calendar_month 26 พ.ค. 2019 / stylus Admin Chillpainai / visibility 70,100 / ทริปตัวอย่าง
ย่างเข้าหน้าฝนแบบนี้...เรียกว่าเป็นฤดูกรีนซีซั่น มองไปทางไหนก็ชุ่มฉ่ำ ทำให้หลายคนอยากออกไปเที่ยวล่าหมอกฝน ชมวิวภูเขาสีเขียวๆ กัน ทริปนี้เราจะชวนทุกคนขับรถไปเที่ยวอีสาน แบบไม่ต้องรอหน้าหนาวก็ฟินได้!! เริ่มรูทกันตั้งแต่กรุงเทพฯ-โคราช-หนองคาย กับทริปสบายๆ 3 วัน 2 คืน จะสนุกสดชื่นขนาดไหน...หยิบกุญแจสตาร์ทรถแล้วไปกันเลย!
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ แต่เช้าตรู่ ขึ้นดอนเมืองโทลล์เวย์ (ทางยกระดับอุตราภิมุข) แล้ววิ่งตรงต่อไปตามถนนพหลโยธิน จากนั้นเลี้ยวขวาใช้เส้นทางถนนมิตรภาพ แล้วเลี้ยวซ้ายวิ่งไปทางถนนบายพาสหรือทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา แต่อย่าเพิ่งยิงยาววว...เพราะเราจะพาแวะจิบกาแฟ เติมพลังกันที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ลานอีสาน ตั้งอยู่บริเวณ ถ.บายพาส กม.9 ขาเข้าเมืองโคราชนี่เองค่ะ
บอกเลยว่าทริปนี้ เราตั้งใจแวะที่นี่โดยเฉพาะเลยจริงๆ เพราะเป็นจุดเช็คอินแลนด์มาร์คใหม่ของนักเดินทาง มีทั้งจุดบริการเติมน้ำมัน ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ช้อปปิ้ง จุดเช็คอินถ่ายรูป พร้อมห้องน้ำสุดหรูหราอลังการ เรียกว่าเหมาะมากๆ สำหรับใครที่ผ่านแวะมาเที่ยวเส้นทางโคราช-ขอนแก่น-หนองคาย แล้วมองหาจุดแวะพักรถสบายๆ ที่เดียวครบ ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว
พอจอดรถปุ๊บ..ก็พุ่งตัวเข้าร้าน Inthanin ก่อนเป็นอันดับแรก ตัวร้านดีไซน์เก๋สะดุดตา ด้วยกระจกล้อมรอบทำให้บรรยากาศภายในร้านดูโปร่งโล่ง ถึงหน้าเคาน์เตอร์ก็ไม่รอช้า สั่งกาแฟขอคาเฟอีนมากระตุ้นร่างกายให้คึกคักกันซะหน่อย
เราสั่งเมนู Espresso เย็น สูตรพิเศษเฉพาะของอินทนิล ด้วยเมล็ดกาแฟอาราบิก้าแท้ 100% รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ดื่มแล้วสดชื่น ส่วนเพื่อนขอคาปูชิโน่ท้อปด้วยฟองนมนุ่มๆ มาคนละแก้ว นอกจากจะได้ฟินกับกาแฟอาราบิก้าแท้100% แล้ว จุดเด่นอีกอย่างคือแก้วกาแฟที่ทางร้านเลือกใช้ เป็นแก้วไบโอคัพที่ผลิตจากพืช 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถย่อยสลายได้ แม้กระทั่งหลอดที่ใช้ก็เป็นแบบ Biodegradable สามารถย่อยสลายโดยธรรมชาติได้เช่นกัน
