calendar_month 11 พ.ค. 2021 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 130,844 / สถานที่ยอดนิยม
ถ้าพูดถึง “จังหวัดสตูล” สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงก็คือเกาะหลีเป๊ะ เกาะสวยน้ำใส ที่ได้ชื่อว่ามัลดีฟส์เมืองไทย
แต่ “สตูล” ไม่ได้มีเพียงเกาะหลีเป๊ะ…..เพราะ “สตูล” นั้นงดงาม และทรงพลังมากกว่านั้น
องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้ “อุทยานธรณีสตูล”(Satun Geopark) เป็นอุทยานธรณีโลกแห่งแรกในเมืองไทย Satun UNESCO Global Geopark เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 ความสวยงามของสตูลจึงไม่ได้หยุดอยู่เพียงเมืองไทย เพราะสตูลคือความสวยงามระดับโลก
การเที่ยวสตูลครั้งนี้ของเราจึงเป็นการไปเที่ยวแบบเจาะลึกจังหวัดสตูล ทั้งที่เที่ยวระดับโลก ภูมิปัญญาแห่งชุมชน พร้อมกับแนะนำร้านอาหารน่านั่ง รวมถึงที่พักน่าพักในสตูล ถ้าพร้อมไปทำความรู้จักสตูลแบบแท้ๆ สตูลแบบเรียลๆ กันแล้วก็ตามไปชมกันได้เลย
ก่อนจะไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดสตูล เรามาเริ่มทำความรู้จักสตูลภายในอำเภอเมืองสตูลกันค่ะ เมืองเล็กๆ สุดน่ารักที่ล้อมรอบด้วยภูเขาหินปูน ซึ่งเป็นเมืองแห่งพหุวัฒนธรรมทั้งไทย จีน มุสลิม ที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว โดยถ้ามาในเมืองสตูลคุณจะได้เห็นทั้งวัด ศาลเจ้า และมัสยิดที่อยู่ภายในละแวกเดียวกัน สำหรับการเริ่มต้นทำความรู้จักเมืองนี้ขอแนะนำนำว่าต้องมาเริ่มต้นที่นี่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล คฤหาสน์กูเด็น” กันก่อน เพราะที่นี่รวบรวมเรื่องราวตั้งแต่เริ่มต้นสร้างเมืองสตูลให้เราได้ชมแบบเข้าใจง่ายภายในบรรยากาศของคฤหาสน์เก่า ซึ่งก่อนเข้าก็ต้องตรวจวัดอุณหภูมิพร้อมลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ไทยชนะเพื่อเป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 กันก่อน
ประวัติของคฤหาส์หลังนี้นั้นสร้างขึ้นโดยพระยาภูมินารถภักดี หรือตวนกูบาฮารุดดิน บินตำมะหงง เจ้าเมืองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ปี พ.ศ.2441-2459) ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโรเนียล สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อคราที่เสด็จมายังหัวเมืองปักษ์ใต้แต่มิได้ประทับแรม ต่อมาจึงใช้เป็นบ้านพักและศาลาว่าการเมืองสตูล เป็นกองบัญชาการทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นศาลากลางจังหวัด เป็นอาคารเรียน เป็นสำนักงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ปัจจุบันอาคารแห่งนี้ได้รับการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูลและขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติในปี พ.ศ.2531
ตัวอาคารมี 2 ชั้นค่ะ ชั้นที่ 1 จะแบ่งห้องจัดแสดงเป็น 4 ห้องได้แก่ ห้องประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นห้องจำหน่ายตั๋วเข้าชมและของที่ระลึกต่างๆ ห้องข้อมูลข่าวสาร ห้องภูมิหลังเมืองสตูลซึ่งเราชอบห้องนี้มากๆ เลย โดยเขาจะจัดแสดงประวัติศาสตร์ของเมืองสตูล วิถีชีวิตชาวซาไก เรื่องราวของเกาะตะรุเตา โดยมีปุ่มให้เรากดฟังเสียงได้เลยค่ะ แต่ละเรื่องราวก็น่าสนใจมากๆ ห้องสุดท้ายสำหรับชั้นนี้จะเป็นห้องแสดงวิถีชีวิตชาวสตูล วิถีชิวิตชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งเราก็เพิ่งรู้ว่าเกาะหลีเป๊ะมีประเพณีอย่างล่องเรือบูชาพระจันทร์ด้วยและอีกหลายเรื่องราวที่น่าสนใจ ฟังเพลินไม่มีเบื่อเลยค่ะ
ขึ้นไปชั้น 2 ด้านบนจะมีห้องจัดแสดงอีก 5 ห้อง อาทิ ห้องจัดแสดงนิทรรศกาลชั่วคราว ห้องบ้านเจ้าเมืองที่มีการจัดแสดงแบบจำลองเครื่องเรือนที่พระยาภูมินารถภักดีเคยใช้ ทั้งมุมห้องนอนและห้องทำงาน ห้องรับแขกร่วมสมัยคฤหาสน์กูเด็น ต่อด้วยการจำลองบ้านดั้งเดิมของชาวสตูล และห้องสุดท้ายจะเป็นห้องวัฒนธรรมชาวไทย-มุสลิมในสตูล โดยมีการให้ความรู้เรื่องพิธีแต่งงาน การละหมาด การทำสุหนัตให้เราได้ความรู้กันด้วย
“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล คฤหาสน์กูเด็น”
ที่ตั้ง : ถนนสตูลธานี ซอย 5 ตำบลพิมาย อำเภอเมือง จังหวัดสตูล
เปิดบริการ : วันพุธ-วันอาทิตย์ เวลา 9.00-16.00 น.
ค่าเข้า : คนละ 10 บาท
เบอร์ติดต่อ : 074-723140
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/Q8yRApze5DthTJUC9
เมื่อได้รับทราบประวัติความเป็นมาของเมืองสตูลกันแล้วเราจะขอพาเพื่อนๆ ไปถ่ายรูปฮิปๆ ที่ "Satun Street Art" ซึ่งในตัวเมืองสตูลมีสตรีทอาร์ตให้เราได้ตามหามากถึง 17 จุด โดยทุกจุดสามารถเดินถ่ายรูปได้เลยค่ะ ไม่ไกลกันเท่าไร เดินเพลินมากๆ และระหว่างเส้นทางก็มีร้านคาเฟ่น่ารักที่ตั้งอยู่ภายในอาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีสให้เรานั่งพักกันด้วย
จุดแรกของ Satun Street Art จะอยู่ที่คฤหาสน์กูเด็นเลยค่ะ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเข้าพิพิธภัณฑ์บนผนังร้านโกแตกการไฟฟ้า ชื่อภาพว่าสลามัตอารีรายา เป็นภาพที่เล่าเรื่องราวประเพณีของชาวมุสลิมนั่นก็คือวันฮารีรายอซึ่งเป็นวันสำคัญของชาวมุสลิม โดยเป็นวันเฉลิมฉลองหลังสิ้นสุดเดือนถือศีลอด เป็นวันที่ชาวมุสลิมจะไปหาญาติพี่น้อง บริจาคทานแก่คนยากจน เป็นวันที่ชาวมุสลิมจะมีความสุขมากๆ
จากนั้นก็เดินไปตามหาสตรีทอาร์ตกันต่อค่ะ โดยจากภาพแรกเราเดินออกไปยังถนนเส้นด้านหลังพิพิธภัณฑ์แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนน เดินเลยหอนาฬิกาและมัสยิดกลางจังหวัดสตูลมาก็จะพบกับตึกแถวสไตล์ชิโนโปรตุกีสของร้าน @On’s โดยจุดนี้จะมีภาพทหารญี่ปุ่นที่สื่อถึงเรื่องราวสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นมาตั้งฐานกำลัง หลังจากแชะภาพเสร็จแล้วก็แวะไปนั่ง @On’s หรือร้านกาแฟของพี่อ้น ที่เขามีโฮสเทลอยู่ด้านบน เรานั่งแวะพักจิบกาแฟ เล่นน้องแมวที่ร้านพี่อ้น พูดคุยเรื่องราวของเมืองสตูลกันเล็กน้อย ก่อนจะเดินทางไปแชะภาพจุดต่อไป
