calendar_month 14 พ.ย. 2019 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 74,510 / เที่ยวต่างประเทศ
เข้าสู่ปลายปีแล้วนะคะ ถึงเวลาออกเดินทางไปชาร์จพลังงานตามหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ กันแล้ว วันนี้เราจะพาไปเที่ยว ปารีส เมืองสวยสุดโรแมนติก เมืองในฝันของใครหลายคนที่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้ไปเกี่ยวก้อยคนที่รักยืนมองหอไอเฟล ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กันสักครั้ง
แต่หลายคนอาจจะมีความกลัวว่า ปารีส น่ากลัวไหม เดินทางยากไหม จะเจอเหตุการณ์อะไรหรือเปล่า วันนี้ชิลไปไหนจึงมาขอแบ่งปันประสบการณ์เที่ยวปารีสในแบบมือใหม่หัดเที่ยว ควรเตรียมอะไร ควรจองที่พักย่านไหน พร้อมพาไปชมที่เที่ยวไฮไลท์ที่ห้ามพลาดของปารีส ถ้าพร้อมแล้วก็คล้องแขนคนข้างกาย แล้วออกเดินทางไปสัมผัสความรักที่ลอยฟุ้งอยู่ในปารีสกันดีกว่าค่ะ
ฤดูกาล
ฤดูกาลในปารีสมี 4 ฤดูค่ะ ได้แก่ ฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม - เดือนกุมภาพันธ์ อุณหภูมิต่ำสุด 3 องศาเซลเซียส สูงสุด 8 องศาเซลเซียส, ฤดูใบไม้ผลิเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม อุณหภูมิต่ำสุด 5 องศาเซลเซียส สูงสุด 20 องศาเซลเซียส, ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม อุณหภูมิต่ำสุด 14 องศาเซลเซียส สูงสุด 25 องศาเซลเซียส และฤดูใบไม้ร่วงเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน - เดือนธันวาคม อุณหภูมิต่ำสุด 3 องศาเซลเซียส สูงสุด 21 องศาเซลเซียส เมื่อรู้ฤดูกาลเรียบร้อยแล้วก็จะได้เตรียมเสื้อผ้าไปให้พร้อม แต่สำหรับสายช้อป สายแฟเราแนะนำว่าเตรียมเสื้อผ้าไปให้น้อยที่สุดค่ะ แล้วไปซื้อหาเอาที่โน่นเพราะปารีสเป็นเมืองแห่งแฟชั่น มีร้านแบรนด์เนมมากมายตั้งแต่ระดับต้น กลาง ไปจนไฮเอ็นด์ และที่สำคัญราคาไม่แรงด้วยค่ะ บอกเลยว่าเห็นอะไรที่โน่นก็น่าซื้อไปหมด
การเตรียมตัว
หลายคนบอกว่าไปปารีสทั้งทีฉันจะจัดเต็มแบรนด์เนมทั้งตัวไปเดินเฉิดฉายอยู่กลางช็องเซลีเซ ดีไหม จัดเต็มได้ค่ะ แต่ก็ต้องระวังกันหน่อย เพราะปารีสไม่ใช่เมืองที่ปลอดภัยที่สุด แต่ก็อย่ากลัวจนไม่กล้าทำอะไร หรือระแวงจนเกินไป แนะนำว่าการไปปารีส ควรมีกระเป๋าคาดอกหรือกระเป๋าที่แนบกับลำตัวเองไว้ พาสปอร์ต บัตรเครดิต และเงินไม่ควรเก็บรวมไว้ที่เดียว ควรแยกกันเก็บ โดยเก็บของสำคัญไว้ที่กระเป๋าแนบลำตัว และแยกเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละวันนั้นไว้กระเป๋าด้านนอก ถ้าต้องเดินในย่านที่มีคนเยอะให้นำกระเป๋ามาสะพายไว้ด้านหน้าและอย่าช้อปจนลืมดูกระเป๋าตัวเองเพราะช่วงที่เรามัวแต่ดูของอาจจะเป็นช่วงเวลาที่หวานหอมของเหล่ามิจฉาชีพที่พยายามจะขโมยของเรา
ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างไรในปารีส
แต่ก่อนไปต่างประเทศทีไรต้องซื้อซิมอินเตอร์กันใหม่ไปใช้ทุกที แต่เดี๋ยวนี้โชคดีมากๆ ค่ะที่เราใช้แพ็กเกจรายเดือน #dtacGO ที่ใช้ซิมดีแทคเดิมแต่เพิ่มเติมคือใช้ในต่างประเทศได้ด้วย ไม่ต้องเปลี่ยนซิมให้วุ่นวาย วิธีง่ายๆ แค่เปิดโรมมิ่ง ไม่ต้องเสียเวลาในการตั้งค่า ไม่ต้องเสียเวลาในการเลือกเครือข่ายเพราะระบบจะเลือกเครือข่ายให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งแพ็กเกจนี้เค้าให้เน็ตในไทยเยอะสุด ถ้าใช้เน็ตไม่หมด สามารถทบได้ แถมยังให้ใช้เน็ตเมืองนอก ฟรี!
