calendar_month 01 ก.พ. 2021 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 93,334 / เที่ยวต่างประเทศ
มีหลายคนถามฮานะว่าไปญี่ปุ่นบ่อยๆ แล้วชอบที่ไหนมากที่สุด บอกเลยว่าเป็นคำตอบที่ยากมากๆ เพราะในแต่ละเมืองของญี่ปุ่นก็จะมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป แต่ถ้าถามว่าภูมิภาคไหนที่อยากเดินทางไปซ้ำมากที่สุดก็ต้องยกให้เกาะคิวชู เกาะทางใต้ของญี่ปุ่นที่มีครบไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเขา เมืองน่ารัก อาหารอร่อย เส้นทางรถไฟสวย พร้อมกับมีแหล่งอนเซ็นชื่อดังให้เลือกมากมาย วันนี้เราเลยจะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักคิวชูกันอีกสักครั้ง แต่ครั้งนี้เราจะพาเที่ยวแบบเจาะลึกคิวชู เช็คอิน 7 จังหวัดในคิวชู ว่าแต่ละที่จะมีไฮไลท์เด็ดอะไรน่าไปเที่ยวบ้าง พร้อมแล้วก็ตามเราไปชมกันเลยค่ะ
อ่านจบแล้วอย่าลืมร่วมทำแคมเปญคิวชู x ชิลไปไหนในตอนท้ายกันด้วยนะ ลุ้นของรางวัลสำหรับไปเที่ยวคิวชูได้เลย
ก่อนจะพาไปเจาะลึกแต่ละเมืองเราขอพามาทำความรู้จักเกาะคิวชูกันก่อน เกาะคิวชูหรือภูมิภาคคิวชูนั้นเป็นเกาะทางใต้หนึ่งใน 4 เกาะหลักของประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ ฮนชู ฮกไกโด คิวชู และชิโกกุ ซึ่งคิวชูนั้นใหญ่เป็นอันดับ 3 ประกอบไปด้วย 7 จังหวัด เริ่มจากฟุคุโอกะ (Fukuoka) โออิตะ(Oita) ซะกะ(Saga) นางาซากิ(Nagasaki) คุมะโมโตะ(Kumamoto) มิยะซะกิ(Miyazaki)และ คะโงะชิมะ (Kagoshima) เนื่องจากเป็นเกาะทางใต้ทำให้คิวชูมีอากาศอบอุ่นและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย เรียกได้ว่าถ้าจะเก็บเกาะคิวชูให้ครบเราว่าควรมีเวลาขั้นต่ำประมาณ 1 เดือนกันเลยค่ะ เพราะที่นี่ที่เที่ยวเยอะมากๆ และแต่ฤดูก็จะมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป ทำความรู้จักเกาะคิวชูเบื้องต้นกันแล้วเรามาเริ่มตะลุยคิวชูตั้งแต่เหนือสุดของเกาะไปยันใต้สุดของเกาะกันดีกว่าค่ะ
จังหวัดฟุคุโอกะ ถือเป็นศูนย์กลางของเกาะคิวชู เพราะที่นี่มีสนามบินฟุคุโอกะ (Fukuoka Airport)ที่รองรับเที่ยวบินจากทั้งต่างประเทศและในประเทศ โดยถ้ามาจากประเทศไทยก็สามารถลงที่สนามบินนี้แล้วต่อรถไฟใต้ดินเข้าเมืองเพียง 5 นาทีเท่านั้นค่ะ ตัวสนามบินอยู่ห่างจากสถานีฮากะตะ ซึ่งเป็นสถานีหลักของจังหวัดฟุคุโอกะเพียง 3 กิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นสนามบินที่ใกล้ตัวเมืองมากๆ ไม่ต้องเผื่อเวลาเดินทางมากมาย สะดวกสบายสุดๆ
การเดินทางมายังฟุคุโอกะ
จากเมืองไทยมีสายการบินบินตรงมายังสนามบินฟุคุโอกะ (Fukuoka Airport) ได้เลย
Itoshima : เมืองชายทะเลสุดน่ารัก พร้อมลิ้มรสหอยนางรม สด อร่อย
จากฟุคุโอกะถ้าอยากชมทะเลสวย ทานอาหารทะเลสดอร่อยเราขอแนะนำทะเลแห่งเมือง Itoshima ซึ่งเป็นเมืองริมทะเลที่กำลังมาแรงในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นกันเลยค่ะ เพราะที่นี่มีร้านคาเฟ่ชิคเก๋ จุดถ่ายรูปสุดฮิตมากมาย และอาหารทะเลของเมืองนี้ก็สดอร่อยโดยเฉพาะหอยนางรมของที่นี่ตัวใหญ่ สด หวานมากๆ
ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเมือง Itoshima คือจุดถ่ายรูป Sakurai Futamigaura ที่มีหินคู่รัก Futamigaura ตั้งอยู่กลางทะเล พร้อมกับเสาโทริอิสีขาว ซึ่งถ้ามองลอดช่องประตูเสาโทริอิก็จะพบกับหินคู่รัก Futamigaura ตั้งเคียงคู่กลางทะเล และถ้าคุณมาที่นี่ในช่วงฤดูร้อนก็จะได้พบกับพระอาทิตย์ที่ตกตรงกลางระหว่างหินคู่รักพอดีพอดีเลยล่ะค่ะ ที่นี่จึงได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 100 วิวยามเย็นที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากหินคู่รักแล้วบริเวณนี้ยังมีจุดถ่ายรูปน่ารักอีกมากมาย พร้อมกับร้านคาเฟ่ชมวิวทะเลอย่างร้าน Sunset Cafe ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านที่เหล่า Instagramable มาเช็คอินถ่ายรูปกัน
พิกัด GPS : Sakurai Futamigaura
มาเมืองริมทะเลแบบนี้ก็ต้องมาหาร้านทะเลอร่อยๆ ทานกันค่ะ ซึ่งเมือง Itoshima นั้นโด่งดังในเรื่องหอยนางรมที่ตัวใหญ่ หวาน สดอร่อย โดยถ้ามาในช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนพฤศจิกายน - เดือนมีนาคม เราก็จะพบกับซุ้มปิ้งหอยนางรมหรือ Kakigoya ที่จะทำเป็นเต็นท์รูปครึ่งวงกลมมีหลังคาไวนิลสีขาวถ้าดูภายนอกจะคล้ายกับโรงเรือนปลูกต้นไม้ พอเข้ามาข้างในก็พบกับที่นั่งปิ้งหอยพร้อมอุปกรณ์ในการย่างมีทั้งแบบเตาถ่านและเตาแก๊ซ ซึ่งราคาหอยนางรมเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 1,000 เยน
ร้านที่เราจะพาไปทานกันในวันนี้คือร้าน Mirukugaki Toyohisa-maru ก่อนเข้าร้านจะมีการวัดอุณหภูมิ ถ้าไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียสก็สามารถเข้าไปใช้บริการในร้านได้ค่ะ โดยร้านนี้จะเป็นแบบเตาถ่านให้เรานั่งย่างหอยนางรมร้อนๆ เนื้อ สด หวานทานฟินมากๆ