จากร้าน @On’s เลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอยบรรจบก็จะเจอภาพสตรีทอาร์ตหลายจุดเลยค่ะ ทั้ง ภาพกำปงเด็กน้อยบนฝาสังกะสี และบริเวณสมาคมจงหัวก็มีภาพถนนเช็คอินสตูล ภาพอะไรเอ่ยข้างหน้าต่างภาพแต่งงาน ซึ่งเป็นภาพเจ้าบ่าว เจ้าสาวที่เข้าพิธีแต่งงานแบบจีน นอกจากนี้ยังมีภาพสตรีทอาร์ตมากมายที่แสดงถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชาวสตูลให้เราได้ตามหา ใครที่มาเที่ยวเมืองสตูลลองจัดทริปไปตามถ่ายรูปกันดูนะคะรับรองว่าได้ภาพฮิปๆ กลับไปแน่นอน
จากอำเภอเมืองเดินทางสู่อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล การเดินทางครั้งนี้เราจะพาคุณย้อนอดีตไปสัก 500 ล้านปี (นานไปไหม) พูดจริงนะไม่ได้โม้ เพราะเราจะพาไปสัมผัสความงดงามอันทรงคุณค่าของ "อุทยานธรณีสตูล (Satun Geopark)" ผืนแผ่นดินที่บันทึกหลักฐานของโลกใต้ท้องทะเลเมื่อ 500 ล้านปีก่อนกันที่นี่
ซึ่งจริงๆ แล้วอุทยานธรณีสตูลนั้นครอบคลุมพื้นที่ทั้งอำเภอทุ่งหว้า อำเภอมะนัง อำเภอละงู และส่วนที่เป็นเกาะของอำเภอเมืองของจังหวัดสตูล รวมพื้นที่ประมาณ 2,597 ตร.กม. เป็นพื้นที่ที่มีคุณค่าทางธรณีวิทยาระดับนานาชาติ เพราะมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ทะเลในมหายุคพาลีโซอิก(ประมาณ 542-251 ล้านปีก่อน) ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เริ่มต้นการท่องเที่ยวอุทยานธรณีสตูลเราจะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักอุทยานธรณีสตูลกันที่ “พิพิธภัณฑ์อุทยานธรณีสตูล” ซึ่งตั้งอยู่ที่องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า
ลักษณะพิพิธภัณฑ์จะเป็นพิพิธภัณฑ์กึ่งโอเพ่นแอร์ค่ะ เปิดผนังโล่ง มีมุมจัดแสดงที่ให้ความรู้เรื่องสัตว์ทะเลใน 6 ยุค ของมหายุคพาลีโซอิกที่เจอในสตูลเริ่มต้นตั้งแต่ยุคแคมเบรียน(จาก 542-488.3 ล้านปี) ยุคออร์โดวีเชียน(จาก 488-444 ล้านปี) ยุคไซลูเรียน(จาก 444-416 ล้านปี) ยุคดีโวเนียน(จาก 416-359 ล้านปี) ยุคคาร์บอนิฟอรัส(จาก 359-299 ล้านปี) และยุคเพอร์เมียน(จาก 299-251 ล้านปี) ซึ่งเราจะเห็นพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในแต่ละยุคเริ่มต้นจากแบคทีเรีย สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในช่วงต้นยุค และวิวัฒนาการไปจนถึงสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน ส่งต่อให้เกิดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในยุคถัดไป
พิพิธภัณฑ์อุทยานธรณีสตูล
ที่ตั้ง : ภายในองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เปิดบริการ : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-18.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 062 298 8928
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/AfPKE2Nbh6Bq9gX3A
เมื่อรู้เรื่องราวของมหายุคพาลีโซอิกไปแล้ว เราจะพาไปสู่ยุคของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ณ “พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า” ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของ“พิพิธภัณฑ์อุทยานธรณีสตูล” ภายในพิพิธภัณฑ์จะทำเป็นห้องแอร์ ก่อนเข้าไปก็มีการตรวจวัดอุณหภูมิโดยเจ้าหน้าที่ และลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ไทยชนะ
ภายในห้องจัดแสดงดูทันสมัยน่าเดินมากๆ โดยห้องแรกจะจัดแสดงเรื่องประวัติศาสตร์ช้างในเมืองไทย ช้างมงคล และช้างเผือกคู่พระบารมีในรัชกาลที่ 9 ต่อมาจะเป็นการจัดแสดงเรื่องราวของช้างดึกดำบรรพ์ และการค้นพบซากกระดูกขากรรไกรพร้อมฟันกรามซี่ที่ 2 และ 3 ด้านล่างงวงขวาของช้างดึกดำบรรพ์สเตโกดอน ที่มีอายุอยู่ในยุคไพลสโตซีน หรือประมาณ 1.8 - 0.001 ล้านปี ในถ้ำวังกล้วย ซึ่งอยู่ในเขตบ้านคีรีวง ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูลแห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2551 ปัจจุบันเลยมีการเปลี่ยนชื่อถ้านี้ใหม่ว่าถ้ำเลสเตโกดอนตามชื่อของช้างสเตโกดอน
ซากดึกดำบรรพ์ของจริงของช้างสเตโกดอนภายในถ้ำวังกล้วยหรือถ้ำเลสเตโกดอนจุดหมายต่อไปที่เราจะไปล่องเรือตามรอยช้างสเตโกดอนกันค่ะ
พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า
ที่ตั้ง : ภายในองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เปิดบริการ : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.30-16.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 062 298 8928
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/b63eTcEd9cun7yaY7
ได้รับข้อมูลมาอย่างแน่นปึ้กก็ทำให้เราอยากไปชมสถานที่จริงๆ กันแล้วล่ะค่ะ ซึ่งเราจะพาไปตามรอยช้างสเตโกดอนที่ "ถ้ำเลสเตโกดอน" พร้อมกับชมความอลังการของถ้ำแห่งนี้ โดยการไปเที่ยวถ้ำเลนั้นเราจะต้องนั่งเรือคายัคของชาวบ้านเข้าไป สามารถติดต่อชมถ้ำเลสเตโกดอนที่องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้าได้เลยค่ะ
การเข้าชมนั้นจะมีบริการเพียงวันละหนึ่งรอบเท่านั้น โดยจะมีการเช็คระดับน้ำก่อนเข้าไปชม ซึ่งเขาจะประกาศผ่านทางเพจของถ้ำเลสเตโกดอนว่าวันไหนเข้าชมได้หรือไม่ได้ หรือสามารถเข้าชมได้ช่วงเวลาไหน เพราะบางวันก็สามารถชมได้ช่วงเช้า หรือบางวันก็สามารถเข้าชมช่วงบ่ายไม่เหมือนกันในแต่ละวันค่ะ แนะนำว่าก่อนจะวางแผนเดินทางควรเช็คระดับน้ำทางเพจหรือโทรถามเจ้าหน้าที่จะได้ไปแล้วไม่เสียเที่ยว
