calendar_month 04 ต.ค. 2019 / stylus Admin Chillpainai / visibility 146,335 / สถานที่ยอดนิยม
หากพูดถึงสถานที่ในประเทศไทยที่ต้องไปสัมผัสให้ได้สักครั้งในชีวิตหนึ่งในนั้นคงมีสังขละบุรีอยู่ในลิสแน่นอน "สังขละบุรี" เมืองสองวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวของวิถีชีวิตชาวไทยมอญสองฝั่งสะพานอุตตมานุสรณ์ วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ผู้คนเป็นมิตร และสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ ทำให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง ไม่ว่าจะหน้าร้อนที่เราจะสามารถเห็นเมืองบาดาลและวัดจมน้ำได้สวยและชัดเจนที่สุด หรือหน้าฝนที่มีสายหมอกลอยมาให้ฟินเบาๆ และหน้าหนาวที่อากาศเย็นสบายจนไม่ต้องขึ้นเหนือ ชิลไปไหนชวนไปเช็คอิน 5 สถานที่ชวนสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งสังขละบุรี ถ้าหากการเดินทางครั้งต่อไปยังไม่รู้จะไปไหนอย่าลืมไปสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งสังขละบุรีกันนะคะ
เริ่มต้นกันด้วยสถานที่ยอดฮิตและเป็นจุดหมายปลายทางของใครหลายคน อย่างสะพานมอญหรือ สะพานอุตตมานุสรณ์ สะพานไม้ข้ามแม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 447 เมตร เป็นสะพานข้ามแม่น้ำซองกาเรีย สร้างโดยพระราชอุดมมงคลหรือชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่าหลวงพ่ออุตตมะ กับชาวบ้านที่เป็นศิษยานุศิษย์และมีความศรัทธาได้ร่วมกันสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2528 เพื่อเป็นทางเชื่อมระหว่างชุมชนชาวมอญกับชุมชนชาวกะเหรี่ยงให้เดินทางไปมาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำได้สะดวก
สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถเดินเที่ยวชมสะพานจากฝั่งไหนก่อนก็ได้ แต่แนะนำให้มาไม่ช่วงเช้าไม่ก็เย็นๆ เลยนะคะจะได้ไม่ร้อนแล้วก็จะได้รูปสวยๆ แน่นอน ในช่วงเช้าจะมีไกด์เด็กนักเรียนพาเดินชมสะพาน พาเดินเล่น ชวนคุย และก็เล่าประวัติความเป็นมาของสะพานให้ฟังจนเพลินเลยแหละค่ะ และมนต์สเหน่ห์อย่างหนึ่งบนสะพานคงจะหนีไม่พ้นที่จะปะแป้งทานาคา เปลี่ยนหน้าไทยให้เป็นหน้ามอญ เชื่อว่าสาวๆ หลายคนต้องชอบแน่ๆ เพราะมีให้เลือกลายหลายแบบเลย ที่สำคัญเขาบอกว่าแป้งทานาคาช่วยลดสิวทำให้หน้าเนียนใสอีกด้วยนะ ในส่วนของค่าปะแป้งป้าแกก็บอกว่าจะให้เท่าไหร่ก็ได้ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เลยจ้า
ส่วนถ้าใครอยากเก็บภาพไฮไลท์ของชาวมอญที่เทินโถข้าวบนหัวละก็แนะนำให้มาช่วงเช้านะคะ ป้าแกจะเดินอยู่แถวหัวสะพานถ่ายรูปเสร็จก็มีสินน้ำใจเล็กน้อย ตามแต่จะให้ บอกเลยว่ารูปนี้ต้องมีลงโซเชียลนะจ๊ะ
อีกหนึ่งมนต์สเน่ห์ของสังขละบุรีอยู่ในช่วงเช้าของการตักบาตรสามารถใส่ได้ทั้งฝั่งไทยและมอญ เราแนะนำให้มาถึงบริเวณใส่บาตร ประมาณ 6 โมงเช้าและข้ามไปใส่ฝั่งมอญ หรือฝั่งเดียวกับวัดวังก์วิเวการามใหม่เพราะฝั่งนี้มีตลาดให้เดินซื้อของและร้านอาหารเช้าพวกโจ๊ก ชากาแฟ ปาท่องโก๋ ให้กินเป็นมื้อเช้าด้วย ในส่วนของชุดของสำหรับตักบาตรมีให้เลือกซื้ออยู่ตามทางเสนอขายชุดละ 99 บาท แถมชุดมอญให้เลือกใส่ฟรีทั้งของผู้หญิงผู้ชายเลย และถ้าหากใครอยากมาใส่บาตรบนสะพานมอญต้องมาในช่วงวันปีใหม่นะคะ เพราะเขาจะมีประเพณีปีใหม่มอญที่สามารถมาตักบาตรบนสะพานได้แค่เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
