calendar_month 20 มิ.ย. 2019 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 100,688 / ทริปตัวอย่าง
"ตกหลุมรัก" คืออาการที่เราใช้ระหว่างคนกับคน แต่วันนี้เราตกหลุมรักสองเมืองน่ารัก "สงขลา" "พัทลุง" สองเมืองในภาคใต้ที่ไม่ได้มีไฮไลท์ที่น้ำทะเลใสหรือหาดทรายสีขาว แต่ไฮไลท์ของเมืองนี้คือธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ อาหารการกิน และรอยยิ้มของผู้คน ที่ทำให้เราเกิดอาการ Falling In Love หลังจากการเดินทางทริป 3 วัน 2 คืน บนเส้นทางสงขลา พัทลุง
ใครที่อยากลองมาตกหลุมรักสองเมืองน่ารักแห่งนี้กันสักครั้ง ก็ลองตามไปชมการเดินทางนี้กันเลย
คำเตือน : ระวังอาการ สงขลา&พัทลุงแอดดิคท์ ที่จะเกิดขึ้นระว่างการเดินทาง
การเดินทางครั้งนี้เริ่มตอนเช้าตรู่ เราเลือกเที่ยวบินที่ออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าสู่สนามบินหาดใหญ่เพื่อจะได้มีเวลาเที่ยวให้เยอะที่สุด พอถึงหาดใหญ่ปุ๊บก็เช่ารถขับเข้าเมืองหาดใหญ่ก่อนเลยค่ะ จุดมุ่งหมายในเช้านี้คือร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ เพื่อหาเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นในยามเช้า และไล่ความง่วงเหงาหาวนอนจากอาการตื่นเช้ามืดของเราให้ออกไป เพราะวันนี้มีแพลนตะลุยหาดใหญ่-สงขลากันทั้งวัน
ที่ตั้งของ ร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ ตั้งอยู่ริมถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 5 ใครที่กังวลว่าจะหาที่จอดรถยากไหม หมดกังวลได้เลย เพราะมีที่จอดรถให้บริการเยอะมากๆ สามารถจอดได้ประมาณ 30 คันกันเลยทีเดียว
ตัวร้านตกแต่งสไตล์ลอฟต์โดดเด่นด้วยโทนสีเข้มและกระจกรอบตัวร้าน แบ่งเป็น 2 ชั้น มีที่นั่งให้บริการทั้งด้านในและด้านนอกร้าน จะเลือกนั่งชิลจิบกาแฟคนเดียวบนบาร์ยาวริมกระจกพร้อมชมบรรยากาศของเมืองหาดใหญ่ หรือจะเลือกนั่งเมาท์มอยกับเพื่อนในโต๊ะที่นั่งแบบ 4 คนก็ดี พร้อมกันนั้นยังมีปลั๊กและไวไฟให้บริการ
ที่เราชอบที่สุดคือมุมบริเวณชั้น 2 ค่ะ ด้วยการดีไซน์ของหลังคาสูงและกระจกรอบตัวร้านทำให้ร้านดูโปร่งโล่งสบายตา แม้จะอยู่บนชั้น 2 ก็ไม่รู้สึกอึดอัดเลย นอกจากนี้ยังมีห้องน้ำแยกหญิงชายที่รับประกันว่าสะอาดมากๆ ให้บริการบริเวณด้านหลังของร้านอีกด้วย
พอเลือกที่นั่งได้ปุ๊บก็ตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์เลือกเครื่องดื่มกันก่อนเลยค่ะ เราสองคนสั่งคาปูชิโน่เย็นและเอสเพรสโซ่เย็น ตัวกาแฟหอมอร่อยมากๆ เพราะเขาใช้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าแท้ 100 %
ไม่ใช่เพียงรสชาติกาแฟที่ทำให้เราติดอกติดใจ ทางร้านยังคำนึงถึงสภาพแวดล้อมด้วยการใช้แก้วไบโอคัพที่ผลิตจากพืชธรรมชาติ 100% ย่อยสลายได้โดยธรรมชาติภายใน 180 วัน และยังดีไซน์ฝาแบบไม่ต้องใช้หลอดช่วยลดขยะพลาสติก โดยสามารถยกดื่มจากฝาได้เลย
ส่วนใครที่ยังติดการใช้หลอดเขาก็เลือกใช้หลอดแบบ Biodegradable ที่สามารถย่อยสลายโดยธรรมชาติได้ 100% เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งนอกจากจะได้ทานกาแฟหอมอร่อยแล้วเรายังสามารถช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วยนะ เรียกได้ว่า ดื่มเครื่องดื่มอินทนิลแก้วเดียว ได้ทั้งความสดชื่น ได้ทั้งความกรีนไปเต็มๆ
ที่ตั้ง : ร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ ถ. นิพัทธ์สงเคราะห์ 5 ต. หาดใหญ่ อ. หาดใหญ่ จ.สงขลา
เปิดบริการ : เปิดบริการทุกวันเวลา 7.00 - 19.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 094-907-3399
GPS : https://goo.gl/maps/ZWgbTwKMSwC2ZSfc9
ได้กาแฟไปเช้านี้ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ แต่ท้องก็เริ่มหิวเลยตกลงกันว่าจะไปหาร้านอร่อยๆ ในหาดใหญ่ทาน เพื่อนสาวจึงปิ๊งขึ้นมาว่าเคยมาหาดใหญ่แล้วติดใจร้านติ่มซำสุดอร่อยที่ชื่อ "โชคดีแต่เตี้ยม" ร้านเด็ดร้านดังที่ใครมาที่นี่ก็ต้องไปทาน ที่ตั้งของร้านตั้งอยู่ริมถนนละม้ายสงเคราะห์ทั้งสองฝั่ง ฝั่งแรกจะเป็นโซนที่เราต้องมารับเบอร์โต๊ะและเลือกติ่มซำที่วางเรียงรายใส่ในถาดบอกเลยว่าน่ากินไปซะทุกอย่าง เผลอแพร็พเดียวหยิบกันมาซะเต็มถาดจนพี่เจ้าของร้านต้องทักว่ากินไหวเหรอหนู เราเลยตอบไปว่าสบายมากๆ ค่า