สำหรับทริปล่องเรือของเราเริ่มต้นในช่วงบ่ายค่ะ หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้าเสร็จก็มีรถสองแถวของพี่สัมฤทธิ์หัวหน้าไกด์ครั้งนี้มารับเราบริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์ รถพาเราออกจากพิพิธภัณฑ์ฯ มุ่งหน้าไปถ้ำเลสเตโกดอนใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเราก็มาถึงปากทางเข้าถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้มากมาย ซึ่งมีรูปปั้นช้างเลสเตโกดอนตัวใหญ่ให้เราแชะภาพกันด้วย พี่สัมฤทธิ์แจ้งว่าระยะเวลาทัวร์ครั้งนี้คือ 3 ชั่วโมง โดยเราจะล่องเข้าไปในถ้ำ ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง - 2 ชั่วโมงจากนั้นก็จะทะลุไปสู่ป่าโกงกางซี่งเป็นรอยต่อสตูล-ตรัง ล่องชมธรรมชาติของป่าโกงกางของสองจังหวัด ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที และต่อเรือหางยาวไปสิ้นสุดยังจุดชมวิวท่าอ้อยใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ถ้ำเลสเตโกดอนนั้นเป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่เดิมชื่อถ้ำวังกล้วย เป็นแหล่งที่มีกุ้งก้ามกรามเยอะ ชาวบ้านมักเดินทางมาหากุ้งก้ามกรามที่ถ้ำแห่งนี้กัน จนมาวันหนึ่งมีชาวบ้านจากจังหวัดตรัง 4 คนเดินทางเข้ามาหากุ้งก้ามกรามในถ้ำ ระหว่างดำน้ำเพื่อหากุ้งก็พบเข้ากับซากดึกดำบรรพ์ลักษณะเหมือนหินสีน้ำตาลไหม้น้ำหนักประมาณ 5.3 กิโลกรัม แล้วได้มีการส่งมอบให้กับทางอำเภอทุ่งหว้าเมื่อเดือนพฤษภาคม 2551จากนั้นจึงได้มีการศึกษาวิจัยและพบว่าซากดึกดำบรรพ์นั้นคือซากของช้างสเตโกดอนและเปลี่ยนชื่อถ้ำนี้ว่าถ้ำเลสเตโกดอน ซึ่งคำว่าเลมาจากทะเล เป็นถ้ำน้ำเค็มที่เชื่อมต่อกับทะเล เอามาผสมกับชื่อช้างสเตโกดอน เลยกลายเป็นชื่อถ้ำสุดเท่ที่เราฟังตอนแรกยังรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที ซึ่งไม่เพียงซากดึกดำบรรพ์ของช้างสเตโกดอนที่มีการค้นพบที่นี่เท่านั้น ยังมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ช้างเอลิฟาส ซากดึกดำบรรพ์แรด ซากดึกดำบรรพ์กวาง ซากดึกดำบรรพ์ควาย ซากดึกดำบรรพ์เลียงผา รวมถึงฟอสซิลอีกมากมายที่ได้พบในถ้ำแห่งนี้อีกด้วย
พี่สัมฤทธิ์ให้อุปกรณ์ในการชมถ้ำแก่เราคือไฟฉายอันเล็ก พร้อมกับแจ้งว่า “บางช่วงอาจจะต้องมีลงเดินด้วยนะครับเนื่องจากน้ำน้อย” พวกเราได้ฟังก็เลยรีบเปลี่ยนรองเท้าแบบที่ลุยน้ำได้ เก็บของมีค่าใส่ในถุงกันน้ำ พร้อมใส่เสื้อชูชีพเพื่อไปสัมผัสความตื่นเต้นเบื้องหน้า
เรือคายัคลำนึงสามารถนั่งได้ประมาณ 3 คนค่ะ รวมไกด์ที่จะคอยพายเรืออยู่ด้านหลัง เรือลำน้อยค่อยๆ เคลื่อนฝ่าไปในความมืดซึ่งเราไม่รู้เลยว่าข้างหน้าจะได้เจออะไร มีเพียงเสียงพี่สัมฤทธิ์ที่คอยให้ข้อมูลอยู่ด้านหลัง
พี่สัมฤทธิ์บอกว่าการล่องเรือครั้งนี้ก็เหมือนเรากำลังลอดไปในท้องช้างสเตโกดอน เพื่อไปตามหาหัวใจที่ปลายงวง ซึ่งบริเวณทางเข้าถ้ำจะมีหินที่มีลักษณะรูปหัวช้างอยู่ด้วยค่ะ
ถ้ำเลสเตโกดอนนั้นเป็นถ้ำน้ำเค็มที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีระยะทางประมาณ 3.4 กิโลเมตร บอกเลยว่านี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในการล่องเรือชมถ้ำของเรา ซึ่งอากาศในถ้ำปลอดโปร่งมากๆ ค่ะ ไม่มีมีกลิ่นเหม็นอับหรือกลิ่นมูลค้างคาวเหมือนถ้ำอื่นเลยค่ะ
ระหว่างนั่งเรือไปพี่สัมฤทธิ์ก็จะชวนให้เราจินตนาการหินงอกหินย้อยรูปร่างต่างๆ ซึ่งประติมากรรมหินงอกหินย้อยในถ้ำเลสเตโกดอนนั้น แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักคือหินน้ำหยดและหินน้ำไหล ซึ่งกลุ่มหินน้ำหยดเกิดจากการหยดของน้ำ เช่น หินงอก หินย้อย หลอดกาแฟ ม่านหินย้อย โล่หิน และเสาหิน ส่วนกลุ่มหินน้ำไหลจะเกิดจากน้ำใต้ดินที่ซึมไหลเข้าไปในถ้ำ
ล่องเรือสักพักเราก็พบกับหินนางฟ้าซึ่งเป็นหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่สีขาวมีประกายระยิบระยับลักษณะพลิ้วไหวเหมือนเส้นผมทรงหน้าม้าของหญิงสาวเลยล่ะค่ะ ซึ่งหินนางฟ้านั้นส่วนผมจะเป็นหินน้ำไหลแต่ส่วนปลายจะเป็นหินน้ำหยด สวยงามอลังการมากๆ
การมาเที่ยวถ้ำเลสเตโกดอนนั้นสามารถมาได้ทั้งช่วงหน้าร้อนที่หินงอกหินย้อยจะส่องแสงเป็นประกายเพชรระยิบระยับ น้ำในถ้ำจะใสจนสามารถส่องไฟเห็นกุ้งก้ามกรามได้เลยค่ะ ส่วนหน้าฝนก็จะได้สัมผัสกับน้ำตกที่สวยงามภายในถ้ำ ตอนที่เราไปเป็นช่วงหน้าร้อนต่อกับหน้าฝน เลยเห็นร่องรอยของน้ำตกที่เริ่มไหลลงมาบ้างเล็กน้อย ถ้ามาในช่วงหน้าฝนเต็มๆ น่าจะสวยกว่านี้ค่ะ พี่สัมฤทธิ์บอกว่าการเที่ยวถ้ำเลสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ยิ่งน้ำเยอะยิ่งเหมาะกับการเที่ยวถ้ำ
ภายในถ้ำเลสเตโกดอนมีความหลากหลายทางนิเวศวิทยามากมายเลยค่ะ อาทิ พันธุ์สัตว์มากมายทั้ง ปูเขาหินปูนทุ่งหว้าซึ่งเป็นปูชนิดใหม่ของโลกที่ค้นพบในจังหวัดสตูล ปลาหมึกแคระ กุ้งก้ามกราม จิ้งโกร่ง ค้างคาว 4 ชนิดได้แก่ค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฑ์ ค้างคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ ค้างคาวแวมไพร์แปลงใหญ่ และค้างคาวสีจางซึ่งเป็นค้างคาวจิ๋ว นอกจากนี้ภายในถ้ำยังมีฟอสซิลมากมายให้เราได้ชม อาทิ ฟอสซิลนอติลอยด์หรือปลาหมึกดึกดำบรรพ์ ฟอสซิลหอยแอมมาไนท์ และอีกมากมาย
หลังจากที่มืดมิดมาสองชั่วโมงเราก็ได้พบแสงสว่างแล้วค่ะ พร้อมกับรูปหัวใจที่ปลายงวงก็เป็นสัญญาณว่าการเที่ยวถ้ำเลสเตโกดอนของเราสิ้นสุดแล้ว แต่อ๊ะทริปนี้ยังไม่จบนะคะ เพราะจากนี้เราจะต้องพายเรือคายัคต่อไปอีก 10 นาทีเพื่อไปต่อเรือหางยาว ซึ่งเส้นทางที่เราพายจะเป็นป่าชายเลนที่ด้านซ้ายคือจังหวัดตรัง ส่วนด้านขวาคือจังหวัดสตูล เป็นการพายเรือครั้งเดียวแต่ได้เที่ยวทั้ง 2 จังหวัดเลย