ล่าสุด Inthanin เค้ายังพัฒนาฝาแก้วกาแฟรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้หลอด ยกดื่มได้เลยไม่ต้องเปิดฝา มาเพิ่มเป็นทางเลือกให้กับคนรักกาแฟที่รักธรรมชาติ โดยออกแบบจากไบโอพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้ภายใน 180 วัน ช่วยลดการใช้หลอดพลาสติก เรียกว่าดื่มกาแฟทุกแก้วที่นี่ก็ได้ช่วยรักษ์โลกไปพร้อมกันแบบ 2 in 1 เลยค่ะ
ถ้าใครไม่ดื่มกาแฟก็มีเครื่องดื่มอื่นๆ ให้เลือกสั่ง อย่างชาเขียวมัทฉะพรีเมียมเข้มข้น หรือสตรอว์เบอร์รี่ โมฮิโต้สปาร์คกลิ้ง อ้อ...แล้วถ้าหากหิว อยากได้อะไรที่หนักท้องมากกว่าเครื่องดื่ม ที่ร้าน Inthanin ก็มีเมนูเบเกอรี่และขนมปังหน้าต่างๆ ทั้งครัวซองต์, ขนมปังปิ้งเนยสด, ขนมปังสังขยา, ชาไทย และนมน้ำตาล ฯลฯ เราเลยสั่งครัวซองต์ทูน่ามาหนึ่งชิ้น จิบกาแฟแกล้มครัวซองต์เป็นมื้อเช้า
จากเดิมที่คิดไว้ว่าจะรีบสั่งแล้วออกเดินทางต่อ แต่พอเห็นบรรยากาศภายในร้านอดใจไม่ไหวขอนั่งชิลซะหน่อย ในร้านมีที่นั่งให้เลือกหลากหลายมุม แต่ที่เราชอบที่สุดต้องยกให้กับมุมนี้ที่เป็นที่นั่งเก้าอี้ทรงสูง มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่อยู่ตรงกลาง เหมาะจะนั่งจิบกาแฟชิลๆ กับแก๊งค์เพื่อน หรือใครจะมานั่งคนเดียวก็ไม่ต้องกลัวเขินนะ โต๊ะเค้าใหญ่มากกก...แชร์โต๊ะร่วมกันได้สบายๆ ประทับใจการจัดสเปซได้ดูลงตัวดีมากๆ เลยค่ะ
นอกจากนี้ ด้านบนชั้น 2 ยังมี Co-Working Space ให้เรานั่งทำงานได้ด้วย พร้อมยังมี Wi-Fi ให้ใช้ฟรี 30 นาที เพียงแค่ซื้อเครื่องดื่มครบ 500 บาทก็สามารถใช้พื้นที่ได้ฟรี 2 ชั่วโมงเลยค่ะ ใครไปเที่ยวแล้วโดนตามงานด่วนแบบเรา อยากหาที่นั่งเปิดคอมฯ ส่งอีเมล์ทำงานสะดวกๆ ล่ะก็...ลองแวะมาใช้บริการกันได้
ก่อนออกเดินทางกันต่อ ขอแวะซื้อขนมที่ร้าน SPAR fresh & easy food market ซูเปอร์มาร์เก็ตระดับพรีเมียม เตรียมตุนเสบียงไว้เผื่อหิวระหว่างเดินทาง
เสร็จแล้วล้อหมุนออกเดินทางกันต่อ เราขับรถไปจังหวัดหนองคาย แวะทานมื้อเที่ยงง่ายๆ ระหว่างทาง จากนั้นขับไปเส้นอำเภอสังคม เพื่อไปเที่ยวที่วัดผาตากเสื้อ สถานที่ท่องเที่ยวอันซีนแห่งเมืองหนองคายที่มีไฮไลท์อย่างทางเดินกระจก Skywalk นั่นเอง
จากจุดชมวิว Skywalk เป็นจุดชมวิวพื้นกระจกใสที่เราสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำโขงและฝั่งประเทศลาวได้แบบพาโนราม่า ถ้าหากมาช่วงหน้าหนาวจะมีโอกาสมองเห็นทะเลหมอกสวยๆ ปกคลุมทั่วบริเวณ เรียกว่าเป็นที่เที่ยวแลนด์มาร์คห้ามพลาดอีกแห่ง ใครมาเที่ยวหนองคายต้องหาโอกาสมาเช็คอินให้ได้สักครั้ง เฉพาะบริเวณ Skywalk เปิดให้ชมวิวทุกวันตั้งแต่เวลา 09.30-16.30 น.
