calendar_month 07 ก.ค. 2020 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 47,932 / ทริปตัวอย่าง , สถานที่ยอดนิยม , ที่เที่ยว
ครั้งหนึ่งเราเคยเดินทางมาตราด เพื่อมาเที่ยวทะเล แต่ครั้งนี้...ทะเลตราดเป็นเพียงหนึ่งในเหตุผลมากมายที่เราอยากมาตราด เราอยากมาตราด เพื่อจะมาชมภาพวิถีชีวิตคนตราด มากินอาหารอร่อยของตราด โดยเฉพาะปลาย่ำสวาทที่ว่ากันว่าอร่อยมากๆ และมีเฉพาะเกาะช้างกับเกาะกูดเท่านั้น มานั่งเรือเพื่อเข้าไปค้นหาป่ามหัศจรรย์ มาสบตากับดวงตาแห่งบ้านน้ำเชี่ยว มาชมความมหัศจรรย์ของหาดทรายดำ และไปสัมผัสเกาะช้างในอีกมุมที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้จัก
ครั้งหนึ่ง...ถ้ามาตราด คุณอยากจะไปทำอะไร? ถ้ายังตอบเราไม่ได้ ลองเดินทางไปพร้อมกับเรา แล้วคุณอาจจะได้คำตอบจากการเดินทางในครั้งนี้
จากกรุงเทพฯ เราออกเดินทางกันแต่เช้ามืดค่ะ โดยจุดหมายแรกของวันนี้คือคือชุมชนบ้านท่าระแนะ จังหวัดตราด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงแนะนำว่าควรไปถึงไม่เกิน 10 โมงเช้า เพราะทริปนี้ของเราจะเป็นการล่องเรือเข้าไปในป่าชายเลนเพื่อชมความมหัศจรรย์ของลานตะบูน ช้ากว่านี้แดดอาจจะร้อน เราเลยเลือกออกจากกรุงเทพฯ ประมาณตี 4 มุ่งตรงมายังจังหวัดตราด ปักหมุดไว้ที่ท่าเรือบางระแนะ ลานตะบูน >>https://goo.gl/maps/RqGLE3UFzadVtNbe8
เรามาถึงท่าเรือประมาณ 9 โมงเช้าค่ะ ซึ่งเขามีบริการล่องเรือทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น แต่ก่อนจะมาแนะนำว่าโทรเช็คกับทางชุมชนว่าสามารถเข้าไปชมลานตะบูนได้ในช่วงไหน เพราะถ้าน้ำขึ้นเยอะก็ไม่สามารถเดินไปที่ลานตะบูนได้ หรือถ้าน้ำแห้งเกินไปเรือก็ไม่สามารถเข้ามาได้ค่ะ โดยเรือที่นั่งสามารถนั่งได้ 8 คน ค่าเรือคนละ 100 บาท เรือมีหลังคาไม่ต้องกลัวร้อนค่ะระหว่างที่นั่งเรือไปเราก็จะผ่านป่าชายเลน ทั้ง ป่าโกงกาง ป่าจาก และป่าตะบูน บรรยากาศเหมือนกำลังล่องเรือเข้ามาในอะเมซอนเลยค่ะ ต้นไม้ต่างๆ ร่มครึ้มทั้งสองฝั่ง ระดับน้ำที่ลดลงเผยให้เห็นรากโกงกางมากมายที่ราวกับเป็นขาของต้นไม้กำลังเหยียดยาวแผ่ไปรอบๆ ต้น
ไม่นานเราก็มาถึงลานตะบูนแล้วค่ะ มีสะพานไม้ให้เราเดินเข้าไปในลาน พอเห็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นมากๆ ค่ะ ราวกับว่าเข้ามาในป่าดึกดำบรรพ์ กับป่าตะบูนไม้ยืนต้นที่มีรากเลื้อยไปบนพื้นดินกลายเป็นเหมือนตาข่ายขนาดใหญ่ เป็นภาพแปลกตาที่ทั้งสวยงามและมหัศจรรย์กับธรรมชาติที่ได้รังสรรค์ศิลปะเอาไว้กลางป่า
ลุงคนขับเรือชี้ชวนให้เราดูหัวร้อยรู ที่เราจะได้ไปจิบชาร้อยรูหลังจากล่องเรือกันด้วย ซึ่งลุงเล่าให้เราฟังว่าเจ้าหัวร้อยรูเหมือนกาฝากที่เกาะอยู่บนต้นไม้ในป่าชายเลน ผ่าหัวออกมาจะเจอรูเต็มไปหมดเลยค่ะ เขาเลยเรียกว่าหัวร้อยรู โดยเขาจะเอาเจ้าหัวนี้ไปทำชา มีสรรพคุณทางยา ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้พิษอักเสบ ช้ำบวม จึงมีคำกล่าวของหัวร้อยรูไว้ว่า จิบชาร้อยรู อยู่ร้อยปีหลังจากถ่ายรูปกับลานตะบูนและฟังเรื่องราวของหัวร้อยรูกันแล้ว ลุงคนขับเรือก็นำรากลำพูมาตั้งไว้เหมือนพินโบว์ลิ่ง บนรางไม้ และใช้ลูกตะบูนแทนลูกโบว์ลิ่งให้เราประลองความแม่นกลางป่าตะบูนกันด้วย
นั่งเรือออกจากป่าตะบูนปุ๊บก็ได้ชิมชาร้อยรูจากหัวร้อยรูที่เราเพิ่งเข้าไปชมกันมา ซึ่งตัวหัวร้อยรูจริงๆ นั้นไม่มีกลิ่นค่ะ แต่เขาจะใส่ใบเตยเข้าไปเพื่อเพิ่มความหอม เราจิบชาพร้อมดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัวจนพอใจแล้วก็กล่าวลาลุงๆ ป้าๆ ที่ชุมชนเพื่อเดินทางไปที่ต่อไป
ที่ตั้ง : กลุ่มท่องเที่ยวชุมชนบ้านท่าระแนะ ตำบลหนองคันทรง อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราดค่าบริการ : ล่องเรือคนละ 100 บาท จิบชาร้อยรู 30 บาท
เบอร์ติดต่อ : 081-161-6694
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/RqGLE3UFzadVtNbe8
จากชุมชนบ้านท่าระแนะเราเดินทางต่อไปยังร้านคนพลัดถิ่น เพราะมีคนแนะนำว่าร้านนี้อาหารอร่อยและยังมีไฮไลท์คือการชมฝูงเหยี่ยวแดงมากมายที่จะบินมาให้ชมได้จากตัวร้านกันเลยค่ะ
โดยร้านคนพลัดถิ่นนั้นเป็นร้านของพี่ละเอียด เจริญวิวรรธนะ ชาวราชบุรีที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่จังหวัดตราด เลยเป็นที่มาของชื่อร้านคนพลัดถิ่น ร้านเปิดตั้งแต่ปี 2544 มาถึงวันนี้ร้านคนพลัดถิ่นก็อยู่คู่จังหวัดตราดมาเกือบ 20 ปีแล้วค่ะ เรื่องรสชาติจึงรับประกันได้เลย เพราะพี่ละเอียดจ่ายตลาดด้วยตัวเองทุกวัน คัดวัตถุดิบที่มีคุณภาพให้ลูกค้าได้ทาน
