calendar_month 18 ธ.ค. 2019 / stylus Admin Chillpainai / visibility 142,914 / ทริปตัวอย่าง
วันหยุดแบบนี้ถ้าอยากนั่งรถไฟถ่ายรูปชิคๆ
เที่ยวใกล้กรุง ขอแนะนำที่นี่เลย “นครปฐม” จังหวัดเดียว จบครบทั้งเรื่องกินและเที่ยว
ประหยัดงบสุด ถึงงบเราน้อยก็ไปได้แน่นอนจ้า ที่สำคัญเดินทางง่ายไม่ต้องค้างคืนด้วยล่ะ
สามารถไปเช้าเย็นกลับได้เลย แถมยังอิ่มกายและอิ่มใจด้วยนะ
อ่ะๆ ไม่รอช้าอยู่ใยไปเที่ยวกันเลยค่า
การเดินทางครั้งนี้เราเลือกนั่งรถไฟเที่ยวแบบชิลๆ ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กันค่ะโดยทริปนี้เราไปขึ้นที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเลยค่ะ จองรถไฟได้รอบ 09.20 น. ขบวนที่ 261 ราคาคนละ 14 บาท ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เพื่อนๆ ที่สนใจอยากลองนั่งรถไฟเที่ยวก็สามารถตรวจสอบตารางเวลาและราคาค่าโดยสารได้ทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือทางแอปพลิเคชัน SRT TIMEtable Fares เลยค่ะ
ปู๊นๆ ฉึกฉัก ฉึกฉัก เมื่อรถไฟเคลื่อนตัวออกเชื่อว่าทุกคนต้องได้ยินเสียงนี้ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเที่ยวนครปฐมฉบับรถไฟไทย แต่ก่อนสิ่งอื่นใดกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ระหว่างเดินทางเพื่อนๆ ไม่ต้องกลัวหิวเลยนะ เพราะบนรถไฟจะมีคุณลุงคุณป้าเดินขายอาหารและเครื่องดื่มกันเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือก๋วยเตี๋ยวรถไฟค่ะ ราคาน่ารักสุดๆ ห่อละ 10 บาทเท่านั้น โดยมีให้เลือกทั้งเส้นเล็กและเส้นบะหมี่ แต่ไม่มีเครื่องปรุงนะคะเพราะในห่อจะปรุงมาให้แล้ว เราแค่ก็คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วก็ทานรองท้องได้เลย
หลังจากอิ่มท้องกับบะหมี่และขนมต่างๆ ไม่นานนักเราก็มาถึงนครปฐมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเองค่า
พอมาถึงนครปฐม พิกัดแรกที่เราจะไปกันนั่นก็คือ A Telier (อะ-เท-ลิ-เย่) ร้านค่าเฟ่นั่งชิลอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนครปฐม โดยร้านจะเปิดทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. สามารถเรียกเมล์เครื่อง (มอเตอร์ไซด์) ที่จอดรอหน้าสถานี (ราคาประมาณ 30 บาท) ใช้เวลาเพียง 5 นาทีก็ถึงร้านแล้วค่า
ภายในร้านมี 2 โซนด้วยกัน ใครชอบแบบไหนก็สามารถเลือกได้ตามสบายเลยค่า จุดเด่นคือมีปลั๊กไฟแทบจะทุกโต๊ะ สามารถนั่งทำงานแบบสบายๆ ได้ มีเครื่องดื่มมากมายหลายเมนู แต่ที่ห้ามพลาดก็คือ Seasonal Fruits (ราคา 75 บาท) เครื่องดื่มที่ผสมกันอย่างลงตัวระหว่างผลไม้สดตามฤดูกาลซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของทางร้านที่เน้นให้ความสดชื่น หรือถ้าใครชอบเมนูอื่นๆ ก็มีนะคะ อย่างเมนูโกโก้เย็นแก้ว (ราคา 60 บาท)