ชมวิวด้านบนแล้ว เราเดินลงมาตามทางเดินบันไดเลาะเลียบไหล่เขา เพื่อไปไหว้พระบริเวณถ้ำพระ ที่มีพระพุทธรูปและรูปปั้นของพระสงฆ์เรียงรายอยู่บริเวณใต้ชะง่อนผาใหญ่ จุดนี้มีนักท่องเที่ยวไม่มากเหมือนด้านบน บรรยากาศสงบเงียบ ใครมาเที่ยววัดผาตากเสื้อลองหาโอกาสลงมาไหว้พระที่นี่กันดูค่ะ
จากวัดผาตากเสื้อ เราไปเช็คอินเข้าที่พักคืนแรกที่สังคมริเวอร์วิว รีสอร์ทน่ารักริมแม่น้ำโขง ที่นี่มีทั้งที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟและจุดชมวิวในบริเวณรีสอร์ท เหมาะกับการมาพักผ่อนนอนชิลริมแม่น้ำโขงกันสักคืน
ห้องพักที่นี่มีให้เลือกหลากหลายแบบ ทั้งห้องบนตึกที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำโขงได้จากห้องนอน และบ้านพักเป็นหลังที่มีระเบียงให้นั่งเล่นชมวิวชิลๆ ได้ด้านหลังห้องพัก
พอเช็คอินเข้าที่พักได้แป๊บเดียว ฝนก็โปรยเม็ดลงมาอย่างหนัก ตอนแรกเราก็แอบเซ็งว่าออกไปเที่ยวที่ไหนต่อไม่ได้ แต่พอฝนหยุดเท่านั้นแหละ...บอกเลยว่าวิวจากที่พักของเราคือสวรรค์ชัดๆ โดยเฉพาะบนหอคอยชมวิวริมแม่น้ำโขง ที่เราสามารถขึ้นไปนั่งเล่นชมวิวภูเขาสวยๆ ที่ตอนนี้มีสายหมอกจางๆ สุดโรแมนติกแบบนี้ คือมันดีมากอ่ะแกรรร....ไม่ต้องออกไปไหน แค่อยู่ในรีสอร์ทก็ฟินแล้ว!
มื้อเย็นเราฝากท้องไว้ที่ห้องอาหารของรีสอร์ท ซึ่งไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวที่มาพักที่นี่เท่านั้น แต่ยังมีลูกค้าจากภายนอกเข้ามาทานอาหารกันหลายโต๊ะ สอบถามได้ความว่าที่นี่เริ่มต้นจากการเป็นร้านอาหารชื่อดังในตัวอำเภอสังคมอย่าง “ร้านปูเป้” มาก่อน ตอนหลังจึงค่อยมาทำเป็นรีสอร์ทที่นี่ เลยไม่แปลกใจที่ลูกค้าเก่าๆ หลายคนจะติดใจรสชาติจนต้องตามมาทานอาหารที่นี่
เมนูแนะนำจานเด็ดของที่นี่ ห้ามพลาดกับเมนูผัดเผ็ดหมูป่า, ปลาคังลวกจิ้ม, อ่อมไก่แบบพื้นบ้าน รสชาติกลมกล่อมหอมผักสมุนไพร ทานคู่กับปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียมและปลารากกล้วยทอดกรอบแบบทานได้ทั้งตัว แต่ที่ยกให้เป็นสุดยอด The Best ของมื้อนี้ ต้องยกให้เมนูปลานิลนึ่งจิ้มแจ่ว ปลานิลตัวใหญ่เนื้อสดหวาน เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มแจ่วรสชาติเข้มข้น เผ็ดกำลังดี ยิ่งได้ทานคู่กับผักลวกอย่างแครอท, บวบ และเห็ดนึ่งจิ้มกับน้ำพริกคือ...อร่อยมากกก
ตอนเช้าเราตื่นมาถ่ายรูปเล่น ชมวิวกันในบริเวณรีสอร์ทแต่เช้า ชดเชยที่เมื่อวานยังสำรวจไม่ทั่ว ซึ่งในรีสอร์ทก็มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้เซลฟี่กันเพียบเลยค่ะ อย่างผนังตึกที่ปกคลุมด้วยต้นตีนตุ๊กแกสีเขียว เป็นฉากถ่ายรูปยอดฮิตของใครที่มาเที่ยวพักผ่อนที่นี่
เราทานอาหารเช้าท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำโขงฟินๆ อากาศตอนเช้าสดชื่นมากๆ ท้องฟ้าหลังฝนเมื่อคืนนี้ยังคงปกคลุมด้วยเมฆ มองเห็นหมอกจางๆ ลอยเรี่ยบนภูเขา บรรยากาศดีจนไม่อยากเช็คเอาท์กันเลยทีเดียวค่ะ