ในส่วนของเหยี่ยวแดงนั้นพี่ละเอียดเล่าว่าแต่ก่อนจะให้อาหารปลาในบึง แล้วก็มีเหยี่ยวบินมากินด้วย ต่อมาเลยซื้อเศษมันหมูมาให้อาหารเหยี่ยว ซึ่งพวกเขาจะรู้เวลาที่พี่ละเอียดจะมาให้และบินมากินทุกวัน พอถึงเวลาประมาณเที่ยง พี่ละเอียดก็พายเรือออกไปกลางบึงเพื่อให้อาหารเหยี่ยวแดง ซึ่งไม่นานก็เริ่มมีเหยี่ยวแดงบินจากยอดไม้มาโฉบมันหมูกลางบึงจากหนึ่งตัว สองตัว สามตัว กลายมาเป็นเหยี่ยวทั้งฝูงที่บินลงมาโฉบอาหารกันอย่างสวยงามเต็มบึงน้ำ
ระหว่างชมความสวยงามของเหยี่ยวแดงอาหารที่เราสั่งก็มาถึงตรงหน้าแล้วค่ะ เริ่มต้นกับเมนูแนะนำอย่างปลาบู่นึ่งซีอิ๊วจานเด็ดของร้านกันก่อนเลย จานใหญ่น่ากินมากๆ พอได้ทานเท่านั้นแล่ะ แทบอยากเดินไปกอดพี่ละเอียดเลยค่ะ เนื้อปลาแน่น หวาน อร่อยมากๆ นำมานึ่งกับซีอิ๊วรสกลมกล่อมคลุกกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยสุดๆ ต่อด้วยลาบปลาตะเพียน ที่นำเนื้อปลาตะเพียนมาสับละเอียดแล้วนำไปทอดจากนั้นนำมาปรุงเป็นลาบ หอมข้าวคั่ว รสชาติจัดจ้าน จานต่อมาก็อร่อยไม่แพ้กันเลยค่ะกับหอยปิ่นแกงใบชะพลู ซึ่งหอยปิ่นเป็นหอยที่ติดอวนชาวประมงขึ้นมาและมักจะโดนแกะทิ้งแต่ปัจจุบันนำมาประกอบอาหารได้มากมายเลยค่ะ เนื้อเขาจะกรุบๆ คล้ายกับขอยโข่ง นำมาแกงกับใบชะพลูแบบหอยขมอร่อยมากๆ อีกเมนูที่หาทานได้ทั่วไปแต่กับร้านนี้อร่อยมากๆ ค่ะ กับเมนูหมึกผัดไข่เค็มที่รสชาติกลมกล่อมกำลังดี ไม่มันจนเกินไป แล้วหมึกมีไข่เต็มท้องเลยค่ะ อร่อยจนวางช้อนไม่ลงกันเลยทีเดียว ปิดท้ายด้วยต้มยำน้ำข้นทะเลที่ใส่ทั้ง กุ้ง หมึก ปลากะพง ซึ่งความพิเศษของเมนูนี้คือเขาใส่น้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวทำให้เป็นต้มยำที่หอมอร่อยมากๆ เพิ่มความเผ็ดด้วยพริกเผาที่ช่วยทำให้หอมยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นยังใส่นมสดเล็กน้อยช่วยให้น้ำต้มยำข้นน่าทาน
นอกจากร้านอาหารแล้วพี่ละเอียดเล่าว่ายังมีที่พักให้บริการด้วยนะโดยมีให้บริการเพียง 3 หลังราคา 500-700 บาท ใครที่อยากพักในที่พักท่ามกลางความร่มรื่นของต้นไม้ ชมเหยี่ยวแดง พร้อมกับทานอาหารอร่อยก็เดินทางมาร้านนี้ได้เลย
ที่ตั้ง : ร้านคนพลัดถิ่น ตำบลหนองคันทรง อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด
เปิดบริการ : ทุกวันเวลา 8.00-20.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 0871357423
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/ZbZXN2NpAJkyFTRx9
อิ่มแล้วก็เดินทางไปเช็คอินที่เที่ยวยอดฮิตในจังหวัดตราดกันต่อกับ หาดทรายดำซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นหนึ่งใน 5 ของโลกที่มีหาดทรายดำ ประกอบไปด้วย ไต้หวัน มาเลเซีย แคลิฟอร์เนีย ฮาวาย และประเทศไทย ใครที่มาตราดแล้วไม่ได้แวะมาที่นี่เราบอกเลยว่าคุณพลาดแล้วล่ะค่ะ
จากร้านคนพลัดถิ่นขับรถมาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นค่ะ ก็ถึงทางเข้าหาดทรายดำ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตำบลแหลมงอบ อำเภอแหลมงอบ บริเวณทางเข้าจะมีเจ้าหน้าที่คอยวัดอุณหภูมิ และต้องเช็คอินผ่านเว็บไซต์ไทยชนะ หรือลงชื่อเพื่อเข้าไปชมด้านใน
สาเหตุที่ทรายของที่นี่เป็นสีดำเกิดจากการยุบสลายตัวของเศษเหมืองและเปลือกหอยผสมด้วยควอตซ์หรือซิลิกา หรือเป็นการผุกร่อนของเหล็ก โดยทรายสีดำนี้มีชื่อทางการว่าไลโมไนต์ (Limonite) ซึ่งในทางการแพทย์ไม่มีผลต่อการรักษาโรค แต่ถึงกระนั้นชาวบ้านที่นี่ก็เชื่อว่าการได้มาทำสปาทรายดำจะดีต่อสุขภาพ เราสองคนมาแล้วเห็นหลายคนเขานั่งเอาเท้าแช่ไปในทรายดูสบาย ผ่อนคลายมากๆ เราจึงไม่พลาดลองทำกันบ้างค่ะ บอกเลยว่าสบายมากๆ เพราะทรายนุ่มละเอียด นั่งแช่เท้าไปท่ามกลางบรรยากาศชายทะเลที่ร่มครึ้มไปด้วยป่าชายเลนแบบนี้ทำให้หายเหนื่อยจากการเดินทางเลยค่ะ ส่วนใครที่อยากเพิ่มดีกรีความฟินเข้าไปอีกต้องลองมานอนทำสปาทราย ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีโดยสปาที่นี่เราสามารถทำได้เองเลยค่ะ หรือจะแจ้งเจ้าหน้าที่มาให้บริการได้มีค่าบริการครั้งละ 100 บาท
ที่ตั้ง : ศูนย์การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติหาดทรายดำและป่าชายเลน ตำบลแหลมงอบ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด
เปิดบริการ : ทุกวัน 8.30 - 16.30 น.