เมื่อเราเติมความสดชื่นกันแล้ว ต่อไปเราก็เรียกเมล์เครื่องไปไหว้พระสักการะองค์พระปฐมเจดีย์กันค่ะ ซึ่งที่นี่เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองนครปฐมเลยค่ะ มีจุดเด่นที่สำคัญคือองค์พระปฐมเจดีย์ หรือพระธมเจดีย์ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ใหญ่และสูงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยเลยนะคะ เรียกได้ว่าเป็นจุดเช็คอินที่ใครมานครปฐมห้ามพลาดเด็ดขาด
สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครปฐมกันไปแล้ว ดูนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงแล้ว ท้องเริ่มร้องแล้วค่ะ เราจึงมุ่งหน้าไปทานข้าวเที่ยงกันที่ร้านข้าวหมูแดงหงษ์หยก โดยร้านนี้มีเมนูชื่อดังอย่างข้าวหมูกรอบที่กรอบมากๆ ตอนเคี้ยวได้ยินเสียงกรุบๆ กันเลยทีเดียวหรือถ้าใครอยากกินไก่ที่นี้ก็มีข้าวหน้าไก่ด้วยนะคะ ซึ่งหนังไก่ย่างที่นี่ก็กรอบมากเช่นกัน ส่วนน้ำราดก็คือดีงามเลยค่ะ ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป ในเรื่องของราคา ขายไม่แพงนะคะอยู่ที่จานละ 30-40 บาทเท่านั้น เปิดขายทุกวันจ้า
กินคาวแล้วต้องกินหวาน! เพราะฉะนั้นเราจึงไปกินวุ้นชื่อดังเมืองนครปฐมกันนั่นก็คือ ร้านวุ้นคุณอุ๊ เมนูแนะนำคือวุ้นกะทิค่ะ ถึงแม้จะดูเป็นวุ้นกะทิหน้าตาธรรมดาแต่รสชาติที่ไม่ธรรมดาเลยนะคะ หวาน หอม มัน ละมุนลิ้นแบบสุดๆ ซึ่งทางร้านก็มีวุ้นให้เลือกซื้อเยอะมากกก ทั้งวุ้นเป็ดกะทิ วุ้นเป็ดน้ำผลไม้ วุ้นลูกชุบ วุ้นกุหลาบแก้ว วุ้นม็อกเทล และอีกมากมาย จะซื้อทานเองหรือเป็นของฝากก็ดี รับรองอร่อยถูกใจทุกคนแน่นอน เพราะเป็นร้านดังเปิดขายมานานมาก ที่สำคัญคือเปิดขายทุกวันตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 2 ทุ่มครึ่งกันเลย สาขาแรกจะอยู่ที่ถนนเทศาซอย 4 แต่ปัจจุบันย้ายที่ผลิตไปที่ สาขา 2 (ซอยเทศา 6) หากใครที่อยากทานแต่ไม่สะดวกมานครปฐมสามารถซื้อได้ที่ สาขา 3 (ถนนเพชรเกษม ก่อนวัดศรีษะทอง ติดปั๊มบางจาก) หรือสาขา 4 (เยื้องห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี ติดถนนสิรินธร)
ชิมวุ้นเจ้าดังของนครปฐมกันไปแล้ว เราก็นั่งเมล์เครื่องไปอีก 5 นาที เจอร้าน CO CO KUP คาเฟ่สไตล์โมเดิร์น ภายในเน้นโทนสีขาว ซึ่งมี 2 โซน คือโซนนอกร้านที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่สนามหญ้าหน้าบ้าน และในร้านที่ติดแอร์มีเพลงคลอเบาๆ เหมือนอยู่ห้องนั่งเล่น เมนูแนะนำของที่นี่ขนมเปี๊ยะลาวาที่เป็นเจ้าแรกของโลก โดยตัวไส้เปี๊ยะจะเยิ้มเมื่อหั่นออกมาและรสชาติจะมันหน่อยๆ ไม่เลี่ยน ใน 1 กล่องมี 4 ลูก (ราคากล่องละ 100 บาท) นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเมนูแนะนำอีกหลายอย่าง เช่น MACADAMIA BUTTER SCOTH CAKE ถั่วแมคคาเดเมียเม็ดใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ (ราคากล่องละ 125 บาท) หรือใครที่ชื่นชอบชูครีม เราขอแนะนำ COOKIE CRUST CHOUX A LA CREME คุ้กกี้ชูครีมสอดไส้คัสตาร์ดวานิลลาที่หวานกำลังดีไม่เลี่ยน (ราคาชิ้นละ 75 บาท) แต่ถ้าใครชื่นชอบทาร์ด ต้องนี่เลย COCOKUP MANGO TART ทาร์ตมะม่วงน้ำดอกไม้สดหวานฉ่ำกำลังดี (ราคาชิ้นละ 95 บาท) ส่วนใครที่ชื่นชอบชีสเค้กต้องไม่พลาดกับเมนู BLUEBERRY CHESE CAKE ทางร้านใช้บลูเบอรี่สดนำเข้าจากต่างประเทศลูกใหญ่มากเสิร์ฟคู่กับวิปครีมสดที่หวานนิดๆ ไม่เลี่ยนพอทานคู่กันคือลงตัวมาก
ส่วนเมนูน้ำของที่นี่เราขอแนะนำ CARAMEL MACCHIATO ทางร้านผลิตซอสคาราเมลขึ้นมาเอง ซึ่งทำให้ได้รสชาติที่ไม่หวานเลี่ยนและเมื่อผสมกับเครื่องดื่มจะยิ่งทำให้มีกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้นด้วยสูตรเฉพาะของทางร้าน (ราคาแก้วละ 65 บาท) และสุดท้ายเมนู Signature ของร้านต้องยกให้กับเมนู ICED CHOCOLATE ผงช็อกโกแลตนี้นำเข้าจากประเทศเบลเยี่ยมซึ่งจะทำให้รสชาติของช็อคโกแลตเย็นแก้วนี้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น (ราคาแก้วละ 65 บาท) ซึ่งร้านนี้จะเปิด 11.00-18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
เรามาต่อกันที่คาเฟ่สไตล์มินิมอลแสนน่ารัก PakPink Bistro ที่สามารถนั่งเมล์เครื่องต่อไปอีกแค่ 5 นาที จะบอกเจ้าของร้านใจดีและพนักงานในร้านบริการดีมาก รวมถึงเมนูอาหารที่นี่ก็อร่อยทุกเมนูเลย เรามาเริ่มกันที่เมนูแรกกับ TIRAMISU พุดดิ้งสไตล์อิตาเลียนที่เข้มข้นกลมกล่อมละมุนนุ่มลิ้นละลายในปากบอกได้คำเดียวว่าฟินมาก (ราคาชิ้นละ 80 บาท) หรือใครที่ชื่นชอบทาร์ตต้องลอง FRUIT TART สายเฮลท์ตี้ไม่ควรพลาดกับทาร์ตผลไม้รสเปรี้ยวที่ทานคู่กับครีมแล้วได้รสที่เปรี้ยวอมหวานอย่างลงตัว (ราคาชิ้นละ 90 บาท ) หรือถ้าใครชื่นชอบแอปเปิ้ลต้องเมนูนี้เลย APPLE CRUMBLE TART ทาร์ตแอปเปิ้ลทานคู่กับซอสวานิลลา ที่ทางร้านจะเสิร์ฟไอศครีมมาให้ทานคู่กันแบบฉ่ำๆ ซึ่งรสชาติที่ได้จะได้รสหวานอมเปรี้ยวพร้อมเคี้ยวแบบกรุบๆ เย็นชื่นใจ (ราคาชิ้นละ 80 บาท) เมนูถัดมาเอาใจคนชอบคุ้กกี้กึ่งเค้กกันกับ SCONE SET เป็นคุกกี้กึ่งเค้กที่กรอบนอกนุ่มในทานคู่กับ Clotted cream ที่ทางร้านทำเองหรือจะทานคู่กับแยมมิกซ์เบอร์รี่ที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ก็ได้นะคะ (ราคาชิ้นละ 100 บาท)