โดยราคาแพ็กเกจรายเดือน #dtacGO ที่สามารถใช้ในต่างประเทศจะเริ่มต้นที่ 499 บาท สามารถใช้อินเตอร์เน็ตในต่างประเทศฟรีๆ 5 GB ทุกเดือน เหมาะกับคนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ส่วนในประเทศเน็ตก็เยอะแถมยังโทรฟรีได้ทุกเครือข่ายอีกด้วยเรียกได้ว่าคุ้มค่ามากๆ ค่ะ ซึ่งแพ็คเกจที่เราใช้คือ dtac GO 1499 ที่สามารถใช้เน็ตในต่างประเทศฟรีได้ 5 GB ใน 72 ประเทศทุกทวีป ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย ยุโรป อเมริกา แอฟริกา และ โอเชียเนีย ส่วนในไทยใช้เน็ตได้ไม่อั้น ไม่ลดสปีด ในความเร็วสูงสุดถึง 100 Mbps กันไปเลย จะดูหนังฟังเพลง เยอะแค่ไหนก็ทำได้ไม่มีจำกัดเลยล่ะค่ะ ใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมกับเช็คประเทศที่ให้บริการสามารถกดชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้เลย>>https://bit.ly/2krThD8
#dtacGO #dtacGOแพ็กเดียวใช้ได้ทั่วโลก #เน็ตไทยเยอะสุดเน็ตเมืองนอกฟรี
การจองที่พัก
ก่อนจะจองที่พักในปารีส ต้องหาข้อมูลกันก่อนค่ะว่าย่านไหนที่ควรพักอาศัย และย่านไหนที่ไม่ควรพักอาศัย ซึ่งย่านที่นักท่องเที่ยวหลายคนลงความเห็นว่าควรหลีกเลี่ยงคือโซน 10 และ 17-20 ค่ะ
ส่วนเราเลือกที่พักที่ชื่อว่า Moulin Vert อยู่ในโซน 14 ซึ่งเป็นย่านที่พักอาศัยค่อนข้างปลอดภัยเลยล่ะค่ะ สามารถเดินกลับบ้านตอนกลางคืนได้ไม่ต้องระแวงเกินไป และยังใกล้สถานีรถไฟใต้ดินถึง 3 สาย คือ สถานี Pernety สถานี Alésia และสถานี Plaisance ซึ่งห้องพักที่เราจองเป็นห้องแบบ 3 คน ราคา ประมาณ 144 ยูโร/ห้อง/คืน หรือถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ตกคนละ 1500 บาท/คน/คืน (33.3 บาทเท่ากับ 1 ยูโร อ้างอิงจากเรตเงินวันที่ 15/11/2019) ถือว่าราคาไม่แพงเลยค่ะ เพราะเป็นห้องเดี่ยวกว้างขวางไม่แคบจนเกินไป มีห้องน้ำในตัวพร้อมอ่างอาบน้ำ ในห้องมีทั้งทีวี ไดร์เป่าผม กาน้ำร้อน ฮีตเตอร์ ผ้าขนหนู แชมพู สบู่ น้ำอุ่น และมีลิฟต์ ครบถ้วนเลยล่ะค่ะ ใกล้กับที่พักของเรายังมีร้านอาหารเอเชีย ร้านอาหารไทย ร้านอาหารจีน ร้านอาหารญี่ปุ่น และซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่ต้องกลัวอดกันเลย
การเดินทางในปารีส
ระบบขนส่งสาธารณะในเมืองปารีสมีทั้งรถไฟใต้ดิน(Metro) และรถไฟชานเมือง (RER) ให้บริการ โดยจะแบ่งโซนเป็น 6 โซน อ๊ะอย่าสับสนกับโซนที่เราเลือกที่พักอาศัยข้างบนนะคะ เพราะตอนแรกเราก็งง พยายามหาคำตอบจนมารู้ว่าเขาแบ่งโซนตามระบบรถสาธารณะอีก โดยรถไฟใต้ดินจะมีให้บริการเฉพาะโซน 1-2 ส่วนรถไฟชานเมือง (RER) จะให้บริการครอบคลุมทั้ง 6 โซน แต่ความถี่ของสถานีในโซน 1 และโซน 2 นั้นรถไฟใต้ดินจะมีให้บริการเยอะกว่า ซึ่งถ้าใครจะเดินทางไปสนามบินชาร์ลส์เดอโกล หรือจะไปสถานีรถไฟ Gare du Nord ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สามารถนั่งรถไฟสายยูโรสตาร์ไปเที่ยวประเทศอื่นๆ ในยุโรปได้ ก็ต้องนั่งรถไฟชานเมือง (RER)ไป