พอเลือกได้แล้วก็ยื่นถาดติ่มซำให้พี่พนักงานนำไปอุ่น แล้วเราก็เดินสวยๆ ไปนั่งรอที่ตัวร้านฝั่งตรงข้าม หรือใครอยากจะนั่งฝั่งนี้ก็ได้ค่ะ แต่ที่นั่งค่อนข้างน้อย อีกฝั่งหนึ่งที่นั่งจะเยอะกว่า พอมาถึงโต๊ะก็สั่งเครื่องดื่มที่มีทั้งกาแฟ ชา ร้อนเย็น น้ำสมุนไพรและบะกุ๊ดเต๋ ซึ่งเป็นเมนูดังของร้าน ยัยเพื่อนสาวเชียร์ใหญ่ว่าเธอต้องกินบะกุ๊ดเต๋ของร้านนี้เพราะมันดีงามมากๆ
นั่งรอไม่นานพี่พนักงานก็ยกทุกอย่างมาเสิร์ฟตรงหน้า อยากจะร้องโอ้โหววววว ให้ยาวไปถึงยะลา ทำไมมันน่ากินแบบนี้ ทั้งขนมจีบ ฮะเก๊า ซาลาเปาไส้หมูแดง ไส้ครีมลาวา ราคาเริ่มต้นเข่งละ 20 บาทเท่านั้น ส่วนบะกุ๊ดเต๋ก็เลอค่าไม่แพ้กัน ดูจากสีน้ำซุปตอนแรกนึกว่าจะเค็มแต่พอกินเข้าไปคำแรกไม่เค็มเลยอ่ะแกรรร หอมอร่อย รสชาติกำลังดี ซดเปล่าๆ ได้เลยไม่ต้องมีข้าว ตัวเนื้อหมูก็ใส่ทั้งซี่โครง หัวหมู หางหมูต้มจนเปื่อยกลายเป็นเนื้อคอลลาเจนแทบจะละลายในปาก และยังมีเห็ดหอม เห็ดเข็มทอง ฟองเต้าหู้ ชามนี้จริงๆ กินได้ 3 คนเลยก็ยังไหว
ที่ตั้ง : โชคดีแต่เตี้ยม 58/25 ซ.ละม้ายสงเคราะห์ 1 สงขลา
เปิดบริการ : ทุกวันเวลา เวลา 6.00-12.00 น. และ 17.00-22.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 081-276-6251
GPS : https://goo.gl/maps/7MJ81NrUNYFjESJWA
เมื่อท้องอิ่มแล้วก็ไปตะลุยเที่ยวในตัวเมืองหาดใหญ่กันต่อ เพื่อนสาวชวนไปนั่งเคเบิลคาร์เธอบอกว่าอารมณ์เหมือนอยู่ต่างประเทศเลยนะ ซึ่งเคเบิลคาร์ นครหาดใหญ่แห่งนี้เป็นเคเบิลคาร์ที่แรกและที่เดียวในเมืองไทย ตั้งอยู่บนยอดเขาคอหงส์ ทางขึ้นของเคเบิลคาร์ต้องขับรถขึ้นไปค่ะ ทางค่อนข้างชันแต่ถนนดีทีเดียวเลยทำให้ขับรถไม่ยากมาก และความสูงของภูเขาจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ประมาณ 371 เมตรเท่านั้น ด้านบนจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมงคลมหาราช พระพุทธรูปประจำเมืองหาดใหญ่ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติมีความสูงถึง 19.90 เมตร ตั้งตระหง่านงดงามหันพระพักตร์ไปทางเมืองหาดใหญ่ และยังมีจุดชมวิวที่สามารถชมวิวพระอาทิตย์ลาลับหลังทิวเขาโดยมีแบ็คกราวด์เป็นเมืองหาดใหญ่ได้อย่างสวยงาม
เสียดายว่าวันนี้เรามาตอนบ่ายจึงไม่สามารถนั่งชมพระอาทิตย์ตกได้ แต่คราวหน้าถ้าได้มาเยือนหาดใหญ่อีกครั้งต้องไม่พลาดแน่นอนค่ะ
หลังจากขอพรพระพุทธมงคลมหาราชและถ่ายรูปกับจุดชมวิวกันแล้วก็ถึงเวลาไปนั่งเคเบิลคาร์กันค่ะ ซึ่งเคเบิลคาร์ของที่นี่สามารถนั่งได้สูงสุด 8 คน ระยะทางไม่ไกลมากประมาณ 525 เมตร ตัวกระเช้าดูแน่นหนาปลอดภัยมีกล้องวงจรปิดภายในกระเช้าทุกตัว
กระเช้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากสถานีแรกผ่านภูเขาเบื้องล่างที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้มากมาย ซึ่งถ้าไม่ได้นั่งกระเช้ามาจะมีถนนเล็กๆ ที่สามารถขับรถขึ้นไปได้ด้วยค่ะ แต่ทางค่อนข้างชันเลยทีเดียว และจากกระเช้าเรายังสามารถมองเห็นวิวเมืองหาดใหญ่ได้อย่างสวยงาม บรรยากาศตอนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งกระเช้านองปิงฮ่องกงเลยล่ะค่ะ
ใช้เวลาประมาณ 3 นาที ก็มาถึงสถานีฝั่งตรงข้าม ด้านบนเป็นที่ประดิษฐานของศาลท้าวมหาพรหมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย สังเกตว่าที่นี่ค่อนข้างได้รับความนิยมในหลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพราะมีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและสิงคโปร์เชื้อสายจีนมากราบไหว้มากมายเลยล่ะค่ะ พร้อมกับเสียงประทัดขอพรที่ดัง โป้ง ปั้ง อยู่ตลอดเวลา
ที่ตั้ง : เคเบิลคาร์ นครหาดใหญ่ เขาคอหงส์ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
เปิดบริการ : วันอังคาร - วันอาทิตย์เวลา 8.30 - 17.00 น.
