calendar_month 09 ก.ค. 2019 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 39,036 / เที่ยวต่างประเทศ
จำได้ว่าแต่ก่อนไปญี่ปุ่นยากมากกก เฮลโหลววว...จะไปทีไรก็ต้องไปยื่นวีซ่า รอประกาศผลด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ แต่เดี๋ยวนี้การไปเที่ยวญี่ปุ่นนั้นง่ายมากๆ ยิ่งปัจจุบันมีสายการบินมากมายที่ขยันเปิดรูท เปิดเส้นทาง ทำโปรโมชั่นกันแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ ซึ่งผลดีก็ตกอยู่กับคนเที่ยวอย่างเราที่สามารถสอยตั๋วญี่ปุ่นได้แบบถูกมากๆ ปีนี้อยากไปญี่ปุ่นกี่ครั้ง กี่หนก็เดินไปยื่นใบลาพักร้อนหัวหน้าล่วงหน้าได้เลย
ล่าสุดสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เปิดเส้นทางรูทใหม่ดอนเมือง-ฟุคุโอกะ มีเที่ยวบินอาทิตย์ละ 4 เที่ยว ซึ่งความโชคดีของเราคือได้เดินทางไปกับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ครั้งนี้ด้วย โดยงานนี้ทางองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ได้ร่วมกับไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ พาชิลไปไหนไปตะลุยคิวชูโดยใช้เวลา 5 วัน 4 คืน เก็บเกี่ยวบรรยากาศการเดินทาง ที่เที่ยว ที่กิน ที่พักแนะนำในคิวชูมาให้ดูอย่างครบถ้วน ลองมาดูกันว่า เวลา 5 วัน 4 คืนเราจะตะลุยเที่ยวที่ไหนได้บ้าง
ก่อนจะไปเที่ยวคิวชู มาทำความรู้จักกันก่อนว่าคิวชูอยู่ที่ไหน
คิวชูเป็นเกาะและภูมิภาคทางใต้ ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่นประกอบไปด้วย 7 จังหวัดได้แก่ จังหวัดฟุคุโอกะ (Fukuoka) จังหวัดซะกะ (Saga) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) จังหวัดคุมะโมโตะ (Kumamoto) จังหวัดโออิตะ (Oita) จังหวัดมิยะซะกิ (Miyazaki) และจังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima) การเดินทางภายในภูมิภาคสะดวกสบายด้วยรถไฟ JR Kyushu ที่ให้บริการทั่วภูมิภาค ครอบคลุมทั้ง 7 จังหวัด
คำว่า "Kyu" นั้นแปลว่า 9 ค่ะ ในอดีตแบ่งเขตเป็น 9 จังหวัด แต่ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 จังหวัด ซึ่งที่เที่ยวที่เราจะพาไปเที่ยวในครั้งนี้อยู่ในจังหวัด ฟุคุโอกะ คุมะโมโตะ โออิตะ และมิยาซากิ มีทั้งที่เที่ยวที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี อีกส่วนหนึ่งเป็นที่เที่ยวที่คนไทยยังไม่รู้จักแต่รับรองว่าถ้าได้ไปจะหลงรักหมดใจ เหมือนที่เราตกหลุมรักคิวชูซ้ำแล้วซ้ำเล่า และอยากนำความประทับใจนั้นมาเล่าสู่กันฟัง
เราเริ่มการเดินทางไปคิวชูประมาณ 5 ทุ่ม 40 นาที จึงขอเรียกวันนี้เป็นวันที่ 0 เพราะไม่กี่นาทีก็จะก้าวผ่านไปวันใหม่ จุดสตาร์ทของเราเริ่มต้นที่สนามบินดอนเมืองที่วันนี้คึกคักเป็นพิเศษเพราะเป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ สู่สนามบินฟุคุโอกะ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของเราที่ได้นั่งเครื่องบินปฐมฤกษ์ยอมรับเลยค่ะว่าตื่นเต้นมากๆ มีพนักงานของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ มารอต้อนรับแจกโบรชัวร์เที่ยวคิวชูพร้อมของที่ระลึกสุดน่ารักก่อนที่จะเตรียมบินลัดฟ้าไปยังคิวชู
เรามาถึงสนามบินฟุคุโอกะประมาณ 7 โมงเช้า พอเครื่องบินแลนด์ดิ้งปุ๊บกัปตันก็ประกาศว่า เดี๋ยวจะมีพิธีต้อนรับของทางสนามบินโดยการทำอุโมงค์น้ำ หรือ Water Salute เป็นธรรมเนียมของสนามบินทั่วโลกในการต้อนรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ พวกเราต่างตื่นเต้นมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นรถฉีดน้ำทั้งสองข้างทางซ้ายขวากำลังทำอุโมงค์น้ำในขณะที่เครื่องบิน Taxi ผ่านเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยความประทับใจ
หลังจากผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาเริ่มต้นท่องเที่ยวกันจริงๆ แล้วล่ะค่ะ เดินผ่านประตูมาเจอเจ้าหน้าที่สนามบินมาชูป้ายผ้าต้อนรับคณะเครื่องบินปฐมฤกษ์ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่น 3 ภาษากันไปเลยน่ารักมากๆ
สิ่งที่ทำให้เราประทับใจสนามบินฟุคุโอกะคือทำเลที่ตั้งที่ใกล้กับตัวเมืองฮะคะตะ (Hakata) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจังหวัดฟุคุโอกะ ใกล้ขนาดไหน? ระยะทางจากสนามบินฟุคุโอกะไปยังสถานีรถไฟฮะคะตะเพียง 3 กิโลเมตร นั่งรถไฟเพียง 5 นาทีเท่านั้น OMG!! เป็นสนามบินที่ใกล้ตัวเมืองที่สุดเท่าที่เคยเดินทางมาเลยล่ะค่ะ แต่ด้วยความใกล้ตัวเมืองแบบนี้ก็มีข้อจำกัดคือจะเปิดให้เที่ยวบินขึ้นลง ตอนเวลา 7.00 - 22.00 น. เท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวนกับชุมชน
การเดินทางจากสนามบินฟุคุโอกะเข้าเมืองฮะคะตะ
รถไฟ - จากสนามบินมีรถไฟใต้ดิน Fukuoka City Subway ไปยังสถานีฮะคะตะ ใช้เวลาเดินทาง 5 นาที ค่ารถ 260 เยน สถานีรถไฟใต้ดินจะมีให้บริการที่อาคารผู้โดยสารในประเทศค่ะ ใครมาจากอาคารโดยสารระหว่างประเทศสามารถมาขึ้นรถฟรีชัตเติ้ลบัสมายังอาคารในประเทศได้ และรถไฟใต้ดินของที่นี่สามารถใช้บัตรเติมเงิน IC Card เช่นบัตร Suica หรือ Pasmo ได้ค่ะ
รถบัส - มีรถบัสให้บริการทั้งฟรีชัตเติ้ลบัสไปยังอาคารผู้โดยสารในประเทศ รถบัสเข้าเมืองฮะคะตะที่สามารถเดินทางไปย่านต่างๆ ในเมืองเช่นย่านเทนจิน, ดะไซฟุ หรือคาแนล ซิตี้ ฮะคะตะ นอกจากนี้ยังมีไฮเวย์บัสที่เดินทางไปยังเมืองและจังหวัดต่างๆ ในคิวชู อาทิ เบปปุ, ซะกะ, คุมะโมโตะ,ยะนะกะวะ,คุโรคะวะ อนเซ็น,อะโซะ,ยุฟุอิน,นางาซากิ และเฮาส์เทนบอชได้จากสนามบินกันเลยค่ะ