แผนที่รถไฟชานเมือง (RER)
แผนที่รถไฟใต้ดิน(Metro) และรถไฟชานเมือง (RER) ในโซน 1-2
สามารถดาวน์โหลดแผนที่ขนาดใหญ่ได้ที่นี่ http://metromap.fr/endownload
ตั๋วเดินทางในปารีส
ในโซน 1-5 จะใช้บัตรแบบเดียวกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟใต้ดิน (Metro), รถไฟชานเมือง (RER), รถราง และรถบัสในโซน 1-2 โดยสามารถใช้โดยสารจากรถไฟใต้ดินสายหนึ่งไปต่ออีกสายหนึ่ง หรือรถไฟใต้ดินไปเชื่อมกับรถไฟชานเมือง (RER)ได้ ในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ไม่สามารถคั่นด้วยรถบัสได้ ฟังแล้วงงไหมคะ อาจจะซับซ้อนเล็กน้อย แต่ส่วนมากตอนที่เราอยู่ปารีสจะใช้เพียงรถไฟใต้ดิน (Metro)เป็นหลัก และรถไฟชานเมือง (RER) บ้างบางครั้งเท่านั้น ซึ่งความซับซ้อนของระบบรถไฟในปารีสนี้จึงทำให้มีการแบ่งตั๋วเดินทางไว้ถึง 5 แบบ โดยบัตรทุกแบบจะสามารถซื้อได้ในตู้ขายอัตโนมัติภายในสถานี หรือซื้อได้จากนายสถานี
1. ตั๋ว t+ticket เป็นตั๋วเที่ยวเดียวราคา 1.9 ยูโร ใช้ได้เฉพาะโซน 1 และ 2 ไม่จำกัดจำนวนครั้งในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าต้องเดินทางนอกเหนือจากเขตนี้จะต้องซื้อแบบระบุสถานี ค่าตั๋วก็จะแตกต่างกันไป
2. ตั๋ว Carnet ตั๋วนี้เป็นตั๋วแบบเหมาค่ะก็คือ ตั๋ว t+ticket 10 ใบ 14.9 ยูโร ตกใบละ 1.49 ยูโรเท่านั้น และยังมีแบบ 20 ใบ ราคา 29.8 ยูโร ใครไปเที่ยวกับเพื่อนก็สามารถซื้อมาแล้วแจกจ่ายเพื่อนได้ ซื้อแล้วใช้ไม่หมด 10 ใบในวันนั้นก็สามารถนำไปใช้วันพรุ่งนี้ได้
3. ตั๋ว Mobillis Day Pass เป็นพาสที่ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในเวลา 1 วัน โดยราคาจะแตกต่างไปตามโซน เริ่มที่ 7.5-17.8 ยูโร
4. ตั๋ว Paris Visite เป็นตั๋วแบบไม่จำกัดเที่ยวมีระยะเวลาให้เลือกทั้งแบบ 1 วัน, 2 วัน, 3 วัน และ 5 วัน และยังแบ่งเป็นบัตรสำหรับโซน 1-3 และบัตรสำหรับโซน 1-5 เริ่มต้นตั้งแต่ 12-68.80 ยูโร สามารถใช้เดินทางไปสนามบินและดิสนีย์แลนด์ได้
5. ตั๋ว Navigo ตั๋วแบบไม่จำกัดเที่ยว โดยจะมีทั้งแบบรายสัปดาห์ และรายเดือน แบ่งเป็นแบบตั๋วที่ไปได้ทุกโซน และตั๋วที่เราสามารถเลือกไปได้แค่ 2 โซนใกล้กัน เช่น โซน 2-3, โซน 3-4 และ โซน 4-5 ราคาเริ่มต้นที่ 19.85 ยูโร แต่มีข้อจำกัดว่ารอบการใช้งานสำหรับบัตรแบบรายสัปดาห์จะเริ่มเสาร์ และไปจบที่วันอาทิตย์ของสัปดาห์ถัดไป ใครที่เดินทางกลางสัปดาห์นี้แล้วคร่อมกับสัปดาห์หน้าก็ไม่แนะนะให้ใช้บัตรนี้ค่ะ แต่ถือว่าราคาคุ้มมากๆ ในส่วนการซื้อนั้นจะต้องติดรูปถ่ายที่เท่ากับรูปในพาสปอร์ตในบัตรด้วยค่ะ และมีค่าบัตร 5 ยูโร
จะเลือกใช้ตั๋วแบบไหนก็คิดคำนวณการใช้งานตามที่เราเดินทางจริงๆ นะคะ ส่วนทริปนี้ของเราเนื่องจากอยู่แต่ในเมืองปารีสเป็นหลักจึงใช้บัตรแบบ Carnet ค่ะ สามารถกดได้จากตู้กดอัตโนมัติในสถานีได้เลย มีภาษาอังกฤษบอก การใช้งานก็ไม่ยากเลยค่ะ
บัตรพาสที่ควรซื้อ
ปารีสขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งศิลปะและมีพิพิธภัณฑ์ให้เลือกชมมากมาย ซึ่งใครที่เป็นสายพิพิธภัณฑ์เราแนะนำให้ซื้อบัตรแบบพาสเข้าชมดีกว่า เพราะไปแค่ 4 ที่ก็คุ้มแล้วโดยพาสสำหรับเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่แนะนำมีดังนี้ค่ะ
1. Paris Museum Pass บัตรพาสเข้าชมพิพิธภัณฑ์กว่า 50 แห่ง มีให้เลือกแบบ 2 วัน 48 ยูโร, 4 วัน 62 ยูโร และ 6 วัน 74 ยูโร
2. Paris Passlib เป็นพาสที่รวม บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Paris Museum Pass และตั๋ว Paris Visite เอาไว้ โดยรวมล่องเรือ รถบัสทัวร์ชมเมือง Hop-on Hop-off โดยราคาจะมีให้เลือกดังนี้ Mini 40 ยูโร (ไม่รวม Paris Museum Pass แต่ใช้เข้าชมได้เพียงพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก), บัตร 2 วัน 109 ยูโร, บัตร 3 วัน 129 ยูโร และบัตร 5 วัน 155 ยูโร
**เพิ่มเงิน 20 ยูโรสามารถขึ้นหอไอเฟลแบบไม่ต่อคิวได้**
3. Paris City Pass บัตรที่รวมการเข้าชมพิพิธภัณฑ์กว่า 60 แห่ง + การเดินทาง + การล่องเรือ และทัวร์ต่างๆ มีให้เลือกแบบ 2 วัน 99.9 ยูโร, 3 วัน 119.9 ยูโร, 4 วัน 159.9 ยูโร, 5 วัน 179.9 ยูโร และ 6 วัน 199.9 ยูโร
**แต่สำหรับ 3 และ 5 วัน จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้แค่ 2 และ 4 วันเท่านั้น**
4. และพาสสุดท้ายคือ Paris Pass บัตรที่รวมทุกอย่างเอาไว้แล้ว คือบัตร Paris City Pass แต่เพิ่มรถบัสทัวร์ชมเมือง Hop-on Hop-off, ชมวิวจากยอดตึก Montparnasse มีให้เลือกทั้งแบบ 2 วัน 131 ยูโร, 3 วัน 165 ยูโร, 4 วัน 196 ยูโร และ 6 วัน 244 ยูโร
ใครที่ชอบแบบไหนก็ลองคำนวณและเลือกพาสให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ความชอบได้เลยค่ะ
หอไอเฟล (Tour Eiffel)
สัญลักษณ์ของเมืองปารีสและประเทศฝรั่งเศสสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1899 เพื่อใช้เป็นประตูทางเข้างาน Exposition Universelle เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี การปฏิวัติฝรั่งเศส โดยมีความสูง 324 เมตร แบ่งเป็น 3 ชั้นค่ะ ซึ่งแต่ละชั้นจะมีบันไดและลิฟต์ในการขึ้นหอไอเฟล ราคาค่าขึ้นไปชมก็จะแตกต่างกันไปอีก ตามนี้ค่ะ
- บัตร 2nd floor By Stairs สามารถขึ้นไปชมชั้น 1 และชั้น 2 โดยบันได ราคา 10.2 ยูโร
- บัตร 2nd floor By Lift สามารถขึ้นไปชมชั้น 1 และชั้น 2 โดยลิฟต์ ราคา 16.3 ยูโร
- บัตร The Top By Stairs & Lift สามารถขึ้นไปชมทุกชั้นโดยขึ้นบันได้ถึงชั้น 2 แล้วต่อลิฟด์ไปชั้น 3 ราคา 19.4 ยูโร
- บัตร The Top By Lift สามารถขึ้นไปชมทุกชั้นโดยลิฟต์ ราคา 25.2 ยูโร
ด้านหลังหอไอเฟลคือสวน Champ de Mars เป็นจุดที่สามารถมาถ่ายรูปหอไอเฟลแบบเต็มๆ ได้สวยงามมากๆ ค่ะ และสวนแห่งนี้ยังมีชาวปารีเซียงทั้งหลายมานั่งชิล อาบแดด ดื่มเบียร์ชื่นชมหอปารีสกันชิลมากๆ โดยจะมีเหล่าพ่อค้าที่ถือลังใส่เบียร์มาขายให้กับนักท่องเที่ยวใครอยากซื้อก็ซื้อดื่มได้เลยค่ะ