ค่าบริการ : ชาวไทย ผู้ใหญ่ 100 บาท
เด็ก (สูงไม่เกิน 150 ซ.ม.) 50 บาท
เด็กสวมเครื่องแบบนักเรียน/นักศึกษา
และผู้ใหญ่สวมเครื่องแบบข้าราชการ 50 บาท
ชาวต่างชาติ 200 บาท
เบอร์ติดต่อ : 074-200-000
GPS : https://goo.gl/maps/PX17QDz5frR7VJFP8
เที่ยวเมืองใหญ่อย่างหาดใหญ่กันไปแล้วก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่เมืองสงขลา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีเราก็มาถึงตัวเมืองเก่าของสงขลาบรรยากาศแตกต่างจากหาดใหญ่โดยสิ้นเชิง เป็นเมืองเล็กๆ สุดสงบ คนไม่พลุกพล่านเท่าไร ภายในเมืองเต็มไปด้วยตึกเก่ามากมายทำให้เราสองคนตื่นเต้นกันใหญ่เลยล่ะค่ะ เพราะบรรยากาศมันมีความคล้ายเมืองเก่าอย่างภูเก็ต แต่ความต่างคือรถราไม่ขวักไขว่และเรายังสามารถสัมผัสวิถีชีวิตของชาวสงขลาพื้นถิ่นที่ประกอบไปด้วยชาวไทย ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวไทยมุสลิมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
รถของเรามาหยุดตรงหน้าที่พัก ตีกเก่า 3 ชั้น ตั้งโดดเด่นอยู่บริเวณช่วงกลางของถนนนางงาม ชื่อว่าบ้านในนคร บูติกโฮเต็ล ที่พักแห่งนี้มีมิตรสหายที่สนิทของเราแนะนำว่าต้องมาพักที่นี่ให้ได้เพราะน่ารักมากมายเลยล่ะค่ะ
บ้านในนคร ที่พักเล็กๆ ที่มีห้องพักให้เลือก 6 ห้อง และแต่ละห้องตกแต่งไม่เหมือนกันเลย เจ้าของที่พักแห่งนี้คือพี่ดนัย โต๊ะเจ อดีตลูกเรือสายการบินที่ผันตัวมาเปิดที่พักเล็กๆ แห่งนี้บนถนนนางงาม พี่ดนัยเล่าให้เราฟังว่าตนเป็นเจ้าของบ้านลำดับที่ 4 โดยเจ้าของบ้านคนแรกคือพระนิเทศโลหสถาน นักภูมิศาสตร์ชาวศรีลังกาที่เดินทางเข้ามาสำรวจเหมืองแร่ในภูเก็ตช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ต่อมาในช่วงต้นรัชสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ท่านได้ย้ายมาอยู่จังหวัดสงขลาและได้เช่าบ้านแห่งนี้เป็นที่พักอาศัย กาลเวลาล่วงเลยไปบ้านหลังนี้ตกทอดไปสู่เจ้าของคนใหม่ สุดท้ายพี่ดนัยก็ได้มาพบตึกแห่งนี้ที่ประกาศขาย พี่ดนัยเลยตัดสินใจซื้อและสร้างให้ที่นี่เป็นบ้านสำหรับนักเดินทาง บอกเล่าเรื่องราวของเมืองและผู้คนของสงขลาผ่านของตกแต่งเช่น ผ้าปาเต๊ะ สัญลักษณ์ของภาคใต้ และใช้ของตกแต่งเก่าแก่ที่เจ้าของลำดับที่ 3 มอบให้ มาเพิ่มสีสันความสดใสเข้าไปปลุกให้บ้านอายุกว่า 100 ปีแห่งนี้มีลมหายใจ และพร้อมที่จะเล่าเรื่องราวของเมืองแห่งนี้ให้นักเดินทางอย่างเราฟัง
ห้องพักที่เราเลือกเป็นห้องสีแดง โดดเด่นด้วยการตกแต่งผนังเป็นสีเข้มแบบเปลือกมังคุด ใช้ผ้าปาเต๊ะ ลายดอกไม้สีเขียวสลับแดงมาทำเป็นม่านกั้นแสง และผ้าปูเตียง ของตกแต่งในห้องพาให้ย้อนนึกถึงสมัยคุณแม่ยังสาว ทั้งโทรศัพท์แบบแป้นหมุน หรือจะเป็นแป้งตรางูแบบกระป๋องสแตนเลสที่สามารถใช้ได้จริง สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ทำให้ห้องนี้กลายเป็นห้องพักที่สวยเก๋ และมีเสน่ห์น่าค้นหา ส่วนห้องน้ำก็เซ็กซี่ไม่เบาค่ะ เพราะไม่มีประตูปิดมีเพียงม่านและมู่ลี่กั้นระหว่างห้องน้ำและห้องนอนเท่านั้น สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องก็ครบครัน ทั้ง เครื่องปรับอากาศ สัญญาณอินเตอร์เน็ตไวไฟ ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า น้ำดื่ม แชมพู ครีมอาบน้ำ ผ้าขนหนู และหมวกคลุมอาบน้ำ ขาดแต่ทีวีที่พี่ดนัยบอกว่าอยากให้เราได้มาซึมซับบรรยากาศของบ้านและเมืองเก่าแห่งนี้กันอย่างเต็มที่ โดยห้องพักที่นี่ทุกห้องราคา 1,500 บาทเท่านั้น พักได้ 2 คน พร้อมอาหารเช้า และยังสามารถเสริมเตียงได้ 1 คนราคา 500 บาทพร้อมอาหารเช้าเช่นเดียวกัน
ที่ตั้ง : บ้านในนคร บูติกโฮเต็ล ถนนนางงาม อ.เมือง จ.สงขลา
ราคา : 1500 บาท
เบอร์ติดต่อ : 095-438-9323
GPS : https://goo.gl/maps/XRPcdavCzv4nDKa68
หลังจากเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว พี่ดนัยแนะนำว่าลองไปกินไอศกรีมชื่อดังที่ตั้งอยู่ข้างๆ กับที่พักไหม ร้านนี้ชื่อว่าร้านจิ่น กั้ว หยวน (ไอติมยิว) เปิดขายมากว่า 85 ปี ตัวร้านอยู่ใกล้บ้านในนครมากๆ ค่ะ เดินข้ามถนนมาไม่กี่ก้าวก็ถึงเลย พอเข้ามาในร้านก็เจออาม่าเจ้าของร้านรุ่นที่ 2 ยิ้มทักทาย พร้อมกับการสาละวนตักไอศกรีมวานิลลาด้านในถัง ราดด้วยไข่แดงสด และโรยด้วยผงโกโก้ กลายเป็นไอศกรีมไข่แข็งหอม มัน หวานน้อยทานถ้วยเดียวไม่เคยพอ มีให้เลือก 2 ราคาถ้วยเล็ก 20 บาท และถ้วยใหญ่ 25 บาท นอกจากนั้นยังมีกล้วยหอมลูกละ 4 บาทที่ช่วยเพิ่มความอร่อยได้อีกด้วย
ที่ตั้ง : ร้านจิ่นกั้วหยวน ไอติมยิว 162 ถ นางงาม ตำบล บ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา สงขลา
ราคา : 20-25 บาท
เปิดบริการ : ทุกวัน 13.00-19.30 น.