จากนั้นเราเปลี่ยนจากเรือคายัคไปนั่งเรือหางยาวลำใหญ่ พี่สัมฤทธิ์แจกขนมและน้ำให้เราพักทานเพื่อหายเหนื่อย แล้วก็นั่งเรือหางยาวจากลำคลอง ออกสู่ทะเลอันดามันเพื่อไปสิ้นสุดที่จุดชมวิวท่าอ้อย ปิดทริปถ้ำเลสเตโกดอนอย่างสมบูรณ์
กิจกรรมนั่งเที่ยวถ้ำเลสเตโกดอน
ค่าบริการ : คนละ 300 บาท
ระยะเวลา : 3 ชั่วโมง
สอบถามข้อมูลได้ที่ : อบต.ทุ่งหว้า 074-789317 หรือคุณสุมาลี อุบลมณี 062-2988928
ถ้าใครยังอินอยู่กับความดึกดำบรรพ์ ความอัศจรรย์น่าค้นหา คราวนี้เราจะพาไปตามหาพืชกินสัตว์อย่างหม้อข้าวหม้อแกงลิง ไม่ต้องออกไปตามหาในป่า แต่เราจะพาไปชมที่สวนในอำเภอทุ้งหว่าที่ “สวนควนข้อง” ซึ่งเป็นสวนที่ปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงโดยเฉพาะเลยล่ะค่ะ และไม่ได้แค่เดินชมสวนสวยๆ เราจะพาไปกินหม้อข้าวหม้อแกงลิงกับกิจกรรม “ทำขนมหม้อข้าวหม้อแกงลิง”
สวนควนข้องเป็นสวนของบังน้อย-วรวิทย์ ควนข้อง ผู้ที่หลงใหลในการปลูกพันธุ์พืชกินแมลง จึงได้เริ่มทำสวนนี้ขึ้นประมาณ 5-6 ปีแล้วค่ะ ซึ่งในสวนแห่งนี้จะปลูกต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง 4 สายพันธุ์ ได้แก่ มิราบิลิส ไทเกอร์ แอมพูลลาเรีย และกราซิลิส
วิธีปลูกก็ไม่ยากค่ะ โดยการเพาะเมล็ดประมาณหนึ่งเดือนก็จะได้ต้นกล้า ซึ่งตัวหม้อนั้นจะออกมาพร้อมกับใบเลยค่ะ พออายุ 9 เดือน สายดิ่งก็จะยืดยาวออกทำให้ตัวหม้อกับตัวใบยืดออกจากกัน บังน้องบอกเราว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิงนั้นเป็นพืชที่ปลูกง่าย ปัจจัยหลักคือน้ำกับแดดที่ต้องเพียงพอ เพราะน้ำที่เรารดลงไปนั้นนอกจากจะไปสร้างสมดุลให้กับหม้อแล้ว ยังเป็นน้ำย่อยสำหรับดักแมลง เมื่อแมลงตกลงไปในหม้อ น้ำนี้ก็จะย่อยแมลง ตัวสายดิ่งก็จะมีหน้าที่ดูดสารอาหารไปเลี้ยงลำต้น และเมื่อใบเก่าแห้งและหลุดออกไปพร้อมกับหม้อ ใบอ่อนใหม่ก็จะแตกออกมาพร้อมกับมีตัวหม้ออันใหม่ออกมาให้เราได้ชมอีกด้วย ใครสนใจก็สามารถมาซื้อไปเลี้ยงได้เลยค่ะราคาเริ่มต้น 60 บาทเท่านั้น
สำหรับไอเดียทำขนมหม้อข้าวหม้อแกงลิงนั้น บังน้องบอกว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมานานแล้วกับขนมข้าวเหนียวหม้อข้าวหม้อแกงลิงซึ่งในปัจจุบันอาจจะหาทานได้ยาก บังน้อยเลยเอาขนมตัวนี้กลับมาให้ได้ทาน โดยวิธีการทำก็ง่ายมากๆ ค่ะ นำข้าวเหนียวที่นึ่งแล้วมาผสมกับน้ำดอกอัญชัน กะทิ น้ำตาล แล้วนำไปกรอกลงในตัวหม้อข้าวหม้อแกงลิง ซึ่งต้องล้างทำความสะอาดให้ดีก่อนนะคะเพราะอาจจะมีแมลงที่ตรงก้นหม้อ จากนั้นก็นำหม้อข้าวหม้อแกงลิงไปนึ่งต่ออีกไม่นาน ให้ตัวหม้อด้านนอกสุกก็นำมาทานได้แล้วเลยค่ะ โดยตัวหม้อจะไม่มีรสชาติแต่เราจะได้รับความหวาน มัน จากข้าวเหนียว เป็นขนมกินเล่นสีสันสดใสที่เด็กๆ ชอบมาก
ใครที่สนใจอยากเลี้ยงต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงและทานขนมข้าวเหนียวหม้อข้าวหม้อแกงลิงสักครั้งก็มาที่สวนควนข้องได้เลยค่ะ บังน้องยินดีให้ข้อมูลและพร้อมพาชมหม้อข้าวหม้อแกงลิงในสวน
สวนควนข้อง
ที่ตั้ง : ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เข้าชมฟรี (สำหรับกิจกรรมทำหม้อข้าวหม้อแกงลิงราคา 100 บาท / คน)
เบอร์ติดต่อ : 081 097 1684
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/6GGgxN8tWhJguAjw7
จากนั้นเราจะพาเพื่อนๆ ชมชมวิธีการทำผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ ที่ “ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติทุ่งหว้า” โดยบังราเฉด แตงงาม ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
สำหรับสีที่นำมาย้อมเป็นสีที่ได้จากไม้ในป่าชายเลน อาทิ ลูกตะบูนให้โทนสีน้ำตาล ลำพูทะเลให้โทนสีเทา ใบหูกวางทะเลให้โทนสีเหลืองและเขียว ซึ่งจริงๆ แล้วมีพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่สามารถนำมาย้อมสีได้ถึง 25 ชนิดค่ะ เพราะเป็นไม้ที่มีสารแทนนินเป็นส่วนประกอบ ช่วยทำให้สีติดผ้าได้ดี และผ้าไม่เป็นรา แต่ไม้ที่บังราเฉดนำมาย้อมนั้นจะใช้ที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติน้อยที่สุด ซึ่งไม่ได้นำมาจากการตัดต้นไม้ แต่นำมาจากลูกหรือใบที่ร่วงหล่นลงพื้น
วิธีการทำเริ่มจากนำผ้าขาว จะเป็นผ้าคอตตอน ผ้าสะปัน หรือผ้าเรยอนก็ได้นำไปต้มเพื่อขจัดคราบต่างๆ ออกแล้วนำไปซัก ไปตากให้แห้ง จากนั้นก็นำผ้ามามัดด้วยหนังยาง เชือก เพื่อให้เกิดเป็นลวดลายแล้วนำไปแช่ในน้ำสีธรรมชาติที่กำลังต้มอยู่ เรียกว่าวิธีการย้อมร้อน ต่อด้วยนำไปแช่ในน้ำด่างได้แก่ น้ำสารส้ม น้ำสนิม น้ำปูนใส ซึ่งน้ำด่างจะเป็นน้ำที่ทำปฏิกิริยากับสีธรรมชาติทำให้เกิดสีใหม่ ซึ่งอาจจะทำให้สีเข้มขึ้น อ่อนลง หรือเปลี่ยนเป็นสีใหม่ไปเลยก็ได้
บังราเฉดให้เราเลือกลายค่ะ ซึ่งเราขอเลือกเป็นลายดาวกับเมฆ และใช้สีจากลูกตะบูนเพราะอยากได้โทนสีน้ำตาล ขั้นตอนที่ยากคือวิธีการมัดแต่พี่บังราเฉดก็ตั้งใจสอนจนเราสามารถมัดได้ เสร็จแล้วก็นำไปแช่น้ำสีที่ทำจากลูกตะบูน แช่เอาไว้เลยประมาณ 15-20 นาทีระหว่างที่แช่ก็เดินไปเลือกซื้อเสื้อผ้ามัดย้อมสุดน่ารักในร้านพี่บัง ราคาไม่แพงด้วยค่ะเริ่มต้นที่ตัวละประมาณ 150 บาทเท่านั้น
พอได้เวลาพี่บังก็ไปเรียกเราที่ร้าน แล้วนำผ้าที่แช่น้ำตะบูนไปแช่ในน้ำด่างต่อทำให้สีเริ่มเข้มขึ้นได้แล้วก็นำไปตากต่อ เราฝากพี่บังตากเอาไว้ครึ่งวัน ระหว่างนั้นก็ไปเที่ยวที่อื่นๆ ในทุ่งหว้าต่อ แล้วค่อยกลับมารับตอนบ่ายๆ แต่ที่จริงเราสามารถนำผ้าที่มัดเอาไว้กลับได้เลย แล้วค่อยนำไปตากที่พักหรือที่โรงแรมก็ได้ค่ะ หรือใครที่ไม่มีเวลารอสามารถให้พี่บังส่งไปรษณีย์ไปที่บ้านได้เลยสะดวกมากๆ
