calendar_month 14 ส.ค. 2020 / stylus Admin Chillpainai / visibility 88,650 / ทริปตัวอย่าง
ถ้าพูดถึงรูทเส้นทางนั่งรถไฟไปทะเล บางคนอาจนึกถึงชะอำ, หัวหิน หรือสวนสนประดิพัทธ์ เพราะเป็นทริปสั้นๆ ใช้เวลาไม่นานมากนัก โดยเฉพาะหัวหินและหาดสวนสนฯ ที่มีสถานีรถไฟจอดอยู่ใกล้กับที่เที่ยวและเดินทางไปเล่นน้ำทะเลที่ชายหาดได้สะดวกมากๆ แต่เราอยากจะพาไปแนะนำกับอีกหนึ่งเส้นทางนั่งรถไฟไปเที่ยวทะเลในจังหวัดประจวบฯ ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วไปนัก แต่รับรองว่าไปแล้วอาจจะตกหลุมรักได้เหมือนเราโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ ป่ะ...ตีตั๋วแล้วกระโดดขึ้นรถไฟไปพร้อมกันเลยดีกว่า!!
เราเริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพฯ ที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ตั้งแต่เช้าตรู่ วันนั้นมีผู้โดยสารมารอขึ้นรถไฟพอสมควรแต่ไม่แออัด ซึ่งทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามวิถี New Normal สวมหน้ากากอนามัยและวัดไข้ก่อนเข้ามาภายในบริเวณสถานี ส่วนที่นั่งรอก็มีการเว้นระยะห่างระหว่างผู้โดยสาร
บริเวณตัวสถานีจะมีช่องจำหน่ายตั๋วและป้ายบอกตารางเดินรถไฟ ซึ่งเราก็จองตั๋วกันมาเรียบร้อยแล้ว ใครไม่ได้จองตั๋วล่วงหน้าก็สามารถมาซื้อตั๋วที่สถานีได้ แต่ถ้าเดินทางช่วงวันหยุดยาวแบบเรา แนะนำให้จองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้ามาก่อนจะดีที่สุด
รถไฟขบวนที่เราจะนั่งไปในทะเลในทริปนี้ เป็นรถด่วนพิเศษ (สปินเตอร์) ขบวนที่ 43 เส้นทางกรุงเทพฯ-สุราษฎร์ธานี ซึ่งตามตารางแล้วรถต้องออกจากสถานีหัวลำโพงเวลา 08.05 น. พอใกล้ๆ เวลาเราก็มายืนรอรถไฟที่ชานชาลาซึ่งจะมีป้ายบอกขบวนรถที่จะเข้าเทียบให้ดูแบบนี้
พอถึงเวลา 08.05 น. รถไฟก็ออกจากสถานีตามเวลาเป๊ะ เราแอบดีใจเบาๆ เพราะกลัวว่าจะเลทเหมือนที่เคยเจอในบางขบวน ภาพบรรยากาศภายในรถไฟสปินเตอร์ขบวนที่เรานั่ง เป็นรถแอร์ชั้น 2 แบบมีที่นั่งเป็นเบาะคู่ทั้งสองฝั่ง คั่นด้วยทางเดินตรงกลาง ค่าโดยสารจากกรุงเทพฯ-สถานีห้วยยาง ประจวบคีรีขันธ์ อยู่ที่คนละ 463 บาท/เที่ยว
บนรถไฟจะมีของว่างและอาหารเสิร์ฟ 1 มื้อ (รวมอยู่ในค่าตั๋วหมดแล้ว) ซึ่งพอรถออกได้สักพัก พนักงานก็จะนำมาเสิร์ฟให้กับผู้โดยสารถึงที่นั่งเลยค่ะ โดยในเซ็ทก็จะมีข้าวสวยหอมมะลิและอาหารสำเร็จรูปซึ่งเป็นเมนูที่ทำจากปลาทั้งหมด มีปลาแมคเคอเรลทอดราดเต้าเจี้ยว, ฉู่ฉี่ปลาแมคเคอเรลทอด ฯลฯ น้ำดื่มและขนมพอกรุบกริบ แต่บอกเลยว่าอิ่มมากกกก...