รถแท็กซี่ - มีให้บริการตลอดเวลาบริเวณชั้น 1 ทั้งหน้าอาคารผู้โดยสารในประเทศและระหว่างประเทศ ค่ารถจากสนามบินเข้าเมืองฮะคะตะจะอยู่ที่ประมาณ 1000 เยนค่ะ
ที่ตั้ง : จังหวัดโออิตะ (Oita)
การเดินทาง : จากสถานีรถไฟฮะคะตะนั่งรถไฟด่วน Yufu หรือ Yufuin no Mori มาลงที่สถานีฮิตะ ใช้ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที ค่ารถ 3100 เยน (Reserved Seat)
GPS : https://goo.gl/maps/WgFamJN6213tVQwD9
ไฮไลท์ที่ห้ามพลาด
- ชิมสาเกและผลิตภัณฑ์จากสาเกที่ Kuncho Sake Brewery
- เลือกซื้อรองเท้าเกี๊ยะสุดน่ารักที่ Tenryo Hita Hakimono Museum
- ทึ่งไปกับพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาฮินะนับพันตัวที่ Hina Goten
จากสนามบินฟุคุโอกะ เราก็เดินทางมาถึงเมืองฮิตะแล้วล่ะค่ะ ถ้านั่งรถไฟจากฮะคะตะมาก็มาลงสถานีฮิตะ บริเวณหน้าสถานีมีกิมมิคเก๋ๆ ให้ถ่ายรูปเช็คอินด้วยนะคะ โดยทำป้ายชื่อเมืองเป็นภาษาอังกฤษ แต่เว้นตัว I เอาไว้ แล้วให้ใช้ตัวเรานี่แหละไปเป็นตัว I เติมคำว่า HITA ให้เต็มคำ เก๋ไก๋ไหมล่ะ แถมบริเวณป้ายตัวอักษรที่ทำจากไม้สนสึกิยังมีสัญลักษณ์รูปหัวใจแอบซ่อนให้เราตามหากันด้วยนะ เราลองนับได้ 2 ดวงค่ะ ใครมาที่นี่ก็ลองมาตามหาหัวใจกันดูนะคะ
จากสถานีรถไฟเราสามารถเดินไปย่านเมืองเก่ามะเมะดะมาจิโดยใช้เวลาประมาณ 16 นาที ก็จะพบกับบรรยากาศบ้านเมือง ตึกรามบ้านช่องแบบเก่า บ้านแต่ละหลังจะเป็นบ้านปูนสลับไปกับบ้านไม้มุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีดำ หน้าบ้านเป็นประตูโชจิบานเลื่อนราวกับว่าหลุดมาจากสมัยเอโดะกันเลยล่ะค่ะ โดยตัวเมืองเก่านั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำคาเก็ตสึและล้อมรอบไปด้วยภูเขา
ย่านเก่ามาเมะดะมาจินั้นมีมาประมาณ 400 ปีแล้วค่ะ เริ่มต้นในสมัยเอโดะ เมืองฮิตะในอดีตนั้นค่อนข้างรุ่งเรืองเลยล่ะค่ะ เพราะเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจในภูมิภาคคิวชู และได้รับการปกครองจากรัฐบาลเอโดะโดยตรง ในปัจจุบันเราเลยได้เห็นความสวยงามของอาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่ได้รับการอนุรักษ์ดูแลและได้ขึ้นทะเบียนเป็นย่านอนุรักษ์สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่สำคัญจากรัฐบาลญี่ปุ่นในปี 2004
Kuncho Sake Brewery
สถานที่แรกที่เราจะพาเข้าไปชมตั้งอยู่บริเวณด้านต้นของถนนมะเมะดะ อุวะมาจิ ที่นี่คือโรงกลั่นเหล้าคุนโจ (Kuncho Sake Brewery) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 200 ปี โดยมีโรงผลิตสาเกโบราณสร้างมาตั้งแต่ปี 1826 และยังคงเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ในการผลิต เช่นถังไม้สาเกขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้สนสึกิให้เราเข้าไปชมได้แบบฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ
ด้านหน้าโรงสาเกมี "สึกิดามะ" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่เรามักจะได้เห็นในโรงเหล้าสาเกของญี่ปุ่น ทำจากสนสึกิ นำมาทำเป็นลูกบอลขนาดใหญ่แขวนไว้หน้าโรงเหล้าสาเกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าที่นี่กำลังทำสาเกอยู่นะเธอ โดยตอนมาแขวนครั้งแรกจะเป็นสีเขียวค่ะ และเมื่อไรที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลก็แสดงว่าสาเกของที่นี่บ่มได้ที่พร้อมเสิร์ฟให้ได้เข้ามาชิมแล้วจ้า เร่...เข้ามาเร้วววว
โรงเหล้าสาเกโบราณที่เต็มไปด้วยถังหมักสาเกไม้สนสึกิให้เราได้เข้าไปเยี่ยมชม โดยการทำสาเกของที่นี่จะทำในช่วงหน้าหนาวเดือนตุลาคม - เดือนมีนาคม วัตถุดิบหลักจะทำจากข้าว น้ำสะอาด และยีสต์ ในแต่ละปีจะมีการจัดงานเทศกาล 3 ครั้งให้คนทั่วไปสามารถเข้ามาชิมสาเกได้ด้วย
ฝั่งตรงข้ามมีร้านคาเฟ่เจ้าของเดียวกันชื่อว่า Kuncho Cafe KOGURA ให้บริการเบเกอรี่และเครื่องดื่มโดยมีเมนูแนะนำอย่าง ขนมปังถั่วแดงที่มีส่วนผสมของกากสาเก Daiginjyo ให้ได้ลองชิมกันด้วย
GPS : https://goo.gl/maps/2HiBAcM49tJMyySa6
เปิดบริการ : ในส่วนโรงเหล้าเปิดตั้งแต่เวลา 9.00-16.30 น. (หยุดช่วงปีใหม่) / ส่วนร้านคาเฟ่เปิดตั้งแต่เวลา 9.00 - 17.00 น.
ค่าเข้าชม : ฟรี
Tenryo Hita Hakimono Museum
แต่ก่อนเด็กๆ เคยดูหนังญี่ปุ่นจะเห็นตัวละครใส่ชุดกิโมะโนะ สวมรวมเท้าเกี๊ยะ เดินต๊อกแต๊กอยู่ในเมือง พอโตมาก็ใฝ่ฝันว่าสักวันจะต้องมีรองเท้าแบบนี้สักคู่ ซึ่งวันนี้เราก็ได้ลองมาสวมใส่และเลือกซื้อรองเท้าเกี๊ยะสวยๆ กลับบ้านด้วยค่ะ ที่ Tenryo Hita Hakimono Museum
เมืองฮิตะแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตรองเท้าเกี๊ยะหรือ Geta ที่ขึ้นชื่อ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น (อีกสองที่คือเมืองชิซุโอกะจังหวัดชิซุโอกะและเมืองฟุคุยะมะจังหวัดฮิโรชิมะ) ที่นี่ไม่ใช่เพียงจำหน่ายรองเท้าเกี๊ยะเท่านั้นแต่ยังเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของรองเท้าเกี๊ยะในญี่ปุ่น โดยได้มีการรวบรวมรองเท้าเกี๊ยะทั่วญี่ปุ่นมาจัดแสดงให้เราได้เข้าชมฟรี
รองเท้าเกี๊ยะยักษ์ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สูง 4.15 เมตร กว้าง 2.10เมตร และหนัก 1 ตัน ตั้งโดดเด่นอยู่ตรงทางเข้าเลยล่ะค่ะ
GPS : https://goo.gl/maps/CiagWSUCZPrsoAHy5
เปิดบริการ : 10.00 - 17.00 น.