พอตอนบ่ายมารับผ้า เราตื่นเต้นมากๆ เพราะลุ้นว่าจะได้ออกมาเป็นดาวไหม จะสวยไหม แต่พอคลี่ออกมาเท่านั้นหลงรักผ้าผืนนี้เลยเพราะลายที่ออกมาสวยมากๆ พี่บังบอกว่าผ้าผืนนี้เป็นผ้าที่มีผืนเดียวในโลกนะ เพราะการมัดแต่ละครั้ง หรือเวลาในการแช่สี แช่น้ำด่าง แสงแดดในแต่ละครั้งก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเสน่ห์ของผ้ามัดย้อมก็คือความสวยงามที่ไม่เหมือนใคร เป็นความสวยงามที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง แถมยังเป็นสีที่มาจากธรรมชาติอีกด้วย สำหรับวิธีการรักษาพี่บังแนะนำว่าไม่ควรใช้ผงซักฟอกควรใช้สบู่เด็กและไม่ควรตากในที่แดดจัด ก็จะทำให้ผ้ามัดย้อมฝีมือเราอยู่กับเราไปอีกนานเลยค่ะ
นอกจากนี้ยังมีลายฟอสซิลสัญลักษณ์ของสตูลอีกด้วยนะ ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่ได้ลองทำแต่ก็ซื้อกลับไปเป็นของฝากคนที่บ้านหลายผืนเลยค่ะ
ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติทุ่งหว้า
ที่ตั้ง : ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
ค่ากิจกรรม : ผ้าผืนเล็ก 100 บาท/ท่าน, ผ้าผืนใหญ่ 250 บาท/ท่าน (สามารถนำเสื้อมาเองได้คิดราคาค่าย้อมเพียง 100 บาท)
เบอร์ติดต่อ : 0831682434
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/YsMz3T7wcg4q9i9S7
ระหว่างที่รอผ้ามัดย้อมเราก็แวะไปทานเมล่อนกันที่ “ฉิมเมล่อน” ฟาร์มเมล่อนแห่งเดียวในทุ่งหว้า ที่มาพร้อมเมนูเครื่องดื่มเมล่อนที่ให้เราเลือกทานมากมายเลยค่ะ จุดเด่นของฟาร์มก็คือเมล่อนลูกยักษ์ที่ทำเป็นลวดลายฟอสซิลสัญลักษณ์เมืองสตูล ดึงดูดให้เราขับรถเข้าไปด้านใน
ซึ่งฟาร์มแห่งนี้เป็นฟาร์มของพี่ชยภัทธ์ หล่อสุพรรณพร นักธุรกิจชาวทุ่งหว้าที่เคยไปใช้ชีวิตในกทม. แต่เลือกทิ้งความวุ่นวายในเมืองมาทำเกษตรอยู่ที่บ้านเกิด โดยทำมาประมาณ 8 ปีแล้วค่ะ ซึ่งพันธุ์เมล่อนที่ปลูกจะเป็นพันธุ์ Kimochi,Momo และ Jade จากประเทศญี่ปุ่น
โดยเมล่อนแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีความแตกต่างกันเช่น Kimochi เนื้อจะเป็นสีเขียวอมเหลืองมีกลิ่นหอมอ่อนๆ กลิ่นหอมของเขาเมื่อได้ทานจะวนอยู่ในช่องคอ ทานแล้วจะรู้สึกชุ่มคอ ส่วนเมล่อนพันธุ์ Jade เนื้อสีเขียวอ่อนมีความหอมฟุ้ง และ Momo มีเนื้อสีส้ม กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย
เราลองชิมแล้วหวานอร่อยถูกใจมากๆ ซึ่งพี่ชยภัทรเล่าว่าเมล่อนที่นี่ใช้เวลาปลูกประมาณ 90 วัน โดยปลูกจากเมล็ดพันธุ์ที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น มีการให้ธาตุอาหารเพื่อเลี้ยงลูก 30 วัน และ 20 วันจะเป็นกระบวนการทำให้หวาน ซึ่งเมล่อนของฉิมนั้นความหวานจะอยู่ที่ 13 องศาบริกซ์ค่ะ
ส่วนคำว่า “ฉิม” นั้นมาจากคุณแม่ ซึ่งหลายคนจะเรียกคุณแม่ว่าฉิม มาจากภาษาจีนที่แปลว่าตำแหน่งน้าสะใภ้ ด้วยความที่คุณแม่ชอบทำอาหารอร่อยจนหลายคนก็มักจะพูดว่าของฉิมอะไรก็ดีหมด เลยเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อฟาร์มนี้ขึ้นมา
ซึ่งภายในฟาร์มของพี่ชยภัทร เขาจะแบ่งเป็นโซนฟาร์ม และโซนคาเฟ่ค่ะ มีเครื่องดื่มร้อนเย็น เมล่อนสดๆ ไอศกรีมเมล่อน ของฝากอย่างแยมเมล่อนให้เลือกซื้อกลับบ้านมากมายเลยค่ะ ครั้งนี้เราเลยสั่งกาแฟเมล่อนซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่มาทาน หอมอร่อยมากๆ โดยเขาจะใช้เมล่อนมาปั่นเป็นสมูตตี้แล้วราดกาแฟอเมริกาโน่ลงไป ความเข้มของกาแฟเข้ากันได้ดีกับน้ำเมล่อนที่มีความหวาน หอม บอกเลยว่าเราเลิฟมากๆ อยากกลับไปทานอีกกันเลยค่ะ
ไม่ใช่เพียงกาแฟ แต่ที่ร้านยังมีเมนูเมล่อนให้เลือกทานอีกเพียบ ทั้ง เมล่อนโซดาที่ใช้เมล่อนและเมล่อนไซรัปมาปั่นราดด้วยโซดา ได้รสหอม หวาน ซ่าคล้ายร้อนได้ดีเลยทีเดียวค่ะ แล้วยังมีเมล่อนปั่นนมสด หวาน หอม มัน อร่อยมากๆ
และพลาดไม่ได้เมื่อมาร้านนี้ก็คือไอศกรีมเมล่อนที่เขาจะทำเป็นแบบซอฟต์เสิร์ฟ โดยใช้เนื้อเมล่อน 65% เป็นไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟแบบซอร์เบท์ที่มีความความหวาน เย็น ทานแล้วสดชื่นโคนเดียวไม่พอกันเลยค่ะ
นอกจากเมล่อนแล้วทางฟาร์มยังปลูกพืชอื่นๆ อีกค่ะ อาทิ มะเขือเทศเชอร์รี่ ผักสลัด กวางตุ้ง และคะน้า เป็นต้น ใครแวะเวียนมาทุ่งหว้าก็อย่าลืมแวะมาฉิมเมล่อนนะคะ รับรองว่าจะติดใจเมนูเมล่อนอร่อยๆ ของร้านนี้แน่นอนค่ะ
ฉิมเมล่อน
ที่ตั้ง : 79 ตำบล ทุ่งหว้า อำเภอ ทุ่งหว้า สตูล
เปิดบริการ : 8.00-17.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 081 839 8022
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/Qu4WtdXgEi44VxJL7
ปิดท้ายอำเภอทุ่งหว้าเราจะพาเพื่อนๆ ไปนั่งชิลจิบกาแฟ ทานขนมในบรรยากาศร้านสุดน่ารัก และอบอุ่นกับร้าน "บ้านนอก Coffee Bar" ตั้งอยู่ใกล้กับหาดราไว เป็นหนึ่งร้านในดวงใจที่เราอยากแนะนำเพื่อนๆ ให้ไปใช้บริการกันค่ะ
เจ้าของร้านนี้คือคุณณัฐวลัญช์ วรรณศรีลูกครึ่งชาวสตูลเชียงใหม่ ที่อยากทำร้านที่มีแต่ความสุขเพื่อคืนกำไรให้กับชุมชน โดยราคาอาหารและเครื่องดื่มในร้านเริ่มต้นหลักสิบบาทเท่านั้น ซึ่งคนในชุมชนก็สามารถมาทานได้ ส่วนนักท่องเที่ยวอย่างเราก็ถูกใจกับการตกแต่งร้านที่ใช้หัวใจทำให้ออกมาน่ารักทุกมุมเลยล่ะค่ะ ซึ่งตัวร้านจะแบ่งเป็นโซนด้านหน้าที่เป็นห้องแอร์เล็กๆ มีโต๊ะไม่เยอะ แต่เน้นการตกแต่งที่อบอุ่นเหมือนบ้านโดยการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ มีผลิตภัณฑ์จากชุมชน อย่างชะลอมจำหน่ายด้วยค่ะ น่ารักมากๆ เลย
พร้อมกันนั้นยังมีที่นั่งด้านนอกชมวิวทะเล และทำเก๋ด้วยการจัดแต่งโซนสไตล์แคมป์ปิ้งซึ่งเป็นความชอบของเจ้าของร้านที่อยากมีที่สำหรับแคมป์ปิ้งในบริเวณบ้าน กลายเป็นมุมเก๋ที่ใครมาก็ต้องแชะภาพน่ารักเก็บไว้