การเดินทางมายัง Itoshima : จากตัวเมืองฮากะตะนั่งรถไฟ JR Chikuhi line จากสถานี Meinohama มายัง Itoshimakokomae ใช้เวลาประมาณ 17 นาที
พิกัด GPS : Mirukugaki Toyohisa-maru
ศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu : ไหว้เทพแห่งการเรียนพร้อมชิมโมจิย่างสุดอร่อย
เมืองดาไซฟุ(Dazaifu) ในอดีตนั้นเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองของเกาะคิวชูมากว่า 500 ปี ปัจจุบันเมือง Dazaifu เป็นเมืองเล็กๆ เงียบสงบที่อยู่ห่างจากตัวเมืองฟุคุโอกะประมาณ 14 กิโลเมตร สามารถนั่งรถไฟมาเที่ยวได้ใช้เวลาเพียง 20 นาที ซึ่งเมืองนี้มีไฮไลท์สำคัญนั่นก็คือ ศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu ศาลเจ้าแห่งการเรียน สร้างเพื่ออุทิศแด่ Sugawara no Michizane ขุนนางนักปราชญ์ที่โดดเด่นเรื่องการศึกษาในสมัยเฮอันแต่ถูกใส่ร้ายในสิ่งที่ไม่ได้กระทำ เลยทำให้ถูกเนรเทศจากเมืองเกียวโตมายังเมืองดาไซฟุ และจบชีวิตที่เมืองนี้ ซึ่งศาลเจ้าแห่งนี้เป็นจุดที่ฝังศพของ Sugawara no Michizane
การเข้าไปยังศาลเจ้าจะต้องเดินผ่านสะพานสีแดง 3 สะพานที่ข้ามสระน้ำ มีความหมายถึง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต พอเดินเข้ามาแล้วเราก็จะพบกับอาคารศาลเจ้าหรือฮนเดน สร้างในปี ค.ศ.1591 ด้านขวาของฮนเดนจะเป็นต้นบ๊วยที่ว่ากันว่าตอนที่ Michizane มาอยู่ที่นี่ต้นบ๊วยที่เกียวโตได้บินตามเขามาด้วย ซึ่งดอกบ๊วยจะออกดอกสวยงามในช่วงเดือนมกราคม - เดือนมีนาคมค่ะ
หลังจากสักการะศาลเจ้าแล้วเราอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ไปลองชิมขนมโมจิย่าง Umegae Mochi ที่จะมีขายอยู่บนถนนคนเดินทางเข้าวัดค่ะ เป็นขนมโมจิที่สอดไส้ด้วยถั่วแดง แป้งเหนียวนุ่มอร่อยมากๆ และยังมีร้านกาแฟสตาร์บัคส์ที่ดีไซน์จากไม้บอกเลยว่าสวยมากๆ ติดหนึ่งใน 5 ร้านสตาร์บัคส์ที่น่านั่งของญี่ปุ่นอีกด้วย
การเดินทางมายัง Dazaifu : จากตัวเมืองฮากะตะนั่งรถไฟสาย NISHITETSU ที่สถานี NISHITETSUFUKUOKA(TENJIN) มาลงสถานี DAZAIFU ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
พิกัด GPS : ศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu
Yanagawa : ล่องเรือแจวโบราณชมเมือง Yanagawa บอกเล่าเรื่องราวแห่งอดีต
จากนั้นจะพาไปล่องเรือแจวโบราณที่เมือง Yanagawa โดยจากสถานีฮากะตะนั่งรถไฟมาที่นี่ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีค่ะ ไฮไลท์ของเมืองนี้ก็ต้องกิจกรรมล่องเรือแจวโบราณไปในลำคลอง Yanagawa ที่คดเคี้ยวไปมา ว่ากันว่าถ้านำคลองแห่งนี้มาคลี่ออกจะได้ระยะทางถึง 960 กิโลเมตร หรือเท่ากับระยะทางจากที่นี่ไปเมืองเกียวโตกันเลยค่ะ
ระยะเวลาในการล่องประมาณ 60 นาที โดยระหว่างที่ล่องเรือคุณลุงคนแจวจะใส่เฟสชิลด์พร้อมกับเล่าเรื่องราวและสถานที่ต่างๆ ในคลองให้เราฟังสลับกับการร้องเพลงภาษาญี่ปุ่น ถึงแม้จะฟังไม่ออกแต่เสียงเพลงและบรรยากาศตรงหน้าก็สวยงามจับใจ คนเมืองนี้ก็น่ารักด้วยค่ะ ระหว่างที่เราล่องผ่านก็จะมีคนบนฝั่งคอยโบกมือทักทายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะกับการมาล่องเรือคือช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ทั้งสองฝั่งคลองจะมีต้นซากุระออกดอกสีชมพูงดงาม ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงเหล่าต้นไม้เหล่านี้ก็จะเปลี่ยนสีสันเป็นสีเหลืองแดงงดงามไม่แพ้กัน
การเดินทางมายัง Yanagawa : จากสถานี Nishitetsu Fukuoka (Tenjin)นั่งรถไฟสาย Nishitetsu Tenjin-Omuta Line มาลงสถานี Nishitetsu Yanagawa ใช้เวลาเดินทาง 50 นาที
พิกัด GPS : ท่าเรือ Yanagawa kanko
เรารู้จักซะกะ(Saga) ครั้งแรกก็เมื่อได้ดูซีรีส์เรื่อง STAY ซะกะ..ฉันจะคิดถึงเธอ หลังจากนั้นก็รู้สึกตกหลุมรักในเมืองเล็กๆ แห่งนี้และหวังว่าสักวันจะได้เดินทางไปที่นี่สักครั้ง ลองมาดูกันว่าทำไมเมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงเปี่ยมล้วนไปด้วยเสน่ห์ขนาดนี้
การเดินทางมายังซะกะ
จากตัวสถานีฮากะตะมีรถไฟหลายขบวนที่วิ่งมาเมืองซะกะค่ะใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีเท่านั้น
แหลมฮาโดะ(Hado Misaki) : จูงมือคนรักมาถ่ายรูปริมทะเลกัน
มาตามรอย STAY ซะกะ..ฉันจะคิดถึงเธอกันที่แหลมฮาโดะ(Hado Misaki) ซึ่งเป็นสถานที่แห่งความรักเพราะชื่อของแหลม Hado นั้นจะไปพ้องกับการออกเสียงคำว่าหัวใจ (Hart-To)ในภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่นค่ะ เลยมีการทำอนุสาวรีย์สีขาวรูปหัวใจริมทะเลขึ้นมาเพื่อให้คู่รักได้มาถ่ายรูปเช็คอินกัน ยิ่งถ้าได้มาจูงมือคุณแฟนเดินชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมแห่งนี้ด้วยกันจะเป็นช่วงเวลาที่โรแมนติกมากๆ เลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ยังมีหอสังเกตการณ์สัตว์น้ำ(Genkai Undersea Observatory Tower) ซึ่งเป็นหอสังเกตุการณ์ใต้ทะเลสีขาวตั้งอยู่กลางทะเล มีสะพานทางเดินยาว 86 เมตรไปยังตัวหอที่สูง 20 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนด้านล่างจะลึก 7 เมตร เราสามารถเดินบันไดวนลงไปชมสัตว์น้ำใต้ทะเลได้ด้วยค่ะ