ค่าเข้าชม : ฟรี
Tenryo Hina Goten
ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นเมื่อเดินเข้ามาใน Tenryo Hina Goten หรือพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาฮินะ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในร้านโชยุ Hita Shoyu คือ Oh My Godddd ทำไมมันถึงมากมายได้ขนาดนี้ เพราะที่นี่มีตุ๊กตาฮินะกว่า 4000 ตัว ซึ่งเป็นความชื่นชอบของเจ้าของร้านที่เก็บสะสมตุ๊กตาฮินะเหล่านี้ทั่วประเทศญี่ปุ่น แล้วแต่ละตัวถ้าเดินไปมองใกล้ๆ หน้าตา รายละเอียดไม่เหมือนกันเลยล่ะค่ะ
ตุ๊กตาฮินะนั้นเป็นเหมือนคำอวยพรของผู้ใหญ่ที่จะมอบให้เด็กผู้หญิง เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง ขจัดสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิต และมีหน้าตาน่ารัก สวยงาม สมัยก่อนตุ๊กตาฮินะเป็นสิ่งที่บ่งบอกฐานะของคนญี่ปุ่นด้วยค่ะ เพราะบ้านที่มีตุ๊กตาเหล่านี้จะเป็นบ้านคนที่มีฐานะร่ำรวย ปกติแต่ละบ้านจะมีชั้นในการตั้งโชว์ตุ๊กตา 7 ชั้น โดยชั้นบนสุดจะเป็นตุ๊กตาเจ้าหญ้ง เจ้าชาย เรียงลงมาเป็นเหล่าผู้รับใช้
แต่ที่นี่มีให้ชมกว่า 4000 ตัวจ้า ซึ่งตัวเก่าแก่สุดอายุประมาณ 300 กว่าปี ส่วนราคาเราแอบสอบถามเจ้าของมา เขาบอกเราว่าตัวนึงอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นไปจนถึง 10 ล้านเยนก็มีค่ะ
ใครอยากมาชมความสวยงามของเหล่าตุ๊กตาฮินะก็สามารถเดินทางมาชมได้เลยที่นี่ และในช่วงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคมของทุกปีจะมีการจัดเทศกาลตุ๊กตาฮินะที่ชื่อว่า Tenryo Hita Ohina Matsuri โดยแต่ละบ้านก็จะนำตุ๊กตาฮินะมาตั้งโชว์ให้เราได้ชม เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่ห้ามพลาดเด็ดขาด
GPS : https://goo.gl/maps/rERHK6ddCo8HScLCA
เปิดบริการ : 9.00 - 17.00 น. (หยุดวันปีใหม่)
ค่าเข้าชม : 300 เยน
Ginzushi
อาหารมื้อแรกในญี่ปุ่นเราทานที่ร้าน Ginzushi ร้านซูชิเล็กๆ ของคุณลุง คุณป้าที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีฮิตะ เปิดมา 60 ปีแล้วค่ะ คนเสิร์ฟก็เป็นคุณลุง คุณป้าคอยมาบริการและถามไถ่เราอยู่ตลอดเวลา ครั้งนี้เราสั่งซูชิเซ็ต Hitokuchi Nigiri ราคา 2,160 เยน ที่เสิร์ฟมาอย่างสวยงามในจานเครื่องลายครามใบใหญ่ด้านในมีซูชิขนาดพอดีคำจัดเรียงมาอย่างสวยงาม ซึ่งคำว่า Hitokuchi นั้นแปลว่าหนึ่งคำค่ะ ซูชิ ของที่นี่จึงมีขนาดพอดีคำเราได้นำเข้าปากได้ภายในคำเดียว
เมนูที่เราทานในวันนี้ประกอบไปด้วยไข่หวาน ไข่ปลาคาจิกิ กุ้ง ปลาฮาโมะ (ลักษณะเหมือนปลาไหลหาทานได้ในฤดูร้อน) ปลาหมึกยักษ์ ปลาอาจิ ปลาฮิราเมะ(หรือปลาตาเดียว) ปลาทูน่า ปลาคัมปาจิ ไข่ปลาแซลมอน ไข่หอยเม่น หอยเชลล์ ปลากะพง และปลาแซลมอน ขอบอกว่าอร่อยทุกคำ เนื้อปลาสดอร่อยมากๆ ค่ะ เผลอแป๊บเดียวหญิงสาวร่างบอบบางกว่าหลักกิโลหน่อยๆอย่างเราก็ซัดไปจนเรียบ ไม่เกรงใจชายหนุ่มอกสามศอกที่นั่งละเมียดละไมทานอยู่ข้างๆ กันเลย
GPS : https://goo.gl/maps/sxcnLbSK647kPiws9
เปิดบริการ : เวลา 11.00-21.00 น. (หยุดเดือนละหนึ่งวันไม่มีกำหนด)
ที่ตั้ง : จังหวัดโออิตะ (Oita)
การเดินทาง : : จากสถานีรถไฟฮะคะตะนั่งรถไฟสายยุฟุอิน โนะ โมะริ หรือยุฟุ มาลงสถานียุฟุอิน ใช้เวลา 2.15 ชั่วโมง ค่ารถ 4560 เยน
GPS : https://goo.gl/maps/hNA2M4H74irchVkg6
ไฮไลท์ที่ห้ามพลาด
- ใส่ชุดกิโมะโนะนั่งรถลากเที่ยวรอบเมือง
- เดินเล่นทานของอร่อยในย่านสุดน่ารัก
- นอนพักในเรียวกังสุดไพรเวต
เมืองอะไรทำไมมันน่ารักแบบนี้ ก็ที่นี่คือยุฟุอิน เมืองในฝันของเหล่านักเดินทางชาวไทยและชาวต่างชาติที่อยากเดินทางมาสัมผัสกันสักครั้ง สำหรับเราครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เดินทางมายุฟุอิน ครั้งแรกประมาณปีพ.ศ. 2558 หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับไปยุฟุอินอีกเลย และล่าสุดเราได้กลับไปยุฟุอินอีกครั้ง ความรู้สึกแรกเมื่อมาถึงที่นี่คือยุฟุอินยังคงไม่เปลี่ยนไปเท่าไร บรรยากาศของเมืองเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยภูเขายุฟุ และลำธารสายเล็กๆ ยังคงมีเหมือนเดิม ร้านไอศกรีม ร้านเบเกอรี่น่ารักที่เคยมานั่งกินในตอนนั้นก็ยังคงอยู่ รวมถึงทะเลสาบคินรินที่คิดถึงก็ยังคงงดงาม ใสสะอาด ดังเช่นเดิม แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นแต่ความสวยงามของที่นี่กลับไม่ได้ลดลงเลย
ลองใส่ชุดกิโมะโนะแล้วนั่งรถลาก Jinrikisha
การกลับมาครั้งนี้เราได้มาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน คือการใส่ชุดกิโมะโนะแล้วนั่งรถลากชมเมือง ซึ่งเราใช้บริการแพ็คเกจเช่าชุดกิโมะโนะและนั่งรถลากกับทางร้าน Yufuin Haikarasan ที่มีให้บริการสองสาขาคือบริเวณสาขาหน้าสถานียุฟุอิน และภายในโรงแรม Sansuikan ในราคา 10,800 เยนสำหรับ 2 คน ตกคนละ 5,400 เยน หรือประมาณ 1500 บาทเท่านั้น โดยราคานี้จะได้เช่าชุดกิโมะโนะที่มีแบบให้เลือกเยอะและสวยมากๆ มีพนักงานใส่ชุดและทำผมให้ ซึ่งพนักงานที่นี่ชำนาญในการใส่ชุดมากๆ ค่ะ ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้น มีร่ม มีรองเท้า กระเป๋าผ้าเล็กๆ ไว้ใส่โทรศัพท์มือถือ ใครขี้เกียจแบกกระเป๋าใบใหญ่ไปก็สามารถฝากไว้ที่ร้านได้ ระยะเวลาสำหรับการเช่า 3 ชั่วโมงค่ะ
พอใส่ชุดเสร็จปุ๊บก็จะมีรถลาก Jinrikisha มาจอดรอเราเลย ซึ่ง Jinrikisha เป็นรถลากแบบโบราณ ถ้าใครได้เคยดูหนังญี่ปุ่นย้อนยุคบ่อยๆ ก็คงจะเคยผ่านตารถลากที่ใช้เพียงแรงคนลากรถขนาด 2 ที่นั่งกันมาบ้าง รถลาก Jinrikisha นั้นจะมีให้บริการในเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่างย่านอะสะกุสะ กรุงโตเกียว, เมืองเกียวโต และในเมืองยุฟุอินแห่งนี้ก็มีบริการรถลากมากมาย ขอสารภาพว่าแต่ก่อนการจะลองนั่งรถลากในญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่กลัวมากๆ หนึ่งคือกลัวแพง สองคือกลัวสื่อสารกันไม่ได้ แต่วันนี้เราซื้อแพ็คเกจชุดกิโมะโนะ+รถลากมาในราคาเกินคุ้ม แถมพี่คนลากยังพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋ออีกด้วย
เส้นทางของรถลากถ้าใช้บริการจากร้าน Yufuin Haikarasan ที่สาขาสถานีรถไฟยุฟุอินรถลากจะพาเราไปถึงทะเลสาบคินรินค่ะ แต่ถ้าใช้บริการที่สาขาโรงแรม Sansuikan รถลากจะพาไปแค่สวนสาธารณะ Jidokan เท่านั้น
รีวิวประสบการณ์แรกของการนั่ง Jinrikisha คือสนุกมากๆ ตอนขึ้นครั้งแรกมีเสียววู้บๆ หน่อยๆ เพราะมันแอบสูงนิดนึงค่ะ และจังหวะตอนลงเนินนี่แอบลุ้นเล็กๆ กลัวว่าพี่คนลากจะเทกระจาดแต่พอนั่งไปก็รู้สึกมั่นใจ และให้เราได้ชมความสวยงามรอบตัวได้อย่างเต็มที่
พี่รถลากพาเรามาส่งถึงทะเลสาบคินรินค่ะ ทะเลสาบเล็กๆ ที่มีความยาวประมาณ 400 เมตร ซึ่งคำว่า Kinrin นั้นแปลว่าเกล็ดปลาสีทอง ที่มาของชื่อนี้มาจากคุณ Mouri Kuuso นักปรัชญาลัทธิขงจื๊อได้มาพบกับเกล็ดของปลาในทะเลสาบแห่งนี้สะท้อนแสงแวววับเป็นประกายสีทองยามพระอาทิตย์ตกจึงได้ตั้งชื่อทะเลสาบแห่งนี้ว่า Kinrin ความสวยงามของทะเลสาบแห่งนี้จะสวยที่สุดในยามเช้าของดูหนาวและฤดูใบไม้ร่วงเพราะใต้ทะเลสาบจะเป็นน้ำพุร้อน ทำให้เกิดไอหมอกปกคลุมในยามเช้า บรรยากาศเหมือนฝันกันเลย ยิ่งฤดูใบไม้ร่วงบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามมากๆ
น้ำในทะเลสาบใสมากๆ ค่ะ มีน้องปลา น้องเป็ด น้องห่านแหวกว่ายโชว์ตัวกันอย่างไม่แคร์เวิลด์อะไรกันเลย บางตัวก็มายืนนิ่งๆ เป็นนายแบบให้เหล่านักท่องเที่ยวได้แชะภาพกันอย่างพอใจ จนคิดว่าเป็นพีอาร์การท่องเที่ยวหรือเปล่าทำไมถึงยืนนิ่งโพสท่าสวยๆ ได้สบายใจกันแบบนี้
ร้าน Yufuin Haikarasan สาขาสถานีรถไฟยุฟุอิน เดินจากสถานียุฟุอินประมาณ 3 นาที
GPS : https://goo.gl/maps/NfCo4ydGU1rCXyt56
เปิดให้บริการ : 10.00-17.00 น.