เบอร์ติดต่อ : 039510962
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/4CBR3pn9gA8gCQ998
เมื่อคุณแฟนบอกว่าอยากเป็นอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ในโฆษณาของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เราเลยหาข้อมูลว่าดวงตาบ้านน้ำเชี่ยวในโฆษณานั้นอยู่ที่ไหน แล้วก็พบว่าสถานที่แห่งนั้นคือสะพานวัดใจ สะพานสูงกว่า 2 เมตรทรงโค้งข้ามคลองน้ำเชี่ยว ภายในบ้านน้ำเชี่ยว ซึ่งเป็นชุมชน 2 ศาสนา 3 วัฒนธรรม นั่นคือชาวไทย จีน มุสลิม ที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว
สาเหตุที่ทำสะพานให้สูงก็เพื่อให้เรือประมงแล่นผ่านไปได้ ใครที่กลัวความสูงไม่แนะนำค่ะ เพราะสะพานจริงสูงและเสียวมากๆ ขนาดเราที่ไม่กลัวความสูงก็ยังแอบขาสั่นเล็กๆ เลยค่ะ แต่พอได้ไปยืนตรงจุดสูงสุดของสะพานภาพที่ได้เห็นคือภาพชุมชนบ้านน้ำเชี่ยวบรรยากาศสุดสงบแบบ 360 องศา โดยมีมัสยิดอัลกุบรอ ที่เป็นเหมือนศูนย์รวมใจของชาวมุสลิมบ้านน้ำเชี่ยวตั้งโดดเด่นริมฝั่งคลอง
เมื่อน้ำในคลองสงบนิ่งจะสะท้อนภาพสะพานวัดใจให้เป็นเหมือนดวงตาขนาดใหญ่เฝ้ารอผู้คนมากมายให้เดินทางมาสบตา ในยามเย็นเมื่อพระอาทิตย์อัสดงเราจะพบกับแสงสีทองสาดส่องให้ดวงตาแห่งนี้สวยงามยิ่งขึ้น และยิ่งถ้ามาในช่วงที่พระอาทิตย์อยู่ระหว่างช่องสะพานพอดีเราจะได้พบกับภาพสวยงามสุดประทับใจที่ให้ทำให้เราตกหลุมรักในมนต์เสน่ห์ของจังหวัดตราด
ที่ตั้ง : สะพานวัดใจ ตำบลน้ำเชี่ยว อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด
เบอร์ติดต่อ : วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยว บ้านน้ำเชี่ยว 0616600955
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/vLirGTEhaEcyVGUc6
มื้อเย็นวันนี้เราฝากท้องไว้ที่ร้านริมทะเลซีฟู๊ด ร้านอาหารทะเลสุดอร่อยริมทะเลแหลมงอบ จังหวัดตราด ซึ่งที่นี่เป็นทั้งร้านอาหารและให้บริการห้องพักของเราในคืนนี้อีกด้วยค่ะ ทำเลเรียกว่าดีงามมากๆ เพราะอยู่บริเวณริมทะเล ซึ่งจากจุดนี้สามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงาม และตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมงอบที่ไปเกาะหมากซึ่งนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นเรือไปเกาะหมากในตอนเช้าก็มักจะมาพักที่นี่ก่อนหนึ่งคืน และยังไม่ไกลจากท่าเรือเซ็นเตอร์พอยท์ที่ไปเกาะช้างขับรถเพียง 10 นาทีเท่านั้น อีกทั้งยังใกล้ที่เที่ยวมากมายทั้งประภาคารแหลมงอบ อนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง และหาดทรายดำ
บรรยากาศของร้านเป็นแบบโอเพ่นแอร์นั่งชิลรับลมทะเล มีมุมเทอร์เรซที่ทำยื่นออกไปในทะเล เป็นจุดที่มีลูกค้ามาถ่ายรูปและจับจองที่นั่งในยามเย็นมากมาย พร้อมกันนั้นยังมีบริการห้องแอร์รองรับได้ 30-60 คน มีคาราโอเกะให้บริการสำหรับใครที่อยากมาจัดปาร์ตี้ทานอาหารอร่อยริมทะเล
ริมทะเลซีฟู๊ดเปิดให้บริการมาถึง 21 ปี โดยพี่อ้อยและครอบครัว บรรยากาศของร้านจึงเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนมาทานอาหารบ้านญาติที่จะมีพี่ๆ คอยพูดคุยแนะนำเมนูอาหารอย่างเป็นกันเอง ซึ่งวันนี้ด้วยความหิวเราเลยจัดมาเต็มโต๊ะกันเลยค่ะ ทั้งเมนูหมึกแดดเดียว รสกลมกล่อม เนื้อนุ่มไม่เหนียว หลนปูไข่ที่เขาใช้ปูไข่ทั้งตัวไข่เต็มท้องนำไปหลน กลิ่นหอม รสอร่อยทานกับผักสดแนม ต่อด้วยเมนูปลาที่เราจัดมาถึงสองเมนูทั้งปลากะพงทอดยำตะไคร้ ที่ใช้ปลากะพงตัวโตนำมาทอดจนด้านนอกเหลืองกรอบ ด้านในเนื้อขาวนุ่มราดด้วยยำตะไคร้ เต็มเครื่องสมุนไพรรสชาติจัดจ้าน อีกหนึ่งเมนูปลาที่เราขอกดเลิฟให้ระรัวๆ กับเมนูปลาเก๋าเกล็ดกรอบ ที่เขาใช้ปลาเก๋าเป็นๆ (พี่อ้อยแอบกระซิบเราว่าต้องใช้แบบที่ว่ายน้ำ ถ้าไม่ว่ายน้ำเกล็ดจะไม่กรอบ) นำไปทอดในน้ำมันร้อนๆ ทั้งเกล็ด จนเกล็ดด้านนอกกรอบ ด้านในเนื้อปลาเก๋าแน่น นุ่มฟู อร่อยมากๆ ค่ะ ทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ทางร้านทำเองโดยใช้พริก กระเทียมและมะนาวแท้ นำมาโขลกด้วยครกไม่ได้ใช้เครื่องปั่น รสชาติจัดจ้าน แต่ไม่เผ็ดโดด หรือไม่เปรี้ยวโดด กินกับเมนูซีฟู้ดแล้วเข้ากันมากๆ ค่ะ ต่อด้วยเมนูกั้งทอดกระเทียมที่เราขอยกให้เป็นอีกเมนูในดวงใจ ซึ่งที่นี่เขาใช้กั้งแก้ว เนื้อเยอะ นำไปทอดจนด้านนอกเหลืองกรอบทานได้ทั้งเปลือกตัวกระเทียมก็กรอบอร่อยมากๆ ค่ะ ส่วนเมนูที่หน้าตาธรรมดาแต่พอทานแล้วอร่อยจนตาโตกันเลยทีเดียวนั่นก็คือลูกชิ้นปลา ที่เราขอยกให้เป็นลูกชิ้นปลาที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานมาเลยค่ะ ตัวลูกชิ้นปลานุ่มมากๆ เนื้อละมุนลิ้น จานใหญ่ๆ ที่เขาเสิร์ฟมาเราแย่งคุณแฟนกินเกลี้ยงหมดทั้งจานเลยค่ะ เพราะมันทานง่าย และทานเพลินมากๆ และมาถึงพระเอกของมื้อนี้ที่เราขอยกให้ฮ่อยจ๊อปู บอกเลยว่าเด็ดมากๆ ค่ะ เพราะจะแกะตรงไหนก็เจอเนื้อปูม้าอัดแน่นเต็มก้อน โดยมีให้เลือกทั้งแบบกรรเชียงปู และเนื้อส่วนอกปู ทานกับน้ำจิ้มบ๊วยรสหวานนำ มาทานฮ่อยจ๊อปูร้านนี้รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน
ห้องพักคืนนี้ของเราค่ะ บรรยากาศริมทะเลภายนอกตกแต่งด้วยสีสันสดใส พักได้ 2 คน
ที่ตั้ง : ริมทะเลซีฟู๊ดแอนด์รีสอร์ท 199/9 หมู่ 1 ตำบลแหลมงอบ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด
ร้านอาหารเปิดบริการ : ทุกวันเวลา 9.00 - 21.00 น.
