calendar_month 03 พ.ย. 2019 / stylus Admin Chillpainai / visibility 13,217 / สถานที่ยอดนิยม
หากคุณกำลังมองหาเมืองท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางทั่วโลก เมืองที่เป็นทั้งมรดกโลกและยังรวมสถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์คสุดอลังการ รวมทั้งสถาปัตยกรรมที่งดงามและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีเสน่ห์ไว้ในที่เดียวแบบ 3 in 1 เราอยากจะชวนคุณแพ็คกระเป๋าออกเดินทางไปเยือน 2 เมืองนี้ “พระนครศรีอยุธยา-เกียวโต” เมืองคู่แฝดสองประเทศสุดสโลว์ไลฟ์ ที่จะทำให้คุณประทับใจทั้งเสน่ห์ความงดงามแบบไทยและประวัติศาสตร์นับพันปีแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย ณ กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่า พระนครศรีอยุธยา-เกียวโต คือเมืองคู่แฝดของประเทศไทยและญี่ปุ่น นอกจากจะเป็นอดีตเมืองหลวงเก่าแก่ของทั้งสองประเทศแล้ว ทั้งสองเมืองยังเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ผสมผสานเสน่ห์ระหว่างความเก่าและยุคสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่งดงาม ท่ามกลางร้านอาหาร ที่พัก และคาเฟ่เก๋ๆ ที่รอต้อนรับนักท่องเที่ยวมาเช็คอินไม่ขาดสาย ทริปนี้เราเลยจับคู่เที่ยว “พระนครศรีอยุธยา-เกียวโต” เมืองคู่แฝดสุดคลาสสิคระดับโลก มาให้ทุกคนได้เที่ยวตามรอยในช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้กันค่ะ
ก่อนเริ่มออกเดินทางทั้งในและต่างประเทศ สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกทริป คือ #ประกันการเดินทาง ที่ตอนนี้เมืองไทยประกันภัย เขาจับมือกับ Shopee ย้ายการซื้อประกันการเดินทางมาไว้ในมือคุณเรียบร้อยแล้ว ซื้อง่าย คุณก็ซื้อได้ด้วยตัวเอง เท่านี้ก็เริ่มออกเดินทางด้วยความมั่นใจ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย
นอกจากจะเป็นเมืองแห่งโบราณสถานมรดกโลกแล้ว จังหวัดพระนครศรีอยุธยาของไทยยังมีที่เที่ยวไฮไลท์แจ่มๆ ทั้งจุดเช็คอิน กิน เที่ยวชิคๆ ชิลๆ อีกเพียบ! เราเลยจัดทริปขับรถเที่ยวอยุธยาแบบสั้นๆ 2 วัน 1 คืน ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้มาสัมผัสความยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้กันแล้ว
จากถนนสายเอเชีย เราปักหมุดจุดแรกกันที่ “วัดใหญ่ชัยมงคล” ตั้งอยู่นอกเกาะพระนครศรีอยุธยา จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือเจดีย์องค์ใหญ่ที่เชื่อกันว่าได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งภายในยังได้มีการค้นพบชัยมงคลคาถาบรรจุอยู่ เราไม่พลาดไปสักการะพระพุทธชัยมงคลในพระอุโบสถ ไหว้พระนอนที่วิหารพระพุทธไสยาสน์ จากนั้นขึ้นไปไหว้พระรอบๆ พระเจดีย์ชัยมงคล ปิดท้ายด้วยการสักการะศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเอาฤกษ์เอาชัยกันสักหน่อย
จุดหมายต่อไปที่เราไปเยือนคือ “วัดพนัญเชิงวรวิหาร” ที่อยู่ใกล้กันกับวัดใหญ่ชัยมงคลเพียงแค่ 1.5 กิโลเมตร เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี ต่อมาได้รับการยกฐานะให้เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดวรวิหาร โดดเด่นด้วยองค์พระไตรรัตนนายก ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เราไปตามรอยแม่การะเกดจากละครเรื่องบุพเพสันนิวาสกันต่อที่ “วัดมหาธาตุ” วัดนี้สร้างขึ้นสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สันนิษฐานว่าสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือกรุงละแวก โดยจำลองแบบมาจากปราสาทนครวัด มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมกันคึกคักแทบตลอดทั้งวัน