ร้าน Yufuin Haikarasan สาขาโรงแรม Sansuikan เดินจากสถานียุฟุอินประมาณ 8 นาที
GPS : https://goo.gl/maps/8rMvGynhnScpUBH68
เปิดให้บริการ : 10.00-17.00 น.
ที่ตั้งทะเลสาบคินริน https://goo.gl/maps/aU68LThnrkA3NzK26
ช้อปปิ้งที่ถนน Yunotsubo
เวลาแห่งการช้อปปิ้งมาถึงแล้วค่ะ โดยเราสามารถเดินจากสถานียุฟุอินผ่านถนน Yufumi แล้วเดินเข้าสู่ถนน Yunotsubo ซึ่งเป็นถนนสายเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยร้านรวง ร้านคาเฟ่สุดน่ารัก แต่ละร้านจะตกแต่งด้านหน้าร้านให้น่ารักเหมาะกับการถ่ายรูปและดึงดูดเงินในกระเป๋ามากๆ ส่วนใครเป็นสายกินก็ฟินไปสามโลกเพราะตลอดสองข้างทางมีร้านขนมชื่อดังของยุฟุอินให้เลือกชิมกันมากมายเลยล่ะค่ะ อย่างร้าน B-speak ที่มีเค้กโรลชื่อดัง แป้งนุ่ม เนื้อครีมสุดละมุนก็เป็นสิ่งที่คนมาเที่ยวยุฟุอินห้ามพลาดเด็ดขาด
ถนน Yunotsubo https://goo.gl/maps/63UEv7jdJfAVMRHn6
พักที่ Sagiri-Tei
คืนนี้เราพักที่เรียวกังสุดไพรเวต "Sagiri-Tei" เป็นที่พักแบบวิลล่ามีเพียง 10 หลังเท่านั้น พร้อมอนเซ็นส่วนตัวภายในห้อง และอนเซ็นกลางแจ้งท่ามกลางสวนญี่ปุ่น แค่เดินเข้ามาก็ประทับใจแล้วล่ะค่ะ เพราะด้านหน้าเป็นสวนญี่ปุ่นที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ตัวอาคารล็อบบี้เป็นอาคารชั้นเดียวสไตล์ญี่ปุ่นที่แอบซ่อนอยู่ในสวน ตัวอาคารแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของร้านอาหารสำหรับทานอาหารเช้าและอาหารเย็น รวมถึงอนเซ็นกลางแจ้งแยกหญิง-ชายเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ห้องพักของเราคืนนี้ค่ะ เป็นห้องแบบญี่ปุ่นปูด้วยเสื่อตาตามิและมีประตูโชจิปิดระหว่างห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำแยกเป็นห้องสุขาพร้อมเครื่องสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติและห้องอาบน้ำซึ่งมีบ่อแช่อนเซ็นเล็กๆ ที่ทำจากหิน มีกระจกที่เปิดไปพบกับสวนญี่ปุ่นสีเขียวสบายตา แช่น้ำไปชมสวนไปด้วยฟินมากๆ เลยล่ะค่ะ
ส่วนอาหารเย็นของเราในวันนี้เป็นแบบไคเซกิ มีทั้งปลากะพง ปลาหมึกยักษ์ซาชิมิ เต้าหู้อะโวคาโด ปลาอายุ และนาเบะหม้อไฟเนื้อคิวชู คอนเฟิร์มเลยว่าอร่อยทุกเมนูเลยล่ะค่ะ และไฮไลท์ของมื้อนี้อยู่ที่ Ikinari Steak สเต็กเนื้อคิวชูสุดฟินแทบละลายในปาก ที่เขาเสิร์ฟมาในกระทะร้อน อร่อยลืมโลกกันเลย
Wa no Yado Sagiritei
ที่ตั้ง : จากสถานียุฟุอินสามารถนั่งรถแท็กซี่มาได้ใช้เวลาประมาณ 8 นาที
GPS : https://goo.gl/maps/EBQctyKdvCb1k86G9
ราคา : 18,000 - 21,000 เยน/คน รวมอาหารเช้าและอาหารเย็น
ที่ตั้ง : จังหวัดมิยะซะกิ (Miyazaki)
การเดินทาง : วิธีการเดินทางไปยังทาะคะจิโฮะ (Takachiho) ที่สะดวกที่สุดนั่งรถไฟชินกันเซ็นจากสถานีฮะคะตะมายังสถานีคุมะโมโตะ ใช้เวลาประมาณ 38 นาทีค่ารถประมาณ 4,610 เยน (Unreserved Seat) จากนั้นมานั่งรถบัส Takachiho-go ไปลงที่สถานี Takachiho Bus Center ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง รถบัสมีเพียง 2 รอบ/วัน ขาไปจากคุมะโมโตะรอบเวลา 9.11 น. และ 15.31 น. ขากลับจาก Takachiho Bus Center เวลา 8.42 และ 16.57 น. ค่ารถ 2,370 เยน/คน
GPS : https://goo.gl/maps/fbEWpJ4btYe9RhLn8
ไฮไลท์ที่ห้ามพลาด
- เดินป่าชมความงามที่ซ่อนอยู่ที่หุบเขาทะคะจิโฮะ
- ทานโซเมน Nagashi Somen ที่ไหลจากรางไม้ไผ่
- สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าทะคะจิโฮะ
หุบเขาทะคะจิโฮะ
ถ้าเสิร์ชคำว่า Kyushu ในกูเกิ้ล ภาพแรกๆ ที่ปรากฏขึ้นมาคือหุบเขาที่มีโตรกธารสีเขียวมรกตไหลอยู่เบื้องล่าง พร้อมกับสายน้ำตกไหลมาเป็นสายจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่าง ภาพถ่ายที่สวยงามราวกับสรวงสวรรค์เป็นความฝันของเราที่อยากมาชมด้วยตาให้ได้สักครั้ง แล้ววันนี้ภาพนั้นอยู่ตรงหน้าของเราแล้วค่ะ ที่นี่คือหุบเขาทะคะจิโฮะ ความสวยงามสุดอลังการที่ซ่อนอยู่ในเกาะคิวชู
การเดินทางสู่ทะคะชิโฮะ บอกได้เลยว่ายากกก ถ้าจะมาต้องตั้งใจมาจริงๆ และให้เวลากับที่นี่ทั้งวัน พร้อมกันนั้นต้องดูเวลารถบัสให้ดีเลยล่ะค่ะ เพราะรถที่มาที่นี่จากคุมะโมโตะมีเพียงวันละ 1 รอบเท่านั้น การเดินทางมาที่นี่พอนั่งรถบัสมาลงที่ Takachiho Bus Center ปุ๊บก็เรียกรถแท็กซี่มาได้โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที หรือใครอยากออกแรงก็เดินมาได้ค่ะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
หุบเขาทะคะจิโฮะ นั้นเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟอะโซะ 4 ครั้ง คือเมื่อ 2 แสน 7 หมื่นปีก่อน, 1 แสน 4หมื่นปีก่อน, 1 แสน 2 หมื่นปีก่อน และครั้งสุดท้ายคือเมื่อ 9 หมื่นปีก่อน ลาวาที่ไหลลงมาในแม่น้ำ Gokase พอแข็งตัวก็ก่อให้เกิดโตรกธารหินสีดำที่มีรูปร่างแปลกตาลักษณะเป็นแท่งหินทรงเหลี่ยมเรียงกันไปตามแนวธารน้ำ ความสูงของหน้าผาเฉลี่ยประมาณ 80 เมตร และสูงสุดประมาณ 100 เมตร
ตลอดเส้นทางที่เราเดินไปสวยงามราวกับภาพวาดเลยล่ะค่ะ ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ล ต้นสนสีเขียวขจี มีมอสขึ้นปกคลุมบนพื้น อากาศเย็นสบาย ยิ่งถ้าได้มาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีคงจะสวยงามตระการตามากๆ
เราเดินเลียบหุบเขามาเรื่อยๆ เส้นทางเดินสบายมีขึ้นเนินบ้างบางครา จนมาถึงจุดไฮไลท์น้ำตก Manai no Taki ซึ่งที่นี่ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 น้ำตกที่สวยงามของญี่ปุ่น เป็นจุดที่มีน้ำตกไหลจากชะง่อนผาความสูง 17 เมตรลงมาสู่ธารน้ำเบื้องล่าง แสงพระอาทิตย์ยามบ่ายสะท้อนสายน้ำตกให้เปล่งประกายสวยงาม เรายืนตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า ภาพที่เคยดูผ่านอินเตอร์เน็ตวันนี้เราได้มาพบความงดงามนี้แล้ว
วันที่เราไปเป็นวันหลังฝนตกค่ะ เลยทำให้น้ำในลำธารค่อนข้างขุ่นเล็กน้อย ซึ่งถ้ามาช่วงที่อากาศดีๆ น้ำจะใสราวกับมรกตเลยล่ะค่ะ และจะมีบริการเรือพายราคา 2000 เยน / ลำ ลำหนึ่งนั่งได้ 3 คน ใช้ระยะเวลาพาย 30 นาทีให้บริการกับนักท่องเที่ยวด้วยค่ะ ซึ่งวันนี้โชคไม่ดีไม่มีเรือให้บริการ แต่คราวหน้าถ้าได้มาอีกจะไม่พลาดแน่นอน
การเดินทาง : จาก Takachiho Bus Center เรียกรถแท็กซี่มาได้โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที หรือเดินมาใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
ค่าเรือ : ราคา 2000 เยน / ลำ ลำหนึ่งนั่งได้ 3 คน ใช้ระยะเวลาพาย 30 นาที เปิดให้บริการเวลา 8.30 - 16.30 น.