การเดินทางมายังแหลมฮาโดะ(Hado Misaki) : มีรถไฟ JR Chikuhi Line ที่วิ่งจากสถานี MEINOHAMA มายังสถานี KARATSU ใช้เวลาประมาณ 70 นาทีค่ะ จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ต่อมาประมาณ 45 นาที
พิกัด GPS : แหลมฮาโดะ(Hado Misaki)
ศาลเจ้า Yutoku Inari : 1 ใน 3 ศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในญี่ปุ่น
ถ้าพูดถึงศาลเจ้าอินาริคนญี่ปุ่นจะรู้จักกันดี เพราะเป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโตที่นับถือเทพเจ้าอินาริหรือเทพแห่งกสิกรรมและการค้าขาย โดยสัญลักษณ์ของศาลเจ้าอินาริคือสุนัขจิ้งจอกที่เปรียบเหมือนผู้ส่งสารของเทพเจ้าซึ่งศาลเจ้าอินาริที่เรารู้จักกันดีก็คือศาลเจ้าฟุชิมิอินาริที่เกียวโต สำหรับเมืองซะกะแห่งนี้ก็มีศาลเจ้าอินาริที่เป็นหนึ่ง 1 ใน 3 ศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในญี่ปุ่น นั่นก็คือศาลเจ้า Yutoku Inari ซึ่งเป็นศาลเจ้าประจำเมืองซะกะอีกด้วยค่ะ
ประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1688 เป็นศาลเจ้าประจำตระกูลนาเบะชิมะ ผู้ปกครองเมืองซะกะในสมัยเอโดะ ซึ่งตัวศาลเจ้านั้นจะตั้งอยู่บนคานไม้ที่สูง 18 เมตรบนเนินเขาลักษณะคล้ายกับวัดคิโยะมิซุที่เกียวโต จากอาคารศาลเจ้าจะมีทางเดินขึ้นเขาโดยระหว่างทางจะเรียงรายไปด้วยเสาโทริอิสีแดงทอดยาวไปถึงยอดเขาค่ะ ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีเราก็สามารถขึ้นไปชมวิวสวยๆ ของเมืองจากมุมสูงได้ด้วยค่ะ
นอกจากจะมาขอพรเรื่องการทำมาค้าขายกันแล้วที่ศาลเจ้าแห่งนี้คนยังนิยมมาขอพรเรื่องการสอบ และให้แคล้วคลาดปลอดภัยด้วยค่ะ โดยจะมีแผ่นป้ายไม้ขอพรรูป 5 เหลี่ยมให้เราได้เขียนคำขอพร บนแผ่นป้ายจะมีตัวคันจิเขียนคำว่า "อันตราย" ซึ่งตอนที่เรานำไปแขวนเราจะต้องทำให้คำนี้หลุดออกมา ใครที่กลัวว่าช่วงโควิดแบบนี้จะไม่กล้าแตะต้องแผ่นป้ายไม้ก็สบายใจได้เลย เพราะทางศาลเจ้าได้เตรียมเจลแอลกอฮอล์เพื่อรักษาความสะอาดให้กับผู้ที่มาเขียนแผ่นป้ายไว้ด้วยค่ะ
การเดินทางไปยังศาลเจ้า Yutoku Inari : จากสถานีซะกะนั่งรถไฟ JR Nagasaki Line ไปลงสถานี HIZENHAMA แล้วนั่งรถบัสหรือแท็กซี่ไปยังศาลเจ้าได้
พิกัด GPS : ศาลเจ้า Yutoku Inari
ร้านทาเคซากิไคซัง (Takezaki Kaisan) : ลิ้มรสอาหารทะเลย่างเตาถ่านสุดอร่อย
ร้านแนะนำในเมืองซะกะเราขอยกให้ร้านนี้เลยค่ะร้านทาเคซากิไคซัง (Takezaki Kaisan) โดยร้านเขาจะขายเมนูทะเลเผาโดยเน้นที่ปูทาเคซากิ(คล้ายกับปูม้าบ้านเรา)และบรรดาหอยมากมายทั้งหอยนางรมทาเคซากิ,หอยเชลล์ และหอยฮิโองิ(Noble scallop) ซึ่งเจ้าของร้านนั้นเป็นชาวประมงที่จับปูทาเคซากิเองและยังมีฟาร์มเลี้ยงหอยนางรมทาเคซากิด้วยค่ะ รับรองว่าสดอร่อยมากๆ ยิ่งนำมาย่างบนเตาถ่านแค่ได้กลิ่นหอมๆ ท้องก็ร้องแล้วค่ะ ด้วยความสดของวัตถุดิบทำให้เราได้ลิ้มรสรสชาติหวานอร่อยแบบอูมามิไม่ต้องใส่น้ำจิ้มก็ยังได้ อ้อลืมบอกไปว่าราคาก็ไม่แพงนะคะ หอยเขาขายตะกร้าละ 450 เยนเท่านั้น ส่วนปูทาเคซากิจะอยู่ที่ตัวละประมาณ 3800 เยนค่ะ
การเดินทางไปยังร้านทาเคซากิไคซัง (Takezaki Kaisan) : จากสถานีซะกะนั่ง JR Nagasaki Line มายังสถานี TARA ประมาณ 70 นาทีค่ะ แล้วนั่งแท็กซี่มายังร้านได้เลย
พิกัด GPS : ร้านทาเคซากิไคซัง (Takezaki Kaisan)
นางาซากิเมืองที่เรารู้จักจากการเรียนประวัติศาสตร์เพราะเป็นเมืองที่เคยถูกทำลายด้วยระเบิดนิวเคลียร์เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 จวบจนมาวันนี้นางาซากิเป็นอีกหนึ่งเมืองที่เรารักที่สุดในเกาะคิวชู เพราะที่นี่มีร่องรอยประวัติศาสตร์ที่จะเล่าขานให้อนุชนรุ่นหลังรับรู้ในเรื่องความโหดร้ายของสงคราม แต่กระนั้นกลับยังคงสวยงามด้วยวัฒนธรรมที่ผสมผสานตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัว
การเดินทางมายังนางาซากิ
จากสถานีฮากะตะในฟุคุโอกะสามารถนั่งรถไฟ LTD. EXP KAMOME มาลงสถานี NAGASAKI ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง
ภูเขาอินะซายามะ(Nagasaki’s Night View Inasayama) : จุดชมวิวยามค่ำคืนที่สวยติดอันดับ 3 ของโลก
ที่แรกเราจะพาไปสัมผัสจังหวัดนางาซิกิกันที่ ภูเขาอินะซายามะ(Nagasaki’s Night View Inasayama) ซึ่งที่นี่จุดชมวิวยามค่ำคืนที่สวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกและของญี่ปุ่นกันเลยค่ะ ซึ่งยอดเขาอินะซานั้นสูงจากระดับน้ำทะเล 333 เมตรการเดินทางไปยอดเขาสามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขาได้ค่ะใช้เวลาเพียง 5 นาทีหรือจะขับรถขึ้นไปเองก็ได้นะคะ พอขึ้นมาเราก็จะพบกับวิวแบบ 360 องศา แนะนำว่ามาก่อนฟ้ามืดเพราะเราจะได้เห็นช่วงเวลาที่งดงามตั้งแต่พระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า แสงสีทองสาดทอให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีสันสวยงาม ไปจนถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงไฟจากหมู่ตึกในเมืองจะส่องแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวที่พร่างพราวบนพื้นดินกันเลยค่ะ
