกระจกก็ใช้สารเคลือบ LOW-E ทำให้เป็นบ้านที่เข้ามาแล้วรู้สึกเย็นสบายแม้ข้างนอกจะร้อนขนาดไหน รวมทั้งยังมีการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าและเลือกใช้เครื่องไฟฟ้าที่มีสัญลักษณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 เลยทำให้บ้านนี้เป็นบ้านที่น่าอยู่ ค่าไฟไม่บาน มีระบบบำบัดน้ำเสียที่ดีเยี่ยม เห็นแล้วอยากมีแบบนี้สักหลังกันเลยค่ะ
อ๊ะสำหรับใครที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ก็สามารถนำมาชาร์จไฟได้เลยค่ะโดยที่นี่จะมีจุดชาร์จไฟ 2 จุด โดยมีให้เลือกแบบชาร์จธรรมดาและ Quick Charge 90 kw ใช้งานง่ายโดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Elexa แล้วนำมาสแกนคิวอาร์โค้ดก็สามารถชาร์จไฟได้แล้วค่ะ เป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ
ที่ตั้ง : การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 53 หมู่ 2 ถ.จรัญสนิทวงศ์ ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
เปิดบริการ : วันอังคาร – วันอาทิตย์ 09:00-16:00 น. หยุดวันจันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
เข้าชมฟรี
เบอร์ติดต่อ : 02-436-8953
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/9g9sdA21KWzLx7VR6
13.00 น.
จบทริปสุดสนุกภายใน EGAT Learning Center กันแล้วท้องก็เริ่มหิวเลยขับรถไปทานอาหารอร่อยที่ร้านคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆ นั่นคือร้าน Petit Cottage ซึ่งจาก EGAT Learning Center ขับรถไปประมาณ 10 นาทีเท่านั้นก็จะพบกับร้าน Petit Cottage ตั้งอยู่ริมถนนสามารถจอดรถบริเวณด้านหน้าร้านได้เลยค่ะมีที่จอดรถได้ประมาณ 10 คัน
ตัวร้านดีไซน์เป็นสไตล์คอทเทจได้อารมณ์บ้านน้อยในชนบทของประเทศอังกฤษ บอกเลยว่าน่ารักทั้งภายนอกภายใน ซึ่งพอเปิดประตูเข้าไปก็เหมือนเข้าไปในบ้านเพื่อนชาวอังกฤษ มุมแต่ละมุมตกแต่งได้น่ารัก พร้อมกับมีของตกแต่งกระจุกกระจิกวางไว้ในทุกมุมของร้าน ทำให้ได้ความรู้สึกถึงบรรยากาศที่อบอุ่น
สำหรับเมนูของร้าน Petit Cottage มีให้เลือกทั้งเมนูทานเล่น สลัด อาหารจานเดียว สเต็ก พาสต้า เครื่องดื่มชากาแฟ สมูตตี้ อิตาเลียนโซดา และเมนูเค้กที่อยู่ในตู้เค้กละลานตาสุดๆ ด้วยความที่ใช้พลังานที่ EGAT Learning Center ไปเยอะมากๆ เราสองคนเลยสั่งทั้งเมนูคาว และหวาน มาแบบจัดเต็มกันเลยค่ะ
เริ่มต้นที่เครื่องดื่มกับเมนู Matcha Latte เย็น (90 บาท) มัทฉะเข้มข้น หอม มัน หวานน้อย ใครชอบชาเขียวต้องห้ามพลาด อีกเมนูคนรักกาแฟส้มอย่างเราก็ไม่เคยปันใจไปให้ใครอื่นมาร้านกาแฟทีไรถ้ามีเมนู Orange Espresso (90 บาท) ก็ต้องสั่งแทบทุกครั้ง รสชาติหวานน้อย ผสมผสานกับความเข้มของกาแฟกลมกล่อมสุดๆ
ส่วนอาหารเราสองคนสั่งข้าวหมูอบโรสแมรี่(129 บาท) และสเต็กไก่เปอติ๊ด(189 บาท) พร้อมกันนั้นยังสั่งเมนูมาทานเล่น อาทิผักโขมอบชีส(99 บาท) และหัวหอมทอด (99 บาท) ทอดกรอบ ร้อนๆ อร่อยมากๆ
ปิดท้ายด้วยของหวานที่ยกให้เป็นเดอะเบสท์กันเลยค่ะกับเมนูเค้กมะพร้าวอ่อน(129 บาท) เนื้อนุ่มละมุนลิ้นทานแล้วสดชื่นจนขอยกให้เป็นหนึ่งในเค้กมะพร้าวที่อร่อยที่สุดที่เคยทานมากันเลยค่ะ อีกเมนูกับบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก(139 บาท) ชีสเค้กเนื้อแน่น นุ่ม เนื้อชีสแบบเต็มปากเต็มคำมากๆ
ที่ตั้ง : 58 หมู่ 9 ต ตำบล บางกรวย อำเภอบางกรวย นนทบุรี
เปิดบริการ : วันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา 9.30-18.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 098 990 1617
พิกัด GPS : https://g.co/kgs/HxJtSb
15.00 น.