มุมปารีสเวลากลางคืนจากอาคาร Palais de Chaillot ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามค่ะ เป็นมุมมหาชนที่จะมีคนมาถ่ายรูปหอไอเฟลจากมุมสูงพร้อมชมวิวเมืองปารีสไปด้วย
วิวปารีสทั้งเมืองจากบนหอไอเฟลสวยงามประทับใจมากๆ
สิ่งที่ต้องระวัง : บริเวณปารีสนี้จะมีแก๊งค์ที่เราเรียกว่าแก๊งค์ผูกข้อมือ จะเดินถือเชือกมาแล้วจะผูกข้อมือพร้อมเรียกเงินจากเรา ถ้าใครไม่อยากโดนจ่ายเงินก็พยายามเดินเลี่ยง ปฏิเสธ หรือเก็บข้อมือโดยการล้วงกระเป๋าและเดินให้ไวค่ะ ส่วนบนหอไอเฟลเนื่องจากมีคนขึ้นไปชมเยอะให้ระวังกระเป๋าเงินเราให้ดีค่ะ เพราะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เคยโดนกรีดกระเป๋าบนหอไอเฟลมาแล้ว
การเดินทาง :
นั่งรถไฟใต้ดินสาย 6 ไปลงสถานี Bir-Hakeim หรือสถานี Trocadero / นั่งรถไฟสาย 9 ไปลงสถานี Trocadero
นั่งรถไฟ RER สาย C ไปลง Champ de Mars-Tour Eiffel
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre)
พิพิธภัณฑ์ในฝันของใครหลายคนที่หวังว่าสักวันจะได้มายืนจ้องตาโมนาลิซา ภาพวาดสีน้ำมันจากศิลปินชื่อก้องโลก เลโอนาร์โด ดา วินชี ให้ได้สักครั้ง แนะนำว่าการมาลูฟวร์ควรมาเช้าๆ ก่อน 9 โมงค่ะ เพราะพิพิธภัณฑ์เปิด 9 โมง ถ้ามาสายคนจะเยอะมาก หรือถ้าไม่อยากต่อคิวเข้าก็ซื้อออนไลน์โดยราคาจะแพงกว่ามาซื้อบัตรด้านหน้า
ใครจะมาลูฟร์ควรให้เวลาที่นี่ไปเลยครึ่ง - หนึ่งวันเต็ม เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่มาก สามารถเดินหลงได้ง่ายๆ เลยค่ะ อย่างที่เราไปเดินหาภาพวาดโมนาลิซากันจนขาลากกันเลย ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องมีแผนที่หรือศึกษาการเดินชมพิพิธภัณฑ์มาจากเว็บไซต์เลยค่ะ อยากจะชมตรงไหนจะได้ไฮไลท์และมุ่งตรงไปชมได้
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ดีไซน์เป็นรูปตัว U แบ่งเป็น 3 อาคารหลักคือ คือ อาคาร Denon อาคารนี้จะรวมจุดไฮไลท์เช่นภาพวาดโมนาลิซ่าเอาไว้ อาคารต่อไปคืออาคาร Richelieu เป็นอาหารที่รวมงานแกะสลักหินอ่อนและห้องพักของนโปเลียนที่ 3 และอาคาร Sully ใครชื่นชอบศิลปะจากอียิปต์ต้องมาอาคารนี้เลย
ส่วนเราพอเข้ามาก็มุ่งตรงไปยังอาคาร Denon เลยค่ะเพื่อตามหาโมนาลิซ่าเดินกันจนขาลากและหลงกันเป็นว่าเล่นเลย ก่อนจะไปเจอโมนาลิซาได้ชื่นชมกับ Winged Victory of Samothrace รูปปั้นเทพีกรีกโบราณที่มีอายุกว่า 2 พันปี เป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ที่มีผู้คนมาชมมากมาย
จาก Winged Victory of Samothrace จะมีปีกอาคารขนาดยาวจัดแสดงงานศิลปะภาพเขียนระดับโลกมากมาย ซึ่งที่นี่เป็นที่ตั้งของโมนาลิซาที่เราตามหา แต่!!!! เราเข้าไปได้แค่นี้ค่ะ เพราะแถวที่เข้าไปถ่ายรูปกับโมนาลิซายาวมากกกกก และแต่ละคนมีเวลาให้ถ่ายรูปกับโมนาลิซานิดเดียวเราเลยขอยืนชื่นชมเธอจากไกลๆ ยิ้มน้อยๆ นั้นก็ทำให้เราหายเหนื่อยจากการเดินหลงในพิพิธภัณฑ์แล้วล่ะค่ะ