การเดินทางไปยังภูเขาอินะซายามะ : นั่งรถรางสาย 1 หรือสาย 3 ในตัวเมืองนางาซากิไปลงสถานี Takaramachi แล้วเดินต่อไปประมาณ 5 นาทีก็จะถึงสถานีกระเช้าที่ขึ้นสู่ยอดเขา
พิกัด GPS : ภูเขาอินะซายามะ
น้ำพุร้อนอุนเซ็น Unzen Jigoku : สัมผัสนรกที่สวยงาม
นรกที่สวยงามนั้นมีด้วยเหรอ บอกเลยว่ามีที่นางาซากินี่แหละค่ะ ที่นี่คือ น้ำพุร้อนอุนเซ็น Unzen Jigoku หรือแปลเป็นไทยว่านรกบนเขาอุนเซ็น ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติอุนเซ็ง-อามากูซะ ด้วยอุณหภูมิของน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งออกมากว่า 30 บ่อบนเขาพร้อมควันและกลิ่นกำมะถันที่คละคลุ้งทั่วภูเขาอุนเซ็นทำให้ที่นี่ได้รับสมญานามว่านรกบนเขา แต่เราขอยกให้เป็นนรกที่สวยงามเพราะด้วยสภาพแวดล้อมของธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ ยิ่งในช่วงที่มีหิมะตกจะปรากฏภาพหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วขุนเขา พร้อมกับมีไอร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาเป็นภาพที่งดงามแปลกตาราวกับมีจิตรกรมาบรรจงวาดเอาไว้เลยล่ะค่ะ และที่นี่ยังมีเรียวกังให้บริการด้วยสามารถเลือกพักเพื่อนอนแช่น้ำชมวิวสวยๆ ของภูเขาอุนเซ็นกันได้เลย
การเดินทางไปยัง Unzen Jigoku : จากนางาซากินั่งรถไฟไปยังสถานี ISAHAYA ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีแล้วนั่งรถบัส Shimatetsu Bus อีกประมาณ 80 นาที ไปยัง Shimatetsu Bus Center- Unzen
พิกัด GPS : Unzen Jigoku
ชิมาบาระ : เมืองที่มีปลาสวยน้ำใส City of Swimming Carp
ชิมาบาระเมืองที่มีปลาคาร์พอยู่ในท่อระบายน้ำ ตอนแรกเราได้ยินคำนี้ก็ตะลึงงุนงง ว่าท่อระบายน้ำกับปลาคาร์พมันไม่น่าใช่สิ่งที่จะอยู่ด้วยกันได้แต่ที่เมืองชิมาบาระแห่งจังหวัดนางาซากินี้ทำให้สองอย่างนี้อยู่ด้วยกันได้ เพราะที่นี่เป็นเมืองที่น้ำใสสะอาดมากๆ อุดมไปด้วยแหล่งน้ำใต้ดินมากมายที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดินทำให้น้ำใสสะอาดสามารถทานได้เลย ใสชนิดที่ว่ามีน้องปลาคาร์พอาศัยอยู่ในท่อระบายน้ำของเมืองและชาวเมืองก็ช่วยกันดูแลน้องๆ เหล่านี้กันอย่างดี และขอบอกว่าอาหารและขนมจากเมืองชิมาบาระนั้นอร่อยมากๆ เลยค่ะเพราะเขาใช้น้ำใสสะอาดของเมืองมาปรุง แค่มาเดินเล่นในบรรยากาศเมืองเก่า เดินชมน้องปลาคาร์พ ชิมอาหารอร่อยก็มีความสุขแล้ว รับรองว่าถ้าได้มาแล้วจะหลงรักแน่นอน
การเดินทางไปยังชิมาบาระ : จากนางาซากินั่งรถไฟไปยัง ISAHAYA ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีแล้วต่อรถไฟ Shimabara Railway ไปลง SHIMABARA ใช้เวลาประมาณ 72 นาที
พิกัด GPS : ชิมาบาระ
ถ้าพูดถึงคุมะมงเราเชื่อว่าคงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจ้าหมีสุดกวนอย่างแน่นอน ซึ่งคุมะมงนั้นเป็นมาสค็อตแห่งจังหวัดคุมะโมโตะ ซึ่งนอกจากเมืองนี้จะมีคุมะมงแล้วยังมีที่เที่ยวอีกเพียบเลยค่ะ ตามไปชมกันเลยว่าจะมีที่ไหนบ้าง
การเดินทางมายังคุมะโมโตะ
จากสถานะฮากะตะนั่งรถไฟชินกันเซ็นมายังคุมะโมโตะใช้เวลาประมาณ 32-50 นาที
ปราสาทคุมะโมโตะ : 1 ใน 3 ปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในเมืองคุมะโมโตะก็ต้องที่นี่เลยค่ะ ปราสาทคุมะโมโตะซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 ปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยปราสาทคุมะโมโตะนั้นสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1600 ใช้เวลาสร้าง 7 ปี ออกแบบโดย Kato Kiyomasa ซึ่งเป็นไดเมียวหรือเจ้าเมืองที่ได้รับการยกย่องว่าทักษะในการออกแบบของเขาในการสร้างปราสาทและป้อมปราการนั้นยอดเยี่ยมมากๆ ซึ่งปราสาทคุมะโมโตะนั้นเดินทางผ่านประวัติศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นมากมาย และโชคร้ายที่ถูกไฟไหม้ครั้งยิ่งใหญ่ในปี ค.ศ.1877 แต่ต่อมาก็มีการสร้างขึ้นมาใหม่ที่ยังคงอิงแบบเดิม แต่ก็น่าเศร้าเมื่อครั้งแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ที่คิวชูเมื่อเดือนเมษายนปี 2016 ปราสาทแห่งนี้ได้รับความเสียหายหนักมากๆ ค่ะ มีการคาดคะเนว่าต้องใช้เวลาถึง 20 ปีที่จะซ่อมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ในความโชคร้ายก็ยังมีข่าวดีเพราะเราทราบมาว่าที่นี่จะกลับมาเปิดให้ชมด้านในตัวปราสาทอีกครั้งในเดือนเมษายนปีนี้ค่ะ แม้วันที่เราไปจะได้ชื่นชมอยู่เพียงด้านนอก แต่รับรองว่าถ้าเมื่อไรที่ปราสาทกลับมาเปิดให้ชมเราจะนำภาพสวยๆ ด้านในปราสาทมาฝากเพื่อนๆ แน่นอน ระหว่างนี้ชมภาพด้านหน้าพร้อมกับทีมนักแสดงที่เขาจะแต่งชุดโบราณเหมือนคนที่มีตัวตนจริงตามประวัติศาสตร์ “Kumamoto Bushotai” ซึ่งเหล่านักแสดงก็ต่างใส่มาสก์ในแบบฉบับการท่องเที่ยวแบบนิวนอร์มอลเพื่อป้องกันการแพร่กระจายจากเชื้อไวรัสโควิด-19 กันอีกด้วยการเดินทางมายังปราสาทคุมะโมโตะ : จากสถานีคุมะโมโตะนั่งรถรางมาประมาณ 15 นาทีค่ะ ลงสถานี Kumamotojo-mae แล้วเดินมายังปราสาท