เดินไปหลังร้านเราก็จะพบกับที่นั่งในสวนมะพร้าว ที่มีโรงเรือนแคคตัสให้เราได้ไปเซย์ไฮน้องๆ ใครสนใจก็สามารถนำน้องกลับบ้านได้ค่ะ ราคาก็ไม่แพงเลยค่ะ เริ่มต้นที่ประมาณ 35 บาท ซึ่งใครที่ไม่อยากแบกน้องกลับบ้านทางร้านก็มีบริการจัดส่งถึงบ้านด้วยนะ
สำหรับเมนูของที่นี่จะเน้นเครื่องดื่มและขนมเป็นหลักค่ะ ส่วนอาหารจะมีข้าวซอยไก่ ซึ่งเป็นผลพวงของการเป็นลูกครึ่งของคุณณัฐวลัญช์ที่สามารถมิกซ์อาหารเหนือมาอยู่ในดินแดนแหลงใต้ทานน้ำบูดูกันได้แบบไม่มีอะไรแปลกแยกเลย แถมอร่อยมากๆ ด้วยค่ะ ราคาก็ไม่แพง 59 บาทเท่านั้น ได้ข้าวซอยไก่ที่ใส่น่องไก่ชิ้นโตน้ำซุปหอมกระทิ อร่อยแบบจาวเหนือแต๊ๆ นอกจากนี้ยังมีหม่าล่าให้เลือกสั่งมาทาน มีทั้ง ไก่พันเห็ด,ไข่นกกระทา,ไส้กรอกไก่,อกไก่และเห็ดออรินจิ ในราคาไม้ละ 10 บาทเท่านั้น คอนเฟิร์มเลยว่าอร่อยมากๆ
ในส่วนของเครื่องดื่มใครเป็นคอกาแฟต้องถูกใจมากๆ ค่ะ เพราะทางร้านใช้กาแฟจากประเทศลาวคั่วกลางเมล็ดกาแฟหอมฟุ้งมากๆ ยิ่งใครที่ชอบกาแฟสไตล์รีเฟรชอย่างเราต้องโดนใจแน่นอน เพราะมีเมนูกาแฟที่นำไปมิกซ์กับน้ำต่างๆ มากมาย อาทิ "กาแฟมะขาม"(45 บาท) ใช้เอสเพรสโซ่ช็อตรสเข้มเทไปบนน้ำมะขาม รสเปรี้ยวๆ หวานๆ มิกซ์กันออกมาแล้วดีงามมากๆ อร่อยสุดๆ
"ตาลตะโน่" (45 บาท) เป็นการมิกซ์แอนด์แมชของน้ำลูกตาลกับช็อตกาแฟเอสเพรสโซ่เลยออกมาเป็นตาลตะโน่ ชื่อเมนูสุดว้าว แต่ความว้าวสุดๆ ของเราคือรสชาติที่มันหอม อร่อย รสชาติของลูกตาลที่หวานหอมเข้ากันได้ดีกับช็อตกาแฟรสเข้ม พร้อมกันนั้นยังมีเนื้อลูกตาลให้เคี้ยวหนุบหนับ
แต่สำหรับใครไม่ทานกาแฟเราขอแนะนำเมนูอร่อยดังต่อไปนี้ค่ะ อาทิ มะพร้าวนมสดปั่นชาเขียว(45 บาท) ลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นที่ใช้มะพร้าวน้ำหอมที่ปลูกหลังบ้านมาปั่นกับนมสดจากนั้นก็ราดด้วยช็อตชาเขียวลงไป ความหอม มัน หวานของมะพร้าวปั่นนมสดก็ช่างจับมือเข้ากันได้ดีกับพี่ชาเขียวจนเราดื่มแก้วนี้อร่อยเพลินเกินห้ามใจกันเลยทีเดียว และเมนูเครื่องดื่มตัวสุดท้าย "ทรอปิคัลพาราไดซ์"(45 บาท)ที่ช่วยรีเฟรชร่างกายได้ดีทีเดียว เพราะทำจากผลไม้รสเปรี้ยวหวาน อย่าง สับปะรด เสาวรส และมะม่วงมาปั่นรวมกัน ได้เป็นเครื่องดื่มเปรี้ยวๆ หวานๆ สุดอร่อย
สำหรับเบเกอรี่ของร้านนี้ก็ดีงามไม่แพ้กันโดยเป็นเมนูเบเกอรี่โฮมเมดที่ทางร้านทำเอง ทั้ง บลูเบอร์รี่ชีสพาย(35 บาท) รสนุ่มละมุนจากครีมชีส ได้ความหวานจากบลูเบอร์รี่ผสมผสานกับความกรุบจากแคร็กเกอร์ด้านล่างทำให้วางช้อนไม่ลงเลยค่ะ ต่อด้วยเค้กฝอยทอง(35 บาท) เค้กเนื้อนุ่มพร้อมเนื้อฝอยทองที่โปะมาด้านบนก็อร่อยสุดๆ แต่ที่เราขอยกให้เป็นเดอะเบสท์คือบราวนี่ค่ะ (35 บาท) เนื้อหนุบหนับ ไม่หวานมาก และเข้มข้นอร่อยมากๆ ด้วย
"บ้านนอก Coffee Bar" ทำให้เราได้สัมผัสว่าความสุขบางครั้งไม่ได้อยู่ไกล เพราะความสุขอยู่ใกล้ๆ อย่างที่บ้านของเรา เมื่อที่บ้านเราเต็มไปด้วยความสุข เราก็พร้อมจะมอบความสุขนั้นเผื่อแผ่ไปให้คนอื่น เช่นเดียวกันบ้านหลังนี้ที่วันนี้ได้ทำหน้าที่มอบความสุขให้กับผู้คนที่มาเยือนได้มาสัมผัสกันแล้ว
บ้านนอก Coffee Bar
ที่ตั้ง : ตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เปิดบริการ : 9.00-18.00 น. (ปิดวันพุธ)
เบอร์ติดต่อ : 097 072 3458
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/vjTy494yPcadKkEp6
จากอำเภอทุ่งหว้าเราขอพาเพื่อนๆ เดินทางมาที่อำเภอสุดท้ายค่ะ กับอำเภอละงูซึ่งที่นี่เป็นอีกหนึ่งอำเภอในสตูลที่มีที่เที่ยวมากมาย ไฮไลท์ก็ต้องที่นี่เลยค่ะ "สะพานข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงาย" ตอนแรกที่เราฟังชื่อก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ว่าทำไมชื่อสะพานข้ามกาลเวลา แล้วข้ามได้จริงไหม แบบเดินอยู่จะหลุดไปอีกยุคเหมือนในหนังเรื่องทวิภพเลยหรือเปล่า
สะพานข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงายตั้งอยู่ภายในที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตราค่ะ ลักษณะเป็นสะพานปูนที่ทำเลาะไปรอบแนวเขาโต๊ะหงายและเลียบไปกับท้องทะเล ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร แนะนำว่ามาช่วงเย็นๆ นะคะ เพราะตรงจุดนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงาม
สาเหตุที่ชื่อสะพานข้ามกาลเวลาก็เพราะที่นี่เป็นบริเวณที่พบรอยสัมผัสของหินสองยุค คือ หินทรายสีแดงยุคแคมเบรียน (อายุประมาณ 541-485 ล้านปี)และหินปูนยุคออร์โดวิเชียน (อายุประมาณ 485-444 ล้านปี) โดยรอยสัมผัสของหินทั้งสองยุคเป็นรอยสัมผัสที่เกิดจากรอยเลื่อนของเปลือกโลกค่ะ เลยทำให้เหมือนเราเดินทางข้ามกาลเวลาจากยุคหนึ่งไปอีกยุคหนึ่งได้จริงๆ นี่แอบชอบการตั้งชื่อของที่นี่นะคะ ทำให้เรื่องธรณีวิทยามีความน่าสนใจมากขึ้น ใครฟังชื่อก็ต้องอยากเดินทางมาชมให้ได้สักครั้ง
นอกจากหินสองยุคแล้วจุดเด่นที่เราชอบมากๆ คือหินสองก้อนนี้ที่มีปลายแหลมยื่นไปในทะเลเป็นจุดที่พระอาทิตย์จะตกที่ช่องหินพอดีเลยล่ะค่ะ เป็นทิวทัศน์ที่งดงามและชวนแปลกตามากๆ
เราใช้เวลาเดินเล่นเลียบเลาะไปกับแนวหินเฝ้ารอชมโมงยามอัศจรรย์เมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับไปที่ปลายขอบฟ้าแสงสีทองระเรื่อของพระอาทิตย์แต่งแต้มให้ท้องฟ้างดงามจับใจ อีกมุมหนึ่งที่ไม่ให้พลาดสำหรับการเที่ยวสะพานข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงายคือหาดหินหลากสีค่ะ ที่มีทั้งสีเขียว สีน้ำตาล สีดำ สีใสเหมือนแก้ว สีแดง สีชมพู สีดำขาวลายหินอ่อน ซึ่งหินที่นี่ผิวสัมผัสเขาจะมนๆ น่ารักมากค่ะ โดยหินเหล่านี้ก็เกิดจากการผุพังของหินสองยุคคือหินทรายยุคแคมเบรียนและหินปูนยุคออร์โดวิเชียน เมื่อหินเหล่านี้บริเวณหน้าผาผุพังลง กระแสคลื่นทำให้ก้อนหินขัดกันจนมีลักษณะมนและมาสะสมบริเวณชายหาดทำให้เกิดความสวยงามที่หน้าอัศจรรย์ เราหยิบหินเหล่านี้ขึ้นมาถ่ายรูปให้เพื่อนๆ ชมเท่านั้นนะคะ หลังจากถ่ายแล้วก็นำกลับไปวางไว้ที่เดิม ใครที่มาเที่ยวที่นี่ก็ไม่ควรเก็บหินกลับบ้านนะคะ เพื่อให้คนอื่นที่มาเที่ยวจะได้ชื่นชมความงดงามเช่นนี้ตลอดไป