บริเวณหน้าลูฟวร์ยังมีประตูชัย Arc de Triomphe du Carrousel หรือที่เราเรียกว่าประตูชัยน้อยให้เราได้ซ้อมแชะภาพก่อนที่จะไปเจอประตูชัยจริงๆ
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 1 และ 7 ลงสถานี Palais-Royal Musee du Louvre
ค่าเข้าชม :
15 ยูโร จองออนไลน์ 17 ยูโร สามารถใช้บัตร Paris Museum หรือ Paris Pass เข้าชมได้
เปิดบริการ : 9.00-18.00 น. วันพุธและวันศุกร์เปิดถึง 21.45 น. ปิดวันอังคาร
ประตูชัย (Arc de triomphe de l'Etoile)
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาดเมื่อมาปารีสคือมาถ่ายรูปกับประตูชัยหรือชื่อเต็มๆ ว่า Arc de triomphe de l'Etoile ซึ่งผู้สร้างประตูชัยแห่งนี้คือนโปเลียน เพื่อประกาศชัยชนะจากสงคราม Battle of Austerlitz โดยสร้างเสร็จในปี 1836 ใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 30 ปี ซึ่งทำเลที่ตั้งของประตูชัยจะอยู่บนวงเวียนที่มีถนนมาบรรจบกันถึง 12 สาย ถ้ามองจากมุมด้านบนก็จะเห็นภาพผังเมืองปารีสที่ถูกวางเอาไว้สวยงามมากๆ ที่ชั้นบนสุดของประตูชัยสามารถเดินบันไดวน 284 ขั้นขึ้นไปได้นะคะ ส่วนเราขอยืนชื่นชมอยู่ด้านล่างแล้วกันค่ะ ข้อเข่าไม่ค่อยดี 555
การเดินทาง
- นั่งรถไฟใต้ดินสาย 1,2, และ 6 มาลงสถานี Charles de Gaulle - Etoile
- นั่งรถไฟ RER สาย A มาลงสถานี Charles de Gaulle-Etoile
ค่าเข้าชมด้านบน
12 ยูโร สามารถใช้บัตร Paris Museum หรือ Paris Pass เข้าชมได้
ช็องเซลีเซ (Avenue des Champs-Élysées)
สายแฟรีบมาทางนี้เลยค่ะ เพราะเราจะพาไปช้อปบนถนนสายช้อปปิ้งระดับโลก ช็องเซลีเซ (Avenue des Champs-Élysées) ซึ่งอยู่ติดประตูชัยกันเลย ใครอยากได้สินค้าแบรนด์เนมระดับไหนตั้งแต่ระดับต้น กลาง ไปจนถึงไฮเอ็นด์หรูหรา บนถนนเส้นนี้ก็มีให้คุณเลือกช้อป แถมคอลเล็กชั่นใหม่กว่าใครในราคาถูกกว่าที่ประเทศไทยด้วยนะ
ช็องเซลีเซ มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตรค่ะ เริ่มตั้งแต่ประตูชัยไปจนถึงจตุรัส Place de La Cocorde มีให้เลือกช้อปทั้งสองฝั่ง ถ้าเหนื่อยก็มีร้านคาเฟ่ให้นั่งจิบกาแฟชมบรรยากาศผู้คนที่เดินผ่านไปมาด้วย สวยแฟตัวจริงปักหมุดที่นี่เอาไว้เลย
มหาวิหารซาเคร-เกอร์ ( Sacre - Coeur)
ที่ต่อมาเราจะพาไปชมความสวยงามของมหาวิหารซาเคร-เกอร์ ( Sacre - Coeur) มหาวิหารสีขาวที่ตั้งอยู่บนเนินเขาในย่านมงมาร์ท สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระคริสต์ ตัวโดมทำเป็นวงรีสีขาว 3 อันเรียงกัน ซึ่งการขึ้นไปชมสามารถเดินบันไดไต่เนินเขามงมาร์ทเล็กๆ ขึ้นไปได้ (แต่ก็แอบเหนื่อยเหมือนกัน) หรือจะขึ้นรถรางไปได้ค่ะโดยค่ารถรางสามารถใช้ตั๋ว t+ticket จ่ายได้ ด้านในเข้าชมฟรีแต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ด้านบนมหาวิหารยังมีถนน Rue du Chevalier de la Barre ซึ่งเป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟให้เลือกนั่งมากมายเลยล่ะค่ะ