วัดมหาธาตุเป็นวัดโบราณที่สร้างมานานกว่า 600 ปี นับเป็นวัดที่มีความสำคัญอย่างมากในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมธาตุใจกลางพระนคร ปัจจุบันชาวต่างชาติและคนไทยนิยมมาชม Unseen สิ่งมหัศจรรย์อย่างเศียรพระโบราณที่ถูกรากไม้ขึ้นปกคลุม ซึ่งเป็นมุมที่ใครมาเยือนวัดแห่งนี้ต้องถ่ายรูปกันทุกคน
จากนั้นเราก็เดินทางไปยังวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดสำคัญซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยวัดพระศรีสรรเพชญ์นั้นเป็นอดีตวัดหลวงประจำพระราชวังโบราณ แม้จะผ่านกาลเวลามานานกว่า 500 ปี แต่ก็ได้รับการบูรณะให้เห็นร่องรอยของความงดงามยิ่งใหญ่ในอดีตกาล
ใกล้ๆ กันกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นที่ตั้งของ “วังช้างอยุธยา แล เพนียด” สถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาตินิยมแวะมาให้อาหาร เล่นกับน้องช้างแสนรู้ พร้อมยังมีบริการนั่งช้างเที่ยวชมโบราณสถานรอบๆ บริเวณใกล้เคียงอีกด้วย ใครไม่เคยขี่ช้างแนะนำให้ลองดูสักครั้ง บอกเลยว่าไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะน้องช้างที่นี่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี โดยมีควาญช้างคอยควบคุมดูแลอีกทีหนึ่งค่ะ
เที่ยวสนุก อิ่มบุญอิ่มใจกันแล้ว เราไปเช็คอินเข้าที่พักสวยเก๋ของเราคืนนี้อย่าง “Busaba Ayutthaya” ที่พักสีขาวสะอาดตาในดีไซน์โมเดิร์นที่มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างหลังคาจั่วแหลมสูงแบบเรือนไทยในสมัยอยุธยา แถมยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างวัดมหาธาตุอีกด้วย ใครมองหาที่พักอยุธยาตกแต่งสวยเก๋ เดินทางสะดวก แนะนำที่นี่เลยค่ะ
ตอนเย็นเราขับรถไปดินเนอร์กันที่ The Wine ร้านอาหารบรรยากาศดี ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในโครงการ The Grand Ayutthaya ที่นอกจากจะมีมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้กดชัตเตอร์กันรัวๆ จนเม็มโมรี่เกือบเต็มแล้ว ที่นี่เค้ายังมีบริการอาหารและเครื่องดื่มแสนอร่อยที่มีให้เลือกหลากหลายเมนูอีกด้วย
สำหรับเมนูแนะนำที่นี่ พลาดไม่ได้เลยกับ “กุ้งแม่น้ำเผา” กุ้งแม่น้ำไซส์บิ๊กที่ย่างจนมันเหลืองเยิ้ม ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย เนื้อกุ้งสดหวาน จะกินเปล่าๆ หรือกินกับน้ำจิ้มซีฟู้ด ก็ยิ่งอร่อยสุดๆ ไปเลยค่ะ
วันรุ่งขึ้นเราเช็คเอาท์ตอนสายๆ แล้วขับรถไปเที่ยวที่ “พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น เกริก ยุ้นพันธุ์” พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของเล่นมากมายทุกยุคทุกสมัย มาจัดแสดงไว้ให้เราเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กกันอีกครั้งหนึ่ง โดยจะเปิดให้เข้าชมทุกวันยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น. ค่าเข้าชมผู้ใหญ่คนละ 50 บาท เด็กคนละ 20 บาทเท่านั้น
ชั้นล่างมีส่วนนิทรรศการที่จัดแสดงของเล่นโบราณ อายุเก่าแก่ตั้งแต่ 50 -150 ปี ที่เจ้าของพิพิธภัณฑ์ซื้อเก็บสะสมจากทั่วโลก ทั้งประเทศไทย, ญี่ปุ่น, เยอรมนี, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, จีน, อเมริกา ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีร้านขายของเล่นและของที่ระลึกให้ซื้อกลับบ้านอีกด้วยค่ะ
