calendar_month 17 ธ.ค. 2019 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 82,703 / เที่ยวต่างประเทศ
ถ้าพูดถึงประเทศที่สุดฮิตตลอดกาลในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยก็ต้องยกให้นี่เลยค่ะ "ญี่ปุ่น" ประเทศของเหล่านิฮองจิน ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ประเทศที่มีทั้งวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง อาหารอร่อย ภูมิประเทศที่สวยงาม การเดินทางก็สะดวกสบาย ใครจะเป็นนักท่องเที่ยวสายไหน ไม่ว่าจะเป็นสายกิน สายช้อป สายแฟ สายถ่ายรูป รับรองว่าไปญี่ปุ่นต้องฟินกลับมาทุกครั้ง เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะรู้จักญี่ปุ่นจนเราไม่ต้องบรรยายอะไรเยอะแล้ว แต่วันนี้ชิลไปไหนจะมาเผย 9 เรื่องที่ควรรู้ไว้ก่อนไปเที่ยวญี่ปุ่นรับปี 2020 จะมีเรื่องใหม่ เรื่องอะไรที่ต้องร้องว้าวกันบ้าง ตามไปชมกันเลยค่ะ
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีร้านสะดวกซื้อเยอะมากๆ เรียกได้ว่าเยอะกว่าเมืองไทยประมาณเท่าตัวเลยล่ะค่ะ ซึ่งปกติร้านสะดวกซื้อของญี่ปุ่นก็จะมีเวลาเปิดบริการ 24 ชั่วโมงเหมือนเมืองไทย หิวเมื่อไรก็แวะได้ตลอด แต่รู้ไหมคะว่าตอนนี้มีร้านสะดวกซื้อบางสาขาที่เริ่มมีมาตรการไม่เปิดร้านตลอด 24 ชั่วโมงเหมือนเดิมแล้ว เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นนั้นประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทำให้ในบางสาขาไม่สามารถหาพนักงานมาทำงานในกะดึกได้ จึงต้องมีการลดเวลาในการเปิดบริการลง คราวนี้ไปญี่ปุ่นก็ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าทำไมร้านสะดวกซื้อร้านนี้ถึงไม่เปิด 24 ชั่วโมงเหมือนเดิม ส่วนใครที่เป็นสายกินยามดึกเหมือนเราก็ต้องเตรียมกักตุนขนมเอาไว้ก่อนที่ร้านสะดวกซื้อจะปิดกันนะคะ
เดี๋ยวนี้ไปญี่ปุ่นไม่ต้องแลกเงินเยนพกไปให้วุ่นวายแล้วนะคะ เพราะเราสามารถจ่ายเงินผ่านคิวอาร์โค้ดได้แล้วนะ วิธีง่ายๆ แค่มีแอปพลิเคชัน K PLUS ของธนาคารกสิกรไทย แล้วมองหาสัญลักษณ์ Smart Code หรือ K PLUS ก็สามารถปี๊บจ่าย QR Code ที่ญี่ปุ่นได้แล้วค่ะ บริการนี้ไม่มีขั้นต่ำ ไม่มีค่าธรรมเนียม และที่สำคัญในแอปพลิเคชันจะแสดงอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งยังแสดงราคาเงินบาทและเงินเยนให้เราก่อนกดยืนยันการจ่ายเงินด้วยนะ โอ๊ยยย โดนใจสายช้อปอย่างเรามากๆ ช่วงนี้ใครไปญี่ปุ่นก็จะเห็นป้ายปิ๊บจังบอกโปรโมชันพิเศษ ปี๊บครบ 100 บาท รับคืน 20 บาท (วันนี้-29 ก.พ. 63) สามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของธนาคารกสิกรไทยได้เลย
มาดูตัวอย่างวิธีการจ่ายด้วย K PLUS ที่เรานำมาฝากกันค่ะ
ช่วงนี้ไปญี่ปุ่นหลายคนอาจจะเกิดอาการงงว่าทำไมทานอาหารที่ร้านกับสั่งไปทานที่บ้านมันถึงราคาไม่เท่ากัน ก็เพราะเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมาทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มใช้ภาษีเพื่อการบริโภค จากเดิม 8% เป็น 10% ส่งผลให้อาหารที่สั่งกินในร้านอาหารจะถูกเรียกเก็บภาษี 10% ส่วนอาหารที่สั่งไปทานที่บ้านจะถูกเรียกเก็บ 8% เท่าเดิม ใครอยากประหยัดสั่งไปกินที่บ้านเลยโล้ด ส่วนใครที่คิดว่า 2% เองฉันจ่ายได้ และอยากกินที่ร้านมากกว่าก็เลือกทานที่ร้านได้เลย
