calendar_month 18 ม.ค. 2019 / stylus Admin Chillpainai / visibility 28,994 / เที่ยวต่างประเทศ
“ชิโกะกุ” (Shikoku) เกาะภูมิภาคขนาดเล็กและอยู่นอกสายตาของใครหลายคนที่คิดจะมาเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ถึงแม้เกาะนี้จะมีขนาดเล็กสุด แต่ความเล็กนี่แหละที่ทำให้เกาะนี้กลายเป็นเมืองที่น่ารักและมีเสน่ห์ไม่เหมือนที่อื่น ความเงียบสงบ ผู้คนใช้ชีวิตเรียบเงียบง่าย และยังคงบรรยากาศแบบธรรมชาติไว้ไม่ถูกกลืนกินโดยวัฒนธรรมสมัยใหม่ ทั้งประวัติศาสตร์ท้องถิ่น อาหาร และธรรมชาติที่โดดเด่น ทำให้การมาครั้งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในหนังสือการ์ตูนโดเรม่อนที่โนบิตะและเพื่อนๆ วิ่งเล่นกันในหมู่บ้านชนบท , ชินจังเดินกลับบ้านจากโรงเรียน และเจอสิ่งใหม่ๆ ที่ใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ ที่เราพึ่งเคยได้เห็นครั้งแรก "ครั้งแรกก็มักตื่นเต้นเสมอ" ใช่ครับ ... นี่เป็นการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกของผม นับเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่อยากชวนทุกคนมาสัมผัสด้วยกันจริงๆ
เกาะชิโกะกุ ตามความหมายชื่อของชิโกุกุคือประเทศทั้งสี่ซึ่งก็ตรงตามชื่อ “ชิโกะคุ” (Shikoku) มี 4 จังหวัดคือ เอะฮิเมะ (Ehime), จังหวัดคางาวะ (Kagawa), จังหวัดโทคุชิมะ (Tokushima) และจังหวัดโคชิ (Kochi) แบ่งเป็นโซนเหนือ - ใต้โดยมีภูเขาสูงชันกลั้นกลางทำให้การเดินทางในสมัยก่อนโดยรถสาธารณะนั้นจึงค่อนข้างลำบาก คนเลยยังมีความเข้าใจแบบเดิมว่าเกาะนี้มายาก ไปยาก นักท่องเที่ยวเลยน้อยเมื่อเทียบกับโซนอื่น ซึ่งความเป็นจริงแล้วตอนนี้เราสามารถเดินทางได้จากเมืองหลักอย่างโตเกียวหรือโอซาก้า มาได้สะดวกทั้งรถไฟและเครื่องบิน แถมเกาะนี้ยังมีที่เที่ยวเต็มไปหมดเหมาะกับคนที่อยากปลีกตัวมาชมเมืองเก่าแก่และธรรมชาติที่ยังไม่ถูกปรุงแต่งมาก รับรองว่าจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน
จากสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเรา เดินทางขึ้นเครื่องด้วยสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ตอนสี่ทุ่ม หลับๆ ตื่นๆ นั่งๆ นอนๆ กินๆ ดูหนังไปสักพักก็ถึงสนามบินนาริตะโตเกียว (Narita International Airport)ใช้เวลาประมาณ 5 ชม. เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าบ้านเรา 2 ชั่วโมง ถึงที่นู้นก็เป็นช่วงเช้าพอดี จากนั้นต่อเครื่องไปลงที่สนามบิน ทากามัตสึ (Takamatsu Airport) ในจังหวัด คากาวะ (Kagawa) อีก 1 ชม. ในวันแรกนี้เราจะเที่ยวในจังหวัดคากาวะนี้ก่อน แล้วค่อยๆ ลงไปทางจังหวัดเอฮิเมะถึงจังหวัดโคจิ
พอถึงวินาทีแรกที่ประตูสนามบินที่ทากามัตสึนั่นเลื่อนเปิดออก ... โอ้โห หนาวมากกกกกกก ผมไม่คิดว่าตอนเช้าอากาศที่นี่จะหนาวขนาดนี้ เพราะเกาะชิโกะกุอยู่ภาคตะวันตกเกือบทางใต้แล้ว แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ติดกับทะเลลมจึงพัดค่อนข้างแรงทำให้หนาวมากขึ้น เสื้อกันหนาว 2 ชั้นก็ยังไม่พอ ทั้งเกาะมีอุณหภูมิประมาณ 5-14 องศาในเดือนมกราคม ทางเหนือของเกาะอากาศจะหนาวมาก ใครที่วางแผนมาเที่ยวในเดือนนี้ควรเตรียมเสื้อกันหนาวมาให้พอนะครับ เราเตือนคุณแล้ว...