สะพานข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงาย
ที่ตั้ง : ภายในที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล
เบอร์ติดต่อ : 074740272
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/b4hDuFuN5EMdEhDe9
เดินทางข้ามกาลเวลากันแล้วเราจะพาเพื่อนๆ ไปนั่งเรือชมความงดงามของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตราที่ "ชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก" ชุมชนเข้มแข็งที่ได้มีการจัดการท่องเที่ยวชุมชนขึ้นมา มีไฮไลท์ที่น่าสนใจอย่าง "ปราสาทหินพันยอด" และ "สันหลังมังกร" ซึ่งการเที่ยวครั้งนี้จะเป็นการเที่ยวด้วยการนั่งเรือหางยาวตลอดทริปตั้งแต่เช้าไปถึงบ่าย โดยเริ่มต้นทริปทางไกด์จะพาเราไปชมโบราณสถานบ่อเจ็ดลูกที่มีตำนานเล่าขานว่าบุคคลกลุ่มแรกที่เข้ามาอาศัยที่นี่คือชาวเลที่อพยพมาจากเกาะ ชาวเลเหล่านั้นได้ขุดบ่อเพื่อหาน้ำดื่มน้ำใช้ แต่ขุดยังไงก็ไม่มีน้ำออกมาเลย จนกระทั่งถึงบ่อที่เจ็ดจึงมีน้ำออกมา เลยกลายเป็นตำนานของโบราณสถานบ้านบ่อเจ็ดลูกแห่งนี้ค่ะ
ฟังตำนานของชุมชนไปแล้วก็ถึงเวลาไปลงเรือแล้วค่ะ เรือที่พาเราไปเป็นเรือหัวโทงหรือเรือหางยาว มีหลังคาไม่ต้องกลัวร้อนเลยจากฝั่งขับไปไม่นานเราก็ถึงจุดสกัดเกาะเขาใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตราเพื่อที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าอุทยานฯ และวัดอุณหภูมิพร้อมกับลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ไทยชนะ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บริเวณที่ทำการมีห้องน้ำด้วยนะคะ สามารถขอกับทางเจ้าหน้าที่เข้าใช้บริการได้เลยค่ะ
สำหรับการเที่ยวทริปนี้ไฮไลท์สำคัญก็คือปราสาทหินพันยอด ที่เราเคยใฝ่ฝันว่าจะมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง โดยปราสาทหินพันยอดนั้นมีลักษณะเป็นหินที่เป็นชั้นๆ หลายพันยอดซึ่งเกิดจากเมื่อหลายล้านปีก่อนน้ำใต้ดินได้เกิดการกัดเซาะและละลายหินปูนที่อยู่ใต้ดินจนเกิดเป็นโพรงมากมาย โพรงเหล่านั้นได้ขยายขนาดขึ้นจนเชื่อมเป็นโพรงขนาดใหญ่ และเมื่อกาลเวลาผ่านไปหินปูนได้ถูกยกตัวขึ้นกลายเป็นเกาะเขาใหญ่ เพดานของโพรงที่อยู่ในหินปูนก็ถูกกัดเซาะจนบางขึ้นเรื่อยๆ และรับน้ำหนักไม่ไหวเลยมีการยุบตัวลงกลายเป็นปราสาทหินพันยอดความสวยงามสุดมหัศจรรย์
แต่น่าเสียดายมากๆ เพราะก่อนที่เราจะเดินทางมาไม่นานเกิดเหตุการณ์หินถล่มลงมาทำให้ปราสาทหินพันยอดได้รับความเสียหายและปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าเพื่อความปลอดภัย เราเลยทำได้เพียงชมความสวยงามอยู่ด้านนอก และหวังว่าสักวันจะได้กลับมาชมความงดงามจากด้านในได้อีกครั้ง
เดินทางต่อไปยังอ่าวโต๊ะบ๊ะหรืออ่าวฟอสซิลค่ะ ซึ่งที่นี่มีจุดชมฟอสซิลนอติลอยด์ที่อายุกว่า 450 ล้านปี โดยเราจะต้องเดินบันไดขึ้นไปบนหน้าผาเพื่อขึ้นไปชมใครที่มาเที่ยวแนะนำว่าต้องขึ้นไปหาหัวใจที่ปลายผาให้เจอนะคะ จะเป็นช่องหัวใจที่เรามองลงไปพบกับน้ำทะเลสีมรกตสวยงามมากๆ หลังจากนั้นทางไกด์ก็ได้นำข้าวกลางวันเป็นข้าวผัดปูสุดอร่อย พร้อมกับขนมท้องถิ่นอย่างขนมตาหยาบขนมท้องถิ่นของภาคใต้ลักษณะเป็นโรลเหมือนโรตีข้างในเป็นไส้มะพร้าวอร่อยมากๆ ปิดท้ายด้วยแตงโมและมะม่วงจิ้มกับน้ำปลาหวานผลผลิตของทางชุมชนอร่อยมากๆ เลยค่ะ ส่วนใครที่อยากทานเมนูซีฟู้ด เช่น กุ้ง ปู สามารถแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่รับจองทริปได้เลย เขาจะจัดเมนูซีฟู้ดสุดอร่อยมาให้พร้อมกับน้ำจิมรสแซ่บ ซึ่งบริการนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่รับรองว่าไม่แพงเลยค่ะ เพราะเป็นของทะเลที่ได้จากเรือประมงของทางชุมชน
อิ่มแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อค่ะโดยทริปนี้ทางไกด์พาเราไปพายเรือคายัคที่ช่องลอดพบรัก ไปอ่าวหินงามเพื่อชมกับชั้นหินโบราณ พายเรือเล่นที่อ่าวตะโล๊ะการะ เป็นการท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริปที่สนุกมากๆ ตลอดทริปมีเครื่องดื่มให้บริการบนเรือทั้งน้ำเปล่าและน้ำอัดลมเป็นทริปที่สนุกและสะดวกสบายมากๆค่ะ
ปิดท้ายทริปนี้กับการชมสันหลังมังกร หรือทะเลแหวกซึ่งเมื่อน้ำลดเราจะเห็นดอนทรายที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมากลางทะเลที่เราสามารถเดินลงไปได้ ด้วยลักษณะที่พลิ้วไหวของสันทรายทำให้มีความคล้ายกับสันหลังมังกรคนสตูลเลยเรียกที่นี่ว่าสันหลังมังกรมีความยาวประมาณ 500 เมตร ซึ่งสันหลังมังกรในจังหวัดสตูลนั้นมีให้ชมถึง 8 แห่งหรือ 8 ตัวค่ะ ซึ่งตัวที่ยาวที่สุดจะอยู่ที่ตันหยงโปยาวถึง 20 กิโลเมตรกันเลยทีเดียว ใครที่มาสตูลอยากมาทำทริปเก็บสันหลังมังกรให้ครบก็ลองมาได้เลยค่ะ
ที่ตั้ง : การท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล
ค่าบริการ : คนละ 800 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี คิดครึ่งราคา (ราคานี้รวมเรือหางยาวพร้อมชูชีพ+มัคคุเทศก์ สตาฟ ดูแลตลอดทริป+ค่าทำเนียมอุทยานเกาะเภตราฯ + อาหารเที่ยง 1 มื้อ + ประกันการเดิน + เรือคายัค)
ระยะเวลาทริป : 9.30 - 15.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 0815420071 / 0926348509
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/1AweL1hWS4QmiZao7