ใครที่ไปญี่ปุ่นแนะนำเลยว่าเวลาซื้อน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม น้ำชา หรือน้ำอัดลมในร้านสะดวกซื้อควรซื้อขวดใหญ่ แบกกลับมาโรงแรมเอาไว้ แล้วถ่ายใส่ขวดเล็กไปทานค่ะ เพราะเพื่อนๆ รู้ไหมว่าการซื้อน้ำขวดใหญ่ในญี่ปุ่นราคาจะประหยัดกว่าน้ำขวดเล็ก อย่าง น้ำเปล่าปกติทั่วไปขวดเล็กอาจจะเริ่มต้นที่ 90 เยน แต่ยกซื้อเป็นขวดใหญ่ขนาดขวดลิตร หรือ 1.5 ลิตร ขึ้นไปราคา 100 กว่าเยนเองแตกต่างไม่กี่บาท บอกเลยว่าใช้วิธีนี้ช่วยประหยัดเงินค่าเครื่องดื่มไปได้อีกด้วยค่ะ
เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นทุกครั้งจะต้องได้เศษเหรียญเหลือกลับมาแทบทุกครั้ง จะนำมาแลกกลับก็ไม่ได้ เลยกลายเป็นเศษเหรียญเงินเยนมากมายอยู่เต็มกระเป๋า แต่ตอนนี้ใครที่เคยมีปัญหากำจัดเศษเหรียญไม่หมด เตรียมหมดปัญหาได้เลยจ้า เพราะตอนนี้ที่ญี่ปุ่นเขามีบริการใหม่ที่เรียกว่า Pocket Change ซึ่งเป็นเครื่องแลกเหรียญให้เป็น e-cash โดยเจ้าเครื่องนี้จะตั้งอยู่ภายในสนามบินใหญ่ๆ ทั่วญี่ปุ่น อย่างสนามบินนาริตะ สนามบินฮาเนดะ และสนามบินคันไซ เป็นต้น วิธีการใช้คือเราสามารถนำเงินเยนทั้งแบงค์ และเหรียญมาเปลี่ยนเป็นเงินในบัตร IC Card อย่าง Pasmo และ Suica ได้ค่ะ เวลากลับมาญี่ปุ่นอีกครั้งก็สามารถนำบัตรนี้มาใช้สำหรับเดินทางหรือซื้อของได้เลย เพียงเท่านี้ก็หมดปัญหากำจัดเหรียญให้หมดไปในวันสุดท้ายของทริปได้แล้ว แต่จริงๆ ถ้าใครใช้ K PLUS ปิ๊บจ่าย QR Code ที่ญี่ปุ่น หรือใช้บัตรเดบิต JOURNEY กสิกรไทยรูดใช้จ่ายด้วยเรทพิเศษก็ลดปัญหาเรื่องการได้รับเงินทอนเป็นเหรียญได้เยอะเลย
ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางใกล้หรือไกล การซื้อประกันการเดินทางเอาไว้ก็จะทำให้คุณอุ่นใจทุกทริป เพราะเราไม่มีวันรู้ได้เลยว่าทริปไหนจะเกิดมีอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาหรือเปล่า ซึ่งสำหรับแอปพลิเคชัน K PLUS จากธนาคารกสิกรไทยเขาก็มีฟีเจอร์ที่ให้คุณสามารถซื้อประกันการเดินทางได้เลยผ่าน K PLUS ไม่ว่าจะซื้อก่อน หรือซื้อในวันเดินทางเลยก็ทำได้ง่ายมากๆ เบี้ยประกันมีให้เลือกซื้อตามงบเลยค่ะ อย่างทริปญี่ปุ่นของเราราคาเริ่มต้นที่หลักร้อยเท่านั้น และคุ้มครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาทกันเลยทีเดียว
ลองมาดูวิธีการซื้อประกันการเดินทางง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS ที่เรานำมาฝากกันค่ะ
ตอนนี้ภาษีที่ญี่ปุ่นปรับขึ้นเป็น 10% แล้วนะคะ สำหรับสายช้อปทั้งหลายสิ่งที่ไม่ควรลืมก็คือการขอคืนภาษี ซึ่งร้านต่างๆ ในญี่ปุ่นตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็ก ร้านใหญ่ ห้างสรรพสินค้าทั่วไปล้วนให้บริการขอคืนภาษีสำหรับท่องเที่ยวมากมาย เพียงแค่สังเกตป้ายสัญลักษณ์ Tax Free ก็เดินเข้าไปช้อปกันได้เลยค่ะโดยจะต้องมียอดการซื้อขั้นต่ำ 5,000 เยนขึ้นไป การขอคืนภาษีที่ญี่ปุ่นนั้นจะมี 2 แบบค่ะ คือ แสดงพาสปอร์ตที่บริเวณจุดชำระเงินสำหรับ Tax Free ก็จะได้รับการหักภาษีจากราคาสินค้าไปเลย และอีกแบบคือต้องนำสินค้าที่ซื้อ ใบเสร็จ และพาสปอร์ต ไปขอคืนภาษีที่เคาน์เตอร์ Tax Free อย่างภายในห้างสรรพสินค้า หรือร้านดองกิ โฮเต้ จะมีเคาน์เตอร์สำหรับขอคืนภาษีให้บริการกับนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งสิ่งที่ต้องมีสำหรับการขอคืนภาษีคือพาสปอร์ต และต้องทำเรื่องขอคืนภาษีในวันนั้น ใครที่ลืมพาสปอร์ตไว้ที่โรงแรม ไม่สามารถมาทำการขอคืนภาษีในวันถัดไปได้นะคะ ดังนั้นสำหรับสายช้อปควรนำพาสปอร์ตติดตัวไปทุกครั้งกันด้วยนะ