พิกัด GPS : ปราสาทคุมะโมโตะ
ทาเบะโคกิ (Tabekogi) : กินไป ปั่นไป
จากนั้นเราจะพาเพื่อนๆ ไปปั่นจักรยานชมวิวสวยๆ ของภูเขาไฟอะโสะกันค่ะ แล้วไม่ใช่แค่ชมวิวอย่างเดียวเพราะทริปปั่นจักรยานครั้งนี้แถมฟรีบัตรคูปองอาหารให้ทานถึง 7 ใบในราคาเพียง 3500 เยนเท่านั้น บอกเลยว่าคุ้มมากๆ โดยเราสามารถไปจองทริปนี้ได้ผ่านทางเว็บไซต์ โดยทริปนี้จะเป็นทริปแบบวันเดย์ทริปใช้เวลา 4 ชั่วโมงค่ะ จุดสตาร์ทจะอยู่ที่สถานีรถไฟอะโสะ โดยเราจะต้องไปติดต่อที่ Aso Tourism Information Center ซึ่งตั้งอยู่ภายในสถานี JR Aso จากนั้นเขาจะให้แผนที่พร้อมมีรายชื่อร้านที่เราสามารถเข้าไปใช้คูปองได้ บอกเลยว่าวิวของที่นี่สวยมากๆ ถนนที่ทอดยาวเบื้องหน้าเราคือภูเขาอะโสะอันยิ่งใหญ่ปั่นเพลินกันจนลืมกินเลยทีเดียว ส่วนร้านอาหารก็มีให้เลือกแวะหลายร้านทั้งร้านโคร็อกเกะเนื้อม้าชื่อดังสุดอร่อย ร้าน Kaiten-Manju ขนมแพนเค้กสไตล์ญี่ปุ่นร้อนๆ สอดไส้ด้วยถั่วแดง ร้านไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและอีกมากมายโดยแต่ละร้านจะระบุว่าต้องใช้คูปองในการแลกอาหารจำนวนกี่ใบ ซึ่งบางร้านก็ใช้ 1 ใบ 2 ใบ หรือ 3 ใบ
การเดินทางไปยังสถานีรถไฟอะโสะ : จากสถานีคุมะโมโตะมีรถไฟที่วิ่งตรงไปยังสถานีอะโสะใช้เวลาประมาณ 74 นาที
พิกัด GPS : สถานีรถไฟอะโสะ
ภูเขาไฟอะโสะ : ชมภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นใหญ่ที่สุดในโลก
มาถึงอะโสะกันแล้วเราอยากให้เพื่อนๆ ได้ลองเดินทางไปชมภูเขาไฟอะโสะอย่างใกล้ชิดกันค่ะ ซึ่งเทือกเขาอะโสะนั้นประกอบไปด้วย 5 ยอดเขา ได้แก่ Nakodake, Takadake, Nakadake(เป็นปล่องเดียวที่ยังคงคุกรุ่น), Eboshidake และ Kishimadake ที่เรียงตัวกันถ้ามองไกลๆ จะเหมือนพระพุทธรูปกำลังนอนอยู่เลยค่ะ ภูเขาไฟอะโสะนั้นเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ การเที่ยวชมอะโสะนั้นมีให้เลือกทั้งแบบทัวร์วันเดย์ทริปที่สามารถเลือกรูทเส้นทางที่จะไป หรือสามารถขับรถเที่ยวเองรอบๆ ภูเขาไฟได้ค่ะ บอกเลยว่าเส้นทางท่องเที่ยวรอบภูเขาไฟอะโสะนั้นงดงามมากๆ ยิ่งถ้ามาในช่วงฤดูหนาวที่ทุ่งหญ้าทั้งสองข้างจะเปลี่ยนเป็นสีทองตัดกับภูเขาเบื้องหน้าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวก็ทำให้เหมือนเรากำลังขับรถเที่ยวในยุโรปกันเลย และถ้าอยากขึ้นไปชมบนปากปล่องภูเขาไฟอะโสะที่ยอด Nakadake ก็สามารถนั่งรถ shuttle บัสเพื่อขึ้นไปที่ปากปล่องขึ้นไปได้ค่ะ แต่ต้องเป็นช่วงที่ปลอดภัยไม่เกิดการประทุของภูเขาไฟอะโสะนะคะ
การเดินทางไปชมปากปล่องภูเขาไฟอะโสะ : จากสถานีรถไฟอะโสะนั่งรถบัสไปลงป้าย Aso-san Nishi แล้วนั่งรถshuttleบัสเพื่อขึ้นไปที่ปากปล่อง (火口西駅バス停)
พิกัด GPS : Aso-san Nishi
ถ้าคุณอยากเที่ยวเมืองอนเซ็นน่ารักในญี่ปุ่นเราขอแนะนำจังหวัดโออิตะค่ะ ที่นี่มีที่เที่ยวที่คนไทยรู้จักกันดีอย่างยูฟูอินและเบปปุเมืองออนเซ็นที่จะทำให้เราตกหลุมรักหมดหัวใจ นอกจากนี้ยังมีที่เที่ยวมากมายที่เราจะพาไปทำความรู้จักตามไปเที่ยวกันได้เลย
การเดินทางมายังโออิตะ
จากสถานีรถไฟฮาคะตะจังหวัดฟุคุโอกะนั่งรถไฟมายังโออิตะประมาณ 2 ชั่วโมง
ย่านเมืองมาเมดะ (Mamedamachi) : ลิตเติ้ลเกียวโตแห่งเกาะคิวชู
เริ่มต้นสำรวจจังหวัดโออิตะด้วยการมาเดินชมย่านเมืองเก่ามาเมดะ (Mamedamachi) ที่ตั้งอยู่ที่ฮิตะ การเดินทางนั่งรถไฟมาลงสถานีฮิตะจากนั้นก็เดินเรื่อยๆ จากสถานีมายังย่านมาเมดะได้เลยใช้เวลาประมาณ 20 นาที คุณก็จะพบกับเมืองเก่าอายุกว่า 400 ปีตั้งอยู่ริมแม่น้ำคาเก็ตสึล้อมรอบด้วยภูเขาที่ตั้งตระหง่านโอบกอดเมืองนี้เอาไว้ เมืองมาเมดะนั้นเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ โดยในอดีตเคยรุ่งเรืองเพราะเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจของเกาะคิวชู ปกครองโดยรัฐบาลเอโดะโดยตรงเลยค่ะ บรรยากาศในเมืองเลยมีความคล้ายกับเกียวโตและได้รับสมญานามว่าลิ้ตเติ้ลเกียวโตแห่งเกาะคิวชู ซึ่งที่ย่านมาเมดะนั้นมีจุดที่น่าสนใจให้เราได้เข้าเยี่ยมชมมากมาย อาทิ เช่น พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาฮินะ(Tenryo Hina Goten) ซึ่งอยู่ภายในร้านโชยุ Hita Shoyu เกิดจากที่เจ้าของร้านรักการสะสมตุ๊กตาฮินะเป็นงานอดิเรกเลยมีตุ๊กตาฮินะกว่า 4000 ตัวให้ได้ชม ส่วนใครอยากได้รองเท้าเกี๊ยใส่เล่นต้องไปที่ Tenryo Hita Hakimono Museum ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องราวรองเท้าเกี๊ยะพร้อมกับมีรองเท้าเกี๊ยะยักษ์ให้เราได้แชะภาพ และมีรองเท้าเกี๊ยะสวยๆ ให้เราเลือกซื้อด้วยค่ะ
การเดินทางมายังย่านเมืองมาเมดะ : สามารถนั่งรถไฟจากสถานีฮากะตะของจังหวัดฟุคุโกอะมายังสถานีฮิตะได้เลยสะดวกกว่าทางโออิตะค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 88 นาที จากสถานีฮิตะก็สามารถเดินมาย่านมาเมดะได้ประมาณ 20นาที