เบอร์ติดต่อ : 074-311-104
GPS : https://goo.gl/maps/V22698FQtq1qKWtL9
ทานไอติมนั่งเมาท์มอยกับอาม่าจนแดดร่มลมตกก็ถึงเวลาไปปั่นจักรยานเที่ยวภายในเมืองเก่า ซึ่งที่นี่มีภาพสตรีทอาร์ตกระจายตัวอยู่บนถนนนางงาม ถนนนครใน และถนนนครนอก สามารถปั่นจักรยานออกตามหาได้เลยค่ะ ส่วนเราโชคดีที่พี่ดนัยทำแผนที่บอกจุดที่มีสตรีทอาร์ตมาให้ไปตามหาประมาณ 15 กว่าที่ แต่ละภาพที่เราได้พบเจอล้วนสะท้อนถึงภาพสังคมและวัฒนธรรมของสงขลาออกมาได้อย่างงดงาม
และอีกหนึ่งจุดแลนด์มาร์คที่ต้องมาเช็คอินนั่นก็คือโรงสีแดง หับ โห้ หิ้น อดีตคือโรงสีเก่าแก่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสงขลาที่เริ่มกิจการในปี พ.ศ.2457 โดยรองอำมาตย์ตรีขุนราชกิจการี (จุ่นเลี้ยง ลิ้มเสาวพฤกษ์) คำว่า หับ โห้ หิ้น เป็นภาษาฮกเกี้ยน มีความหมายว่าความสามัคคี ความกลมเกลียว ความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งแต่ก่อนที่นี่ถือเป็นโรงสีขนาดใหญ่ที่ผลิตข้าวสารให้คนสงขลาและในจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงยังส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ปารัคและอีโปในมาเลเซียอีกด้วยค่ะ แต่ต่อมาเมื่อมีโรงสีขนาดเล็กเพิ่มขึ้นก็ทำให้จำนวนข้าวเปลือกลดลง โรงสีแห่งนี้เลยเปลี่ยนมาเป็นโรงน้ำแข็งและท่าเทียบเรือประมงในเวลาต่อมา
ปัจจุบันโรงสีแดง หับ โห้ หิ้นแห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์ซ่อมแซมจนได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2554 ประเภทอาคารพาณิชย์จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และกลายเป็นอุทยานการเรียนรู้บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองสงขลา และเป็นศูนย์กลางจัดกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนอยู่เสมอ ใครที่อยากมาถ่ายรูปชิคๆ พร้อมกับเรียนรู้เรื่องราวของเมืองสงขลาสามารถเข้ามาชมได้ฟรีเลยค่ะ
ที่ตั้ง : โรงสีแดง หับ โห้ หิ้น เลขที่ 13 ถนนนครนอก ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
ค่าเข้าชม : ฟรี
เบอร์ติดต่อ : 074-321675
GPS : https://goo.gl/maps/BvrgLAaMFdnkNB9X6
ในตอนเย็นเราขับรถข้ามสะพานติณสูลานนท์มุ่งตรงไปยังเกาะยอเพื่อไปทานอาหารเย็นพร้อมชมวิวพระอาทิตย์ตก แต่ระหว่างนั้นก็แวะสักการะพระนอนที่วัดแหลมพ้อ ซึ่งวัดจะตั้งอยู่ตรงสะพานติณสูลานนท์ช่วงแรกค่ะ ข้ามสะพานมาปุ๊บก็เตรียมชิดซ้ายเพื่อเลี้ยวเข้าวัดได้เลย
เมื่อเข้ามาก็พบกับความงดงามของประพุทธรูปปางปรินิพานที่องค์ใหญ่มากๆ ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานติณสูลานนท์และทะเลสาบสงขลา ใครแวะมาเที่ยวเกาะยออย่าลืมแวะมาสักการะกันนะคะ
ที่ตั้ง : วัดแหลมพ้อ หมู่ 4 ตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
GPS : https://goo.gl/maps/eqC8L7G3M9crFrts5
สถานที่ต่อไปคือไฮไลท์ของค่ำคืนนี้ นั่นก็คือร้านมหัศจรรย์เกาะยอ ร้านอาหารทะเลวิวหลักล้านที่ทำสะพานและแพยื่นไปในทะเลสาบสงขลา ทำเลของร้านตั้งอยู่ตรงจุดที่พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าแบบพอดิบพอดีเลยค่ะ และยังมีมุมมากมายให้ถ่ายรูปเพียบ
ร้านมีหลายโซนให้เลือกทั้งโซนวีไอพีมีเครื่องปรับอากาศ โซนแพริมน้ำที่มักเต็มตลอดเวลา ขนาดตอนที่เราไปเป็นวันธรรมดาคนยังแน่นเลยล่ะค่ะ แนะนำว่าอยากได้ที่นั่งดีๆ โทรมาสำรองที่นั่งกันก่อนก็ดีนะจ๊ะ ส่วนเราแอบมาแชะภาพสวยๆ บริเวณนี้แต่ความเป็นจริงได้นั่งโซนด้านในริมฝั่งที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าได้เช่นเดียวกัน
ในส่วนเมนูอาหารละลานตาเว่อร์เลือกไม่ถูก เลยบอกน้องพนักงานว่าจัดมาให้พี่แบบของดีของเด็ดประจำร้านเลยนะ น้องสาวหน้ามนคนเกาะยอเลยบอกว่า พี่มาเกาะยอก็ต้องมากินปลากะพงนิ ปลากะพงเกาะยอหรอยแรงที่สุดในโลกเลยนิ เราเลยบอกว่าจัดมาให้เต็มที่อยากจะรู้ว่าคำโฆษณาที่ว่าจะจริงแค่ไหน