จากสนามบินเป้าหมายแรกของเราคือ สวนริทสุริน (Risurin Garden) ถือเป็นไฮไลท์สำคัญที่ใครมาเมืองนี้ต้องมาเช็คอินที่นี่ “สวนริทสุริน โคเอน” พอซื้อบัตรเข้าไปตอนแรกไกด์ชาวญี่ปุ่นก็บอกกับเราว่า ที่นี่เป็นสวนมรดกทางวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น! เมื่อก่อนเป็นที่พักของเจ้าเมืองทากามัตสึในสมัยเอโดะ อายุเก่าแก่กว่า 400 ปี ก่อนมาเห็นผมก็งงๆ ว่าสวนญี่ปุ่นแท้ๆ นั้นหน้าตาจะเป็นแบบไหน เคยเห็นแต่บ้านเราที่บอกว่าตกแต่งสวนแบบญี่ปุ่นๆ พอมาเห็นกับตาจริงๆ ก็ถึงบางอ้อครับ... ‘อ้ออออ ! เรียบง่ายแต่ทรงพลัง’ ผมอยากใช้คำนี้จริงๆ เพราะสวนที่นี่สวยในแบบที่ไม่ต้องจัดแต่งเยอะ ตัดแต่งแค่กิ่งกับใบของต้นไม้ มันสวยด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ ธรรมชาติกับบรรยากาศรู้สึกว่าเข้ากันมาก ทั้งต้นบอนไซที่เป็นจุดเด่น รวมทั้งต้นสนโบราณขนาดใหญ่กว่า 1,000 ต้นที่ได้รับการดูแลอย่างดี เป็นเอกลักษณ์ของสวนริทสุรินที่นี่ อีกทั้งใบไม้หลากสีของภูเขาด้านหลัง ทะเลสาบกลางสวนที่สะท้อนเงาบนผิวน้ำ บ้านไม้เก่าแก่ของไดเมียวสมัยเอโดะ ทุกอย่างลงตัวแบบสวนญี่ปุ่นจริงๆ สวยงามมากครับ
Recommended : กิจกรรมอีกหนึ่งอย่างในสวนริทสุรินคือการนั่งเรือในทะเลสาบชมสวนจะได้ดื่มด่ำกับบรรกาศแบบเต็มที่
สวนริทสุรินตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ JR Takamatsu Station และปราสาททาคามัตสึไปทางใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร จาก JR Takamatsu Station สามารถนั่งรถไฟท้องถิ่นไปมาลงที่ Ritsurinkoen-Kitaguchi Station เป็นสถานีรถไฟที่ใกล้สวนมากที่สุดเดินประมาณ 5 นาที
ค่าเข้าชม : คนละ 410 เยน
เวลาเปิด - ปิด : 7.00 - 17.00 น. (ปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดในแต่ละเดือน)
ข้อมูลเพิ่มเติม คลิกที่นี่
จุดต่อไปที่เราแวะไปนั่งชิลทานขนมและกาแฟตอนสายๆ คือจุดที่เรียกว่า “ตรอกคีตาฮามะ” (Kitahama Alley) ซึ่งเป็นโกดังเก่าสุดชิคที่ปรับเปลี่ยนมาเป็นย่านร้านค้าเล็กๆ ริมทะเลใกล้ท่าเรือทากามัตสึ มีร้านเบเกอรี่ ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ร้านขายของฝาก และพื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะต่างๆ
เดินเล่นชมร้านต่างๆ ริมทะเลตามโกดังนี้แล้วก็มาชิมกาแฟสักแก้ว เค้กสักชิ้น มองทะเลอยู่ไกลๆ ที่ร้าน Umie บรรยากาศกินลมชมวิวแบบนี้ชิลจนไม่อยากลุกไปไหนต่อเลยครับ .. ตรอกคีตาฮามะเหมาะสำหรับสายฮิปที่อยากมาพักผ่อนมากๆ
เที่ยงแล้วก็เริ่มหิว พอขึ้นรถปุ๊บไกด์ก็บอกกับเราว่าของกินขึ้นชื่อของจังหวัดคากาวะและมีชื่อเสียงมากที่สุดบนเกาะโชโกกุนี้ก็คือ “เส้นอุด้ง” เพราะเส้นอุด้งนี้เป็นเส้นซะนุกิอุด้ง มีจุดกำเนิดเกิดขึ้นที่เมืองนี้! ที่นี่ยังมีร้านขายเส้นอุด้งอยู่ประมาณ 800 แห่ง และวันนี้ก่อนจะลองชิมเราจะได้เรียนทำเส้นซะนุกิอุด้งนี้ด้วยครับ