พิกัด GPS : ย่านเมืองมาเมดะ
เมืองยูฟูอิน(Yufuin) : เมืองอนเซ็นสุดน่ารักท่ามกลางอ้อมกอดขุนเขา
ยูฟูอินเมืองอนเซ็นสุดน่ารักที่นักท่องเที่ยวคนไทยรู้จักดี เพราะที่นี่เป็นเมืองที่เราบอกว่ารักได้ตั้งแต่แรกเห็น ฮานะเคยไปเมืองนี้ครั้งแรกประมาณ 10 ปีที่แล้วช่วงที่ยูฟูอินยังไม่บูมมาก แล้วล่าสุดก็เพิ่งไปมาเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปนานเท่าไร ยูฟูอินยังคงน่ารักและสวยงามเหมือนเช่นเดิม
การเดินทางสู่ยูฟูอินนั้นเราแนะนำให้พยายามจองรถไฟสายยูฟูอินโนะโมริให้ได้ เพราะเป็นขบวนรถไฟที่สวยมากๆ ออกแบบโดยคุณเอจิ มิโตะโอกะนักออกแบบชื่อดังที่พลิกฟื้นเจอาร์คิวชูให้เป็นสายรถไฟในฝันที่ใครๆ ก็อยากมานั่งสักครั้ง ความตั้งใจของคุณเอจินั้นไม่ได้มองว่ารถไฟเป็นเพียงพาหนะที่นำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นพื้นที่แห่งความสุข สำหรับยูฟูอินโนะโมรินั้นจะใช้สีเขียวตามชื่อของรถไฟที่แปลว่าป่าของยูฟูอิน ภายในใช้งานไม้และผ้าในการออกแบบตกแต่ง ซึ่งเส้นทางที่รถไฟขบวนนี้วิ่งผ่านก็สวยงามมากๆ ค่ะ ทั้งภูเขา ป่าไม้ สายน้ำ แค่ได้นั่งรถไฟขบวนนี้มองวิวสองข้างทางเราก็มีความสุขแล้ว
และเมื่อมาถึงสถานียูฟูอินจุดหมายปลายทางครั้งนี้เราก็ต้องประทับใจตั้งแต่ก้าวออกจากตัวสถานีด้วยภาพภูเขายูฟุที่ออกมาอวดโฉมทักทายพวกเรา และจากสถานีเดินไปยังถนนยูโนะสึโบะ (Yunotsubo Street) บนถนนเส้นนี้จะมีร้านน่ารักมากมายทั้ง ร้านขายของฝาก ร้านคาเฟ่ ร้านขนมสุดอร่อย อย่างร้าน “Milch” ร้านชีสเค้กที่โด่งดังที่ไทยก็มีต้นกำเนิดที่นี่ และยังมีร้าน Yufuin Kinsho Croquette ร้านขายโคโรเกะเนื้อร้านดังที่ชนะรางวัล The Gold Award ก็เป็นร้านสุดฮอตที่คิวยาวมากๆ จากนั้นเดินไปเรื่อยๆ ไปยังทะเลสาบคิริน ทะเลสาบเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาถ้ามาในยามเช้าจะพบกับไอของน้ำพุร้อนที่ลอยขึ้นมาบนทะเลสาบราวกับภาพแห่งความฝันกันเลย
การเดินทางมายังเมืองยูฟูอิน : ถ้ามาจากโออิตะมีรถไฟมายังยูฟูอินใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ แต่ถ้าอยากนั่งยูฟูอินโนะโมริก็สามารถนั่งจากสถานีฮากะตะได้โดยจะมีวันละ 2 รอบและขบวนรถยูฟุอีก 3 รอบ แต่ตรวจสอบรอบรถก่อนนะคะ เพราะอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากสภาพอากาศ
พิกัด GPS : เมืองยูฟูอิน
เบปปุ(Beppu) : เมืองอนเซ็นที่ขึ้นชื่อที่สุดของญี่ปุ่น
จากยูฟูอินเดินทางไปแช่อนเซ็นกันต่อยังเมืองเบปปุซึ่งเป็นเมืองอนเซ็นที่ขึ้นชื่อที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งไฮไลท์ของเมืองนี้ก็คือบ่อน้ำร้อนขุมนรก 8 บ่อ ประกอบไปด้วย Umi Jigoku, Oniishibozu Jigoku, Shiraike Jigoku, Kamado Jigoku, Oniyama Jigoku, Chinoike Jigoku, Tatsumaki Jigoku และ Yama Jigoku ที่ได้ชื่อว่าขุมนรกก็เพราะความเดือดพล่านของบ่อแต่ละบ่อและควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมาพร้อมกลิ่นกำมะถันก็ทำให้เหมือนขุมนรก แต่บอกเลยว่าเป็นขุมนรกที่สวยงามอีกแล้ว เพราะแต่ละบ่อก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไปค่ะ บางบ่อจะเป็นสีแดงส้ม หรือบางบ่อก็เป็นสีฟ้าใสเช่นที่บ่อ Umi Jigoku เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟสึรุมิประมาณเมื่อ 1200 ปีที่แล้ว อุณหภูมิประมาณ 98 องศาเซลเซียสและว่ากันว่ามีความลึกมากกว่า 200 เมตร สาเหตุที่น้ำในบ่อเป็นสีฟ้าก็เพราะ "ธาตุเหล็กซัลเฟต" จำนวนมากละลายอยู่ในส่วนผสมของน้ำพุร้อน นอกจากนี้ภายในเบปปุยังมีเรียวกังมากมายให้เราได้เลือกพักพร้อมแช่น้ำร้อนที่ช่วยให้ผ่อนคลายอีกด้วย
การเดินทางมายังเบปปุ : จากโออิตะมีรถไฟมาเบปปุใช้เวลาเพียง 7-12 นาทีค่ะ จากนั้นก็สามารถนั่งรถบัสที่สถานีหรือรถแท็กซี่เที่ยวบ่อน้ำร้อนต่างๆ ในเมืองได้
พิกัด GPS : เบปปุ
เดินทางลงมาทางใต้ของเกาะคิวชูกับจังหวัดมิยะซะกิ ซึ่งเป็นเมืองริมฝั่งทะเลมหาสมุทรแปซิฟิก อากาศที่นี่จึงมีความอบอุ่นน่ามาเที่ยวมากๆ ค่ะ บอกเลยว่าที่เมืองมิยะซะกินั้นเป็นอีกเมืองหนึ่งในคิวชูที่น่ามาเที่ยวมากๆ เพราะที่นี่มีที่เที่ยวทางธรรมชาติที่สวยจนตะลึงมากมายเลยค่ะ ตามไปชมกันเลยว่าจะมีที่ไหนบ้าง
การเดินทางมายังมิยะซะกิ
จากฟุคุโอกะสามารถนั่งรถไฟมายังจังหวัดมิยะซะกิได้ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง หรือจะนั่งเครื่องบินในประเทศจากสนามบินฟุคุโอกะมายังสนามบินมิยะซะกิได้ค่ะใช้เวลา 40 นาที
ช่องเขาทาคาชิโฮ(Takachiho Gorge) : สุดอลังการกับสายน้ำตกที่ไหลจากช่องผา