สำหรับที่พักที่เราอยากแนะนำให้ลองมาพักสำหรับคนที่ต้องการเที่ยวในอำเภอละงูหรือที่เที่ยวอื่นในสตูลเราขอแนะนำที่นี่เลยค่ะ "Seesea Resort" ที่พักบรรยากาศสุดชิลที่ตั้งอยู่ริมหาดปากบารา ใกล้ท่าเรือปากบาราที่ไปหลีเป๊ะ แบบลงเรือปุ๊บก็มาพักเหนื่อยนอนต่อที่นี่ได้เลย ทำเลก็ดีงามเพราะสามารถเดินทางไปที่เที่ยวต่างๆ ในสตูลได้สะดวกสบาย เช่น สะพานข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงายใช้เวลาเพียง 10 นาที เดินทางไปถ้ำเลสเตโกดอนใช้เวลาเพียง 45 นาที สามารถเดินทางไปยังสนามบินหาดใหญ่ และสนามบินตรังได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น
ตัวที่พักติดหาดปากบาราเลยค่ะ เป็นชุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่งดงามมากๆ ภายในที่พักมีสระว่ายน้ำให้ชมวิวทะเล และที่สำคัญที่นี่ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเพื่อนักท่องเที่ยวหรือ SHA โดยตั้งแต่เราเช็คอินจะมีที่ตรวจวัดอุณหภูมิ มีเจลแอลกอฮอลล์ให้ทำความสะอาด มีการเว้นระยะห่างระหว่างที่เช็คอินจึงมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้เลย
ห้องพักที่นี่จะมีทั้งหมด 52 ห้อง 3 รูมไทป์ได้แก่ Superior Room 33 ห้อง, Deluxe Room 16 ห้อง และ Family Room 3 ห้อง ซึ่งห้องพักจะอยู่ในอาคารตึกเอซึ่งเป็นตึกที่อยู่ใกล้กับทะเล มีห้องให้เลือกทั้ง Superior Room และ Deluxe Room ส่วนตึกซีที่ตั้งของล็อบบี้ตึกสูง 4 ชั้น พร้อมมีลิฟต์ให้บริการมีห้องพักให้เลือกคือห้อง Superior Room และห้อง Family Room(พักได้ 4 คน)
การตกแต่งของที่นี่น่านอนมากๆ ค่ะ ในห้องเน้นใช้โทนสีฟ้าขาวตกแต่งสไตล์โคซี่มินิมอล เตียงนุ่มนอนสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ทั้ง ทีวี ไดร์เป่าผม ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น กาต้มน้ำร้อน ผ้าขนหนู พร้อมของใช้ในห้องน้ำทั้งสบู่เหลว แชมพู และครีมนวดผม
สำหรับอาหารเช้าเป็นอะไรที่ปลาบปลื้มมากๆ ซึ่งถ้าช่วงไหนแขกน้อยเขาจะบริการเป็นแบบอาหารตามสั่งที่มีเมนูให้เลือกมากมาย ถ้าช่วงไหนคนเยอะก็เป็นบุฟเฟ่ต์ที่จัดเต็มไลน์อาหารให้ทานเยอะมากๆ ทั้งอเมริกันเบรคฟาสต์ อาหารไทย อาหารใต้เช่นข้าวยำบอกเลยว่าข้าวยำที่นี่อร่อยมากๆ เราเติมสองจานกันเลยทีเดียว ขนมจีนที่มีน้ำแกงให้เลือกทั้งแกงไตปลา แกงไก่ น้ำยาพร้อมผักพื้นบ้าน ทานกับไก่ทอดหนังกรอบร่อยจังฮู้ และยังมีขนมหวานของท้องถิ่นอย่างขนมตาหยาบให้ได้เลือกทานอีกด้วย สำหรับในเรื่องความสะอาดก็มั่นใจได้เลยค่ะ เพราะทางที่พักจะให้ลูกค้าใช้ถุงมือพลาสติกในการตักอาหารและจัดโต๊ะอาหารให้มีระยะห่างเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไวรัสโควิด - 19
ที่พักแห่งนี้จึงเหมาะกับคนที่อยากสำรวจที่เที่ยวในจังหวัดสตูล หรือหลังจากเที่ยวเกาะหลีเป๊ะแล้วก็มาพักที่นี่สักคืนสองคืนเพื่อตะลุยสตูลต่อได้เลย Seesea Resort เป็นหนึ่งที่พักน่ารักบรรยากาศสงบที่เราอยากแนะนำให้คุณมาพักสักครั้งแล้วจะประทับใจ แค่ได้มานอนชมพระอาทิตย์ตกริมทะเลปากบาราแบบนี้ก็คุ้มค่าแล้วล่ะค่ะ
ที่ตั้ง : 832 หมู่2 ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล
ราคา : 1200 - 2500 บาท
เบอร์ติดต่อ : 095-6696959, 064-0400800
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/2WqSpTJVjAQ589fW6
"สตูล"สำหรับเราเป็นเพชรเม็ดงามที่มีทั้งทะเลสวยอันดับต้นๆ ในเมืองไทยอย่างเกาะหลีเป๊ะ มีที่เที่ยวระดับโลกอย่างอุทยานธรณีโลกสตูล มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติทั้งบนพื้นดินและใต้ท้องทะเล มีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งและสวยงาม มีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน มีอาหารอร่อยเด็ดร่อยจังฮู้และมีที่เที่ยวอีกมากมายที่ต้องออกเดินทางไปค้นหา เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้คุณอยากออกเดินทางไปท่องเที่ยวสตูลเมืองรองที่สวยระดับโลกนี้ด้วยตัวของคุณเอง
บทความแนะนำ:
- 10 ที่พักริมทะเลหลีเป๊ะ วิวสวยสุดๆ ชมวิวเกาะหลีเป๊ะสุดปัง อัพเดตใหม่ 2021
- ตัวอย่างทริปเที่ยวเกาะอาดัง หลีเป๊ะ 4 วัน 3 คืน งบ 8000 เอาอยู่
Tags: สตูล ยอดนิยม ที่เที่ยวสตูล เที่ยวสตูล ที่พักสตูล ที่กินสตูล ร้านอาหารสตูล การเดินทางสตูล ร้านอร่อยสตูล คาเฟ่สตูล โรงแรมสตูล รีสอร์ทสตูล พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล Satun Street Art คฤหาสน์กูเด็น อุทยานธรณีสตูล Satun Geopark ทุ่งหว้า พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า ถ้ำเลสเตโกดอน สวนควนข้อง ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติทุ่งหว้า ฉิมเมล่อน บ้านนอก Coffee Bar สะพานข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงาย ละงู รอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ปราสาทหินพันยอด ชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก สันหลังมังกร Seesea Resort เมืองรองต้องลอง GOLOCALTHAILAND Amazingไทยเท่
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 01 พ.ย. 2024 | 212 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 27 ต.ค. 2024 | 1,231 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่กิน | 03 พ.ย. 2024 | 428 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 30 ต.ค. 2024 | 398 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 1,446 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 797 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 10 ต.ค. 2024 | 5,968 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 10 ต.ค. 2024 | 895 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 22 ต.ค. 2024 | 1,515 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 10 ต.ค. 2024 | 4,180 อ่าน