เวลาประมาณ 14.30 น. เราก็มาถึงสถานีห้วยยาง (สักที) จริงๆ แล้วตามเวลารถต้องมาถึงตอน 12.45 น. แต่เนื่องจากมีการก่อสร้างทางรถไฟระหว่างทางหลายจุด ทำให้รถไม่สามารถทำความเร็วได้เต็มที่ ผลก็คือเราไปถึงช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้ถึงเกือบ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว
บ๊าย..บายพี่รถไฟ หลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานเกือบ 7 ชั่วโมง นั่งกันจนก้นด้านตูดชากันเลยจ้าาา...555
"สถานีห้วยยาง" เป็นสถานีรถไฟเล็กๆ ไซส์มินิที่ทำให้เรานึกถึงสถานีรถไฟในชนบทของญี่ปุ่น ตัวสถานีมี 2 อาคาร คืออาคารเก่าที่เป็นอาคารปูนชั้นเดียวหลังเล็กๆ และอาคารใหม่ที่สร้างด้วยไม้ทาสีเหลืองสลับน้ำตาลซึ่งยังคงความคลาสสิคของสถานีรถไฟไทยในยุคก่อน
จากสถานีห้วยยาง เราเรียกรถสามล้อพ่วงข้างที่จอดรถรับผู้โดยสารอยู่ด้านหลังสถานีไปยังรีสอร์ทที่เราจองไว้ ระยะทางประมาณ 5 กม. ค่ารถ 160 บาท อาจดูเหมือนไม่ไกลมาก แต่สำหรับการนั่งสามล้อพ่วงไปตามถนนเล็กๆ ที่ต้องผ่านชุมชนเข้าไปในสวนค่อนข้างลึกแบบนี้ เรายังได้ชมวิวระหว่างทางไปด้วย คนขับรถของเราชื่อคุณตามา คุณตาคุยเก่งและใจดีมากๆ แถมให้เบอร์โทรไว้เผื่อเรียกรถขากลับ หากใครนั่งรถไฟมาแบบเรา สามารถเรียกใช้บริการรถคุณตาได้ (เบอร์คุณตามา โทร. 086-1699607)
ที่พักทริปนี้ของเรา ชื่อว่า Mumsa Beach Resort & Restaurant (มัมซา บีช รีสอร์ท แอนด์ เรสเทอรองต์) ที่พักริมทะเลบรรยากาศสุดชิล ซึ่งมองเห็นวิวทะเลได้ตั้งแต่ลืมตาตื่น
ห้องพักที่เราจองผ่าน agoda มาคือห้อง Beachfront Ocean View ซึ่งอยู่ติดชายหาดบริเวณหน้ารีสอร์ทเลย เราจองมาในราคาคืนละ 1,350 บาท ราคารวมอาหารเช้า ซึ่งเป็นราคาช่วงวันหยุดยาว นับว่าไม่แพงเลยค่ะ ใครสนใจจองห้องพักลองเข้าไปดูราคาที่นี่กันได้เลย>> https://bit.ly/3jWKO42
ภายในห้องพักดีไซน์เรียบๆ มีเตียงขนาดคิงไซส์กว้างๆ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างแอร์, ตู้เย็น, กระติกน้ำร้อนให้ แต่ที่เราชอบคือมีมุมโต๊ะเขียนหนังสือติดหน้าต่างที่สามารถมองออกไปเห็นวิวทะเลได้ เหมาะกับการแบกโน้ตบุ๊คมานั่งทำงานชิลๆ มองวิวทะเลไปเพลินๆ
ห้องน้ำกว้างมากก..มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วยนะ (ในรูปเครื่องทำน้ำอุ่นจะอยู่หลังประตูจ้า)
ห้องพักอีกแบบหนึ่ง ติดชายหาดเหมือนกัน แต่จะค่อนข้างเป็นส่วนตัวกว่าตรงที่มีระเบียงส่วนตัวไม่ติดกับห้องอื่นๆ
Mumsa Beach Resort & Restaurant
ที่ตั้ง : ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์
ราคา : ราคา เริ่มต้น 968-1,400 บาท (รวมอาหารเช้า)
โทร. 090 967 0007
พิกัด :https://goo.gl/maps/sSZfX6jVxDHTUwsr5
FB : Mumsa Beach Resort & Restaurant
ตอนที่เรามาถึงฝนเริ่มโปรยปรายลงมานิดๆ ยังดีที่ตอนเย็นหยุดไปแล้ว เราเลยออกไปเดินเล่นริมหาด นั่งชิลริมทะเลกัน