ราคาห้องพัก : 800 - 1,500 บาท
เบอร์ติดต่อ : 039-597084, 081-6368137
พิกัด GPS : https://g.page/rimlaylaemngob?share
เช้านี้เราต้องออกจากแหลมงอบเพื่อเดินทางไปเกาะช้างกันค่ะ หลังจากเช็คเอาท์แล้วก็มาดื่มกาแฟเติมความสดชื่นยามเช้าที่ร้านริมทะเลคอฟฟี่ซึ่งตั้งอยู่ภายในริมทะเลซีฟู๊ดแอนด์รีสอร์ท ร้านกาแฟบรรยากาศน่านั่ง ตัวกาแฟหอมอร่อยมากๆ เมนูเครื่องดื่มในร้านราคาไม่แพงค่ะเริ่มต้นที่ 40 บาทเท่านั้น ร้านจะเปิดทุกวันเวลา 8.00-20.00 น. ใครที่กินซีฟู้ดกันแล้วก็แวะมาทานกาแฟต่อที่นี่ได้เลย
ก่อนจะนั่งเรือไปเกาะช้างเราก็แวะเช็คอินกันที่ประภาคารแหลมงอบ ของกรมอุทุกศาสตร์กองทัพเรืออีกหนึ่งจุดถ่ายรูปสวยๆ ที่ห้ามพลาดในจังหวัดตราด
โดยบริเวณประภาคารจะตั้งอยู่กลางวงเวียน ลักษณะเป็นประภาคารสีขาว คาดสีแดง ด้านบนทำเป็นรูปทรงหมวกงอบครอบอยู่ บริเวณข้างๆ กันมีป้ายสุดแผ่นดินตะวันออก อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 จุดถ่ายรูปป้ายภาษาอังกฤษตราด และบริเวณใกล้ๆ ยังเป็นที่ตั้งของ ททท.สำนักงานตราด ที่สามารถเข้าไปสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวตราดได้ที่นี่เลยค่ะ ซึ่งเราแอบไปถามพี่ๆ เจ้าหน้าที่มาว่าถ้าอยากไปกินปลาย่ำสวาทต้องไปส่วนไหนของตราด พี่ๆ แนะนำว่าต้องไปที่เกาะช้างเลยจ้า ที่นี่มีปลาย่ำสวาทให้ได้ลองชิม การไปเกาะช้างครั้งนี้ของเราก็บวกเพิ่มภารกิจตามหาปลาย่ำสวาทเข้าไปด้วย
ที่ตั้ง : ที่ทำการประภาคารแหลมงอบ ตำบลแหลมงอบ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/7zUaYPW4pMMBiVLw8
โบกมือลาฝั่งตราดแล้วเดินทางไปตามหาปลาย่ำสวาทที่เกาะช้างกันต่อ โดยเรานั่งเรือเฟอร์รี่จากท่าเรืออ่าวธรรมชาติ โดยสามารถนำรถยนต์ขึ้นเรือไปได้เลยค่ะ มีรอบเรือตั้งแต่เวลา 6.00 - 19.30 น. ค่าเรือ 80 บาท/คน และค่ารถที่นำขึ้นเรือ 100 บาท/คัน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็เดินทางถึงเกาะช้างกันแล้วค่ะ
มาถึงเกาะช้างใกล้เที่ยงท้องก็เริ่มร้องเลยค่ะ ก่อนจะเดินทางเข้าที่พักเราผ่านร้านอาหารที่ชื่อว่า ๒๔๘๘ ซึ่งเขาเขียนป้ายว่าเป็นอาหารพื้นบ้านแห่งเดียวบนเกาะช้าง เราก็รีบเลี้ยวรถเข้าไปเลยค่ะ ร้านตกแต่งได้เท่มากๆ ด้านนอกมีความเป็นโมเดิร์นผสมสานความเป็นไทยอย่างประติมากรรมเงินพดด้วงสีทองขนาดใหญ่ด้านหน้าร้าน และตัวเลขไทย ๒๔๘๘ ที่โดดเด่นสะดุดตา
พอเข้ามาในร้านพนักงานก็มาตรวจวัดอุณหภูมิและให้เราแสกนคิวอาร์โค้ดเพื่อลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ไทยชนะ พร้อมกันนั้นพนักงานในร้านมีการใส่ผ้าผิดปาก และใส่ถุงมือระหว่างการเสิร์ฟอาหารซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย หรือ SHA (Amazing Thailand Safety & Healthy Administration) อีกด้วยค่ะ
ซึ่งคำว่า ๒๔๘๘ นั้นมาจากปีเกิดคุณพ่อของคุณปลาเจ้าของร้านนักเปียโนสาวชาวเกาะช้างแท้ๆ ที่ผันตัวมาเปิดร้านอาหารเพื่ออนุรักษ์อาหารท้องถิ่นสมัยเมื่อ 70 ปีที่แล้วเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้ทานอาหารของชาวตราด และชาวเกาะช้างแท้ๆ แบบรสชาติดั้งเดิม ซึ่งคุณปลาใช้เวลาในการสืบค้นหาอาหารท้องถิ่นดั้งเดิมจากคุณพ่อ คุณเฒ่าคนแก่ในเกาะช้าง จนได้สูตรอาหารท้องถิ่นที่คนในสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักแต่รับรองว่าถ้าได้ชิมจะต้องร้องโอ้วววโหวววกันทุกคนเหมือนกับเราในครั้งนี้
เมนูอาหารที่นี่ไม่ใช่แค่รสชาติที่อร่อยจนวางช้อนไม่ลง การจัดจาน ภาชนะที่ใช้ รวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของพนักงานก็พาเราย้อนวันวานไปในสมัยคุณพ่อคุณแม่ยังสาว โดยเมนูอาหารของที่นี่มีทั้งแบบเซ็ตกับข้าว 3 อย่าง และข้าว 1 อย่างใส่มาในปิ่นโต มีให้เลือกทั้งเซ็ต A,B และ C เราสั่งเซ็ต A ที่ประกอบไปด้วยหมูชะมวง ผัดมะเขือยาวหมูสับ น้ำพริกกุ้งแห้ง(มะอึก) + ไข่ต้มยางมะตูม เสิร์ฟมาพร้อมข้าวกล้อง หน้าตาเป็นกับข้าวบ้านๆ ทั่วไป แต่ความอร่อยนั้นขอยกนิ้วให้เลย รสชาติเหมือนมีคุณยายมาทำให้ทานเลยล่ะค่ะ เข้มข้นหนักเครื่องแบบไทย ที่เราปลื้มที่สุดคือหมูชะมวง เวลามาภาคตะวันออกทีไร เป็นต้องได้สั่งเมนูนี้ทุกที ซึ่งหมูชะมวงของแต่ละร้านรสชาติก็แตกต่างกันไป บางร้านก็หวานโดด บางร้านก็เค็มไป บางร้านก็เลี่ยนไป แต่สำหรับร้านนี้รสกลมกล่อมกำลังดีค่ะ ไม่เลี่ยน ตัดด้วยใบชะมวงที่อมเปรี้ยวเล็กน้อยอร่อยมากๆ
หลังจากทานเซ็ตปิ่นโตหมดไปก็รู้สึกประทับใจในรสชาติ เลยขอจัดเมนูอะลาคาร์ทอื่นๆ แบบไม่ยั้งทั้ง ยอก หรือส้มตำแต่ที่แตกต่างจากส้มตำทั่วไปคือเขาใช้แค่มะละกอ กับกุ้งแห้งป่นโรยด้านบนเสิร์ฟมาในครกหิน แนมด้วยใบมันสำปะหลังและใบมะยมที่มีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด สารภาพว่าตอนแรกเห็นหน้าตาก็คิดว่าคงจะจืดๆ แต่พอได้กินไปคำแรกเท่านั้นล่ะ ลบภาพทุกอย่างออกจากหัวเลย เพราะมันนัว มันกำลังดี แซ่บหล้าย หลาย ต่อด้วยเมนูแกงส้มปลากะพงใบสันดานเสิร์ฟมาในหม้ออ๋วยโบราณ ตอนแรกที่ทางร้านบอกชื่อเมนูมาเราสองคนนี่หัวเราะร่วนกันเลยค่ะ ต้องให้น้องพนักงานทวนชื่อใบสันดานนี้อีกครั้ง แถมพอพนักงานเสิร์ฟมาคุณแฟนนี่รีบเอามาตั้งวางไว้หน้าเราเลย (แอบด่าเราหรือเปล่าเนี่ย 555) ซึ่งแกงส้มถ้วยนี้รสชาติอร่อยมาก ตัวน้ำซุปเข้มข้นกำลังดี ไม่ข้นจนเกินไป