สะพาญมอญสังขละบุรี
GPS : https://goo.gl/maps/phg23sATPdg92Ya56
พานั่งเรือไปต่อกันที่ วัดใต้น้ำหรือเมืองบาดาลแห่งสังขละบุรีกันค่ะ อีกหนึ่งไฮไลท์ของสังขละบุรีที่ห้ามพลาดใครมาถึงแล้วก็ให้เดินไปแถวๆ สะพาญมอญจะมีคนเรือคอยแนะนำและพาเราลงไปที่ท่าเรือซึ่งอยู่ติดกับสะพานมอญเลย ไม่แนะนำให้โทรจองก่อนนะคะอยากให้มาเห็นเรือด้วยตัวเองก่อนเพราะมีหลายขนาดหลายแบบให้เลือกเลย ราคาเช่าเหมาเรือทัวร์เมืองบาดาลตกลำละ 500 - 600 บาท ขึ้นอยู่กับที่ตกลงและสถานที่ที่จะไป ส่วนใหญ่แล้วจะรวม 3 ที่ คือ วัดเก่าจมน้ำหรือวัดวังก์วิเวการาม วัดศรีสุวรรณ และวัดสมเด็จ ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 1 -2 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้เวลานานเท่าไหร่ โดยทั้ง 3 วัดที่เราจะล่องเรือไปชมถ้าสังเกตุดีๆ หรือมองจากภาพมุมสูงจะเห็นได้ว่า วัดทั้ง 3 วัดทำมุมเป็น 3 เหลี่ยมครอบจุดบรรจบของแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ที่ไหลมารวมกันหรือที่เรียกว่า "สามประสบ" นั่นเอง
ใช้เวลาจากสะพานมอญไม่นานเราก็มาถึงวัดแรก คือ วัดเก่าจมน้ำหรือวัดวังก์วิเวการามเก่า วัดนี้เป็นวัดมอญวัดแรกที่หลวงพ่ออุตตมะร่วมกับชาวบ้านกะเหรี่ยงและมอญได้ร่วมก้นสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2496 และต่อมาในปี พ.ศ. 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ทำการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม หรือ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ซึ่งเมื่อมีการกักเก็บน้ำแล้ว น้ำจะไหลเข้าท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่ารวมทั้งวัดนี้ด้วย ปัจจุบันจึงได้ย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขา ถือเป็น Unseen Thailand ที่ไม่เหมือนใครทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย แม้จะเป็นในช่วงหน้าฝนอย่างที่เรามากันตอนนี้ก็ตาม แต่ถ้าใครอยากมาเห็นตัวโบสถ์กับหอระฆังแบบเต็มๆ หลังให้มาในช่วงเดือนมีนาคม – มิถุนายน เป็นช่วงหน้าร้อน น้ำจะลดลงจนเราสามารถเดินลงไปเยี่ยมชมตัวโบสถ์ได้อย่างใกล้ชิดเลย
จริงๆ แล้วจุดปลายทางต่อไปของเราคือ วัดศรีสุวรรณซึ่งเป็นวัดของชาวกะเหรี่ยง แต่เนื่องจากเรามาเป็นช่วงหน้าฝน วัดจึงจมน้ำแบบที่เรียกว่ามิดหลังคาไม่เห็นอะไรเลย เราจึงต้องเดินทางไปต่อยังวัดสุดท้าย หรือวัดสมเด็ดเป็นวัดไทยและวัดเดียวที่ไม่ถูกน้ำท่วม บริเวณท่าเรือด้านหน้าจะมีดอกไม้ขายชุดละ 20 บาท จากนั้นเดินขึ้นบันไดต่ออีกประมาณ 50 เมตร ก็จะเห็นตัวโบสถ์หลังเก่าซึ่งภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน เราสามารถนำดอกไม้ที่ซื้อมาเข้าไปสักการะภายในได้
จุดขึ้นเรือบริเวณเชิงสะพานมอญสังขละบุรี
เวลาล่องเรือ : 06.00 - 17.00 น.