ถ้าใครที่ชื่นชอบ MACARON ทางร้านก็มีให้เลือกถึง 6 รสชาติ (ราคาชิ้นละ 30 บาท) และใกล้ช่วงเทศกาลคริสมาสต์แบบนี้ทางร้านได้ออกเมนูใหม่อย่าง STOLEN ขนมปังเยอรมันสุดอร่อย (ราคา 80-160 บาท) นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูเครื่องดื่มแนะนำอย่าง อิตาเลี่ยนโซดาบ๊วยส้ม เมนูใหม่ล่าสุดที่ผสมกันระหว่างน้ำส้มสายน้ำผึ้งที่หวานกำลังดีกับความเปรี้ยวของบ๊วยและมีโซดาที่ให้ความซ่าสดชื่น (ราคาแก้วละ 55 บาท) นอกจากนี้ยังมีเมนูปั่นอีกมากมาย มิกซ์เบอร์รี่สมูทตี้ (ราคาแก้วละ 80 บาท) หรือใครที่ชอบชาร้อนๆ ขอแนะนำชาเอิร์ลเกรย์ ชาร้อนๆ หอมอ่อนๆ ที่ทานคู่กับขนมปังอะไรก็อร่อย (ราคาเหยือกละ 45 บาท) ร้านนี้เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 09.00-21.30 น. และแอบกระซิบนิดนึงค่ะว่าเร็วๆ นี้อีกไม่นานทางร้านกำลังจะเปิดคาเฟ่ดอกไม้เพิ่มด้วยค่า
หลังจากทานขนมและถ่ายรูปในคาเฟ่กันจนหนำใจแล้วเราก็นั่งเมล์เครื่องไปทานราดหน้าชื่อดังอย่างราดหน้าเจ๊เฮี้ยงที่เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 17.00-21.00 น.โดยราดหน้าที่นี่จะมีด้วยกันอยู่ 2 เส้น คือ เส้นใหญ่ราดหน้ากับเส้นหมี่ราดหน้าที่เมื่อทานแล้วจะได้กลิ่นหอมของคั่วกระทะและชิ้นหมูที่นุ่มอร่อยเข้ากันอย่างลงตัว
เมื่ออิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับแล้วค่ะ โดยขากลับนี้พวกเราเลือกนั่งรถตู้คนละ 45 บาท จากอู่ท่ารถ 83 ปลายทาง คือเมเจอร์ปิ่นเกล้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ
สรุปทริปนี้เป็นอะไรที่เพลิดเพลินและอิ่มท้องมากเลยค่ะ นอกจากได้นั่งรถไฟเปลี่ยนบรรยากาศ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แวะคาเฟ่ถ่ายรูปชิลๆ ทานของอร่อยแห่งเมืองนครปฐม ใครที่กำลังมองหาที่กินและเที่ยวใกล้กรุงเทพอยู่ก็สามารถนั่งรถไฟมาเที่ยวชิลๆ แบบเราได้นะ ไปเช้าเย็นกลับก็ได้จ้า ใช้งบไม่เยอะแน่นอน!
Tags: นครปฐม เที่ยวนครปฐม นั่งรถไฟ นั่งรถไฟเที่ยวนครปฐม ที่เที่ยวใกล้กรุง ร้านคาเฟ่นครปฐม ร้านอาหารนครปฐม
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 508 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 08 ต.ค. 2024 | 865 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 07 ต.ค. 2024 | 624 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่กิน ทริปตัวอย่าง | 11 ก.ย. 2024 | 1,972 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 05 ส.ค. 2024 | 1,740 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 31 ก.ค. 2024 | 1,235 อ่าน
ทริปตัวอย่าง ที่เที่ยว | 25 ก.ค. 2024 | 1,171 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 23 ก.ค. 2024 | 1,840 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 16 ก.ค. 2024 | 1,361 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 05 ก.ค. 2024 | 1,655 อ่าน