ไม่นานอาหารก็เสิร์ฟมาเต็มโต๊ะ เริ่มจากแกงส้มปลาขี้ตังรสชาติเข้มข้นตามสไตล์แกงใต้แต่ไม่เผ็ดจนเกินไป ส่วนปลาขี้ตังเป็นปลาของเกาะยอเนื้อนุ่มอร่อย ไปกันต่อที่ปูม้าผัดผงกะหรี่ก็ดีงามมากๆ เนื้อปูสดจริงอะไรจริง ปรุงรสได้กลมกล่อม ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือหมึกไข่ต้มหวาน รสชาติกำลังดีไม่หวานจนเกินไป ไข่เต็มท้อง คลุกกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยฟินมากๆ ส่วนเมนูยำสาหร่ายเกาะยอหรือคนที่นี่เรียกว่ายำสายเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่เราไม่เคยทานมาก่อนค่ะ ซึ่งสาหร่ายที่ใช้เป็นสาหร่ายผมนางหน้าตาเหมือนเส้นหมี่ เวลาทานจะเสิร์ฟมาพร้อมใบชะพลู หอมแดง พริก ทานคล้ายๆ เมี่ยงเลยค่ะ รสชาติตัวสาหร่ายกรุบๆ มีความมันจากกะทิ และมีกลิ่นหอมของถั่วทานเพลินมากๆ ส่วนเมนูไฮไลท์ของมื้อนี้ยกให้ปลากะพงที่เลาะเนื้อแล้วนำไปทอดกรอบ แยกปรุงเป็น 2 เมนูเป็นเมนูพริกเกลือกับยำ ที่อร่อยจริงๆ ตามที่น้องพนักงานบอกเลยล่ะค่ะ ตัวเนื้อปลามันนุ่มอร่อยมากๆ และรับรู้ได้ถึงความสด ละมุนลิ้นตั้งแต่คำแรกยันคำสุดท้ายใครอยากท้าพิสูจน์แนะนำว่าเดินทางมาลองชิมกันได้เลยที่เกาะยอแห่งนี้ ส่วนราคามื้อนี้หมดไปไม่กี่ร้อย (ไม่กี่ร้อยก็ถึงสามพันแล้วล่ะจ้า 555)
ที่ตั้ง : ร้านมหัศจรรย์เกาะยอ ตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จ.สงขลา
เปิดบริการ : ทุกวัน 11.00-22.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 095-440-3111
GPS : https://goo.gl/maps/kXi5DXWPtzssUmph8
เช้าวันที่สองทานอาหารเช้าที่บ้านในนคร กับเมนูข้าวต้มไก่ โรตีหวาน และผลไม้ทานเสร็จแล้วก็ยังรู้สึกว่าขอเติมอะไรใส่ท้องอีกสักทีน่า เลยเช็คเอาท์ฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พักแล้วเดินไปกินของเด็ดของดีแห่งเมืองสงขลา นั่นก็คือข้าวสตูของร้านเกียดฟั่ง (โกยาว) ตั้งอยู่บนถนนนางงามอยู่ระหว่างศาลเจ้าพ่อหลักเมืองและศาลเจ้าพ่อกวนอู
ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านเก่าแก่ที่เปิดให้บริการมา 80 กว่าปี ซึ่งข้าวสตู เกียดฟั่งนั้นเป็นอาหารที่ผสมสาน 4 ชนชาติ ได้แก่ อังกฤษ อินโดนีเซีย จีน ไทย มีการปรับสูตรให้มีรสชาติเฉพาะตัวโดยใช้กะทิแทนเนย มีเมนูให้เลือกทั้งสตูหมู สตูไก่ เครื่องใน ตัวสตูตุ๋นสามชั่วโมงน้ำซุปหอมมากๆ รสกลมกล่อมเวลาทานจะทานคู่กับน้ำจิ้มที่ใส่กระเทียมกับพริก รสเปรี้ยวๆ หวานๆ เค็มๆ เผ็ดนิดๆ บอกคำเดียวว่าเริ่ด และยังมีหมูแดง หมูกรอบ ที่กรอบนอก แทรกมันเนื้อนุ่มจิ้มกับน้ำจิ้ม และยังมีซาลาเปาลูกบิ๊กไซส์ไส้หมูไข่ต้ม ไส้ครีม และถั่วดำลูกละ 35 บาท ไซส์กลาง 20 บาทแต่จะเริ่มขายตอน 10 โมงเช้านะคะใครแวะมาสงขลาลองแวะมาทานกันนะคะ
ที่ตั้ง : เกียดฟั่ง 120 ถ.นางงาม ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา สงขลา
ราคา : ข้าวสตูเริ่มต้นชุดละ 60 บาท
เปิดบริการ : ทุกวัน 7.00-13.00 น. (ปิดวันพระ)
เบอร์ติดต่อ :074 311 998
GPS: https://goo.gl/maps/Byut8GyKa8LAHcqK6
เติมอาหารยามเช้ากันจนอิ่มแปล้ก็ถึงเวลาไปเก็บตกที่เที่ยวต่างๆ ในสงขลากันต่อค่ะ จุดหมายต่อไปของเราคือเขาตังกวน จุดชมวิวของเมืองสงขลาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 105 เมตร แต่ไม่ต้องเดินขึ้นให้เมื่อยนะคะ เพราะมีบริการลิฟต์ที่พาเราสู่ยอดเขาได้เลย แต่ถ้าใครอยากออกกำลังกายก็มีบันไดให้เดินขึ้นไปด้วยค่ะ
ส่วนสาวทางราบไม่หวั่นทางชันไม่สู้อย่างเราก็ขอโดยสารลิฟต์ดีกว่าค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 นาทีก็มาถึงยอดเขาแล้ว
ด้านบนเขาตังกวนประดิษฐานพระธาตุเจดีย์หลวง อายุเก่าแก่คู่เมืองสงขลามากว่า 200 ปี และบริเวณรอบเจดีย์จะแบ่งเป็น 6 ซุ้ม ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ได้แก่ พระสยามเทวาธิราช พระพรหม หลวงพ่อทวด องค์พระบรมรูป ร. 5 และพระพุทธชินราช ให้เราได้สักการบูชา
บริเวณหลวงพ่อทวดจะมีจุดชมวิวที่เราสามารถมองเห็นตัวเมืองสงขลาและบรรยากาศของเมืองสองทะเลซ้ายขวา นั่นก็คือทะเลสาบสงขลา และอ่าวไทยได้อย่างสวยงามมากๆ ค่ะ
จากบริเวณจุดชมวิวมีป้ายชี้ไปทางพลับพลาที่ประทับรัชกาลที่ 4 (ศาลาพระวิหารแดง) ศาลาแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปนมัสการพระเจดีย์บนยอดเขาตังกวน ตัวศาลาสร้างในแบบสถาปัตยกรรมยุโรป ก่อด้วยอิฐถือปูน ทาสีแดงและขาว หน้าบันประดับลายปูนปั้นรูปช้างสามเศียรภายใต้พระมหามงกุฎ
ที่ตั้ง : เขาตังกวน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
สถานีลิฟต์เปิดบริการ : ทุกวันเวลา 8.30-17.30 น.