ถ้านั่งเครื่องมาลงสนามบินฟุคุโอกะสิ่งที่คุณจะได้เห็นก่อนเข้าเมืองนั่นก็คือภาพโฆษณาที่เที่ยวดังๆ ในเกาะคิวชู ซึ่งหนึ่งในนั้นมีภาพของสายน้ำตกเล็กๆ ที่ไหลลงมาจากช่องผา ตกลงมายังธารน้ำเบื้องล่าง ภาพนี้เป็นภาพแรกที่ทำให้เรารู้จักช่องเขาทาคาชิโฮและบอกบอกกับตัวเองว่าต้องไปที่นี่ให้ได้ ซึ่งพอได้มาชมจริงๆ ภาพที่เห็นด้วยตาตัวเองนั้นสวยงามประทับใจเรามากๆ หุบเขาทะคะจิโฮะนั้นเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟอะโสะเมื่อประมาณแสนกว่าปีทำให้เกิดโตรกธารหินสีดำรูปร่างแปลกตาซึ่งเกิดจากการแข็งตัวของลาวา และไฮไลท์ก็อยู่ที่น้ำตก Manai ซึ่งเป็นน้ำตกที่ติด 1 ใน 100 น้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นน้ำตกที่ไหลลงมาจากชะง่อนผาที่สูง 17 เมตรตกลงมายังธารน้ำสีมรกตเบื้องล่าง ซึ่งใครที่อยากไปชมน้ำตกแบบใกล้ชิดก็สามารถเช่าเรือพายไปใกล้น้ำตกได้ค่ะ แต่อย่าใกล้มากนะคะเพราะอาจจะเปียกได้
การเดินทางมายังช่องเขาทาคาชิโฮ : มีรถบัสจากคุมะโมโตะมายัง Takachiho Bus Center วันละ 2 รอบเท่านั้น ขาไปจากคุมะโมโตะรอบเวลา 9.11 น. และ 15.31 น. ขากลับจาก Takachiho Bus Center เวลา 8.42 และ 16.57 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ดังนั้นจะต้องวางแผนการเดินทางให้ดีๆ ค่ะ และจาก Takachiho Bus Center ให้นั่งแท็กซี่มาที่ ช่องเขาทาคาชิโฮใช้เวลาประมาณ 5 นาทีหรือเดินมาก็ได้ค่ะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
พิกัด GPS : ช่องเขาทาคาชิโฮ
ศาลเจ้าอาโอชิมะ(Aoshima Shrine) : ศาลเจ้าแห่งความรัก
มาขอพรเรื่องความรักกันไหมคะที่ศาลเจ้าอาโอชิมะ(Aoshima Shrine) ที่ตั้งอยู่บนเกาะอาโอะชิมะ ซึ่งเราต้องเดินข้ามสะพานยาโยอิข้ามทะเลไปยังเกาะ และช่วงไหนที่น้ำลงจะปรากฏแนวหินที่เรียงกันเป็นเส้นซึ่งเกิดจากการกัดกร่อนของคลื่นทะเลมานับแสนปี และด้วยการจินตนาการที่กว้างไกลของคนญี่ปุ่นเลยเรียกแนวหินนี้ว่า “Devil’s Washboard” หรือ “กระดานซักผ้าของยักษ์”หลังจากนั้นพอเดินลอดประตูโทริอิสีแดงมาก็จะได้พบกับศาลเจ้าอาโอชิมะที่เชื่อกันว่าถ้าได้มาขอพรเรื่องความรักที่นี่จะสมหวังแน่นอนค่ะ
การเดินทางมายังศาลเจ้าอาโอชิมะ : นั่งรถไฟ JR Nichinan Line จากสถานีมิยะซะกิมายังสถานีอาโอชิมะ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
พิกัด GPS : ศาลเจ้าอาโอชิมะ
โอบิ (Obi Castle Town) : เมืองแห่งความสุขอย่าพลาดกับการลิ้มรสเนื้อมิยะซะกิที่นุ่มละลายในปาก
มาสัมผัสความสุขจากภูเขาและท้องทะเลกันที่เมืองโอบิ เมืองเก่าที่เหมาะกับการมาเดินเล่นมากๆ ค่ะ ซึ่งที่นี่มีบ้านซามูไรมากมายให้เราได้เข้าไปเยี่ยมชม เหมือนกำลังย้อนไปในยุคอดีต บริเวณท่อระบายน้ำทั่วเมืองก็จะได้พบกับน้องปลาคาร์พสีสันสดใสมากมาย นอกจากนี้ยังมีปราสาทโอบิซึ่งถึงแม้ตัวปราสาทจะไม่มีแล้วแต่ภายในปราสาทมียังป่าต้นสนที่เป็นเหมือนจุด Power spot ที่ให้เรามาอ้าแขนโอบกอดความสุขที่นี่กันค่ะ
เดินเล่นกันจนเพลินแล้วเราขอแนะนำว่าไปทานเนื้อวัวมิยะซะกิกันไหมคะ ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองมิยะซะกิ ที่โอบินี้ก็มีร้านเนื้อมิยะซะกิให้เราได้ลิ้มลอง ขอแนะนำร้าน“Bukeyashiki Itotei” ที่มีอาหารเซ็ตสไตล์ญี่ปุ่นชุดเนื้อสไลด์มิยาซากิ ซึ่งการทานเนื้อมิยะซะกิให้อร่อยนั้นมีให้เลือก 3 วิธี วิธีแรกจิ้มแค่เกลือกับวาซาบิดองแล้วลิ้มรสรสชาติเนื้อนุ่มๆ อร่อยฟินมากๆ หรือจะสั่งมาเป็นเซ็ตข้าวที่เขาจะเสิร์ฟมาพร้อมไข่แดงดิบ สาหร่าย และซอสรสหวาน วิธีกินก็นำเนื้อไปโปะบนข้าว โรยด้วยสาหร่ายและไข่แดงดิบ ราดด้วยซอสโอยยยฟินสุดๆ วิธีสุดท้ายทานแบบ Ochazuke หรือข้าวราดน้ำชา เอาเนื้อและสาหร่ายไปโปะบนข้าวสวยร้อนๆ แล้วราดซุปจากกาลงไป อร่อยจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว
การเดินทางมายังเมืองโอบิ : แนะนำให้นั่งสรถไฟท่องเที่ยว Umisachi Yamasachi มาลงที่สถานี Obi ซึ่งรถไฟขบวนนี้มีความหมายว่าความสุขของทะเล และ ความสุขของภูเขา ซึ่งส่วนหน้าขบวนนั้นจะถูกตกแต่งเพิ่มเติมด้วยลายทะเล และส่วนท้ายขบวนจะถูกตกแต่งด้วยลายภูเขา ซึ่งระหว่างที่เรานั่งเราก็จะได้พบความสวยงามทั้งวิวทะเลและภูเขาเป็นที่มาของชื่อขบวนรถไฟขบวนนี้ค่ะ
พิกัด GPS : เมืองโอบิ
เดินทางมาถึงจังหวัดสุดท้ายแล้วนะคะกับจังหวัดคะโงะชิมะจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของเกาะคิวชู ตามไปชมกันค่ะว่าจังหวัดนี้จะมีไฮไลท์เด็ดๆ อะไรบ้าง
การเดินทางมายังคะโงะชิมะ
นั่งรถไฟชินกันเซ็นจากฟุคุโอกะมายังคะโงะชิมะใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง
Ibusuki : มานอนแช่ตัวในอนเซ็นบ่อทรายชมวิวทะเล
แช่อนเซ็นในน้ำร้อนมันธรรมดาไป กับเมืองริมทะเลแบบนี้ก็ต้องแช่ด้วยทรายสิ ใครอยากมาสัมผัสประสบการณ์การแช่อนเซ็นบ่อทราย (Saraku Sand Bath) ต้องมาที่เมืองอิบุซึกิกันค่ะ โดยวิธีแช่อนเซ็นเขาจะให้เราถอดเสื้อผ้าหมด แล้วสวมชุดยูกาตะที่เขาเตรียมให้จากนั้นก็เลือกเลยว่าจะไปนอนแช่แบบอินดอร์ หรือเอาท์ดอร์ โดยเวลาแช่จะอยู่ที่ประมาณ 10-15 นาทีค่ะ ซึ่งอนเซ็นจากทรายนั้นจะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี
การเดินทางไปยังอิบุซึกิ : เราสามารถนั่งรถไฟ Ibutama จากสถานี Kagoshima-Chuo ได้ ใช้เวลาเพียง 55 นาที
พิกัดGPS : สถานีอิบุซึกิ
ชิโรคุมะ (Shirokuma) : น้ำแข็งใสสีขาว รูปเจ้าหมีขาวตัวน่ารัก