นั่งเรือชมวัดเก่ากันแล้ว พาขึ้นฝั่งไปวัดวังก์วิเวการาม (ใหม่)กันค่ะ วัดวังก์วิเวการาม หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "วัดหลวงพ่ออุตตมะ" สำหรับวัดวังก์วิเวการาม ที่สร้างขึ้นใหม่ เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในอำเภอสังขละบุรี ทั้งชาวไทย ชาวกะเหรี่ยง และชาวไทยเชื้อสายมอญ มีสถานที่สำคัญอยู่หลายแห่ง ทั้งปราสาทเก้ายอด วิหารพระหินอ่อน และอุโบสถวัดวังก์วิเวการาม แต่อีกฝั่งหนึ่งของวัดยังมีสถานที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งคือ เจดีย์พุทธคยาจำลอง สร้างจำลองแบบจาก เจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย
หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้ริเริ่มสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2529 มีขนาดเล็กกว่าเจดีย์พุทธคยาองค์จริงที่อินเดีย ฐานเป็นทรงเหลี่ยมจัตุรัส ด้านหน้าเจดีย์มีรูปปั้นสิงห์ที่เป็นศิลปะแบบมอญ 2 ตัว ยืนเฝ้าบันไดทางขึ้นที่ทอดยาวพาขึ้นสู่ตัวเจดีย์ เชื่อว่าจะคอยปกป้องเจดีย์อยู่สองข้างบันไดทางเข้า บนยอดพระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่หลวงพ่ออุตตมะอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกาเพื่อไว้ให้สักการะบูชา
อีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่ปราสาทเก้ายอด ภายในเป็นที่ตั้งของโลงบรรจุสังขารของหลวงพ่ออุตตมะ มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปกรรมของชนชาติมอญ โดยฝีมือช่างจากทางเชียงใหม่ ตัวโลงเจาะช่องใส่กระจกให้มองเห็นภายในได้ เรียกว่า "ลายขุนแผนเปิดม่าน" แต่เดิมมีความเชื่อว่า การทำปราสาทมอญ เป็นการส่งวิญญาณให้ไปสถิต ณ สรวงสวรรค์ เห็นได้ว่าที่ปราสาทเก้ายอดแห่งนี้มีผู้คนเข้ามากราบสรีรสังขาลของหลวงพ่ออุตตมะไม่ขาดสายแม้ท่านจะละสังขารไปแล้ว แต่ด้วยคุณานุประโยชน์ต่างๆ ที่ท่านได้สร้างเอาไว้ยังส่งผลให้ท่านเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเคารพบูชาของชาวบ้านและคนทั่วไปมาถึงปัจจุบัน
พิกัด : หมู่ที่ 2 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
GPS : https://goo.gl/maps/xoZNseMYtS6ABcQV6
เที่ยวจนเหนื่อยพาไปหาอะไรกินกันบ้างดีกว่า ใครมาสังขละบุรีถ้าไม่ได้มากินหมูจุ่มไม้ละบาทบอกเลยว่า คุณมาไม่ถึงสังขละบุรีแล้วแหละเพราะมันดังมากจริงๆ ในช่วงตอนเย็นของทุกวันบรรยากาศร้านค้าแถวตลาดสังขละบุรีจะครึกครื้นไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายซื้อของและหาข้าวเย็นทานกัน หนึ่งในร้านที่ผู้คนเดินเข้าออกไม่ขาดสายก็คือร้านหมูจุ่มไม้ละบาท แม้ว่าจะมีให้เลือกอยู่หลายร้านแต่เมื่อเก้าอี้ว่างเมื่อไหร่จะมีคนที่ยืนรออยู่หน้าร้านรีบเข้ามานั่งต่อทันที
วันนี้เราพาเพื่อนๆ ไปชิมหมูจุ่มไม้ละบาทที่ร้านยาใจร้านที่คนท้องถิ่นแนะนำอยู่บริเวณหน้าเซเว่นสังขละบุรี เริ่มขายตั้งแต่ประมาณ 5 โมงเย็นของทุกวัน เมื่อเราได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้วก็เริ่มหยิบหมูจุ่มจากในหม้อกินกัน!! เนื้อหมูและเครื่องในที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เสียบไม้เป็นร้อยๆ ไม้ถูกวางเรียงรายอยู่ในหม้อซุปหวานจางๆ คล้ายน้ำพะโล้ รอให้ทุกคนไปหยิบกินได้ตามใจชอบ พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ดสองสูตรให้เลือก ถ้าใครชอบรสจัดจ้านหน่อยต้องจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดแต่ถ้าใครชอบรสชาติอ่อนลงมาหน่อยแต่ก็ยังคงมีความเผ็ดนัวๆ ก็ต้องจิ้มกับซอสพม่า บอกเลยว่าอร่อยถูกใจทั้งคู่