จากนั้นขับรถไปเที่ยวกันต่อ ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะไปเที่ยวน้ำตกธารทิพย์ แต่ปรากฏว่าไม่มีน้ำ เราเลยแวะทานก๋วยเตี๋ยวมื้อเที่ยงเจ้าอร่อยระหว่างทาง ชื่อร้านเส้นเป็นเตี๋ยว@บ้านม่วง บรรยากาศร้านเรียบง่ายแต่น่ารัก มีที่นั่งให้ห้อยขาชิลๆ ทานก๋วยเตี๋ยวชมวิวแม่น้ำโขงไปด้วย
ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้อร่อย ชามใหญ่และให้เยอะมากกก...สั่งก๋วยเตี๋ยวหมูและก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำตกไปคนละชาม ทานคู่กับกะปิและผักสดแบบสไตล์หนองคาย อิ่มอร่อยแถมยังราคาไม่แพง ชามละแค่ 40 บาทเท่านั้น ใครผ่านมาแถวบ้านม่วง อำเภอสังคมแวะมานั่งกินเตี๋ยวชมโขงกันที่นี่ได้ ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 9.00-16.00 น.
เติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว เราไปล่องเรือชมแม่น้ำโขงกันดีกว่า เดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึงหนองคาย เราเลือกใช้บริการเรือนำเที่ยวของชาวบ้านในชุมชน โดยไปลงเรือที่ท่าเรือบ้านม่วง จะมีชาวบ้านเป็นไกด์นำเที่ยวล่องเรือชมแม่น้ำโขงในราคาลำละ 350 บาท ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมง โดยเรือจะล่องไปตามแม่น้ำโขงไปยังบริเวณที่เรียกว่า “พันโขดแสนไคร้”
ที่นี่ได้สมญาว่าเป็นแกรนด์แคนยอนแม่น้ำโขงแห่งหนองคาย เพราะมีต้นไคร้นับแสนต้นขึ้นอยู่บนโขดหินขนาดใหญ่และเนินทรายกลางแม่น้ำโขงมากมาย จนได้ชื่อว่าเป็นดินแดนพันโขดแสนไคร้ กินพื้นที่ในแม่น้ำโขงฝั่งหนองคายเริ่มตั้งแต่หมู่บ้านตาดเสริม บ้านม่วง บ้านภูเขาทอง บ้านหนอง ไปจนถึงบ้านห้วยค้อ รวมระยะทางประมาณกว่า 5 กิโลเมตร
เรือพาเราล่องมาถึงจุดที่เป็นหาดทรายขนาดใหญ่กลางแม่น้ำโขง ซึ่งจะปรากฏในช่วงเดือนที่น้ำลง พวกเราเลยลงไปเดินเล่นถ่ายรูปกันเต็มที่ แหม...ไม่บ่อยที่จะมีโอกาสไปเหยียบหาดทรายกลางแม่น้ำโขงแบบนี้ เลยสนุกกันเพลินจนแทบลืมเวลา
ขากลับเราได้นั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกกลางแม่น้ำโขง บรรยากาศดี วิววยมากๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจอีกวันหนึ่งของทริปนี้เลยค่ะ
คืนนี้เราพักกันที่ “เคียงโขงชมหมอก” ที่พักเรียบง่าย บรรยากาศอบอุ่นแบบโฮมสเตย์ริมแม่น้ำโขงในตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย นักท่องเที่ยวนิยมมานอนกางเต็นท์ริมแม่น้ำโขงที่นี่กันคึกคัก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว แต่วันที่เราไปไม่มีแขกกลุ่มอื่นๆ มีแค่เต็นท์ของพวกเราเท่านั้นค่ะ ซึ่งทางที่พักจะมีลานระเบียงกางเต็นท์ให้ พร้อมที่นอน โคมไฟและที่เสียบปลั๊กไฟไว้ให้ทุกเต็นท์
มื้อเย็นเราสั่งหมูกระทะมานั่งกินกัน ส่วนคุณเพื่อนขอจัดเป็นหม้อจิ้มจุ่มละกัน บอกว่าสู้ควันไม่ไหว...คือถ้ามากินหมูกระทะหน้าหนาวก็คงฟิน แต่มาฤดูนี้อาจเหมือนอบซาวน่าเบาๆ โอเค...เข้าใจค่ะเพื่อน งั้นแยกไปคนละเตาเลยก็แล้วกันเนอะ!
เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นประมาณตี 5.30 น. เพื่อไปขึ้นรถอีแต๊ก พาหนะที่จะพาพวกเราขึ้นเขาไปดูทะเลหมอกที่ภูห้วยอีสัน เพราะหนทางนั้นขรุขระลาดชัน ต้องใช้รถอีแต๊กของชาวบ้านเท่านั้น ปกติช่วงหน้าหนาวที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก จะคิดค่าโดยสารคนละ 60 บาท นั่งได้ 5 คน แต่ถ้ามานอกฤดูท่องเที่ยวอย่างพวกเราก็สามารถเหมาขึ้นไปคันละ 300 บาท เมื่อเทียบกับทางที่ค่อนข้างวิบาก ถือว่าไม่แพงและยังช่วยกระจายรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นไปด้วย (ติดต่อรถอีแต๊กนำเที่ยวภูห้วยอีสัน โทร.093-4248641)
ใช้เวลานั่งรถอีแต๊กประมาณ 30 นาทีก็ขึ้นไปถึงด้านบนยอดภูห้วยอีสัน จุดชมวิวทะเลหมอกชื่อดังของหนองคาย มีระเบียงไม้สำหรับเป็นจุดชมวิวทะเลหมอกอยู่ 3 จุดด้วยกัน ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ช่วยกันพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว
วันนี้โชคดีที่มีหมอกจางๆ ลอยอยู่ให้เห็นไกลๆ บริเวณแม่น้ำโขงด้านล่างและเหนือยอดเขาฝั่งประเทศลาว อาจเพราะวันก่อนฝนตกหนักจึงยังพอมีความชื้นให้เกิดหมอก หากใครอยากชมทะเลหมอกสวยๆ แน่นๆ ต้องมาช่วงปลายฝนต้นหนาวสักประมาณเดือนตุลาคม จะเห็นทะเลหมอกที่ภูห้วยอีสันสวยที่สุด
ชมวิวกันจุใจเต็มที่แล้ว เรานั่งรถอีแต๊กกลับมาอาบน้ำ เก็บของเช็คเอาท์ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริป ขอแวะเที่ยวกรุบกริบระหว่างทาง จุดหมายแรกของเราอยู่ที่ “วัดถ้ำศรีมงคล” อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในตำบลผาตั้ง อำเภอสังคม หนองคาย ที่มีไฮไลท์อย่างถ้ำดินเพียง ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นถ้ำพญานาคใช้เดินทางสู่เมืองบาดาล ภายในถ้ำมีเส้นทางคดเคี้ยวเชื่อมต่อกันมากมาย
ภายในโถงสำคัญๆ ของถ้ำจะมีการประดับไฟไว้ แต่ที่เหลือนอกเส้นทางปราศจากแสงไฟ การเที่ยวชมถ้ำต้องมีไกด์นำทางเข้าชม เพราะภายในถ้ำค่อนข้างซับซ้อน มีทางเดินใต้ดินที่วกวนจนอาจหลงได้ง่ายๆ ว่ากันว่าทางเดินบางแห่งนั้นสามารถทะลุไปถึงแม่น้ำโขงได้เลยทีเดียว
นอกจากจะได้เที่ยวตามรอยตำนานเส้นทางพญานาค ภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรกประดิษฐานให้เราได้กราบไหว้อธิษฐานขอพร เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 15.30 น.