GPS : https://goo.gl/maps/8b5w58oXkHENsL5W9
ทานโซเมน Nagashi Somen
อาหารญี่ปุ่นที่เราใฝ่ฝันอยากมากินมากๆ นั่นก็คือ Nagashi Somen คือการปล่อยเส้นโซเมนให้ไหลไปตามรางไม้ไผ่ที่ผ่าครึ่ง ส่วนเราก็รอดักคีบเส้นโซเมนนำมาจุ่มกับน้ำซอสอย่างสนุกสนาน ซึ่งต้นตำรับ Nagashi Somen อยู่ที่ทะคะชิโฮะนี่เอง โดยคนคิดค้นเมนูนี้คือเจ้าของร้าน Chiho no ie คิดค้นเมื่อปี 1955 และกลายเป็นเมนูที่โด่งดังไปทั่วญี่ปุ่น แต่วันนี้เราไม่ได้กินร้านนี้ค่ะเพราะคนเยอะมากๆ แต่ได้มากินร้าน Inakaya ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ แทน ทำเลที่ตั้งจะอยู่ใกล้กับน้ำตก Manai no Taki เลยค่ะ เดินชมน้ำตกกันแล้วก็เดินมากินโซเมนกันต่อได้เลย
วิธีการกินคือแจ้งกับทางร้านว่าจะทานเมนูโซเมน พร้อมจำนวนคน ทางร้านก็จะจัดที่นั่งให้ พร้อมกับเสิร์ฟน้ำซอสโชยุ และวาซาบิ พอถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็จะให้สัญญาณว่ากำลังจะปล่อยเส้นโซเมนแล้วนะ เราก็เตรียมดักรอคีบเส้นโซเมน มาใส่ในถ้วยที่มีน้ำซอสโชยุผสมกับวาซาบิ แล้วนำเข้าปากเลยค่ะ ความเย็นของเส้นทำให้ทานแล้วรู้สึกสดชื่นมากๆ ตัวน้ำซอสโชยุก็เค็มกำลังดีมีความฉุนจากวาซาบิเล็กน้อย ได้ทาน Nagashi Somen ในอากาศร้อนๆ แบบนี้ดีต่อใจมากๆ นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูสุดฮิตของเมืองมิยะซะกิ นั่นก็คือ Chicken Nanban ไก่ทอดราดซอสมายองเนส ที่อร่อยไม่แพ้กันเลยล่ะค่ะ ใครกลัวไม่อิ่มก็สั่งไก่พร้อมข้าวมาทานเพิ่มได้เลย
ร้าน Inakaya
เปิดบริการ : 8.30 - 17.00 น.
ราคา : Nagashi Somen ราคา 500 เยน/คน, Chicken Nanban เซ็ตละ 1,200 เยน
GPS : https://goo.gl/maps/RSiv8Eo1SwuzYmUz7
ศาลเจ้าทะคะจิโฮะ
ปิดท้ายเมืองทะคะจิโฮะ ด้วยการมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าทะคะจิโฮะ ศาลเจ้าเก่าแก่มีประวัติศาสตร์ยาวนานประมาณ 1,900 ปี โดยอาคารหลักของศาลเจ้านั้นทำจากไม้สร้างขึ้นในปี 1778 ค่ะ ตัวศาลเจ้าขนาดไม่ใหญ่มาก ร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ แค่เดินเข้ามาก็รู้สึกถึงความสงบและสบายใจเหมือนได้รับพลังงานอะไรบางอย่าง
ศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเรื่องการทำเกษตรกรรม การขับไล่สิ่งชั่วร้าย และที่สำคัญสำหรับหนุ่มสาวคือเรื่องความรักค่ะ โดยบริเวณหน้าอาคารศาลเจ้าจะมีสนคู่สึกิที่เชื่อว่าถ้าคู่รักได้มาจูงมือกันแล้วเดินวนรอบตามเข็มนาฬิกา 3 รอบจะทำให้รักกันยืนนานและมีความสุข ส่วนคนโสดอย่างเราแม้จะไม่มีใครมาให้จูงมือก็แอบเดินวนสนพร้อมอธิษฐานไปด้วย เผื่อท่านเทพจะเห็นใจประทานคู่มาให้บ้าง
บริเวณด้านหลังศาลเจ้ามีรูปปั้นเทพเจ้าที่กำลังเหยียบยักษ์ตนหนึ่งที่เชื่อว่าทำให้เมืองทะคะจิโฮะ ต้องคำสาป และมีหิน Shizumi ishi ที่เชื่อว่าถ้าเราเอามือไปวางด้านบนหินจะทำให้ความทุกข์ที่มีหมดไป ใครที่อยากมาสัมผัสความสุข ความสงบ และรับพลังดีๆ ก็มาที่นี่ได้เลยค่ะ
การเดินทาง : จาก Takachiho Bus Center เดินมาได้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
GPS : https://goo.gl/maps/TcGLxYHjtUTmaBuv7
ที่ตั้ง : จังหวัดคุมะโมโตะ (Kumamoto)
การเดินทาง : จากสถานีรถไฟฮะคะตะนั่งรถไฟไปลงอะโซะ ประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง แล้วนั่งรถบัสที่สถานีอะโซะมาประมาณ 30 นาที มีรถบัสให้บริการวันละ 5 รอบ หรือจะขับรถขึ้นไปก็ได้ค่ะ วิวสองข้างทางเต็มไปด้วยเนินเขาและทุ่งหญ้าสวยงามมากๆ
GPS : https://goo.gl/maps/NsmjTxbJKua3sMDF6
ไฮไลท์ที่ห้ามพลาด
- เดินเล่นชมวิวเทือกเขาอะโซะ
"นี่มันทุ่งหญ้าเทเลทับบีส์ชัดๆ" ใครจะคิดว่าจะมีวิวภูเขาที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวสุดลูกหูลูกตาอยู่ในญี่ปุ่นด้วย ที่นี่คือ ไดคันโบ (Daikanbo) หนึ่งในจุดชมวิวของของเทือกเขาอะโซะ ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือ โดยเราสามารถนั่งรถบัสหรือขับรถมาจอดบริเวณที่จอดรถและเดินขึ้นเนินเขามาประมาณ 500 เมตร ไม่ต้องกลัวเหนื่อยค่ะเพราะเป็นเนินเขาที่ไม่สูงชัน เดินง่ายมากๆ พอเดินขึ้นมาเราสามารถมองวิวรอบตัวได้แบบ 360 องศาโดยไม่มีอะไรบดบัง มีเพียงตัวเรา ทุ่งหญ้าสีเขียว และอ้อมกอดของขุนเขา บรรยากาศแบบนี้อยากจะแปลงกายเป็นเทเลทับบีส์แล้วไปลงวิ่งเล่นท่ามกลางทุ่งหญ้าจังเลยค่ะ
จากจุดชมวิวไดคันโบ สามารถมองเห็นวิวยอดเขาทั้ง 5 ของเทือกเขาอะโซะ ได้แก่ Nakodake, Takadake, Nakadake, Eboshidake และ Kishimadake ที่เรียงตัวกัน เขาว่ากันว่าเหมือนพระพุทธรูปกำลังนอนอยู่เลยล่ะค่ะ
ที่ตั้ง : จังหวัดคุมะโมโตะ (Kumamoto)
การเดินทาง : การเดินทางมาคุโระคะวะ อนเซ็นง่ายแสนง่ายค่ะ แม้จะไม่มีรถไฟผ่านแต่คุณสามารถนั่งไฮย์เวย์บัสได้จากสนามบินฟุคุโอกะ หรือ สถานีรถไฟฮะคะตะได้เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงค่ารถ 3,090 เยน มีรถให้บริการวันละ 4 รอบ
GPS : https://goo.gl/maps/uw5FCHPfPdh42cSSA
ไฮไลท์ที่ห้ามพลาด
- แช่น้ำร้อนในเมืองอนเซ็นในฝัน
- พักในเรียวกังท่ามกลางขุนเขา
มาเที่ยวจังหวัดคุมะโมโตะทั้งทีก็ห้ามพลาดกับการมาแช่อนเซ็นในเมืองอนเซ็นในฝันของคนญี่ปุ่นที่คุโระคะวะ อนเซ็น ที่นี่เป็นอนเซ็นที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าต้องมาแช่ให้ได้สักครั้งในชีวิต
คุโระคะวะ อนเซ็น คือเมืองอนเซ็นเล็กๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา มีลำธารน้ำไหลผ่านกลางเมือง เราสามารถเดินลัดเลาะไปตามถนนสายเล็กๆ ที่ทอดตัวขึ้นไปบนเนินเขา สองข้างทางจะเต็มไปด้วยอนเซ็นทั้งแบบอินดอร์และเอาท์ดอร์ให้เราได้เลือกแช่มากมาย พร้อมร้านคาเฟ่ ร้านเบเกอรี่หอมอร่อยที่ส่งกลิ่นเย้ายวนอบอวลไปในอากาศ