หลังจากทานอาหารกันจนอิ่มแปล้ ก็ได้เวลาไปหาที่เดินย่อยกันแล้วค่ะ ซึ่งที่ต่อไปเราปักหมุดจุดเช็คอินสุดฮิตในนนทบุรีนั่นก็คือ Street Art นนทบุรี ซึ่งอยู่บริเวณใต้สะพานมหาเจษฎาบดินทร์ทรานุสรณ์ ฝั่งบางศรีเมือง โดยสามารถจอดรถได้บริเวณริมถนนได้เลย
บริเวณทางเข้ามีป้ายแนะนำวิธีการชมโดยเราจะต้องไปโหลดแอปพลิเคชั่นที่ชื่อ Recall จากนั้นก็เปิดแอพฯ แล้วนำไปสแกนที่ภาพวาดซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวในจังหวัดนนทบุรี ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว วิถีชีวิต ผู้คน ทั้งหมด 36 ภาพที่สามารถสแกนได้ ซึ่งพอนำไปสแกนเท่านั้น ภาพวาดธรรมดาก็กลายเป็นภาพ AR ที่มีชีวิตแล้วทะลุออกมาจากจอกันเลยทีเดียว
ทั้งภาพคุณป้าขายทุเรียนในตลาดน้ำวัดตะเคียน พอส่องปุ๊บคุณป้าก็เหมือนมีชีวิตจริงๆ ยื่นทุเรียนทะลุจอมาให้เราเลยทีเดียว ที่ตกใจสุดๆ ก็ต้องภาพจระเข้เลยค่ะ ซึ่งพอนำไปสแกนปุ๊บจระเข้ก็ทะลุกำแพงออกมาเกรี้ยวกราดใส่เรากันเลยทีเดียวภาพน้องเข้อีกตัวที่ทำออกมาได้น่ากลัวเป็นเหมือนเทรลเลอร์เปิดในหนังสัตว์ประหลาดฮอลลีวู้ดกันเลยทีเดียว
เราสองคนต่างวิ่งถ่ายรูปกันจนเพลิดเพลินเลยเวลาไปเย็นย่ำจนท้องเริ่มร้องกันอีกแล้วค่ะ เลยโบกมือลา Street Art สุดสนุกแห่งนี้ ไปยังสถานที่ต่อไปปิดทริปในครั้งนี้
ที่ตั้ง : ถนนราชพฤกษ์ - นนทบุรี 1 บางศรีเมือง อำเภอเมืองนนทบุรี นนทบุรี
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/jFuVEoxxTzKmC7ww5
17.00 น.