สามารถซดน้ำซุปได้เลยโล่งคอมากๆ ตัวปลากะพงก็เนื้อแน่น ส่วนใบสันดานรสชาติจะเปรี้ยวๆ นำมาแกงกับเมนูปลาเข้ากันได้ดี จานต่อมาเป็นเมนูที่เราประทับใจมากๆ กับเมนูหมึกกะตอยต้มหวาน ที่เขาใส่หมึกดำลงไปด้วย ตัวหมึกกะตอยก็มีไข่เต็มท้องเลยค่ะ น้ำดำแบบนี้บอกเลยว่าอร่อยมากๆ เธออออ รสกลมกล่อมหวานๆ เค็มๆ คลุกกับข้าวสวยร้อนๆ ฟินสุดๆ ส่วนคุณแฟนสั่งเมนูข้าวผัดแดง ๒๔๘๘ ที่เขานำข้าวไปผัดกับซอสเย็นตาโฟ เสิร์ฟมาในกรวยใบตองกินคู่กับแกงเขียวหวานไก่ ทอดมันปลากราย และอาจาดเข้ากันสุดๆ ส่วนเมนูน้ำพริกร้านนี้ก็เด็ดค่ะกับเมนูน้ำพริกไข่ปู ที่ตักมาก็เจอแต่ไข่ปูม้าแน่นไปหมดรสกลมกล่อมไม่เผ็ดจนเกินไป ทานกับผักสด ผักต้ม ไข่ต้ม เสิร์ฟมาให้ในกระเช้าไม้ไผ่ จานสุดท้ายคือปอเปี๊ยะสด ซึ่งปอเปี๊ยะของร้านนี้หน้าตาเขาจะคล้ายเมี่ยงให้เรามาห่อเอง มีทั้ง ผักสด หมูสามชั้น หมูยอ เส้นหมี่ แผ่นแป้งปอเปี๊ยะ และน้ำจิ้มถั่วตัดอร่อยและได้สุขภาพอีกด้วย
ที่ตั้ง : ร้าน ๒๔๘๘ ตำบลเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด
เปิดบริการ : ทุกวันเวลา 10.30-22.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 0830124229
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/JxQ3YtjgHkTb4kRV9
อิ่มแล้วก็เดินทางไปเช็คอินพักที่ VAYNA Boutique Koh Chang ที่พักสวยริมหาดคลองพร้าว ก่อนเช็คอินมีการตรวจเช็คอุณหภูมิ ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ไทยชนะ พร้อมกันนั้นยังมีการทำความสะอาดในส่วนที่ลูกค้าจะสัมผัส เช่นลูกบิดประตู ราวบันได ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย หรือ SHA อยู่ตลอดเวลา
ห้องพักที่เราจองไว้วันนี้คือห้อง TROPICAL THAI ROOM with Seaview ห้องพักที่สามารถชมวิวทะเลได้จากเตียง พร้อมมีระเบียงชมวิวด้านนอกที่เห็นทั้งสระว่ายน้ำและวิวทะเลเลยค่ะ
ที่ตั้ง : VAYNA Boutique Koh Chang 34/2 3 ตำบลเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด
ราคา : เริ่มต้น 2,000 บาท
เบอร์ติดต่อ : 098-8309336
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/cgY4RjipuUUhfJ3GA
เช็คอินที่พักกันแล้วก็ออกเดินทางไปตามหาปลาย่ำสวาท สอบถามกับทางที่พัก ทางที่พักแนะนำว่าให้ลองไปทานที่ร้านเชฟบิว หรือร้านร้าน CHEF STUDIO ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับที่พัก เราเลยไม่รอช้ารีบขับรถไปตามหาปลาย่ำสวาทกันทันที
ร้าน CHEF STUDIO เป็นร้านอาหารแบบ Fine Dining ที่แรกบนเกาะช้าง เจ้าของร้านนี้คือ เชฟบิว ภูเตโช กาญจนกิตติกูล ผู้ท้าชิงรายการ “เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย” หรือ “Iron Chef Thailand” ซึ่งเรื่องราวของเชฟบิวนั้นก็น่าสนใจมากๆ ค่ะ เริ่มต้นจากเด็กหลังครัวตั้งแต่อายุ 15 ฝึกปรือฝีมือ ทุ่มเทกับการทำอาหารจนได้มาเป็นเชฟมืออาชีพ และมาเปิดร้าน CHEF STUDIO ได้ประมาณ 6 เดือนแล้วค่ะ
พอเข้ามาในร้านก็มีการตรวจวัดอุณหภูมิ และเช็คอินผ่านเว็บไซต์ไทยชนะ พนักงานทุกคนที่นี่ยังใส่ Face Shield ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย หรือ SHA อีกด้วยค่ะ ตัวร้านขนาดไม่ใหญ่มากๆ กรุกระจกรอบตัวร้าน เน้นใช้สีโทนดำทำให้ร้านดูเท่ ขรึม ไม่นานเชฟบิวเจ้าของร้านก็มาทักทายเรา พร้อมกับอธิบายเมนูที่จะเสิร์ฟให้ทานในวันนี้ เราเลยถามเรื่องราวเกี่ยวกับปลาย่ำสวาทว่าความพิเศษของปลานี้คืออะไร ทางเชฟเลยเล่าให้ฟังว่า ปลาย่ำสวาทนั้นเป็นปลาที่หาทานได้ยากมากๆ และเป็นปลาที่เลี้ยงได้เฉพาะในท้องทะเลตราดเท่านั้น โดยความพิเศษของปลาชนิดนี้คือ เนื้อปลามีความอร่อยในตัวค่อนข้างสูงคือ มีความหวาน มัน เนื้อใส และหนึบในตัว และกลิ่นไม่คาวถ้ามาทำเป็นซาชิมิจะมีรสชาติอร่อยและมีเอกลักษณ์มากกว่าปลาแซลม่อน หรือสามารถนำไปนึ่งซีอิ๊วก็ได้อร่อยมากๆพอเชฟการันตีแบบนี้เราสองคนก็เริ่มตื่นเต้นที่จะได้ทานปลาย่ำสวาทกันแล้วค่ะ ซึ่งเมนูที่เราจะทานในวันนี้เป็นแบบ Fine Dining ทั้งหมด 8 คอร์ส ประกอบด้วยอาหารคาว 7 เมนู และอาหารหวาน 1 เมนู
เริ่มด้วยเมนูแรกกับปลาย่ำเซบิเช่ โดยจะเสิร์ฟมาเป็นปลาย่ำสวาทดิบที่ทำให้สุกด้านนอกด้วยน้ำส้มสายชูกับมะนาว คลุกกับผักสลัด แตงกวา หอม แดง มะเขือเทศ เป็นจานแรกที่เรียกน้ำย่อย จานนี้ให้คะแนนไปเลยร้อยเต็มร้อยทั้งหน้าตาและรสชาติที่เด็ดจริงๆ สมคำร่ำลือค่ะ ตัวปลาย่ำสวาทนั้นมีความหวาน หนึบ ในตัว ซึ่งเมนูนี้มีความกลมกล่อม ไม่มีรสคาว ยิ่งกินยิ่งอร่อยและหมดไปในเวลาชั่วพริบตา ฟินกับจานแรกไปแล้วจานต่อมาก็เสิร์ฟต่อทันทีค่ะกับเมนูปลาหมึกย่างกับป่าสีม่วงแค่ได้ยินชื่อก็ OMG ทำไมชื่อดูน่าค้นหาแบบนี้ล่ะคะเชฟ ซึ่งเมนูนี้เป็นหนวดปลาหมึกที่นำไปย่าง เสิร์ฟพร้อมพริกระฆังและซัลซ่าซอสท็อปด้านบนด้วยกะหล่ำม่วงซอย ม่วงสมชื่อจริงๆ ค่ะ รสชาติหอม กรุบจากหนวดปลาหมึกตัวซอสเข้ากันดีกับพริกระฆังอร่อยมากๆ จานที่ 3 กับหอยนางรมกับคาเวียร์ ที่ใช้หอยนางรมเคลือบด้วยซอสน้ำผึ้งบัลซามิก มีกลิ่นหอมอบเชย แซมด้วยตะไคร้หอมอ่อนๆ ราดเคลือบตัวหอยนางรมเสิร์ฟพร้อมไข่คาร์เวีย ถั่วพิสตาชิโอ และมะเขือเทศราชินี จานที่ 4 คือปลาเก๋าราดด้วยซอสมิโสะ โดยนำปลาเก๋ามาแล่เป็นฟิลเลย์แล้วนำไปทอดในน้ำมันค่อยๆ ทอดไปเรื่อยๆ แบบกรรมวิธีการทำอาหารของฝรั่งเศสจนเนื้อสุก