พอตอนค่ำบรรยากาศดูชิลไปอีกแบบ ทางที่พักเปิดไฟรอบๆ บริเวณรีสอร์ท เราชอบตรงโคมไฟชายหาดที่เค้าประยุกต์เอาหวดไม้ไผ่นึ่งข้าวเหนียวมาทำเป็นโคมไฟประดับเก๋ๆ
บรรยากาศห้องอาหารของรีสอร์ท ที่นี่เค้าเปิดเป็นร้านอาหารด้วย ถ้าใครไม่ได้พักก็สามารถแวะมานั่งทานอาหารชิลๆ ได้เหมือนกัน มีทั้งเมนูอาหารตามสั่งและพิซซ่า เราสั่งเมนูผัดไทยและอาหารจานเดียวง่ายๆ มาคนละจาน (ไม่ได้ถ่ายอาหารมาให้ชม) แต่รสชาติโอเคเลย แถมให้ปริมาณเยอะจานใหญ่ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่อิ่ม
วันแรกผ่านไปด้วยความเพลียจากการเดินทางมาทั้งวัน เราแยกย้ายกันเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะพรุ่งนี้เรามีนัดตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นริมทะเลกัน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ถึงแม้ว่าจะมีก้อนเมฆมาบังบ้าง แต่ก็มองเห็นแสงอาทิตย์แรกยามเช้าสาดส่องกระทบกับผิวน้ำทะเล ดูโรแมนติกไปอีกแบบ
มื้อเช้าที่ทางรีสอร์ทจัดให้ มีให้เลือกทั้งข้าวต้ม, อเมริกันเบรคฟาสต์ และไข่กระทะ พร้อมน้ำส้มหรือกาแฟ อิ่มแปล้กันทั้งสองคน
อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าอาณาเขตทะเลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั้นยาวมากกก...กินพื้นที่เลียบชายทะเลฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่ชายหาดหัวหิน, เขาตะเกียบ, หาดสวนสนประดิพัทธ์, เขาเต่า, ปราณบุรี, เขากะโหลก, สามร้อยยอด, กุยบุรี, อ่าวน้อย, อ่าวประจวบ, อ่าวมะนาว, หาดคลองวาฬ, หาดหว้ากอ, หาดวนกร, หาดห้วยยาง, หาดทับสะแก, หาดบ้านกรูด, บางสะพาน, หาดแหลมสน ฯลฯ ไปจรดจนถึงหาดทรายทอง ซึ่งเป็นชายหาดสุดท้ายของประจวบฯ ก่อนเข้าสู่หาดบางเบิดในเขตจังหวัดชุมพร
นี่เป็นแค่ลิสต์ชายหาดใหญ่ๆ ที่คนทั่วไปรู้จักและนิยมมาท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ระหว่างเส้นทางนั้นยังมีชายหาดเล็กๆ ที่ยังไม่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอีกหลายหาด อย่างเราเองก็เพิ่งรู้ว่าที่ประจวบฯ มีชายหาดชื่อว่าหาดสุรินทร์ หรือหาดแม่รำพึง ซึ่งชื่อเดียวกันกับชายหาดดังๆ ในจังหวัดอื่นด้วยซ้ำ และชายหาดหน้าที่พักของเราเองก็ไม่ได้ชื่อหาดห้วยยางหรือหาดทับสะแกอย่างที่เราเข้าใจในตอนแรก แต่มีชื่อแสนโรแมนติกว่า "หาดแสงอรุณ"
รีสอร์ทมีมุมถ่ายรูปริมชายหาดหลายมุมเลย ทั้งเก้าอี้และเปลชายหาด มุมชิงช้าริมทะเลเหมาะจะมานั่งเล่น ถ่ายรูป ชมวิวกันชิลๆ
มื้อเที่ยงวันที่สองเราฝากท้องที่ห้องอาหารของรีสอร์ทเหมือนเดิม คราวนี้ลองสั่งพิซซ่ามากินกันค่ะ ซึ่งพิซซ่าที่นี่เค้าเป็นสูตรโฮมเมด แป้งบางกรอบ เวลากินได้กลิ่นหอมของเตาอ่อนๆ ฟินนนนน... อยู่ที่นี่ 3 วันเราสั่งพิซซ่ามากินกันแทบทุกมื้อเลยล่ะ
ถ้าใครอยากเบิร์น ที่รีสอร์ทเค้าก็มีฟิตเนสกึ่งเอาท์ดอร์ริมทะเล ให้เราได้มาออกกำลังกายกันด้วย มีเครื่องเล่นหลายอย่างเลย ได้ออกกำลังกายรับลมชมวิวทะเลกันฟรีๆ แถมวิวยังดีมากเว่อร์!