บางช่วงในถ้ำศรีมงคลนั้นทางเดินแคบมากๆ ต้องระวังและฟังคำแนะนำของไกด์ดีๆ โดยเฉพาะช่วงสุดท้ายก่อนจะไปถึงทางออกที่เราต้องคลานกับพื้นผ่านช่องหินแคบๆ แค่ประมาณ 50 ซม.เท่านั้น แนะนำใส่ชุดทะมัดทะแมง หรือเตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนไว้เผื่อเลอะสำรองไว้ก็ดีค่ะ
จากนั้นเราขับรถเข้าตัวเมืองหนองคาย แวะทานข้าวและซื้อของฝากที่ตลาดท่าเสด็จกันพอหอมปากหอมคอ ของฝากขึ้นชื่อของหนองคายแน่นอนว่าต้องเป็นหมูยอ, เส้นก๋วยจั๊บญวน, มะพร้าวแก้ว และปลาร้าบอง ฯลฯ เดินเลือกช้อปกันได้ทั้งวัน
ถ้ามีเวลาเหลืออาจแวะไปถ่ายรูปกับตึกเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกิสสวยๆ ในตัวเมืองหนองคาย พิกัดอยู่แถวหน้าวัดศรีเมือง ไม่ไกลจากตลาดท่าเสด็จด้วยก็ได้
ได้ของฝากติดมือ พร้อมรูปฮิปๆ ไว้เปลี่ยนโปรไฟล์ใหม่แล้ว พวกเราก็โบกมือลาบ๊ายบาย...เมืองหนองคายกลับกรุงเทพฯ เส้นทางเดิม เพิ่มเติมคือแวะที่ปั๊มบางจากลานอีสาน โคราชอีกรอบ เพราะติดใจรสชาติของกาแฟของ Inthanin
แต่คราวนี้โชเฟอร์และตากล้องประจำทริปของเราขอสั่งแบบกลับไปกินบนรถ เพราะต้องขับรถทางไกลอีกยาวๆ ซึ่งถ้าหากเราเอาแก้วมาเอง จะได้ส่วนลดพิเศษอีกแก้วละ 5 บาทด้วยค่ะ ทั้งช่วยประหยัดและลดการใช้แก้วพลาสติกไปในตัว
สรุปทริปนี้...ถึงแม้จะเจอฝนกระหน่ำในวันแรก มีบางอย่างผิดแผนไปบ้าง แต่เรากลับไม่รู้สึกเสียดาย...เพราะอย่างน้อยการได้ออกเดินทางก็ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ อาจไม่ใช่ช่วงฤดูที่หนองคายสวยน่าเที่ยวที่สุด แต่ต้นฤดูฝนแบบนี้ภาคอีสานก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ แถมยังได้เจอหมอกหน้าฝนจางๆ แค่นี้ก็ประทับใจจนเราคิดว่าจะหาโอกาสกลับไปอีกครั้งเมื่อฤดูหนาวมาเยือนแน่นอน ฮักนะ...หนองคาย!
Tags: หนองคาย เที่ยวหนองคาย วัดผาตากเสื้อ skywalk ที่เที่ยวหนองคาย สังคมริเวอร์วิว รีสอร์ท ที่พักสังคม ที่พักหนองคาย เคียงโขงชมหมอก ร้านเส้นเป็นเตี๋ยว@บ้านม่วง ร้านอาหารสังคม ร้านอาหารหนองคาย พันโขดแสนไคร้ ภูห้วยอีสัน ทะเลหมอก วัดถ้ำศรีมงคล ถ้ำดินเพียง ตลาดท่าเสด็จ
ทริปตัวอย่าง | 18 ธ.ค. 2024 | 107 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 12 ธ.ค. 2024 | 298 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 07 ธ.ค. 2024 | 398 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 27 พ.ย. 2024 | 528 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 26 พ.ย. 2024 | 732 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 11 พ.ย. 2024 | 1,046 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 01 ธ.ค. 2024 | 482 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 08 พ.ย. 2024 | 911 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 28 ต.ค. 2024 | 1,243 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 1,404 อ่าน
ทริปตัวอย่าง | 08 ต.ค. 2024 | 1,765 อ่าน