ที่นี่ประกอบไปด้วยเรียวกังประมาณ 30 แห่ง และมี 28 แห่งที่มีอนเซ็นกลางแจ้ง วิธีการแช่อนเซ็นที่นี่ให้คุ้มที่สุดแนะนำว่าควรไปติดต่อซื้อบัตร Onsen Hopping Pass หรือบัตร Nyuyou-Tegata ราคา 1,300 เยน สามารถเลือกแช่อนเซ็นได้ 3 ที่ โดยตัวบัตรจะทำเป็นไม้แผ่นกลมๆ น่ารัก ที่สามารถแขวนคอได้ ใช้เสร็จจะเก็บเป็นที่ระลึกกลับบ้านหรือนำไปแขวนที่ศาลเจ้าเล็กๆ ในเมืองได้ พิกัดซื้อบัตร Nyuyou-Tegata สามารถซื้อได้ที่เรียวกัง หรือศูนย์บริการการท่องเที่ยวของเมืองค่ะ ซึ่งที่ศูนย์บริการแห่งนี้จะมีให้บริการเช่าชุดยูกาตะ(รวมรองเท้าเกี๊ยะ) ราคา 1,500 เยน ตั้งแต่เวลา 10.00-16.30 น. เช่าจักรยาน ราคา 1000 เยน สำหรับ 2 ชั่วโมง และ 1,500 เยน สำหรับ 2-4 ชั่วโมง
Sanai Kogen Hotel
คืนนี้เราพักที่ Sanai Kogen Hotel ที่พักสไตล์เรียวกังตั้งอยู่ใกล้กับ คุโระคะวะ อนเซ็น ค่ะ ความพิเศษของเรียวกังแห่งนี้คือตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีวิวสวยระดับล้าน แถมยังมีอนเซ็นกลางแจ้งชมวิวภูเขาและยังนอนนับดาวยามค่ำคืนได้ด้วยค่ะ
ห้องพักที่นี่เป็นแบบญี่ปุ่นประยุกต์ผสมความโมเดิร์นทันสมัยแต่ไม่ทิ้งสไตล์ที่เรียบง่ายมินิมอลลิสต์แบบญี่ปุ่น ห้องพักกว้างขวาง ปูด้วยเสื่อตาตามิสีดำ เตียงนอนแบบทวินเบ้ดที่ตั้งอยู่บนพื้นไม้ยกสูง แยกส่วนห้องนอนด้วยประตูโชจิ แบ่งโซนห้องสุขา และห้องอาบน้ำพร้อมอ่างอาบน้ำออกจากกัน มีบริการชุดยูกาตะและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ส่วนมื้อเย็นวันนี้เราทานอาหารแบบไคเซกิค่ะ การจัดวางแต่ละจานของเขามันช่างละเอียดลออเห็นแล้วไม่อยากทานเลยล่ะ เพราะมันสวยงามมากๆ แต่พอได้ทานแล้วก็หมดเกลี้ยงอย่างไวเพราะรสชาติอร่อยสุดๆ
Sanai Kogen Hotel
การเดินทาง : จากป้ายรถบัสคุโระคะวะ อนเซ็นมีบริการรถชัตเติ้ลบัสไปยังโรงแรมให้บริการวันละ 7 รอบ
GPS : https://goo.gl/maps/p9dwosNQd7T4WKbBA
ราคา : 21,500 เยน/คน รวมอาหารเช้าและอาหารเย็น
"เมื่อรถไฟไม่ได้เป็นแค่พาหนะในการเดินทาง แต่กลับเป็นสถานที่แห่งความสุขเคลื่อนที่ได้ที่พาเราไปค้นพบความสุขแห่งใหม่"
วันนี้ชิลไปไหนได้มาลองใช้บริการรถไฟขบวนนี้โดยเรานั่งจากสถานี Bungomori ไปยังสถานี Kurume ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
ยุฟุอิน โนะ โมะริ ขบวนรถไฟของ JR Kyushu ที่เต็มไปด้วยความฝันเปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1989 เชื่อมต่อระหว่างฮะคะตะกับยุฟุอิน และมีบางขบวนที่วิ่งไปถึงเบปปุ รถไฟขบวนสีเขียวคันนี้เป็นผลงานของ Mitooka Eiji นักออกแบบและผู้ก่อตั้งดง ดีไซน์ แอสโซซิเอทส์ (Don Design Associates) และเป็นผู้พลิกฟื้นให้คิวชู เรลเวย์ คอมปานี (เจอาร์ คิวชู) พ้นจากสภาพการขาดดุล
คำว่า Yufuin no Mori แปลว่าป่าไม้ของยุฟุอิน การออกแบบจึงเน้นใช้สีเขียว ส่วนภายในเน้นใช้วัสดุจากไม้ และผ้า มีบริการห้องน้ำ ห้องสเบียงที่เราสามารถไปสั่งข้าวกล่องรถไฟ (Ekiben) ขนม เครื่องดื่ม ของที่ระลึกต่างๆ รวมทั้งมีมุมแจกโปสการ์ดรูปรถไฟฟรีพร้อมมีที่ให้ประทับตรารูปรถไฟให้เราได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก
ข้าวกล่องบนรถไฟที่ดีไซน์น่ารัก น่าเก็บมากๆ ค่ะ โดยชื่อว่า Orizuru Bento ราคา 1,500 เยน จากร้านซูชิ Takemoto ในเมืองคิตะคิวชู เป็นร้านที่ได้รับมิชลิน 1 ดาว ข้าวกล่องรถไฟกล่องนี้แบ่งเป็นสองชั้น ชั้นล่างเป็นข้าวปั้น ส่วนชั้นบนเป็นปลา ไข่หวาน ผัก เต้าหู้ที่บรรจุมาอย่างสวยงาม ห่อด้วยกระดาษสาสีม่วง พร้อมกับมีสายรัดสีเขียวน่ารัก ส่วนรสชาติให้ 10 ผ่านกันเลยค่ะ อร่อยจริงๆ ยิ่งกินบนรถไฟ ชมวิวสองข้างทางที่เต็มไปด้วยป่าไม้และสายน้ำยิ่งทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยเพิ่มขึ้นอีก
ใครที่อยากตามรอยรถไฟขบวนนี้แนะนำว่าควรจองล่วงหน้า 1 เดือนค่ะ โดยสามารถเข้าไปจองออนไลน์ในเว็บไซต์ของ JR Kyushu เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะโชคร้ายไม่ได้นั่ง เพราะรถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟท่องเที่ยวที่ฮอตฮิตติดลมบนในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย จีน และเกาหลีมากๆ
ที่ตั้ง : จังหวัดฟุคุโอกะ (Fukuoka)
การเดินทาง : การเดินทางจากสถานี Nishitetsu Fukuoka (Tenjin)นั่งรถไฟสาย Nishitetsu Tenjin-Omuta Line มาลงสถานี Nishitetsu Yanagawa ใช้เวลาเดินทาง 50 นาที ค่ารถไฟ 850 เยน
GPS : https://goo.gl/maps/sWo7ehCnUPVazKUx9
ไฮไลท์ที่ห้ามพลาด
- ชมความเป็นมาของเมืองยะนะกะวะ ที่ Ohana
- ล่องเรือในคลองยะนะกะวะ
Ohana
เที่ยวจังหวัดต่างๆ ในคิวชูกันไปแล้ว ถึงเวลาที่เราจะเขยิบเข้ามาเที่ยวในจังหวัดฟุคุโอกะกันค่ะ ซึ่งจากตัวเมืองฮะคะตะ เราสามารถนั่งรถไฟสาย Nishitetsu มายังเมืองยะนะกะวะ เมืองแห่งคลองได้โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาทีเท่านั้น ซึ่งสถานที่แรกที่เราจะพามาเที่ยวก็คือ Ohana สถานที่ที่รวบรวมเรื่องราวของเมืองยะนะกะวะเอาไว้ ใครอยากทำความรู้จักเมืองนี้แนะนำว่ามาที่นี่ก่อนที่แรกเลยค่ะ
เดินเข้ามาก็แปลกตากับอาคารสีขาวทรงโคโรเนียลที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนญี่ปุ่น เพราะที่นี่ในอดีตคือคฤหาสน์ของตระกูลทาจิบานะ เจ้าเมืองยะนะกะวะรุ่นที่ 5 ที่สร้างที่นี่ไว้เพื่อพักผ่อนกับครอบครัวในปี 1738 และต่อมาในปี 1910 ทายาทรุ่นที่ 15 ก็ได้มีการสร้างอาคารทรงโคโรเนียลสีขาวขึ้นมา มีการนำเข้าอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากต่างประเทศมาผลิตไฟฟ้าใช้เองเรียกว่าเป็นตระกูลที่รุ่งเรืองที่สุดในสมัยนั้นกันเลยล่ะค่ะ แต่หลังจากญี่ปุ่นเข้าสู่สงคราม เศรษฐกิจเริ่มฝืดเคืองตระกูลทาจิบานะต้องหาเงินมาจ่ายภาษีบ้านให้กับรัฐบาล จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงที่นี่ให้กลายเป็นโรงแรมในสมัยทายาทรุ่นที่ 16 และปัจจุบันอาคารแห่งนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวของตระกูลทาจิบานะที่ดำเนินไปพร้อมกับเมืองยะนะกะวะ พร้อมกันนั้นยังเป็นสถานที่จัดเลี้ยง และเปิดให้บริการโรงแรมสุดหรูอีกด้วย
การเดินทาง : จากสถานี Nishitetsu Yanagawa นั่งแท็กซี่มาใช้เวลา 10 นาที
เปิดให้บริการ : 9.00 - 18.00 น.