ค่าบริการ : ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 20 บาท
เบอร์ติดต่อ : 074-316330
GPS : https://goo.gl/maps/ifKXnS9keHF3RdEc7
ก่อนจะโบกมือลาสงขลามุ่งหน้าไปยังพัทลุงเราก็มาแวะแชะภาพสวยๆ กันที่วงเวียนเช็คชื่อ ตั้งอยู่สุดถนนชลาทัศน์ ที่มาของวงเวียนเช็คชื่อเชื่อว่าใครที่มาสงขลาต้องมาวนรถที่นี่พร้อมกับพูด (ชื่อตัวเอง)...มาค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วประติมากรรมกลางวงเวียนแห่งนี้ชื่อว่าประติมากรรมคนอ่านหนังสือสร้างโดยอาจารย์มนตรี สังข์มุสิกานนท์ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของคนในสงขลา แต่ต่อมากลายเป็นความเชื่อสุดคิวท์ที่วัยรุ่นชาวสงขลามักจะมาตะโกนชื่อตัวเองกันที่วงเวียนแห่งนี้ เพื่อนๆ คนไหนที่ได้แวะมาอย่าลืมไปเช็คชื่อกันด้วยนะคะ
ที่ตั้ง : วงเวียนเช็คชื่อ สุดถนนชลาทัศน์ ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
GPS : https://goo.gl/maps/QYyDEw2LKX1LdvDj8
และแลนด์มาร์คที่สุดท้ายของสงขลาที่ถ้าไม่ได้มาเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงสงขลานั่นก็คือ "นางเงือกทอง" ริมหาดสมิหลาที่อยู่คู่สงขลามากว่า 50 ปี ไม่นานมานี้เราเพิ่งเห็นข่าวหน้าใจหายว่านางเงือกทองได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิด แต่ข่าวดีก็คือนางเงือกได้รับการซ่อมแซมอย่างรวดเร็วปัจจุบันจึงกลับมานั่งสวยๆ สางผมอยู่ริมหาดสมิหลาเหมือนเดิมแล้วค่ะ วันนี้เลยมาทักทายนางเงือกและแอบขอพรให้เราได้กลับมาเมืองน่ารักแห่งนี้กันอีกครั้ง
ที่ตั้ง : นางเงือกทอง ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
GPS : https://goo.gl/maps/MRinhdg24bUw9ecx8
ถึงเวลาโบกมือลาสงขลาอย่างเป็นทางการแล้วมุ่งหน้าสู่อีกหนึ่งจังหวัดน่ารักเมืองพัทลุงกันค่ะ โดยจากหาดสมิหลาเราขับรถไปทางถนนแหลมสนแล้วใช้บริการแพขนานยนต์เพื่อข้ามทะเลสาบสงขลาซึ่งข้อดีคือไม่ต้องย้อนขับไปขึ้นสะพานติณสูลานนท์ราคาค่าบริการเพียง 20 บาทต่อคันเท่านั้น มีให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 5.00 - 22.00 น. กันเลยค่ะ
จากนั้นเราขับรถเข้าสู่ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ที่เราขอยกให้เป็นถนนสวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยกันเลยทีเดียว เพราะมีความยาวถึง 14.130 กิโลเมตรจากอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ทอดยาวไปจนถึงอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ถนนพาเราเลียบผ่านทะเลสาบสงขลา และมุ่งหน้าสู่ทะเลน้อย ยิ่งในช่วงที่เข้าสู่ทะเลน้อยตัวถนนจะยกระดับขึ้นจนเป็นเหมือนสะพานลอยอยู่บนผืนน้ำที่ทั้งสองข้างทางเป็นป่าพรุ ทุ่งหญ้า ทางขวาคือทะเลน้อย ส่วนทางซ้ายคือทะเลสาบสงขลา ระยะทางช่วงนี้ยาวประมาณ 5 กิโลฯ กว่าๆ แต่สวยจับใจเรามากๆ เลยล่ะค่ะ ระหว่างทางจะมีจุดให้เราได้จอดรถถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางพร้อมกับชมฝูงควายน้ำที่กำลังนอนแช่น้ำลอยคอ เล็มหญ้า แค่ได้ทอดสายตาชมวิวข้างทาง สูดอากาศดีๆ ให้เต็มปอด เพียงเท่านี้ก็รู้เลยว่าความสุขที่เราตามหามันอยู่ตรงหน้านี้เอง
เราใช้เวลาขับรถชมสองข้างทางกันจนพอใจแล้วก็มุ่งตรงไปยังที่พักของเราในค่ำคืนนี้ ศรีปากประ บูตีค รีสอร์ท ที่พักบรรยากาศเหมือนหมู่บ้านชาวประมงเน้นใช้วัสดุจากธรรมชาติ ตั้งอยู่ที่บ้านปากประ ริมทะเลสาบสงขลา
ศรีปากประ บูตีค รีสอร์ทจะแบ่งเป็น 2 เฟสค่ะ เฟสแรกจะเน้นวัสดุจากไม้และมีร้านอาหารวิวยอซึ่งเป็นร้านอาหารไฮไลท์ของที่นี่ ส่วนเฟสที่สองที่เรามาพักกันในวันนี้จะตกแต่งโมเดิร์นกว่า โดยตัวที่พักจะเป็นปูนสีขาว ดีไซน์หลังคาทรงสูงมุงด้วยตับสิเหรง หรือใบเหรงและโซนนี้จะมีจุดเด่นคือสระว่ายน้ำระบบเกลือที่สามารถแช่ตัวชมวิวยอยักษ์ได้ด้วย
ห้องพักของเราคืนนี้คือห้องยอลากูนเป็นห้องที่วิวสวยที่สุดเพราะหันหน้าไปยังทะเลสาบสงขลาเปิดประตูมาก็พบกับยอยักษ์ได้จากห้องนอนกันเลย ภายในห้องกว้างขวางตกแต่งสไตล์โมเดิร์นผสมกับทรอปิคัลเตียงนุ่มดูดวิญญาณมากๆ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องมีทั้งทีวี มินิบาร์ กระเป๋าและหมวกสานจากผักตบชวา ผ้าถุงและผ้าขาวม้าเก๋ๆ ที่สามารถนำไปคลุมตอนใส่ชุดว่ายน้ำ หรือนำมานุ่งเก๋ๆ ใส่เดินถ่ายรูปในรีสอร์ทก็ได้ค่ะ พร้อมกันนั้นยังมีเวลคัมฟรุ๊ตเป็นผลไม้สดๆ ต้อนรับเราในห้อง
หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วความหิวก็เข้ามาทักทาย เราไปทานมื้อกลางวันกันที่ห้องอาหารลาโพ ห้องอาหารของรีสอร์ทให้บริการอาหารเช้าและอาหารอร่อยตลอดวัน โดยมื้อนี้เราสั่งแกงส้มปลากะพง ต้มกะทิวุ้นเส้นกุ้ง น้ำพริกกะปิ ปลาดุกร้า หมี่ลำปำ ยำปลาลูกเบร่ ต้มปลานิลซึ่งล้วนเป็นอาหารที่มาจากพื้นถิ่น โดยเฉพาะปลาดุกร้าของดีของเมืองพัทลุงนั้นรสชาติจะเหมือนปลาเค็มคล้ายปลาอินทรีย์ทานกับหอมแดง พริกขี้หนู บีบมะนาวหน่อยๆ โอยยย อร่อยมากๆ ส่วนของหวานเป็นสาคูต้น ของอร่อยชื่อดังจากพัทลุงเช่นเดียวกัน ตัวแป้งนั้นทำจากต้นสาคูแท้ๆ นำไปกวนจะได้สีน้ำตาลน่ากินมากๆ ราดด้วยหัวกะทิ หอม หวาน มัน
หลังจากทานอาหารกลางวันกันแล้วเราก็ไปพักผ่อนเปลี่ยนชุดว่ายน้ำตัวจิ๋วมาลงเล่นน้ำที่สระน้ำเกลือของรีสอร์ท พร้อมชมวิวสวยๆ ยามเย็นของทะเลสาบสงขลาไปด้วย ความสุขแบบนี้อยากเก็บใส่กระเป๋าใบใหญ่แล้วหิ้วกลับไปแจกจ่ายให้เพื่อนๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อบอกพวกเขาว่าพัทลุงนั้นดีงามน่ามาตามรอยแค่ไหน
ที่ตั้ง : Sripakpra Boutique Resort ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
ราคา : เริ่มต้น 2200-4300 บาท
เบอร์ติดต่อ : 061-149-9494
GPS : https://goo.gl/maps/iSXvHQjnz5Uehnxq6
เล่นน้ำ พักผ่อนกันจนหายเหนื่อยล้าก็ถึงเวลากินกันอีกแล้ว อาหารเย็นมื้อนี้เราเลือกมาทานที่วิวยอซึ่งตั้งอยู่ที่เฟสแรก การเดินทางจะขับรถจากเฟสที่สองมาที่นี่ก็ได้หรือจะนั่งรถสามล้อพ่วงของทางรีสอร์ทมาก็ได้ค่ะ อยู่ไม่ไกลกันมาก ขับรถไม่ถึง 2 นาทีก็ถึงแล้ว
พอมาถึงร้านเลือกนั่งไม่ถูกเลยล่ะค่ะ เพราะวิวสวยทุกมุม ความดีงามของร้านนี้คือวิวทะเลสาบสงขลา พร้อมยอยักษ์มากมายที่เรียงรายอยู่ในทะเลสาบ ซึ่งยอยักษ์เหล่านี้ไม่ใช่ของตกแต่งที่สร้างให้นักท่องเที่ยวมายืนถ่ายรูป แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงวิถีชีวิตจริงๆ ของชาวบ้านปากประ ทะเลน้อย ที่มียอยักษ์เป็นเครื่องมือในการจับปลาหาเลี้ยงครอบครัว
อาหารมื้อนี้เรายังคงสั่งอาหารอร่อยพื้นถิ่น อาทิ ปลาช่อนหลงพรุ หรือปลาช่อนลุยสวน ซึ่งที่ทะเลน้อยนั้นเต็มไปด้วยป่าพรุปลาช่อนที่นำมาทำเป็นปลาช่อนที่จับจากป่าพรุ เนื้อสดอร่อยเครื่องจัดจ้านโดนใจ ต่อด้วยปลาหมอคั่วเกลือ เป็นปลาหมอที่จับได้จากทะเลน้อยเช่นเดียวกัน โดยนำปลาหมอทั้งตัวแบบไม่ขอดเกล็ดมาทอดกับเครื่องสมุนไพร ทั้ง ขมิ้น ตะไคร้ ข่า ใบโหระพา และมะกรูด ทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ดเด็ดจริงอะไรจริง ไปต่อกับตำรากบัวใส่กุ้งสด เสิร์ฟมาพร้อมข้าวเกรียบฟักทอง สารภาพว่าตอนแรกเราคิดว่าไม่น่าเข้ากันแต่พอได้ทานเท่านั้น โอยยย มันช่างเข้ากันสุดๆ เพราะตัวส้มตำรากบัวจะกรุบๆ รสชาติ เปรี้ยว เผ็ด หวานนิดๆ เวลาทานกับข้าวเกรียบมันจะเพิ่มความกลมกล่อมจากความมันของตัวข้าวเกรีบเข้าไปได้อารมณ์เหมือนกินส้มตำกับแคปหมูเลยล่ะค่ะ และที่ติดใจมาตั้งแต่กลางวันก็คือเมนูปลาดุกร้า มาคราวนี้เราเลยขอสั่งมากินอีก แถมยังขอซื้อปลาดุกร้าเอาไปเป็นของฝากกลับบ้านอีกด้วย อย่าเพิ่งอิ่มเพราะเรายังมีแกงกะทิหอยขมใบชะพลู ต้มกะทิสายบัวกุ้งสด ยำปลาลูกเบร่ แกงส้มปลากดเขาคัน ซึ่งจะใส่ลูกเขาคันหรือเถาคัน มีรสเปรี้ยวคล้ายๆ องุ่นป่า เป็นความเปรี้ยวที่หรอยแรงมากๆ และฟินนาเล่ไปกับกุ้งแม่น้ำบิ๊กเบิ้มไซส์ 5 ตัว/ 1 กิโลฯ เนื้อกุ้งสดอร่อยหัวกุ้งอัดแน่นไปด้วยมันเยิ้มๆ เหยาะน้ำจิ้มซีฟู้ดไปหน่อยก็จะพบสวรรค์ที่กำลังคลุกเคล้ากันอยู่ในปากแล้วล่ะค่ะ
ที่ตั้ง : ร้านวิวยอ ภายใน Sripakpra Boutique Resort ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
เปิดบริการ : ทุกวันเวลา 10.00-22.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 062-232-5201
GPS : https://goo.gl/maps/iCXwqW3oGwSDJFA9A
หลังจากทานอาหารเสร็จเมื่อคืน เราได้ติดต่อเรือทัวร์ทะเลน้อยค่ะ สามารถติดต่อได้ที่ล็อบบี้ของที่พักได้เลย ค่าเรือลำละ 1200 บาท โดยมีกำหนดมารับเราตอน 5.45 น. ของเช้านี้
ท่าเรือสำหรับลงเรือจะอยู่ติดกับสระว่ายน้ำของรีสอร์ทเลยค่ะ พอถึงเวลาก็มีพี่บ่าวมาลอยเรือรอเราตั้งแต่เช้ามืด ฟ้าตอนนี้ยังไม่สว่าง เราเลยลุ้นกันว่าขอให้เช้านี้ท้องฟ้าสดใสจะได้พบกับพระอาทิตย์ลูกโตๆ ที่โผล่พ้นขอบฟ้า