บอกเลยว่าหยิบกันจนเพลินจริงๆ จาก 1 ไม้ 2 ไม้ 3 ไม้ นับอีกทีตอนจะจ่ายเงินก็เกือบ 50 ไม้แล้วจ้า ที่ร้านนี้ไม่ได้มีขายแค่หมูจุ่มนะคะ แต่ยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกอีกหลายอย่างเลย วันนี้เราเลยสั่งยำพม่าหมูรวมมากินเป็นหมูใส่ผักแล้วยำกับซอสพม่ารสชาติเผ็ดนิดๆ ถือว่าโอเคเลยจ้า หากใครมาเที่ยวสังขละบุรีก็อย่าลืมมาแวะกินหมูจุ่มกันนะค้า
ร้านหมูจุ่มยาใจ
พิกัด : ตลาดสังขละบุรี ตรงข้ามเซเว่น
ปิดท้ายด้วยการแวะไปช้อปปิ้งกันที่ด่านเจดีย์ 3 องค์ หรือหินสามกอง เป็นจุดกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและพม่า ซึ่งตามคำบอกเล่ากล่าวไว้ว่า ในสมัยก่อนที่แห่งนี้เคยเป็นช่องทางเดินทัพที่สำคัญในการทำสงครามไทย–พม่า ตามธรรมเนียมผู้ที่เดินทางผ่านมาบริเวณนี้ จะนำหินมากองไว้สักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเดินทาง และถือกันว่าต้องทำตาม มิฉะนั้นก็จะไม่มีความสบายใจ จนจะพาให้เกิดภัยอันตรายหรือเจ็บไข้ขึ้นได้ ต่อมาใน พ.ศ. 2472 พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรีก็ได้นำชาวบ้านมาก่อสร้างเจดีย์จากหินกองใหญ่ จนเป็นเจดีย์สามองค์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นอกจากจะมาสักการะเจดีย์ 3 องค์แล้วก็ยังแวะซื้อของฝากตามร้านค้าที่อยู่บริเวณด่าน ซึ่งมีสินค้ามากมายที่มาจากฝั่งพม่า เช่น เครื่องประดับ เครื่องไม้ตกแต่งบ้าน ไปเป็นของฝากกัน
หรือจะข้ามฝั่งไปเที่ยวพม่าก็ได้นะคะ ใช้แค่บัตรประชาชนและชำระค่าบริการ โดยเจ้าหน้าที่จะเก็บบัตรประชาชนตัวจริงไว้ 1 ใบ และให้บัตรผ่านแดนมา จากนั้นเราข้ามด่านไปเสียค่าธรรมเนียมเข้าฝั่งพม่าคนละ 40 บาท โดยสามารถเข้าออกได้ตั้งแต่ เวลา 6.00 น. - 18.00 น. หรือถ้าใครอยากซื้อบริการนำเที่ยวพร้อมรถเขาก็มีบริการอยู่หลายเจ้าใกล้ๆ กับด่านเจดีย์ 3 องค์ โดยจะพาเที่ยว 5 - 7 ที่ เช่น เจดีย์ทอง หลวงพ่อทันใจ วัดเสาร้อยตัน ตลาดพม่า ราคาประมาณ 300 บาท ต่อท่าน หรือตามแต่ตกลง
พิกัด : ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
ติดต่อสอบถามการเปิด-ปิดด่านได้ที่ ตม.สังขละบุรี โทร 034-595-335
GPS : https://goo.gl/maps/cmcnyYrfqHGCXDBt8
ดูที่เที่ยวกันแล้วอย่าลืมไปเช็คอินที่พักกันนะคะ
ดูรีวิวที่พักสังขละบุรีได้ที่ >>https://www.chillpainai.com/scoop/10938/
Tags: สังขละบุรี กาญจนบุรี สะพานมอญสังขละบุรี วัดใต้น้ำเมืองบาดาล ร้านหมูจุ่ม ด่านเจดีย์สามองค์ จุดเช็คอินสังขละบุรี ที่เที่ยวสังขละบุรี
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 01 พ.ย. 2024 | 217 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 27 ต.ค. 2024 | 1,241 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่กิน | 03 พ.ย. 2024 | 434 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 30 ต.ค. 2024 | 405 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 1,449 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 797 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 10 ต.ค. 2024 | 5,978 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 10 ต.ค. 2024 | 902 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 22 ต.ค. 2024 | 1,519 อ่าน
สถานที่ยอดนิยม ที่พัก | 10 ต.ค. 2024 | 4,192 อ่าน