มาถึงถิ่นต้นกำเนิดขนมไทยทั้งที เราไม่พลาดแวะไปกินขนมไทยกันที่ร้าน “บ้านข้าวหนม” คาเฟ่ขนมไทยสุดน่ารัก ที่เสิร์ฟเมนูขนมไทยแท้ๆ ต้นตำรับ ทั้งขนมชั้น, ขนมช่อม่วง, ตะโก้, ลูกตาลลอยแก้ว, ขนมใส่ไส้, ข้าวเหนียวสังขยา ฯลฯ รับรองว่าถูกใจคนที่ชอบทานขนมหวานแบบไทยๆ กันแน่นอน!
หากมีเวลาเหลือขากลับ แนะนำให้แวะเที่ยวกันต่อที่ “พระราชวังบางปะอิน” นั่งกระเช้าสลิงข้ามแม่น้ำชมวิวกันชิลๆ แค่ไม่กี่นาที เราก็จะได้สัมผัสความยิ่งใหญ่งดงามตระการตาของพระราชวังที่ได้ชื่อว่าสวยและโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย โดยพระราชวังบางปะอินเปิดให้เข้าชมทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ตั้งแต่เวลา 8.00 – 16.00 น. อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก นักเรียนและนักศึกษาในเครื่องแบบ 20 บาท ซึ่งเราคิดว่าราคานี้คุ้มค่ามากเพราะสามารถเดินเที่ยวชมวังได้ทั้งวันเลยค่ะ
สำหรับพระราชวังบางปะอิน แรกเริ่มเคยเป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โดยที่นี่นอกจากจะเป็นที่ประสูติของพระองค์แล้ว ยังเป็นที่ประทับแรมของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาอีกหลายพระองค์ หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระราชวังบางปะอินก็ถูกปล่อยทิ้งร้าง จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการบูรณะพระราชวังแห่งนี้ขึ้นใหม่อีกครั้ง ก่อนที่จะถึงยุคทองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงดำริให้บูรณะครั้งใหญ่ โดยสร้างพระที่นั่ง พระตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมากมายเพื่อใช้เป็นที่ประทับรับรองพระราชอาคันตุกะ และพระราชทานเลี้ยงในโอกาสต่าง ๆ
ตอนแรกที่เดินเข้ามาในบริเวณพระราชวังแห่งนี้ เรารู้สึกเหมือนกับว่าได้ไปเที่ยวพระราชวังในยุโรปซะอีก ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมีโอกาสได้ชมสถาปัตยกรรมที่งดงามแบบนี้โดยไม่ต้องนั่งเครื่องบินไปไกลถึงต่างประเทศ แค่ขับรถมาเที่ยวใกล้ๆ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยานี่เองค่ะ เรียกว่าทริปนี้เราทั้งอิ่มตา อิ่มใจ แถมยังอิ่มบุญ ได้ชมทั้งพระราชวังและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เป็นโบราณสถานมรดกโลก แถมยังได้กินของอร่อยขึ้นชื่อของเมืองอยุธยาแบบอิ่มอร่อยและสนุกครบรส ใครวางแผนเที่ยวใกล้ๆ ในเมืองไทย บอกเลยว่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาตอบโจทย์ลงตัวและได้ความประทับใจกลับไปแน่นอนค่ะ
จากอยุธยา เราวาร์ปมาเที่ยวกันต่อที่ “เกียวโต” อดีตเมืองหลวงโบราณของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีอายุเก่าแก่มากกว่า 1,200 ปี ปัจจุบันนี้ที่นี่ยังเป็นเมืองหลวงเก่าที่มีชีวิต ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยือน โดยเมืองเกียวโตถูกจัดอันดับให้อยู่ในลิสต์ Top 10 ในอันดับที่ 8 ของเมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดประจำปี 2019 จาก TRAVEL+LEISURE นิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังของอเมริกา สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์คในเกียวโตนั้น มีอยู่มากมายหลายแห่งด้วยกัน เราได้คัดสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์เด่นๆ มาให้ทุกคนได้ไปตามรอยกันง่ายๆ บอกเลยว่าแต่ละที่สวยงามชนิดห้ามพลาดเลยจริงๆ