ส่วนใครเป็นทาสหมาทาสแมวรับรองว่าต้องตกหลุมรักที่นี่ เพราะมีน้องหมาและน้องแมวให้เล่นด้วยหลายตัวเลย น้องๆ น่ารักและเชื่องสุดๆ จับมาอุ้มเล่นได้ ลืมบอกไปว่าที่นี่เค้าเป็นที่พักแบบ Pet Friendly สามารถพาสัตว์เลี้ยงมาพักได้ แต่ต้องดูแลแบบค่อนข้างใกล้ชิดด้วย เพราะที่รีสอร์ทก็เลี้ยงสุนัขด้วยเหมือนกัน
ทริปนี้เป็นทริปชาร์จแบตที่แท้ทรู...เราตั้งใจว่าจะมาเพื่อพักสมองกันเต็มที่ ขี้เกียจออกไปตะลอนๆ ข้างนอก เลยใช้เวลานั่งๆ นอนๆ อยู่ในรีสอร์ททั้งวัน มีหนังสือสักเล่ม หรือนอนเปลฟังเพลงชิลๆ ริมทะเล ท่ามกลางสายลม เสียงคลื่นสีฟ้าคราม
หลังจากฟ้าใสแดดแรงมาทั้งวัน ตอนเย็นมีเมฆครึ้มนิดๆ ทำเอาเราใจแป้ว กลัวว่าฝนจะตกลงมาอีก เพราะคืนนี้อยากไปนั่งเล่นริมทะเลชิลๆ บ้าง ท้องฟ้ายามเย็นวันที่สองก็จะประมาณนี้
โชคดีที่เมฆก้อนใหญ่เคลื่อนผ่านเราไป ทำให้เราได้มีโอกาสมานั่งชิลริมทะเล ชมพระจันทร์เต็มดวงสวยๆ แบบนี้
วันสุดท้าย เราตื่นสายๆ มานั่งกินอาหารเช้าริมทะเลกัน วันนี้อากาศดีมากกก...ฟ้าใส แดดแรง ไร้เงาเมฆฝน สดชื่นจนไม่อยากกลับกรุงเทพฯ กันเลยจ้า!