จากด้านบนมหาวิหารมีวิวมุมสูงให้เราได้ชมเมืองปารีส และสำหรับสายช้อปเดินลงเขาตรงจุดนี้ไปจะเจอกับถนน Rue de Steinkerque เป็นถนนขายของฝากสุดน่ารัก ใครอยากได้โปสการ์ดสวยๆ ภาพเขียนศิลปะ พวงกุญแจ กระเป๋าผ้าก็มาเลือกช้อปย่านนี้ได้เลยค่ะ ไม่แพงด้วย
สิ่งที่ต้องระวัง : บนมหาวิหารซาเคร-เกอร์จะมีแก๊งค์ผูกข้อมือมายืนเยอะมากๆ ค่ะ พยายามเดินให้ไวเลยนะคะ และทางมหาวิหารจะมีคนรอยืนต่อแถวเข้าชมมากมายระวังกระเป๋าตัวเองกันด้วยนะคะ
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินสาย 2 ไปลงสถานี Anvers
มหาวิหารนอเทรอดาม(Cathédrale Notre-Dame de Paris)
ความฝันของเราในการมาเยือนปารีสคือมาชมความสวยงามของมหาวิหารนอเทรอดาม(Cathédrale Notre-Dame de Paris) ที่เขาว่าสวยงามมากๆ อายุของมหาวิหารประมาณ 850 ปี ตั้งอยู่ในเกาะน้อย(Île de la Cité) แต่ด้วยเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อเมษายน 2562 ทำให้ที่นี่ได้รับความเสียหายเป็นอย่างหนัก วันนี้แม้เราจะไม่ได้มาพบมหาวิหารที่สมบูรณ์แต่ความสวยงามก็ไม่ลดเลยค่ะ โดยมีแพลนจะซ่อมแซมที่นี่ภายในเวลา 5 ปีเราสัญญาว่าสักวันหนึ่งจะได้มาชื่นชมวันที่มหาวิหารเสร็จสมบูรณ์ให้ได้แน่นอน
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินสาย 4 ไปลงสถานี Cite หรือ Saint-Michel
วิหาร Saint - Chapelle
อีกหนึ่งวิหารในเกาะน้อยที่สวยงามมากๆ ค่ะ โดยได้ชื่อว่าเป็นวิหารแห่งแสงสว่าง ภายในมีกระจกแก้วที่สวยงามมากๆ โดยคนสร้างวิหารแห่งนี้คือพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 หรือที่เรียกกันว่านักบุญเซ็นต์หลุยส์ ใครที่อกหักจาก มหาวิหารนอเทรอดาม ก็มาชมความสวยงามของวิหารแห่งนี้ได้
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 4 ลงสถานี Cite
สะพาน Pont Neuf
สะพานสวยที่ทอดยาวข้ามเกาะน้อยและเป็นสะพานที่อายุมากที่สุดในฝรั่งเศสเป็นจุดชมวิวเกาะน้อยและแม่น้ำแซนที่สวยงามมากๆ เป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องห้ามพลาดสำหรับสายถ่ายรูปค่ะ
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Pont Neuf
จากเกาะน้อยแนะนำว่าเดินเลียบแม่น้ำแซนมาเรื่อยๆ จะมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมากๆ ค่ะ ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ดอกใบ้กำลังเปลี่ยนสีสวยงามมากๆ
ภาพเขียนที่เราจะเห็นอยู่ตามรายทาง ราคาไม่แพงด้วยนะ
หรือใครที่อยากมามองฝรั่งเศสในมุมมองใหม่แนะนำให้ลองล่องเรือชมแม่น้ำแซนกัน เราจะได้ชมสถาปัตยกรรมที่สวยงามริมฝั่งแม่น้ำ เป็นสิ่งที่จะประทับใจไม่รู้ลืม
พระราชวังแวร์ซาย (Chateau de Versailles)
ที่สุดท้ายที่เราจะพาไปชมนั่นก็คือ พระราชวังแวร์ซาย (Chateau de Versailles) พระราชวังสุดหรูหรา สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 4 มีห้องถึง 2,300 ห้อง พร้อมกันนั้นยังมีสวนสวย The Gardens ที่เป็นไฮไลท์ห้ามพลาดในการชมพระราชวังแห่งนี้