ราวกับว่าคำอวยพรของเราได้ผล ระหว่างที่ลอยเรือชมยอยักษ์บริเวณหน้าที่พักก็พบกับคุณพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่ขึ้นมาทักทาย พร้อมไปกับการเริ่มต้นวันใหม่ของเหล่าบรรดาพี่ๆ ชาวประมงที่มาคอยยกยอยักษ์อันใหญ่ เราเลยขอยกให้ภาพความงดงามของเช้าวันนี้นั้นเป็นยามเช้านึงที่สวยงามที่สุดในชีวิตที่เราได้พบมากันเลย
จากนั้นพี่บ่าวพาเราล่องเรือไปชมความสวยงามของจุดอื่นๆ เช่น ต้นลำพูที่เรียงรายอยู่ในน้ำเป็นภาพที่สวยงามแปลกตา ล่องผ่านลำคลองสายเล็กๆ ที่เป็นเส้นทางทะลุไปยังทะเลน้อย เพื่อไปตามหาบึงบัวแดงที่กำลังเบ่งบานรับแสงแรกในยามเช้า แต่สิ่งที่เสียดายคือไม่ได้พบน้องควายน้ำตัวเป็นๆ ใกล้ๆ สักครั้ง เฝ้ารอทริปหน้าต้องกลับมาเซย์ไฮให้ได้อย่างแน่นอน
เราใช้เวลาล่องเรือประมาณ 2 ชั่วโมงพี่บ่าวก็พามาส่งที่รีสอร์ท เพื่ออาบน้ำ เตรียมทานอาหารเช้า และเช็คเอาท์ออกจากที่พักไปยังที่เที่ยวที่สุดท้ายในทริปนี้นั่นก็คือนาโปแก
นาโปแก แปลว่านาของปู่ ที่เที่ยวที่กำลังมาแรงในพัทลุง ที่นี่ไม่ใช่เพียงสถานที่ถ่ายรูปสวยๆ แต่ยังเป็นศูนย์การเรียนรู้วีถีเกษตรชาวนาไทย และวัฒนธรรมพื้นบ้านของภาคใต้ ทั้งหนังตะลุง มโนราห์ ซึ่งที่นี่เริ่มต้นด้วยแนวคิดอยากให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ภูมิใจในอาชีพของชาวนาไทย ของพี่ทศพล รักใหม่ตัวแทนชาวนาไทยที่มองเห็นว่าในปัจจุบันอาชีพทำนาเริ่มลดลงส่งผลให้อาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการทำนา เช่นการจับปลา การทำจักสาน วัฒนธรรมต่างๆ เริ่มเลือนหายไป จึงเกิดนาโปแกแห่งนี้ขึ้นมาแบ่งเป็นฐานการเรียนรู้ต่างๆ ทั้งหมด 7 ฐาน ที่จะทำให้เราได้เรียนรู้วิธีการทำนา ตั้งแต่ เมล็ดข้าวพันธุ์ต่างๆ ของพัทลุงที่มีมากกว่า 38 สาย พันธุ์ การดำนา การหว่าน การไถนาด้วยควาย การเก็บเกี่ยว การสีข้าว และยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ อีกมากมาย ส่วนใครที่เดินแล้วเหนื่อยสามารถมานั่งชิลพักทานกาแฟและทานอาหารอร่อยทั้งอาหารพื้นบ้านและอาหารฮาลาลภายในนาโปแกได้ด้วยค่ะ
ที่ตั้ง : นาโปแก บ้านสวน ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
เข้าชม : ฟรี
เปิดบริการ : วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 8.30-18.00 น., เสาร์ - อาทิตย์ เวลา 8.30-18.30 น.
เบอร์ติดต่อ : 062-591-6632
GPS : https://goo.gl/maps/iccZzfgJk6iS3eMd9
จบไปแล้วค่ะทริป 3 วัน 2 คืนบนเส้นทางสองเมืองสุดน่ารักสงขลา-พัทลุง บอกเลยว่าหลังจบทริปนี้เกิดอาการคิดถึงเมืองเก่าสงขลา คิดถึงความน่ารักของพัทลุง คิดถึงรอยยิ้มของผู้คน และรสชาติอาหารใต้ที่หรอยแรงงง จนอยากกลับไปอีก เรารับรองเลยว่าถ้าคุณได้ไปสัมผัสสองเมืองนี้คุณจะเกิดอาการเดียวกับเรา นั่นก็คือตกหลุมรัก ซึ่งยาใดก็ไม่ช่วยให้หายเท่ากับการแพ็คกระเป๋าเดินทางสู่เมืองน่ารักแห่งนี้อีกครั้งและอีกครั้ง....
Tags: สงขลา พัทลุง หาดใหญ่ เที่ยวภาคใต้ ทริปตัวอย่าง ปั๊มบางจาก บางจาก ร้าน Inthanin กาแฟ ปั๊มน้ำมัน สถานีบริการน้ำมัน โชคดีแต่เตี้ยม เคเบิลคาร์ นครหาดใหญ่ บ้านในนคร บูติกโฮเต็ล ร้านจิ่นกั้วหยวน ไอติมยิว โรงสีแดง หับ โห้ หิ้น วัดแหลมพ้อ ร้านมหัศจรรย์เกาะยอ เกียดฟั่ง เขาตังกวน วงเวียนเช็คชื่อ นางเงือกทอง ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ศรีปากประ บูตีค รีสอร์ท ร้านวิวยอ นาโปแก
ทริปตัวอย่าง | 18 ธ.ค. 2024 | 104 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 12 ธ.ค. 2024 | 296 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 07 ธ.ค. 2024 | 385 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 27 พ.ย. 2024 | 510 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 26 พ.ย. 2024 | 726 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 11 พ.ย. 2024 | 1,041 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 01 ธ.ค. 2024 | 479 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 08 พ.ย. 2024 | 908 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 28 ต.ค. 2024 | 1,242 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 1,401 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 08 ต.ค. 2024 | 1,762 อ่าน