ที่สุดท้ายเราปักหมุดเอาไว้ที่ร้าน The Waterside at Chesadabodin ซึ่งไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเพราะอยู่ฝั่งตรงข้ามเราแค่นี้เองค่ะ แต่การเดินทางอาจจะมีหลง มีงงกันสักนิด โดยถ้าขับมาจากสตรีทอาร์ทขึ้นสะพานมหาเจษฎาบดินทร์ฯ ปุ๊บก็ชิดซ้ายไปตามป้ายสะพานพระนั่งเกล้า พอลงสะพานก็ชิดขวาเตรียมกลับรถตรงหน้าวัดกลางบางซื่อ แล้วขับตรงมาไปตามป้ายถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี แล้วชิดขวาสุดเตรียมกลับรถ พอกลับรถแล้วชิดซ้ายสุดเลยค่ะ แล้วจะมีทางมายังร้าน บริเวณหน้าร้านมีที่จอดรถสะดวกสบาย
แม้ทางจะซับซ้อนหน่อยแต่พอขับรถเข้ามาก็ประทับใจกับการต้อนรับของพี่ๆ ที่นี่มากๆ โดยเฉพาะพี่นิกกี้เจ้าของร้านที่ทักทายพูดคุยกับเราอย่างเป็นกันเอง
ตัวร้านมีทั้งบริเวณอินดอร์ด้านในซึ่งจะเป็นโซนคาเฟ่ขายขนมเค้กและเครื่องดื่มชากาแฟ ตอนกลางวันที่อากาศร้อนๆ ก็สามารถแวะมาพักทานขนมในห้องแอร์เย็นๆได้ และโซนเอาท์ดอร์ด้านนอกริมน้ำที่เหมาะกับการมานั่งชิลชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาในยามเย็นมากๆ ค่ะ
เราจองที่นั่งริมน้ำที่สามารถชมวิวสะพานมหาเจษฎาบดินทร์ฯได้อย่างชัดเจน พี่นิกกี้บอกว่าเสียดายวันนี้พระอาทิตย์ขี้เกียจเลยไม่ออกมาให้เราได้ชม ซึ่งถ้าวันไหนฟ้าเปิด ไม่มีเมฆมาบดบังเราก็จะได้พบกับคุณพระอาทิตย์ที่กำลังตกไปตรงหน้าเรากันเลยค่ะ
มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเปิดเมนูสั่งเมนูเด็ดของร้านนี้มาเพียบเลยล่ะค่ะ เพราะเมนูแต่ละเมนูน่ากินแถมราคายังไม่แพงอีกด้วย มาดูกันว่าเมนูที่เราสั่งมามีอะไรบ้าง เริ่มต้นจากกุ้งแม่น้ำ(กิโลกรัมละ 1,600 บาท) ไซส์ยักษ์มันเยิ้ม ขนาดใหญ่ 3 ตัว/กิโลกรัม เนื้อเด้งหวานตอนทานราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ทางร้านตำเองฟินสุดๆ
ต่อด้วยแกงรัญจวนหมู(200 บาท) ซึ่งเป็นแกงโบราณในรัชกาลที่ 5 โดยสูตรนี้พี่นิกกี้เล่าว่าใช้น้ำพริกกะปิคุณยาย กลิ่นหอม รสกลมกล่อมรัญจวนสมชื่อจริงๆ ค่ะ
มาต่อที่ หมูสามชั้นคั่วพริกเกลือ(200 บาท) บอกเลยว่าเมนูนี้ใครที่กำลังลดความอ้วนถ้าได้ลองกินคำนึงแล้วตบะแตกแน่นอน เพราะมันกรุบ มันกรอบ มันอร่อยจนวางช้อนไม่ลง ตัวหมูสามชั้นก็ทอดกรอบได้แบบไร้น้ำมันมากๆ
จานต่อไปคือปลาเค็มทรงเครื่อง (220 บาท) จานนี้เป็นสูตรของคุณยายพี่นิกกี้ค่ะ ปลาอินทรีย์ชิ้นโตที่ส่งมาจากทะเลประจวบฯ นำมาทอด ปรุงรสด้วยพริก มะนาว หอมแดงทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยสุดๆ
ส่วนใครอยากทานปลาเราขอแนะนำปลากะพงสมุนไพร(380 บาท) ไซส์ใหญ์ 8-9 ขีด นำมาทอดจนด้านนอกเหลืองกรอบ ด้านในเนื้อนุ่มฟู ราดด้วยน้ำยำ ที่ใส่ทั้ง พริกแห้ง มะม่วง เม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มความกรุบกรอบ
นอกจากนี้ก็ยังมียำวุ้นเส้นโบราณ(160 บาท) ที่ใส่หมูสับ กับกุ้งสด รสชาติจัดจ้าน ยำถั่วพลู(200 บาท) รสชาติกลมกล่อมทานกับกุ้งตัวโตๆ
หมูคลุกสวนวอเตอร์ไซด์(200 บาท) ที่ใช้เนื้อหมูมาผัดกับเครื่องสมุนไพรที่ทางร้านปลูกเองไม่ว่าจะเป็นใบโหระพา ยี่หร่า และกะเพรารสชาติจัดจ้านอร่อยมากๆ
ปิดท้ายกับข้าวผัด The Waterside(150 บาท) ข้าวผัดโบราณจานยักษ์ผัดกับหอมแดง และมะม่วงกึ่งสุกกึ่งดิบ ตัวเมล็ดข้าวผัดได้แบบแห้ง ร่วน บีบมะนาวนิดๆ โอ๊ยยยฟินลื้มมมม