ราดด้วยซอสหอมใหญ่มิโสะที่นำหอมใหญ่ไปเบิร์นแล้วเคี่ยวกับซอสมิโสะ เสิร์ฟพร้อมหอมใหญ่ตุ๋นกินคู่กับปลาเก๋าเนื้อนุ่มๆ อร่อยมากๆ จานที่ 5 คือซุปทะเลบุยญ่าเบส เป็นซุปมะเขือเทศสไตล์ฝรั่งเศสราดไปบนตัวกุ้ง หอยลาย และหอยแมลงภู่ ตัวน้ำซุปกลมกล่อมเป็นเหมือนเมนูล้างปากที่จะส่งต่อไปที่จานต่อไปนั่นก็คือปลาน้ำดอกไม้ย่างใบชะพลูทานคู่กับดอกกะหล่ำที่ทำให้เป็นเม็ดเล็กๆ ผัดพริกเกลือ ตัวเนื้อปลาดอกไม้ก็นุ่มมากๆ หอมใบชะพลูยิ่งทานคู่กับดอกกะหล่ำที่นำไปผัดกับพริกเกลือกรุบๆ หอมกระเทียมฟินมากๆ และมาถึงจานที่ 7 อีกหนึ่งพระเอกของมื้อนี้นั่นก็คือปลาย่ำสวาทที่นำไปตุ๋นในเนยจนเนื้อสุกเล็กน้อยราดด้วยซอสหัวปลาย่ำฯ โดยจะใช้ทุกส่วนของปลาย่ำฯ มาตุ๋นทำเป็นซอสเป็นเมนูปิดท้ายของคาวที่อร่อยมากๆ ส่วนเมนูของหวานทางร้านเสิร์ฟไอศกรีมมะม่วงและเจลลี่สับปะรดตราดสีทอง เมนูนี้ก็อร่อยสุดๆ เลยค่ะ เพราะรสชาติหวาน หอม มะม่วง แต่ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป ตัวเจลลี่นั้นใช้สับปะรดตราดสีทองของขึ้นชื่อของตราดที่รสชาติหวาน อร่อยมาทำเป็นเจลลี่เนื้อหนุบฟินมากๆ ราคาค่าเสียหายมื้อนี้คนละ 1,300 บาทพร้อมไวน์ขาว เป็นดินเนอร์ยามเย็นที่เราได้สัมผัสประสบการณ์อันแปลกใหม่ที่เกาะช้าง
ที่ตั้ง : CHEF STUDIO 18-36-37 หมู่4 หาดคลองพร้าว อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด
เปิดบริการ : วันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา 15.00 - 22.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 0940378451, 0920451888
พิกัด GPS : https://g.page/chef-studio-kohchang?share
หลังจากที่เมื่อคืนฟินกับปลาย่ำสวาทจนเก็บเอาไปฝันถึง เช้านี้พอเช็คเอาท์ออกจากที่พักปุ๊บ เราก็สอบถามกับทางพี่ๆ VAYNA Boutique Koh Chang ว่าถ้าเราจะไปชมกระชังปลาย่ำสวาทจะไปหาได้ที่ไหน พี่ๆ แนะนำเราว่าให้ลองไปฝั่งบ้านด่านเก่า ด่านใหม่ ซึ่งที่นั่นจะมีประมงพื้นบ้านที่เลี้ยงปลาย่ำสวาทอยู่ และพี่ๆ เขายังน่ารักช่วยกันหาเบอร์โทรจนได้ว่าชาวประมงที่เลี้ยงปลาย่ำฯ คือพี่มิตร เมื่อเราได้ชื่อกับเบอร์โทรศัพท์แล้วก็ออกเดินทางไปเกาะช้างอีกฝั่ง ซึ่งหลายคนจะเรียกว่าเกาะช้างเลี้ยวซ้าย เพราะฝั่งนี้จะเป็นฝั่งของชุมชนชาวเกาะช้างที่แท้จริง
เราปักหมุด GPS ไว้ที่ https://goo.gl/maps/RQyLx5jyvNxaJfxL6 ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงก็พบกับชุมชนท่องเที่ยว ประมงพื้นบ้านด่านเก่า - ด่านใหม่ พี่มิตรเจ้าของกระชังปลามาต้อนรับเราสองคน แล้วพาเรานั่งเรือไปชมกระชังปลาย่ำสวาทกลางทะเล พี่มิตรเล่าว่าปลาย่ำสวาท หรือปลากะรังจุดฟ้านั้นเป็นปลาที่เลี้ยงยากมากๆ โดยเป็นปลาที่ชอบน้ำสะอาด และน้ำต้องหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาในการเลี้ยงประมาณ 14 เดือน ซึ่งปลาย่ำเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักหนึ่งกิโล - หนึ่งกิโลครึ่งต่อตัว ราคาขายจะขายอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 800 บาทไปจนถึงหลักพันกันเลยทีเดียว พี่มิตรบอกว่าด้วยความที่เลี้ยงยากนี่แหละทำให้ราคาสูง เพราะเนื้อของเขาอร่อยมากๆ เรารีบพยักหน้าตอบรับเพราะได้ไปชิมมาเมื่อวานก็เลยรู้สึกติดใจเลยทีเดียว
นี่แหละค่ะหน้าตาเจ้าปลาย่ำสวาทที่เราทานกันเมื่อวาน ใครสนใจอยากซื้อกลับบ้านทางพี่มิตรก็มีบริการนะคะ ราคาถูกกว่าไปซื้อตามตลาดทั่วไปแน่นอน ในส่วนค่าใช้จ่ายในการนั่งเรือพี่มิตรบอกว่าแล้วแต่ทางเราจะให้เลยค่ะ เพราะไม่ได้ทำตรงนี้เป็นธุรกิจแต่อยากให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาย่ำสวาทกับคนทั่วไป ใครที่อยากลองไปชมปลาย่ำสวาทตัวเป็นๆ ก็สามารถโทรสอบถามกับทางพี่มิตรได้เลยค่ะ
ที่ตั้ง : ชุนท่องเที่ยว ประมงพื้นบ้านด่านเก่า - ด่านใหม่ ตำบลเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง
เบอร์ติดต่อ : พี่มิตร 0612398782
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/RQyLx5jyvNxaJfxL6
เกาะช้างเลี้ยวซ้ายยังมีที่เที่ยวชมวิถีชีวิตชาวเกาะช้างอีกมากมายเลยค่ะ เราขับรถต่อไปยังวัดสลักเพชร ศูนย์รวมใจของชาวเกาะช้าง เพื่อไปไหว้หลวงพ่อเพ็ชรเสริมสิริมงคลให้กับเราสองคน
ซึ่งวัดสลักเพชรนั้นสร้างมาตั้งแต่ปี 2449 มีหลวงพ่อเพ็ชร พระพุทธรูปปางสมาธิ ที่เก่าแก่ที่สุดในเกาะช้าง ประดิษฐานอยู่ภายในศาลาการเปรียญ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะในเรื่องของดินฟ้าอากาศ เราเลยถือโอกาสขอให้ทริปเกาะช้างหน้าฝนของเราครั้งนี้ท้องฟ้าแจ่มใสและให้ท่านคุ้มครองเราสองคนตลอดการเดินทางทริปนี้ให้เจอแต่เรื่องราวดีๆ ไม่พานพบเจอภัยอันตรายใดๆ ส่วนพระอุโบสถของที่นี่จะมีสองแห่งค่ะ คือพระอุโบสถหลังเก่าอายุกว่าร้อยปี ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์วัดสลักเพชร เก็บรวมรวมของเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งที่ท่านเคยเสด็จประพาสเกาะช้าง ส่วนอุโบสถหลังใหม่ประดิษฐานพระประธานปางสมาธิขนาดหน้าตักกว้าง 65 เซนติเมตร สูง 113 เซนติเมตร ซึ่งบริเวณรอบพระอุโบสถหลังใหม่ยังมีรูปปั้นสัตว์ในป่าหิมพานต์ให้ได้ชมกันอีกด้วย
ที่ตั้ง : วัดสลักเพชร เลขที่ 99 บ้านสลักเพชร ตำบลเกาะช้างใต้ อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/YHeeyJH2aRhnXvjT8