เริ่มด้วยแลนด์มาร์คของเกียวโตอย่าง “วัดคิงคะคุจิ” (Kinkakuji Temple) หรือที่เรียกกันว่าวัดทอง อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่หากใครมาเที่ยวเกียวโตต้องไม่พลาดมาเยือน ถ้าใครเคยดูการ์ตูนอิคคิวซังอาจจะคุ้นๆ กับวัดแห่งนี้ เพราะที่นี่คือต้นแบบของปราสาทโชกุนในการ์ตูนนั่นเอง ซึ่งในอดีตวัดแห่งนี้ก็เคยเป็นที่พักอาศัยหลังเกษียณของโชกุนอะชิคางะ โยชิมิทซึ จริงๆ แต่หลังจากที่ท่านเสียชีวิตไป ที่นี่ก็ได้กลายเป็นวัดพุทธนิกายเซนจนกระทั่งปัจจุบัน
ห่างจากวัดคิงคะคุจิออกไปทางทิศตะวันตกของเมืองเกียวโต เป็นที่ตั้งของย่าน “อาราชิยาม่า” สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่ยุคสมัยเฮอันของญี่ปุ่น โดยในช่วงฤดูใบไม้ร่วงต้นไม้ทั่วผืนป่าจะค่อยๆ ทยอยเปลี่ยนสีสันหลายเฉด ทั้งเขียว เหลือง ส้ม แดง และน้ำตาล สลับไล่เรียงกันไปทั่วทั้งหุบเขา นักท่องเที่ยวนิยมมาล่องเรือในแม่น้ำโฮซูกาวะ (Hozugawa River) เพื่อชมความงามในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
หากใครไม่ได้ล่องเรือ ก็สามารถไปเดินเที่ยวชมป่าไผ่ซากาโนะที่อยู่ใกล้ๆ กัน ใครมาเกียวโตแล้วไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ ถือว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว ตลอดทางเดินจะมีต้นไผ่ขึ้นอยู่สองข้างทาง บรรยากาศร่มรื่นสวยงามมาก โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคมจะมีการประดับโคมตามทางเดินของป่าไผ่ตลอดทางในยามค่ำคืนสวยงามมากๆ ที่สำคัญ เข้าฟรีไม่เสียค่าเข้าชมด้วยล่ะ ดีงามมากๆ โดยทางเข้าป่าไผ่จะอยู่ใกล้กับวัดเทนริว หรือถ้านั่งรถเมล์ก็นั่งสาย 28 จากสถานีเกียวโตแล้วลงป้าย Arashiyama Tenryuji Mae ได้เลยค่ะ
มาต่อกันที่ “วัดคิโยมิสึเดระ” หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “วัดน้ำใส” เป็นหนึ่งในวัดที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีศักราช 780 บนเนินเขาเขียวชอุ่มทางทิศตะวันออกของเกียวโตและยังตั้งอยู่ใกล้กับน้ำตกโอโตวะ จึงได้ชื่อวัดมาจากแหล่งน้ำบริสุทธิ์แห่งนี้นั่นเอง นอกจากจะมีชื่อเสียงจากการได้รับขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานมรดกโลกจากยูเนสโกแล้ว ในฤดูใบไม้ร่วงที่วัดยังมีใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามมาก ในตอนกลางคืนทางวัดยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยมีการจัดแสง Light up ที่ช่วยขับความงดงามของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีสันอย่างน่าประทับใจและสวยงามไปอีกแบบแตกต่างจากตอนกลางวัน
อีกหนึ่งจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในเกียวโต ต้องยกให้ที่นี่ “วัดโทฟุคุจิ” (Tofukuji Temple) วัดเซนที่ใหญ่ที่สุดในย่านตะวันออกเฉียงใต้ของเกียวโต โดยไฮไลท์ของที่นี่คือระเบียงไม้ที่เราสามารถยืนชมทะเลใบไม้เปลี่ยนสีที่ไล่เฉดอยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวต่างพากันต่อคิวเพื่อถ่ายรูปกันแถวยาวเหยียด ใครไม่อยากเบียดเสียดหรือโดนบังวิว แนะนำให้มาตั้งแต่ช่วงเช้าที่วัดเพิ่งเปิด ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีในเดือนพ.ย.- ต้นเดือนธันวาคม ทางวัดจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 8.30-16.30 น.