บอกเลยว่าเราประทับใจชายหาดแสงอรุณแห่งนี้มาก เพราะมีชายหาดยาวให้เล่นน้ำ ถ่ายรูป ทรายสีครีมออกนวลๆ สะอาด แถมบรรยากาศสงบเงียบ ไม่พลุกพล่าน ทั้งชายหาดมีที่พักอยู่เพียงแค่ 3 แห่งเท่านั้น
เช็คเอาท์เสร็จแล้ว เรานั่งเล่นรอเวลาอยู่ที่รีสอร์ทจนถึงประมาณบ่าย 2 จึงให้ทางรีสอร์ทไปส่งที่สถานีรถไฟ ซึ่งเจ้าของชาวรีสอร์ทชาวนอร์เวย์เป็นคนขับรถไปส่งพวกเราจนถึงที่ แถมยังใจดีไม่คิดเงินอีกด้วย
ขากลับเราจองรถไฟด่วนพิเศษ (สปรินเตอร์) ขบวนที่ 40 ซึ่งความจริงแล้วรถต้องมาถึงสถานีห้วยยางเวลา 14.40 น. แต่นั่งรอจนบ่าย 3 รถก็ยังมาไม่ถึงสถานี กว่าจะได้ขึ้นจริงๆ รถก็เลทไปเกือบชั่วโมง ซึ่งสำหรับเรามองว่าการเดินทางด้วยรถไฟในเมืองไทยไม่เหมาะสำหรับใครที่มีเวลาจำกัด เพราะเสี่ยงกับความไม่แน่นอนเรื่องเวลา แต่ถ้ามีเวลาเยอะแบบเรา แล้วเป็นสายเที่ยวแบบชิลๆ รถไฟก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัว
หลังจากขึ้นรถไฟไปสักพัก จะมีพนักงานเดินมาเสิร์ฟอาหารให้อีกหนึ่งมื้อ เมนูก็คล้ายๆ กันกับที่เสิร์ฟมาในเที่ยวขามาเลยไม่ได้ถ่ายมาให้ดู แต่ที่เราชอบคือพนักงานจะเดินมาแจ้งว่าระหว่างทางรถจะผ่านสถานีต่างๆ ซึ่งผู้โดยสารสามารถสั่งซื้อของกินและของฝากขึ้นชื่อของจังหวัดนั้นๆ ได้ เช่น ก๋วยเตี๋ยวราชบุรี หรือขนมหม้อแกงเมืองเพชรบุรี แน่นอนว่าเราก็ไม่พลาดที่จะสั่งก๋วยเตี๋ยวมากินแก้หิว และหิ้วหม้อแกงกลับไปฝากคนที่บ้านด้วย
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม เลทไปจากเวลาเดิมที่ต้องมาถึงตอน 19.45 น. ไปเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ถึงแม้ว่าการเดินทางอาจจะเสียเวลาไปบ้าง แต่นานๆ ครั้งได้ขึ้นรถไฟไปเที่ยวแบบนี้ก็ได้รสชาติอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน ถามว่าเข็ดไหม? เราก็ยังอยากจะนั่งรถไฟไปเที่ยวเหมือนเดิม โดยเฉพาะทะเลอ่าวไทยทางใต้อย่างประจวบฯ ชุมพรที่ยังมีหาดสวยๆ รอให้เราไปเยือนอีกเยอะมากจริงๆ ค่ะ
บทความแนะนำ:
8 เส้นทางนั่งรถไฟไปทะเล ไม่ต้องโดนเทก็ไปได้! >> https://www.chillpainai.com/scoop/11947/
10 ที่พักประจวบอัพเดทใหม่ สวยจนอยากไปนอนใช้วันหยุดให้คุ้มค่าสักคืน >> https://www.chillpainai.com/scoop/8967/
Sea Sun Sand make my heart race ทริปสนองนี้ด เที่ยวประจวบคีรีขันธ์ 2 วัน 1 คืน>> https://www.chillpainai.com/scoop/9752/
Tags: ประจวบคีรีขันธ์ เที่ยวประจวบฯ ทับสะแก ห้วยยาง ทะเลประจวบฯ หาดแสงอรุณ Mumsa Beach Resort & Restaurant มัมซา บีช รีสอร์ท แอนด์ เรสเทอรองต์ ที่พักติดทะเล ที่พักประจวบคีรีขันธ์ ที่พักทับสะแก ที่พักห้วยยาง ที่พักพร้อมร้านอาหาร ที่พักหมาพักได้ ทริปนั่งรถไฟไปทะเล ทริปรถไฟ นั่งรถไฟเที่ยว ทริป 3 วัน 2 คืน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 506 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 08 ต.ค. 2024 | 861 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 07 ต.ค. 2024 | 624 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่กิน ทริปตัวอย่าง | 11 ก.ย. 2024 | 1,970 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 05 ส.ค. 2024 | 1,740 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 31 ก.ค. 2024 | 1,235 อ่าน
ทริปตัวอย่าง ที่เที่ยว | 25 ก.ค. 2024 | 1,171 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 23 ก.ค. 2024 | 1,839 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 16 ก.ค. 2024 | 1,361 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 05 ก.ค. 2024 | 1,655 อ่าน