ใกล้ๆ กับวัดสลักเพชรยังเป็นที่ตั้งของป่าชายเลน บ้านสลักเพชร เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความรู้และความสวยงาม ไฮไลท์ของที่นี่คือสะพานไม้สีแดงสดที่ทอดตัวยาวไปในป่าชายเลน โดยสองข้างทางเดินจะมีป้ายให้ความรู้พันธุ์ไม้ต่างๆ ในป่าชายเลน เช่น ต้นฝาดดอกแดง ต้นหงอนไก่ทะเล ต้นช้าเลือด และหัวร้อยรู ให้เราได้ชมด้วยค่ะ
เดินไปไม่นานเราก็จะพบกับทุ่งโปรงที่กำลังผลิใบเป็นสีเขียวอ่อนปนเหลือง ล้อมรอบไปด้วยแนวทิวเขายิ่งถ้าได้มาเดินช่วงหลังฝนตกเราจะได้พบภาพสายหมอกสีขาวที่ปกคลุมขุนเขา ซึ่งสะพานแดงนั้นมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรโดยถ้าเดินไปสุดปลายทางจะพบกับทะเลสวยๆ อยู่เบื้องหน้า
ที่ตั้ง : ป่าชายเลน บ้านสลักเพชร ตำบลเกาะช้างใต้ อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/nxpksd1PZ7LVKgpE8
ตระเวนเที่ยวมาทั้งวันก็เริ่มหิวข้าวแล้วค่ะ เราเลยตกลงกันว่าจะไปทานอาหารที่ร้านสลักเพชรซีฟู้ด แต่ก่อนจะถึงร้านอาหารก็พบกับภาพประภาคารสลักเพชร เลยขอแวะแชะภาพกันหน่อย
ตัวประภาคารจะเป็นสีขาวตั้งโดดเด่นอยู่กลางอ่าวสลักเพชร ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสีเขียว โดยระยะทางจากต้นสะพานมาถึงประภาคารประมาณ 400 เมตรค่ะ แนะนำว่าควรมาช่วงเช้าๆ หรือเย็นๆ แดดจะได้ไม่ร้อน ซึ่งที่นี่ยังเป็นจุดขึ้นเรือไปดำน้ำตามเกาะต่างๆ ใกล้เกาะช้างอีกด้วย ด้านบนประภาคารสามารถขึ้นไปถ่ายรูปสวยๆ และสามารถชมวิวอ่าวสลักเพชรได้แบบ 360 องศา
ที่ตั้ง : ประภาคารสลักเพชร ตำบลเกาะช้างใต้ อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/oZiHEdh3xDafzPcN9
ถึงเวลาทานข้าวกันแล้วค่ะกับร้านสลักเพชรซีฟู้ด ร้านสุดชิลชมวิวทะเลที่เขามีที่พักให้บริการด้วยค่ะ บรรยากาศร้านแบบโอเพ่นแอร์เปิดโล่งสบายตา พร้อมกันนั้นยังมีกระชังปลาให้เราได้เดินชมด้วยค่ะ รับรองว่าซีฟู้ดร้านนี้สดมากกกก ก.ล้านตัวกันเลยทีเดียว
ไม่พูดพร่ำทำเพลงเราสั่งอาหารมารัวๆ ทั้ง เมนูกุ้งทอดซอสมะขาม ที่ใช้กุ้งทะเลทอดจนเหลืองกรอบรสเปรี้ยวหวานจากซอสมะขามอร่อยมากๆ หมึกแดดเดียวร้านนี้ก็เด็ดมากๆ ค่ะ ด้านนอกเหลือง ด้านในนุ่มและตัวผิวปลาหมึกถูกเคลือบด้วยซอสเอาไว้ รสเค็มๆ หวานๆ กำลังดี แถมยังไม่มัน กินเดี่ยวๆ แบบไม่จิ้มน้ำจิ้มก็อร่อยมากๆ ค่ะ หอยเชลล์อบเนยก็หอมอร่อยเวลาทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ดเด็ดมากๆ ค่ะ อีกเมนูที่เราประทับใจมากๆ คือหมูผัดกะปิ ที่ใช้กะปิเกาะช้างแท้ๆ หอม เค็มกำลังดีผัดกับหมูเสิร์ฟมาในจานขนาดใหญ่ทานได้ถึง 3 คนกันเลยทีเดียว เมนูสุดท้ายคือแกงสับปะรดตราดสีทองกับหอยแมลงภู่ที่เขาใส่หอยมาให้เยอะมากๆ ตัวสับปะรดก็หวานอมเปรี้ยวนำมาแกงกับกะทิรสกลมกล่อมถูกใจเรามากๆ
ที่ตั้ง : สลักเพชรซีฟู้ด ตำบลเกาะช้างใต้ อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด
เปิดบริการ : ทุกวัน เวลา 8.00 - 20.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 039553099
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/AhhHPhQ7xSaN2X9K8
จากนั้นเดินทางไปยังที่พักของเราคืนนี้ค่ะที่ ภูวาริน รีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าวบางเบ้า ก่อนจะเช็คอินเข้าที่พักพนักงานก็มาวัดอุณหภูมิพร้อมกับเช็คอินผ่านเว็บไซต์ไทยชนะตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย หรือ SHA
ห้องพักที่เราจองไว้คืนนี้เป็นห้องพักวิวดีที่สุดของที่นี่กันเลยค่ะ กับห้อง Prime Villa Seaview ห้องพักสไตล์วิลล่าพร้อมวิวทะเล
ที่ตั้ง : 50/1 หมู่ 1 ตำบลเกาะช้างใต้ อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด
ราคา : Lo-Season เริ่มต้น 1,500-2,000 บาท Hi-Season เริ่มต้น 2,000-3,000 บาท
เบอร์ติดต่อ : 0863176104
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/iURy2N1ccG7pECqb9
หลังจากพักผ่อนกันจนเต็มที่เช้านี้เราก็เตรียมตัวโบกมือลาเกาะช้างกันแล้วค่ะ
เรานั่งเรือเฟอร์รี่ออกจากเกาะช้างประมาณ 10 โมงเช้า พอถึงฝั่งตราดก็เดินทางไปเที่ยวกันต่อที่ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ ภายใต้โครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เพื่อน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในศูนย์การเรียนรู้ฯ โดยเปิดโอกาสให้ "ผู้ก้าวพลาด" หรือผู้ต้องขังชั้นดีได้มาเรียนรู้การดำรงชีวิตผ่านการทำเกษตรกรรมก่อนที่จะออกไปใช้ชีวิตภายนอก
ซึ่งพื้นที่ที่นี่มีทั้งหมด 777 ไร่ และได้มีการแบ่งพื้นที่เป็น 10 แปลง แปลงละ 1 ไร่ โดยแต่ละไร่จะมีผู้ก้าวพลาดช่วยกันดูแลพื้นที่ 5 คน ได้เรียนรู้ในการทำเกษตรตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเกษตรอินทรีย์ไม่ใช้สารพิษ และรายได้จากการขายผลผลิตทางศูนย์ฯ จะแบ่งกำไรครึ่งหนึ่งให้กับผู้ก้าวพลาดได้มีรายได้เพื่อเป็นทุนในการที่เขาจะออกไปใช้ชีวิตภายนอก
เราสองคนฟังเรื่องราวศูนย์แห่งนี้แล้วรู้สึกประทับใจมากๆ ซึ่งไม่ใช่วิวที่สวยเหมาะกับการพักผ่อน ที่นี่ยังจุดประกายการใช้ชีวิตของเราสองคนว่าสักวันหนึ่งเราจะลองไปใช้ชีวิตทำการเกษตรฯ ดูกันสักครั้ง สัมผัสความสุขเรียบง่ายที่ไม่ต้องไข่คว้าอะไรให้มากมาย
สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราก็สามารถมาเรียนรู้การทำเกษตรได้จากฐานต่างๆ อาทิ การสร้างบ้านดิน การใช้พลังงานทดแทน การจัดการน้ำ การเลี้ยงสัตว์ การปลูกผักปลอดสารพิษแบบอินทรีย์ แปลงผลไม้ รวมถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์และผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ อาทิ แปรรูปหม่อนเป็นชาใบหม่อน แยม และโยเกิร์ตเป็นต้น
ภายในศูนย์การเรียนรู้มีแปลงสาธิตที่ให้เราได้รู้ว่าถ้าเรามีพื้นที่ 1 ไร่เราสามารถทำอะไรได้บ้าง ทั้งเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช เรียกได้ว่าไม่ต้องออกไปซื้อกับข้าวกันเลยค่ะ เพราะภายในพื้นที่ 1 ไร่ หยิบอะไรมาก็สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้หมดเลย
นอกจากนี้ภายในศูนย์ฯ ยังมีร้านกาแฟที่ชื่อว่า inspire by PRINCESS ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มโดยพี่ๆ ผู้ก้าวพลาดที่มาบริการอย่างตั้งใจ และก่อนเข้าร้านยังมีการตรวจวัดอุณหภูมิและเช็คอินผ่านเว็บไซต์ไทยชนะตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย หรือ SHA
อาหารอร่อย เครื่องดื่มดี แถมวิวที่นี่ยังสวยมากๆ ใครที่มาเที่ยวตราด ก่อนเดินทางไปเกาะช้าง หรือหลังจากกลับจากเกาะช้างก็ลองแวะมาเที่ยวชมได้เลยค่ะ พี่ๆ เจ้าหน้าที่ที่นี่ก็น่ารักพร้อมให้ความรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกับเราอย่างเต็มที่
ที่ตั้ง : ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ ตำบลท่าโสม อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด
เปิดบริการ : ทุกวัน เวลา 7.00 - 17.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 0982605015, 039510350
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/8siR6BHo3tAiq1jh8
จากตราดเราแวะมาซื้อของฝากกลับบ้าน เป็นขนมเปี๊ยะสุดอร่อยที่ร้านขนมเปี๊ยะท่าใหม่อรุณวรรณ ตั้งอยู่ที่ท่าใหม่ จันทบุรีค่ะ มีคนบอกว่าขนมเปี๊ยะร้านนี้อร่อยมากๆ ขายหมดก่อน 10 โมงเช้า ครั้งนี้เราเลยโทรบอกพี่นา เจ้าของร้านให้ช่วยเตรียมไว้ให้ แล้วแวะมารับขนมที่ร้านพี่นาก่อนเดินทางกลับบ้าน
พี่นา-อรุณวรรณ เกิดแก้ว เจ้าของร้านนี้เล่าให้เราฟังว่าขายมาประมาณ 7 ปีแล้ว เริ่มขายตั้งแต่ตีสามในตลาด และจะหมดประมาณ 10 โมงเช้า โดยพี่นาจะทำขายวันละ 1000 ลูกเท่านั้น และมีเพียงไส้เดียวคือไส้ถั่วไข่เค็ม เคล็ดลับความอร่อยของขนมเปี๊ยะท่าใหม่อรุณวรรณ คือแป้งที่บางและนุ่มมากๆ ใส่ไส้เยอะ ไม่หวานจนเกินไป ใช้ไข่แดงเค็มลูกโตๆ เค็มกำลังดี ขนมเปี๊ยะทำสดใหม่ทุกวัน ยิ่งถ้าได้กินตอนร้อนๆ ตอนที่ออกจากเตาจะฟินสุดๆ เลยค่ะ
ขนมเปี๊ยะราคาก็ไม่แพงค่ะ 10 ลูกราคา 50 บาท ถ้าซื้อกลับบ้านมาสามารถนำมาไว้ข้างนอกไม่เข้าตู้เย็นอยู่ได้ 3 วัน และเนื้อสัมผัสก็ยังนุ่มอร่อยอยู่ มาคราวนี้เลยเหมาพี่นาเอาไปฝากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่บ้านกันหลายห่อเลยค่ะ ใครแวะมาจันทบุรีลองแวะมาอุดหนุนพี่นากันนะคะ
ที่ตั้ง : ขนมเปี๊ยะท่าใหม่อรุณวรรณ ถนนศรีนวดิตถ์ ตำบลท่าใหม่ อำเภอท่าใหม่ จันทบุรี
เปิดบริการ : 6.00-10.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 0850956735
พิกัด GPS : https://goo.gl/maps/4bs2drqBQyxaRp3i9
แม้ทริปนี้จะจบลง แต่การเดินทางของเรายังไม่จบ เพราะตราดยังมีที่เที่ยวอีกมากมายที่ให้เราออกไปค้นหา บอกเลยว่า ตราด...ครั้งเดียวไม่เคยพอเลยจริงๆ
Tags: ตราด ทริปตัวอย่าง ที่เที่ยวตราด เที่ยวตราด ที่กินตราด ร้านอาหารตราด ร้านอร่อยตราด ที่พักตราด ททท การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ททท.สำนักงานตราด จันทบุรี เที่ยวจันทบุรี เที่ยวภาคตะวันออก เที่ยวเกาะช้าง ที่เที่ยวเกาะช้าง ที่กินเกาะช้าง ร้านอาหารเกาะช้าง ที่พักเกาะช้าง ร้านอรช่อยเกาะช้าง ปลาย่ำสวาท ชุมชนบ้านท่าระแนะ ลานตะบูน ร้านคนพลัดถิ่น หาดทรายดำ ดวงตาบ้านน้ำเชี่ยว สะพานวัดใจ ริมทะเลซีฟู๊ด แหลมงอบ ประภาคารแหลมงอบ ร้าน ๒๔๘๘ VAYNA Boutique Koh Chang CHEF STUDIO วัดสลักเพชร ป่าชายเลน บ้านสลักเพชร สะพานแดง ประภาคารสลักเพชร สลักเพชรซีฟู้ด ภูวาริน รีสอร์ท อ่าวบางเบ้า หาดคลองพร้าว เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ ขนมเปี๊ยะท่าใหม่อรุณวรรณ เกาะช้าง
ทริปตัวอย่าง | 18 ธ.ค. 2024 | 102 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 17 ธ.ค. 2024 | 305 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 20 ธ.ค. 2024 | 270 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 11 ธ.ค. 2024 | 938 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 09 ธ.ค. 2024 | 3,051 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 07 ธ.ค. 2024 | 2,199 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 12 ธ.ค. 2024 | 295 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 04 ธ.ค. 2024 | 2,335 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 07 ธ.ค. 2024 | 384 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 05 ธ.ค. 2024 | 3,053 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 13 ธ.ค. 2024 | 407 อ่าน