นอกจากบริเวณระเบียงแล้ว ภายในวัดยังมีต้นเมเปิ้ลหลากหลายพันธุ์ที่จะพร้อมใจกันเปลี่ยนสีสันเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใครอยากไปถ่ายรูปใบไม้แดงสวยๆ แนะนำให้หาข้อมูลพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสีที่จะอัพเดทจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีแต่ละแห่งในเกียวโตแบบเรียลไทม์ เพราะแต่ละปีใบไม้จะเปลี่ยนสีพีคที่สุดในช่วงเวลาแตกต่างกันไป
และถ้าหากใครมาเที่ยวเกียวโตในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีสัน ต้องไม่พลาดไปชมใบไม้แดงที่ “วัดเออิคันโดะ” หรือชื่อเป็นทางการว่าวัดเซนรินจิ (Zenrinji Temple) เป็นวัดพุทธนิกายโยโด ตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองเกียวโต แม้จะเป็นวัดเล็กๆ แต่ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีไม่แพ้ที่ไหนเลยค่ะ
สำหรับใครที่อยากมาชมใบไม้แดงที่วัดเออิคันโดะสามารถนั่งรถเมล์สาย 5 ไปลงป้าย Nanzenji-Eikando-michi ซึ่งปกติทางวัดจะเปิดให้เข้าเที่ยวชมทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น. ค่าเข้าชม 600 เยน แต่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ตั้งแต่เดือน พ.ย.- ต้นเดือนธันวาคม ตอนกลางวัน ค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 1,000 เยน และยังมีการจัดแสง illumination ตอนกลางคืน ช่วงเวลาตั้งแต่ 17.30-21.00 น. ค่าเข้าชม 600 เยน และภายในวัดยังร้านชาเขียวและขนมหวานญี่ปุ่น ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักจิบชาชมใบไม้เปลี่ยนสีในสวนสไตล์ญี่ปุ่นแบบชิลๆ กันอีกด้วย
ตัววัดแห่งนี้สร้างเป็นอาคารไม้ มีทางเดินพร้อมสวนหินเซนให้นั่งชมและไขปริศนาแห่งธรรม เหมาะจะไปนั่งชมความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี พร้อมหลบความวุ่นวายจากนักท่องเที่ยวไปชื่นชมความงามของธรรมชาติและสวนหินสไตล์เซนที่งดงาม
นอกจากไฮไลท์อย่างใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว รอบๆ บริเวณวัดยังมีสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่งดงามอีกหลายจุด อาทิ บ่อน้ำโฮโจที่ล้อมรอบไปด้วยสวนสไตล์ญี่ปุ่น สะพานหิน และศาลาแบบญี่ปุ่น และหากใครฟิตแนะนำให้เดินไปชมเจดีย์ตะโฮโตะ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสามารถชมวิวของเมืองเกียวโตได้อีกด้วย
อีกเรื่องที่เรามองว่าเป็นเสน่ห์ที่น่ารัก คือนักท่องเที่ยวยังสามารถเช่าชุดกิโมโน หรือชุดยูกาตะเพื่อใส่เดินเที่ยว ถ่ายรูปเล่นในกรุงเกียวโตได้ โดยทางร้านจะมีบริการแต่งหน้าและทำผมให้ด้วย เหมาะสำหรับใครที่อยากแปลงตัวเป็นสาวญี่ปุ่น แต่งชุดให้เข้ากับสถานที่และบรรยากาศ นอกจากถ่ายรูปออกมาสวยแล้ว ยังเป็นการแต่งกายที่กลมกลืนเข้ากับเมืองหลวงเก่าอย่างกรุงเกียวโตอีกด้วย