ค่าเข้า : 700 เยน
GPS : https://goo.gl/maps/TktMWvZSKSevKyNr5
พักที่ Yanagawa Hakuryuso
สำหรับค่ำคืนนี้เราเลือกพักที่ Yanagawa Hakuryuso ที่พักสไตล์เรียวกังพร้อมห้องอาบน้ำสาธารณะ ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองยะนะกะวะ ห้องพักออกแบบในสไตล์ญี่ปุ่นปูเสื่อตาตามิ มีห้องสุขาและห้องอาบน้ำแยกออกจากกัน ความพิเศษของห้องนี้คือเมื่อเราเปิดประตูโชจิไปจะพบกับระเบียงพร้อมที่นั่งชมสวนสไตล์ญี่ปุ่นด้านล่างของโรงแรมที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม
ส่วนอาหารมื้อนี้เป็นอาหารแบบไคเซกิอีกแล้วค่า แต่ความพิเศษของมื้อนี้คือเขาเน้นใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น เช่น ปลา และหอยที่มีเฉพาะในท้องถิ่น พร้อมกันนั้นยังมีปู ซาชิมิ ข้าวหน้าปลาไหล ปลาตาเดียว เทมปุระ และของหวาน ที่จัดมาให้อย่างไม้ยั้ง เสิร์ฟอาหารโดยคุณป้าชาวยะนะกะวะที่น่ารักมากๆ เลยล่ะค่ะ พอรู้ว่าเรามาจากเมืองไทยก็ชวนถาม ชวนคุยอยู่ตลอดเวลา และคอยอธิบายเรื่องราวของอาหารยะนะกะวะให้ฟัง
การเดินทาง : จากสถานี Nishitetsu Yanagawa นั่งแท็กซี่มาใช้เวลา 5 นาที
ราคาเริ่มต้น : 11,880 เยน/คน รวมอาหารเช้าและเย็น
GPS : https://goo.gl/maps/7sZfNVvBgY6ays2p8
ล่องเรือในคลองยะนะกะวะ
เช้านี้หลังจากทานข้าวเช้าและเช็คเอาท์แล้วเราก็เดินทางไปยังท่าเรือของ Yanagawa kanko ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการเรือท่องเที่ยวที่ล่องไปในคลองยะนะกะวะ โดยใช้เวลาล่องประมาณ 60 นาที ภายในคลองที่คดเคี้ยวไปมาซึ่งว่ากันว่าถ้านำคลองนี้มาคลี่ออกจะได้ระยะทางประมาณ 960 กิโลเมตร เท่ากับระยะทางที่นี่ไปยังเมืองเกียวโตกันเลยล่ะค่ะ สาเหตุที่ต้องทำคลองให้คดเคี้ยวก็เพื่อป้องกันปราสาทยะนะกะวะในอดีต และไม่ให้ศัตรูเข้าสู่ตัวปราสาทได้ง่าย
เห็นคลองเมืองยะนะกะวะแล้วคิดถึงเมืองไทยที่อดีตนั้นกรุงเทพฯ เคยได้รับสมญานามว่าเวนิสตะวันออก แต่ในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับถนนมากกว่าเลยมีการถมคูคลองและไม่ค่อยรักษาความสะอาดในคลองกันสักเท่าไร ซึ่งที่เมืองยะนะกะวะแห่งนี้ก็เคยประสบปัญหามลพิษในน้ำเพราะเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนมาทานน้ำจากก๊อก เลยทำให้มีการทิ้งน้ำเสียลงไปส่งผลให้น้ำในคูคลองเน่าเหม็น ทางรัฐบาลเลยวางแผนจะถมคลองที่สกปรกเพื่อสร้างถนน เมื่อชาวเมืองยะนะกะวะได้รู้ข่าวว่ารัฐบาลจะถมคลองก็เลยเกิดการหวงแหนขึ้นมาค่ะ และมีข้าราชการคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้ชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์และรักษาความสะอาดของลำคลองจนปัจจุบันคลองเหล่านี้ของยะนะกะวะยังคงอยู่ไม่ถูกถมทำถนน และด้วยการดูแลของชาวเมืองทำให้ลำคลองยะนะกะวะยังคงใสสะอาดมาจนถึงทุกวันนี้
การล่องเรือในคลองของยะนะกะวะจะใช้เรือแจวแบบโบราณที่ลำหนึ่งจะนั่งได้ประมาณ 20 คน มีคุณลุง คุณพี่ใส่ชุดคนแจวเรือแบบโบราณพาเราล่องไปในลำคลองพร้อมกับเล่าเรื่องราวต่างๆ ถ้าอยากให้คุณลุงร้องเพลงก็รีเควสท์ได้ค่ะ คุณลุง คุณพี่ที่นี่เสียงดีทุกคนเลย การล่องเรือของที่นี่แนะนำว่าถ้าหน้าร้อนควรมาตอนเช้า ส่วนถ้าเป็นหน้าใบไม้ร่วงทั้งสองข้างทางจะเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิเราจะได้ชื่นชมความงามของซากุระที่อยู่สองฝั่งคลองงดงามมากๆ
ค่าบริการ : 1600 เยน/คน โดยจะมีบริการรับส่งที่สถานที่ Nishitetsu Yanagawa หรือสามารถซื้อพาสที่รวมตั๋วเรือและตั๋วรถไฟไปกลับจากสถานี Nishitetsu Fukuoka (Tenjin) ที่ให้เราแวะเที่ยวศาลเจ้าดะไซฟุได้ด้วยราคา 2,930 เยน
GPS : https://goo.gl/maps/dGxKc1wmsvFeZVLs5
ที่ตั้ง : หมู่บ้านโฮชิโนะ เมืองยะเมะ จังหวัดฟุคุโอกะ (Fukuoka)
การเดินทาง : จากสถานีฮะคะตะนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Chikogo-Yoshii ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงค่ารถ 2,110 เยน (Unreserved Seat) แล้วนั่งแท็กซี่มาประมาณ 28 นาที
GPS : https://goo.gl/maps/f4V55HpNyVq5X5ML8
ไฮไลท์ที่ห้ามพลาด
- เวิร์คช้อปทำขนมวากาชิทานกับชาเขียว
- ทาน Cha Soba โซบะจากชาเขียว
ใครที่อยากสัมผัสชาเขียวแท้ๆ ต้องมาที่นี่เลยค่ะ หมู่บ้านโฮชิโนะ เมืองยะเมะ จังหวัดฟุคุโอกะ แหล่งปลูกชาเขียวที่ขึ้นชื่อในคิวชู ด้วยสภาพอากาศที่มีความชื้นสูง มีหมอกในตอนเช้าทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการปลูกชา ซึ่งวันนี้เราไม่ได้มาดูกรรมวิธีในการปลูกชาเขียวแต่เราจะมาทำขนมหวานหรือวากาชิที่ทานคู่กับชาเขียวกันค่ะที่ พิพิธภัณฑ์ชา (Cha no Bokukan) ในเมืองยะเมะแห่งนี้
ค่าเวิร์คช้อปราคา 1500 เยนต่อคนต้องจองล่วงหน้า 7 วันและรับจองสำหรับกรุ๊ป 7 คนขึ้นไปเท่านั้น วันนี้เรามาทำเมนูที่ชื่อว่า Nerikiri ที่ทำจากส่วนประกอบหลักได้แก่ถั่วเหลือง น้ำตาล และมันเทศญี่ปุ่น วิธีการทำก็ง่ายมากๆ แค่ปั้นตามเซ็นเซย์ผู้สอนเท่านั้นค่ะ แต่การปั้น การนวด ต้องใจเย็นนะคะ ถ้านวดไม่ดีอาจจะทำให้แป้งไม่นุ่มส่งผลให้ตอนปั้นขนมแตกไม่สวยเหมือนเพื่อนข้างๆ ใช้เวลาทำเพียง 40 นาทีเราก็จะได้ Nerikiri 2 ชิ้นหน้าตาน่ารักคาวาอี้ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะเสิร์ฟชาเขียวร้อนๆ ให้เราพร้อมกับขนมวากาชิเล็กจิ๋วอีก 2 ชิ้นให้ทานคู่กับชา ซึ่งชาเขียวกับขนมนั้นอยู่ในแพ็คเกจ 1500 เยนที่เราจ่ายไปแล้วค่ะ