หลังจากแช่ตัวด้วยทรายกันแล้วก็มาเติมความสดชื่นกับน้ำแข็งใสพี่หมีสีขาวชิโรคุมะ (Shirokuma) ที่ร้าน Mujaki ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 71 ปี โดยเมนูของทางร้านทำเป็นรูปหมีสุดน่ารักที่มองจากด้านบนจะเป็นรูปหมีสีขาวค่ะ รสชาติหวานเย็นชื่นใจ และเนื่องด้วยมาตรการโควิดทางร้านยังจัดโต๊ะแบบ Social distancing แต่ไม่ต้องกลัวเหงาค่ะเพราะมีตุ๊กตาพี่หมีสีขาวตัวใหญ่ที่มานั่งเป็นเพื่อนเราด้วย
การเดินทางไปร้าน Mujaki : ตัวร้านตั้งอยู่ในเมืองคะโงะชิมะค่ะสามารถนั่งรถรางมาลงสถานี Temmonkandori แล้วเดินมายังร้านได้
พิกัด GPS : ร้าน Mujaki
สวน Sengan-en : สวนญี่ปุ่นสวยๆ ที่มีฉากหลังเป็นทะเลและภูเขาไฟ
ที่สุดท้ายเราจะพาเพื่อนๆ ไปนั่งชมสวนสวยญี่ปุ่นที่มีฉากหลังเป็นทะเลและภูเขาไฟกันที่ สวน Sengan-en เป็นอีกหนึ่งสวนที่สวยมากๆ ตัวสวนนั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองคะโงะชิมะเท่าไรนั่งรถบัสไปได้เพียง 20 นาที พอมาถึงเราก็จะได้พบกับความสวยงามของสวนสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่ฉากหลังจะเป็นภูเขาไฟ Sakurajima ซึ่งยังคุกรุ่นและอ่าว Kinko ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสวนแห่งนี้เลยค่ะ ภายในสวนยังมีบ้านโบราณของตระกูลชิมัทสึ ตระกูลผู้ปกครองจังหวัดคาโกชิมะที่สร้างพร้อมกันกับสวนและยังคงสภาพเดิมเอาไว้ได้อย่างงดงาม อ๊ะแล้วใครเป็นทาสแมวอย่าลืมเดินไปไว้ศาลเจ้าแมวโดยจะต้องเดินลึกจากตัวสวนเข้าไปอีกค่ะ ให้เทพเจ้าแมวช่วยคุ้มครองให้เรามีสุขภาพดีกันนะคะ
การเดินทางไป สวน Sengan-en : การเดินทางนั่งรถบัส 20 นาทีจากสถานี JR Kagoshima-chuo และลงที่ป้าย Sengan-en Mae
พิกัด GPS : สวน Sengan-en
แคมเปญคิวชู x ชิลไปไหน
การท่องเที่ยวคิวชูร่วมกับชิลไปไหน ทำกิจกรรม "บอกเราหน่อย อยากไปเที่ยวที่ไหนในคิวชู"
กติกาขั้นตอนการร่วมสนุก
หลังจากอ่านบทความ "คิวชู x ชิลไปไหน" บอกเราว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน เมื่อไหร่ เพราะอะไร ในคิวชู ร่วมทำกิจกรรมที่นี่
เรื่องเที่ยวของใครโดนใจกรรมการรับรางวัลไปเลย
1.รางวัลที่ 1 JR Kyushu Rail pass (Northern Area) 3 วัน มูลค่า 9,500 เยน จำนวน 3 รางวัล รางวัลละ 1 ใบ
2.รางวัลที่ 2 ที่พักใกล้สถานี Hakata จังหวัด Fukuoka จำนวน 1 คืน มูลค่า 9,000 เยน จำนวน 5 รางวัล รางวัลละ 1 ท่าน
ร่วมสนุกได้ตั้งแต่ 1 ก.พ 2564 ถึง 15 มีนาคม 2564 (สิ้นสุดการร่วมกิจกรรมเวลา 22.00 น. ของวันที่ 15 มีนาคม 2564)
ประกาศผลโดยการคัดเลือกคำตอบที่โดนใจกรรมการที่สุดในวันที่ 18 มีนาคม 2564 เวลา 17.00 น. หน้าเพจเฟสบุ๊คการท่องเที่ยวคิวชู https://www.facebook.com/onsenislandkyushuth
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคิวชูได้ที่
การท่องเที่ยวคิวชู (Kyushu Tourism Promotion Organization)
- https://th.welcomekyushu.com/journey-through-kyushu/
- https://www.facebook.com/onsenislandkyushuth
Tags: ญี่ปุ่น ต่างประเทศ เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวคิวชู ที่เที่ยวญี่ปุ่น การเดินทางญี่ปุ่น รถไฟญี่ปุ่น ที่พักญี่ปุ่น ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่เที่ยวคิวชู ที่พักคิวชู เกาะคิวชู ที่กินคิวชู ร้านอาหารคิวชู ฟุคุโอกะ Fukuoka โออิตะ Oita ซะกะ Saga นางาซากิ Nagasaki คุมะโมโตะ kumamoto มิยะซะกิ Miyazaki คะโงะชิมะ Kagoshima japan kyushu japan tourism japan travel Itoshima Dazaifu Tenmangu Yanagawa Hado Misaki Yutoku Inari Takezaki Kaisan Nagasaki’s Night View Inasayama ภูเขาอินะซายามะ Unzen Jigoku น้ำพุร้อนอุนเซ็น ชิมาบาระ ปราสาทคุมะโมโตะ ทาเบะโคกิ Tabekogi ภูเขาไฟอะโสะ ย่านเมืองมาเมดะ Mamedamachi ยูฟูอิน Yufuin beppu เบปปุ ช่องเขาทาคาชิโฮ Takachiho Gorge ศาลเจ้าอาโอชิมะ Aoshima Shrine โอบิ Obi Castle Town Ibusuki Saraku Sand Bath ชิโรคุมะ Shirokuma สวน Sengan-en
เที่ยวต่างประเทศ | 21 พ.ย. 2024 | 2,139 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 12 พ.ย. 2024 | 959 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 26 ต.ค. 2024 | 1,098 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 1,404 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 1,586 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 24 ก.ย. 2024 | 1,825 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ย. 2024 | 2,561 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 30 ก.ค. 2024 | 3,518 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 19 ก.ค. 2024 | 6,800 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 4,419 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 1,160 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 18 เม.ย. 2024 | 4,402 อ่าน