ปิดท้ายด้วยศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) หรือ “ศาลจิ้งจอก” เป็นศาลเจ้าชินโตที่สำคัญทางตอนใต้ของเกียวโต สร้างขึ้นเพื่อบูชา “อินาริ” ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งข้าวตามความเชื่อของชินโต โดยมีสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้าอินาริ จึงเป็นเหตุให้มีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกจำนวนมากทั่วบริเวณศาลเจ้า
เอกลักษณ์อีกอย่างของศาลเจ้าแห่งนี้ คือเสาโทริอิสีส้มนับพันต้นให้นักท่องเที่ยวได้เดินเที่ยวชมพร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก โดยเสาโทริอิทั้งหมดจะเรียงรายไปตลอดเส้นทางความยาวกว่า 233 เมตร ที่นำไปสู่ภูเขาอินาริอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ด้านบน ใครอยากมาเที่ยวที่นี่แนะนำให้ฟิตร่างกายและสวมรองเท้าที่เหมาะกับการเดินขึ้นบันไดไต่เขา ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริเปิดให้เข้าชมตลอดเวลา ไม่มีวันปิด ที่สำคัญคือยังเปิดให้เข้าชมฟรีอีกด้วย
ไฮไลท์ที่มีชื่อเสียงอีกอย่างของกรุงเกียวโต คือย่านกิออง (Gion) ย่านเกอิชาที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกียวโต ย่านนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารและโรงน้ำชาแบบโบราณหรือโอชายะ โดยเหล่านักท่องเที่ยวต่างมาเฝ้ารอชม “เกอิชา” และไมโกะ (เกอิชาฝึกหัด) ที่จะแต่งชุดกิโมโนเต็มยศเดินออกมาทำงานในตอนพลบค่ำ แต่เราไม่ควรไปรุมล้อมถ่ายรูปหรือวิ่งตามเกอิชาเหล่านั้น ซึ่งล่าสุดมีข่าวว่าทางประเทศญี่ปุ่นได้ออกกฎห้ามถ่ายรูปในย่านกิออง เพื่อป้องกันความวุ่นวายและละเมิดสิทธิของทั้งเกอิชารวมทั้งผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านกิออง ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีเพราะบางทีนักท่องเที่ยวบางคนก็อาจละเมิดกฎจนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน ฉะนั้น หากคุณมีโอกาสไปเที่ยวเกียวโตควรปฏิบัติตามกฎท้องถิ่นกันด้วยนะ ไม่แน่ว่าอาจโชคดีได้เจอเกอิชาเดินออกไปทำงานในย่านกิอองบ้างก็ได้
นอกจากนี้ เกียวโตยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์สวยงามอีกมากมาย บอกเลยว่าหากอยากจะเก็บให้ครบทุกที่ ต้องใช้เวลาหลายวันกันเลยทีเดียว และหากใครอยากเก็บกระเป๋าออกเดินทางไปท่องเที่ยว สัมผัสเสน่ห์ของเมืองคู่แฝดมรดกโลกอย่างพระนครศรีอยุธยา-เกียวโต อย่ารอช้า...เพราะช่วงไฮซีซั่นปลายปีแบบนี้บอกเลยว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะไปเที่ยวพักผ่อนสุดๆ ทั้งอากาศกำลังดี มีใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ ให้ชม แถมยังมีวันหยุดยาวอีกต่างหาก
ไม่ว่าคุณจะเป็นสายเที่ยวชิลๆ หรือนักเดินทางตัวจริง สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้การวางแผนท่องเที่ยว คือการวางแผนเรื่องความปลอดภัยอย่างประกันอุบัติเหตุและประกันการเดินทางที่จะลืมไม่ได้เป็นอันขาด ฉะนั้น เราจึงไม่ควรประมาทต้องซื้อประกันให้ครอบคลุมอุบัติเหตุในการเดินทางที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็นทริปสั้นๆ เที่ยวใกล้ๆ ในประเทศ หรือทริปยาวๆ เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศก็ยิ่งควรต้องมีไว้ และถ้าใครไม่อยากซื้อผ่านโบรคเกอร์ขายประกันล่ะก็ รู้ไหมว่าตอนนี้เราสามารถซื้อประกันผ่านแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของเมืองไทยอย่าง Shopee ได้แล้วนะ! มีให้เลือกแบบครบๆ ทั้งประกันภัยอุบัติเหตุสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก และประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ โดยทาง Shopee จับมือร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำอย่าง "เมืองไทยประกันภัย" เอาใจสายช็อปที่รักการท่องเที่ยวเดินทางให้เราสามารถเลือกช้อปประกันภัยออนไลน์ผ่านแอพ Shopee กันได้แบบชิลๆ เป็นครั้งแรกในเมืองไทย
สำหรับวิธีซื้อก็ง่ายมากๆ เลยค่ะ แค่โหลดแอพฯ Shopee แล้วเข้าไปเลือกซื้อประกันภัยที่ร้านค้าออฟฟิเชียลของเมืองไทยประกันภัย พร้อมศึกษาแผนประกันที่เหมาะกับทริปของคุณที่สุด อยากได้ประกันแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ T.A. (เมืองไทย Happy Trip) เหมาะสำหรับคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศกับเบี้ยประกันสุดคุ้มเริ่มต้นเพียง 165 บาท คุ้มครองตลอดทริป ด้วยทุนประกันภัยสูงสุด 5 ล้านบาท ที่สำคัญคือ เราไม่ต้องสำรองจ่าย กรณีเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล และยังคุ้มครองการชดเชยรายได้ระหว่างรักษาในโรงพยาบาล พร้อมอุ่นใจด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง แม้อยู่ต่างแดนด้วยวงเงินสูงถึง 30 ล้านบาท คุ้มครองทั้งทรัพย์สินส่วนตัว กระเป๋าเดินทาง การพลาดเที่ยวบิน หรือเที่ยวบินล่าช้า หรือกลับถึงไทยแล้วไม่สบาย ก็ยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลต่อเนื่องในประเทศไทย รวมถึงกรณียื่นวีซ่าไม่ผ่านทางเมืองไทยประกันภัยเค้ายังใจป้ำคืนเงินให้ 100% เลยค่ะ
เพิ่มความมั่นใจให้คุณท่องเที่ยวในประเทศได้ไม่มีสะดุดกับประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล P.A. (เมืองไทย Your Happy) รับประกันตั้งแต่อายุ 16 – 65 ปี ให้ความคุ้มครองสูงสุด 2 ล้านบาท คุ้มครองทุกที่ ทุกเวลา พร้อมรับเงินชดเชยรายได้กรณีรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล และค่ารักษาพยาบาล คุ้มครองสูงสุดครั้งละ 50,000 บาท รวมถึงไม่ต้องสำรองจ่ายกับโรงพยาบาลคู่สัญญาของบริษัทฯ กว่า 345 แห่งทั่วประเทศ ส่วนครอบครัวไหนวางแผนไปเที่ยวพร้อมกับเด็กๆ แนะนำ ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล P.A. (เมืองไทย HAPPY Kids) ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลสำหรับเด็กๆ ตั้งแต่อายุ 1 เดือน – 15 ปี เบี้ยประกันภัยเริ่มต้น 1,500 บาท ทุนประกันภัยสูงสุด 1 ล้านบาท คุ้มครองทุกที่ ทุกเวลา ที่สำคัญคือเหมาะกับน้องๆ หนูๆ วัยกำลังซน เพราะจ่ายเงินชดเชยกรณีกระดูกแตกหักจากอุบัติเหตุ พร้อมค่ารักษาพยาบาลต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งถึง 50,000 บาท เรียกว่าตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์จริงๆ