ในปี 2020 นี้ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีเหล่านักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวญี่ปุ่นกันมากมายเลยล่ะค่ะ ส่งผลให้ระบบขนส่งต่างๆ ต่างเตรียมตัวรับมือคลื่นมหาชนของเหล่านักท่องเที่ยว เช่นเดียวกันกับรถไฟชินคันเซ็นที่ได้ออกกฎใหม่เกี่ยวกับกระเป๋าเดินทางของนักท่องเที่ยว ในอดีตนั้นกระเป๋าเดินทางที่ไซต์ไม่เกิน 28 นิ้วสามารถถือขึ้นรถไฟชินกันเซ็นได้เลย และสามารถวางได้บริเวณหลังของเบาะที่นั่งสุดท้ายในแต่ละโบกี้ แต่ตอนนี้ทางชินกันเซ็นได้ออกมาประกาศกฎใหม่ ตามนี้ค่ะ
1.กระเป๋าที่ไซต์รวมไม่เกิน 160 เซนติเมตร หรือขนาดไม่เกิน 22 นิ้ว สามารถถือขึ้นรถไฟชินกันเซ็นได้เลย
2.กระเป๋าที่ไซต์รวมอยู่ที่ 161 - 250 เซนติเมตร หรือขนาด 23-28 นิ้วจะต้องจองพื้นที่วางกระเป๋าล่วงหน้าพร้อมกับการจองตั๋วรถไฟ โดยสามารถจองพื้นที่วางกระเป๋าได้ฟรี ส่วนใครที่ไม่ได้จองเอาไว้ต้องเสียเงินใบละ 1,000 เยน
3. กระเป๋าที่ไซต์รวมมากกว่า 251 เซนติเมตรขึ้นไป หรือขนาดตั้งแต่ 29 นิ้วขึ้นไป ไม่สามารถถือขึ้นรถไฟชินกันเซ็นได้ค่ะ
โดยกฎนี้จะเริ่มใช้ในเดือนพฤษภาคมปี 2020 สำหรับรถไฟสาย Tokaido Shinkansen, Sanyo Shinkansen และ Kyushu Shinkansen ใครที่มีแพลนไปญี่ปุ่นช่วงนั้นก็อย่าลืมไปจองที่วางกระเป๋ากันด้วยนะคะ
สำหรับคนที่มีกระเป๋าใหญ่แบบโอเวอร์ไซต์จะเดินทางลากขึ้นรถไฟก็ลำบาก แถมถ้าไซต์ใหญ่กว่า 28 นิ้วไม่สามารถขึ้นชินกันเซ็นได้อีก วิธีแก้ไขคือหาบริการรับส่งกระเป๋า อย่าง บริษัท Yamato Transport ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นแมวดำคาบลูก ส่งกระเป๋าไปยังโรงแรมที่พัก หรือสนามบินได้เลยค่ะ โดยบริษัท Yamato Transport นั้นจะมีให้บริการภายในสนามบิน ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ค่าส่งกระเป๋าใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 2000 เยน และถ้าส่งไปสนามบินควรส่งล่วงหน้าประมาณ 3 - 4 วันนะคะ เพียงเท่านี้ก็จะได้เดินตัวปลิวขึ้นรถไฟ ไม่ต้องลากกันให้เหนื่อยอีกต่อไปแล้ว
เป็นอย่างไรคะ กับ 9 เรื่องน่ารู้ของการเที่ยวญี่ปุ่นรับปี 2020 ใครที่มีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่นลองนำทริคดีๆเหล่านี้ไปใช้กันนะคะ จะทำให้การท่องเที่ยวญี่ปุ่นของคุณสะดวกสบาย และคุ้มค่ามากขึ้น และยิ่งถ้าใครใช้ K PLUS แล้วล่ะก็ ยิ่งสะดวกกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ
Tags: ญี่ปุ่น เที่ยวต่างแดน K PLUS ธนาคารกสิกรไทย KBANK เที่ยวญี่ปุ่น ที่เที่ยวญี่ปุ่น การเดินทางญี่ปุ่น ตั๋วรถไฟญี่ปุ่น ร้านอาหารญี่ปุ่น ช้อปปิ้งญี่ปุ่น แอปพลิเคชัน ที่พักญี่ปุ่น จองที่พักญี่ปุ่น จองโรงแรมญี่ปุ่น เค พลัส แคแบงค์ ธุรกรรมการเงิน บัตรเครดิต บัตรเดบิต ธนาคาร จองตั๋วเครื่องบินญี่ปุ่น
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 508 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 741 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 24 ก.ย. 2024 | 650 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ย. 2024 | 1,194 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 30 ก.ค. 2024 | 1,897 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 19 ก.ค. 2024 | 4,164 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 2,032 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 18 เม.ย. 2024 | 3,511 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 21 ก.พ. 2024 | 5,431 อ่าน