รสชาติของขนมจะหวานนำจากน้ำตาล ถั่วเหลือง แต่เมื่อทานคู่กับชาเขียวที่มีรสขมมันช่างตัดกันดีมากๆ ค่ะ ได้นั่งทานขนมจิบชาพร้อมชมวิวภูเขาเมืองยาเมะไปด้วยฟินดีต่อใจเหลือเกิน
รสชาติของขนมจะหวานนำจากน้ำตาล ถั่วเหลือง แต่เมื่อทานคู่กับชาเขียวที่มีรสขมมันช่างตัดกันดีมากๆ ค่ะ ได้นั่งทานขนมจิบชาพร้อมชมวิวภูเขาเมืองยาเมะไปด้วยฟินดีต่อใจเหลือเกิน
นอกจากจะมีสอนเวิร์คช้อปแล้วที่นี่ยังมีโซนร้านอาหาร โดยมีเมนูไฮไลท์อย่าง Cha Soba โซบะที่ทำจากชาเขียวเสิร์ฟมาพร้อมน้ำซอสโชยุ ผักดอง ข้าวกล้อง เต้าหู้ชาเขียว และผักต้มพร้อมกับสั่งปลายามาเมะย่างเกลือทั้งหมดนี้ราคา 1600 เยน
พักที่ Oriental Hotel Fukuoka Hakata Station
เราเดินทางกลับเข้ามายังฮะคะตะ โดยคืนสุดท้ายเราเลือกพักที่ Oriental Hotel Fukuoka Hakata Station เป็นโรงแรมที่ทำเลดีมากๆ เพราะอยู่ติดกับสถานีฮะคะตะเลย และยังติดกับทางเข้ารถไฟใต้ดินที่ชนิดว่าโผล่จากรถไฟฟ้าใต้ดินมาก็เจอโรงแรมเลยล่ะค่ะ ส่วนห้องพักแม้จะเป็นห้องที่เล็กที่สุดในบรรดาที่พักในทริปนี้แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันค่ะ (แต่เสียดายห้องน้ำเป็นแบบชาวเวอร์ไม่มีอ่างอาบน้ำ) ใครอยากมาพักที่พักเดินทางสะดวกแบบนนี้ก็จองมาพักที่นี่ได้เลย
ราคา : ห้องพักเริ่มต้นประมาณ 5450 เยน
GPS : https://goo.gl/maps/M2H1etXpX52wjR6u8
ลิ้มรสหม้อไฟไก่ Mizutaki (chicken hot pot) ที่ร้าน Hakata Hanamidori
มื้อเย็นมื้อสุดท้ายของทริปนี้ไม่ใช่ไคเซกิแล้วค่า วันนี้เราเปลี่ยนแนวมาทานหม้อไฟกันซึ่งในเมืองฮะคะตะมีอาหารที่ขึ้นชื่อก็คือหม้อไฟไก่ Mizutaki และร้านดังที่มีเมนูนี้คือร้าน Hakata Hanamidori ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีฮะคะตะ และยังสามารถเดินจากที่พักมาที่ร้านได้เลย
พอเข้าร้านมาปุ๊บพนักงานก็จะพาไปยังที่นั่ง จากนั้นพนักงานจะเริ่มนำหม้อน้ำซุปที่มีเนื้อไก่พร้อมแก้วเล็กๆ มาตั้งตรงหน้า ระหว่างนี้อย่าเพิ่งทำอะไร นั่งนิ่งๆ เพราะน้องพนักงานจะคอยมาบริการเริ่มจากตักน้ำซุปใส่แก้วเล็กที่ผสมต้นหอมกับเกลือแล้วให้เราชิมน้ำซุปก่อน จากนั้นก็ตักเนื้อไก่ใส่ถ้วยแล้วรินซอสพอนสึลงไปให้เราได้ลิ้มรสเนื้อไก่นุ่มๆ เหมือนเป็นการปรับรสชาติในปากของเราก่อน พอไก่ที่เราทานหมดน้องพนักงานคนเดิมก็มาปั้นไก่สับหย่อนลงไปในหม้อ ตามด้วยเครื่องใน คอลลาเจน ก็เป็นสัญญาณให้เราเริ่มปฏิบัติการใส่ผัก ใส่เต้าหู้ลงไปได้ตามชอบใจ ตัวน้ำซุปหอมอร่อยมากๆ เวลาทานเราจะรินน้ำจิ้มพอนสึที่มีรสชาติเปรี้ยวๆ เค็มๆ ลงไปเล็กน้อย หลังจากที่ทานเสร็จน้องพนักงานคนเดิมจะนำข้าวและไข่ใส่ลงไปกลายเป็นข้าวต้มปิดท้ายมื้อนี้ที่อิ่มและอร่อยมากๆ
ราคา : คนละ 3400 เยน/คน
GPS : https://goo.gl/maps/PYXd8NQpeKGkwQvr8
Day 5
เตรียมโบกมือลาคิวชูและเดินทางกลับสู่เมืองไทยด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ไฟลท์บินสู่ดอนเมืองเวลา 7.55 น.
แต่ก่อนเมื่อมีคนเคยถามเราว่าคิวชูอยู่ที่ไหนในญี่ปุ่น เราจะรีบเสิร์ชหาแผนที่ของญี่ปุ่นและบอกจุดใต้สุดในแผนที่ที่เป็นที่ตั้งของเกาะคิวชู แต่หลังจากทริปนี้ถ้ามีคนมาถามเราว่าคิวชูอยู่ที่ไหน เราก็จะตอบกลับไปทันทีว่า "คิวชูก็อยู่ที่ใจนี่ไง" เพราะคิวชูสำหรับเรานั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ให้เราออกเดินทางค้นหาและตกหลุมรักได้อย่างไม่มีวันเบื่อเลยล่ะค่ะะ
ขอบคุณผู้สนับสนุนการเดินทาง : องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO)
www.jnto.or.th
Tags: ญี่ปุ่น เที่ยวต่างแดน เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวคิวชู japan kyushu ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่พักญี่ปุ่น ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านญี่ปุ่น ที่กินญี่ปุ่น ที่เที่ยวคิวชู ที่พักคิวชู ร้านอาหารคิวชู ร้านคิวชู ที่กินคิวชู การเดินทางในญี่ปุ่น การเดินทางในคิวชู แผนที่ญี่ปุ่น แผนที่คิวชู ฟุคุโอก JNTO ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ สายการบินไปญี่ปุ่น สายการบินไปคิวชู thai airasia x airasia ฮะคะตะ Hakata ฮิตะ Hita ยุฟุอิน Yufuin ทะคะจิโฮะ Takachiho มิยะซะกิ Miyazaki ไดคันโบ Daikanbo คุมะโมโตะ kumamoto คุโระคะวะ อนเซ็น Kurokawa Onsen ยุฟุอิน โนะ โมะริ Yufuin No Mori ยะนะกะวะ Yanagawa
เที่ยวต่างประเทศ | 21 พ.ย. 2024 | 312 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 12 พ.ย. 2024 | 302 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 919 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 1,224 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 24 ก.ย. 2024 | 975 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ย. 2024 | 1,809 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 30 ก.ค. 2024 | 2,725 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 19 ก.ค. 2024 | 5,464 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 2,729 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 1,014 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 18 เม.ย. 2024 | 3,823 อ่าน