โดยเราสามารถกดซื้อประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลได้ 1 กรมธรรม์ และประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ 5 กรมธรรม์ ต่อการสั่งซื้อในแต่ละครั้ง จากนั้นก็แค่กดชำระเงินออนไลน์ผ่านแอปฯ Shopee รอแป๊บเดียวก็จะมี SMS ส่งมาให้ เพียงทำตามขั้นตอนใน SMS กรอกข้อมูลส่วนตัวให้ถูกต้องครบถ้วนและคุณสมบัติเป็นไปตามการพิจารณารับประกันภัย เพียงเท่านี้คุณจะมีความคุ้มครองอยู่ในมือ ง่ายและสะดวกมากๆ เลยใช่ไหมล่ะคะ?
ใครสนใจซื้อประกันภัยให้อุ่นใจก่อนเดินทางท่องเที่ยวแบบนี้ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ >> https://shopee.co.th/muangthai_insurance แค่นี้เราก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ได้แบบสบายใจ ไม่ต้องกังวล จะเที่ยวในเมืองไทยหรือไปเช็คอินไกลถึงต่างประเทศก็สามารถซื้อประกันคุ้มครองได้ทุกที่ทุกเวลาแบบนี้ เหมาะกับนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ในยุคใกล้ 5G แบบเราจริงๆ เลยค่ะ! (รายละเอียดความคุ้มครองและข้อยกเว้นเป็นไปตามเงื่อนไขในกรมธรรม์)
Tags: เที่ยวเมืองมรดกโลก พระนครศรีอยุธยา อยุธยา เที่ยวอยุธยา วัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดมหาธาตุ วัดพระศรีสรรเพชญ์ วังช้างอยุธยา แล เพนียด ที่พักอยุธยา โรงแรมอยุธยา Busaba Ayutthaya บุษบาอยุธยา ร้านอาหารอยุธยา The Wine กุ้งเผาอยุธยา พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น เกริก ยุ้นพันธุ์ บ้านข้าวหนม คาเฟ่อยุธยา คาเฟ่ขนมไทย พระราชวังบางปะอิน เกียวโต ญี่ปุ่น เที่ยวเกียวโต วัดคิงคะคุจิ Kinkakuji Temple อาราชิยาม่า Arashiyama ป่าไผ่ซากาโนะ วัดคิโยมิสึเดระ วัดน้ำใส วัดโทฟุคุจิ Tofukuji Temple วัดเออิคันโดะ วัดเซนรินจิ Zenrinji Temple ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ Fushimi Inari Shrine ย่านกิออง Gion Shopee ช้อปปี้ เมืองไทยประกันภัย ประกันออนไลน์ ประกันการเดินทาง ประกันอุบัติเหตุ ซื้อประกันผ่านแอพ แพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 15 พ.ย. 2024 | 830 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 05 พ.ย. 2024 | 3,955 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 07 พ.ย. 2024 | 2,714 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 15 พ.ย. 2024 | 437 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 01 พ.ย. 2024 | 870 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 08 พ.ย. 2024 | 1,627 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 27 ต.ค. 2024 | 3,001 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่กิน | 15 พ.ย. 2024 | 238 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่กิน | 03 พ.ย. 2024 | 1,033 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 30 ต.ค. 2024 | 1,246 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 06 พ.ย. 2024 | 383 อ่าน