ภายในยิ่งใหญ่อลังการมากๆ มีภาพเขียนบนเพดานที่วิจิตรงดงาม เราได้ชมห้องนอนของพระเจ้าหลุยส์ ห้องนอนของพระราชินี ที่สะท้อนถึงความรุ่มรวยและเรืองอำนาจของฝรั่งเศสในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี และห้องนี้คือห้อง Hall of Mirrors ห้องโถงที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้า ต้องแสงระยิบระยับ สวยงามจับตามากๆ ค่ะ
ด้านนอกมีสวน The Gardens สวนที่อยู่บริเวณด้านหลังพระราชวัง ที่ออกแบบด้วยทรงเรขาคณิตสวยงามมากๆ พร้อมน้ำพุที่จะมีการจัดแสดงโชว์เป็นรอบๆ ในเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟ RER สาย C ไปลงสถานี Versailles Chateau Rive Gauche
ค่าเข้าชม : สามารถเลือกชมเป็นส่วนๆ ได้ แนะนำซื้อแบบพาสปอร์ตราคา 20 ยูโร โดยซื้ออนไลน์สามารถเข้าชมได้ทุกส่วนและไม่ต้องต่อคิวเข้าชมด้วยจ้า
เราไปปารีสด้วยการแบกความกลัว ความระแวงไป แต่ในความเป็นจริง ปารีสไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยความโรแมนติกและเสน่ห์มากมาย แค่มานั่งมองวิวริมแม่น้ำแซนแล้วมองสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่เดินผ่านกาลเวลามาตั้งแต่อดีต ก็ทำให้เราหลงรักเมืองนี้เข้าอย่างเต็มเปา การเที่ยวปารีสครั้งแรกครั้งนี้ทำให้เราอินเลิฟเป็นที่สุด
Tags: ฝรั่งเศส เที่ยวต่างแดน ปารีส เที่ยวปารีส เที่ยวฝรั่งเศส การเดินทางในปารีส การเดินทางในฝรั่งเศส รถไฟใต้ดินปารีส รถไฟใต้ดินฝรั่งเศส ที่พักปารีส ที่พักฝรั่งเศส dtacGO ดีแทค dtac ดีแคทโก หอไอเฟล Tour Eiffel พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ Musée du Louvre ประตูชัย Arc de triomphe de l'Etoile ช็องเซลีเซ Avenue des Champs-Élysées มหาวิหารซาเคร-เกอร์ Sacre - Coeur มหาวิหารนอเทรอดาม Cathédrale Notre-Dame de Paris วิหาร Saint - Chapelle สะพาน Pont Neuf พระราชวังแวร์ซาย Chateau de Versailles เที่ยวปารีสด้วยตัวเอง เที่ยวฝรั่งเศสด้วยตัวเอง paris france
เที่ยวต่างประเทศ | 21 พ.ย. 2024 | 2,134 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 12 พ.ย. 2024 | 955 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 26 ต.ค. 2024 | 1,092 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 1,400 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 1,583 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 24 ก.ย. 2024 | 1,819 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ย. 2024 | 2,555 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 30 ก.ค. 2024 | 3,507 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 19 ก.ค. 2024 | 6,791 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 4,403 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 1,156 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 18 เม.ย. 2024 | 4,396 อ่าน