ส่วนเมนูเครื่องดื่มและขนมก็อร่อยไม่แพ้กันค่ะ เพราะทางร้านจะเน้นรสชาติที่หวานน้อยทั้งตัวเครื่องดื่มและขนม อาทิ ชาเย็น กาแฟเย็น บลูฮาวาย และอัญชันมะนาว เมนูเครื่องดื่มเย็นเริ่มต้นที่ 60 บาท แตงโมปั่น 70 บาท ส่วนเค้กร้านนี้ก็อร่อยมากๆ ค่ะ ซึ่งพี่นิกกี้เคยไปใช้ชีวิตอยู่อังกฤษถึง 15 ปี จึงมีการใช้จาน สไตล์อังกฤษนำมารองขนมสุดอร่อยไม่ว่าจะเป็น สโคน Redvelvet Cake และ Carrot Cake ที่ฟีลนั่งทานในอังฤษแถมราคายังถูกมากๆ เค้กเริ่มต้นเพียง 55 บาทเท่านั้น สวนทางกับรสชาติที่อร่อยและใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพมากๆ
ส่วนใครอยากฟังดนตรีสดเพราะๆ แนะนำมาในคืนวันศุกร์ และเสาร์ค่ะ จะมีวงดนตรีสดมาบรรเลงเพลงเพราะๆ ไปพร้อมกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาสวยๆ ตรงหน้า โดยคืนวันศุกร์จะเป็นเพลงสากลย้อนยุควัยโจ๊อย่างเพลงของวง The Beatles ส่วนวันเสาร์จะเป็นเพลงไทยยุค 80 ค่ะ จะบรรเลงให้ฟังตั้งแต่เวลา 18.30 - 21.00 น.
ที่ตั้ง :199 หมู่2 ถ.นนทบุรี 1 ต สวนใหญ่ อ.เมือง นนทบุรี
เปิดบริการ : เวลา 11.30 - 22.00 น. (หยุดวันจันทร์)
เบอร์ติดต่อ : 098 449 6459
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/69xvtuSEEhHHwrRc7
ปิดทริปเที่ยวนนทบุรี แบบวันเดียวก็เที่ยวได้สุดฟิน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำที่เต็มไปด้วยความประทับใจทั้งที่เที่ยว อย่าง ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง (EGAT Learning Center) ที่มาช่วยเปิดโลกเกี่ยวกับพลังงานของเราสองคนให้กว้างไกลยิ่งขึ้น แถมยังเดินเพลินมากๆ รวมทั้งร้านอาหาร และร้านคาเฟ่ในจังหวัดนนทบุรีที่วันนี้เราสองคนได้ตระเวนไปทานมา บอกเลยว่าทุกร้านอาหารอร่อยแถมพี่ๆ เจ้าของร้านยังน่ารักทุกร้านอีกด้วย ใครอยากลองเที่ยวใกล้ๆ แบบนี้เหมือนกับเราสองคนก็ลองจัดทริปมาเที่ยวนนทบุรีกันดูนะคะ
Tags: นนทบุรี ทริปตัวอย่าง เที่ยวนนทบุรี ที่เที่ยวนนทบุรี ที่กินนนทบุรี ร้านอาหารนนทบุรี คาเฟ่นนทบุรี the barn brasserie ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง EGAT Learning Center Petit Cottage Street Art นนทบุรี The Waterside at Chesadabodin ร้านนนทบุรี ร้านริมน้ำนนทบุรี คาเฟ่เปิดใหม่นนทบุรี ร้านอร่อยนนทบุรี
ทริปตัวอย่าง | 18 ธ.ค. 2024 | 106 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 12 ธ.ค. 2024 | 298 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 07 ธ.ค. 2024 | 390 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 27 พ.ย. 2024 | 513 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 26 พ.ย. 2024 | 732 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 11 พ.ย. 2024 | 1,044 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 01 ธ.ค. 2024 | 481 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 08 พ.ย. 2024 | 911 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 28 ต.ค. 2024 | 1,243 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 1,404 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 08 ต.ค. 2024 | 1,765 อ่าน