ถึงแล้ว โรงเรียนนะกะโนะอุด้ง (Nakano Udon School) ที่เมืองโคโตฮิระ (Kotohira) ด้านล่างเป็นร้านขายของ พอขึ้นไปชั้น 3 เป็นห้องเรียนเวิร์กช็อปทำเส้นอุด้ง โดยเริ่มแรกหลักๆ ทีมงานและครูผู้สอนก็จะให้เรานวดแป้งสาลี ย่ำแป้ง รีดแป้งให้เรียบแล้วตัดเป็นเส้น... ใช่ครับไม่ได้เขียนผิดแต่อย่างใด เคล็ดลับความอร่อยเหนียวนุ่มหนึบหนับของเส้นซะนุกิอุด้งนั้นอยู่ที่การ “ย่ำ” หรือ “เหยียบ”แป้งนั่นละครับ ครูบอกกับเราว่าสมัยก่อนนั้นอากาศหนาว การย่ำแป้งก็เป็นเหมือนการออกกำลังกายแก้หนาวไปด้วย ขอบอกเลยว่าความสนุกของการเรียนในครั้งนี้อยู่ที่ครูสอนที่น่ารักคนนี้เลยครับ เพราะเขาจะเปิดเพลงเชียร์ให้เราเต้นไปด้วยตอนย่ำแป้งอย่างสนุกสนาน จนโรงเรียนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังที่เรียกกันทั่วไปว่า Udon dance ในปัจจุบัน
หลังจากนั้นเราก็ได้ลองทานเส้นซะนุกิอุด้งขนานแท้แบบต้นตำรับจริงๆ รสชาติเส้นนั้นเหนียวนุ่มและหนึบมาก เสิร์ฟพร้อมกุ้งเทมปุระและซุปมิโซะร้อนๆ ต่อด้วยของหวานคือไอติมซอฟท์ครีมของขึ้นชื่อของที่นี่เช่นกัน ถึงอากาศจะหนาวแต่พอชิมไปแล้วฟินมากๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีว่าเราเคยทำเส้นอุด้งเก็บไว้เป็นความทรงจำในการมาเที่ยวที่จังหวัดคางาวะนี้เลยครับ
ท้องเริ่มย่อยแล้วลุยกันต่อเลย จุดต่อไปคือ ศาลเจ้าโคโตฮิระ-กู (Kotohira-gu Shrine) สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดคางาวะ ทางเดินขึ้นไปศาลเจ้านั้นอยู่หน้าโรงเรียนสอนทำเส้นอุด้งเลย ที่นี่ถือเป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์มากๆ ของชาวญี่ปุ่นเกี่ยวกับกับการเดินเรือในสมัยก่อน แต่กว่าจะเดินไปถึงด้านบนเล่นเอาเหนื่อยมากเหมือนกัน เพราะมีบันได 785 ขั้นที่ขึ้นไปเจ้าศาลเจ้าหลัก แถมยังมีทางเดินต่อไปศาลเจ้าด้านในได้อีก บรรยากาศของการเดินขึ้นไปในระหว่างทางก็ดีมากๆ ครับ เราสามารถชมวิวเมืองโคโตฮิระ ถ่ายรูปได้ตลอดสองข้างทาง ซึ่งถ้าหากใครมาเที่ยวในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีและซากุระบานคนคงจะเยอะมากๆ แต่มาช่วงหน้าหนาวนี้นักท่องเที่ยวบางตาแบบนี้ก็ชิลและสงบไปอีกแบบ
เดินขึ้นมาเจอรูปปั้นน้องหมาก็เกิดความสงสัยจึงถามไกด์ เขาบอกว่าในสมัยก่อนนั้นการเดินทางไปไหนมาไหนยังยากลำบาก การมาแสวงบุญต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน สุนัขจึงเป็นสะพานสำคัญที่ทำให้คนอยากทำบุญเลยใช้น้องหมามาวัดแทน ห๊ะ? .. ใช้หมามาวัดแทนคนได้หรอ? ไกด์ยังบอกต่อว่าจริง ! ที่คอน้องหมาจะใส่ป้ายชื่อ เงินทำบุญพร้อม ส่วนน้องหมาที่รูปปั้นนี้คือ “คนปิระอินุ” หมาแสนรู้และทำหน้าที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปัจจุบันศาลเจ้านี้ยังอนุญาตให้พาหมาขึ้นมาด้านบนได้อีกด้วย
ก่อนที่จะถึงตัวศาลเจ้า เราต้องตักน้ำล้างมือซ้าย ต่อด้วยมือขวา จากนั้นเอามือหยิบน้ำเพียงเล็กน้อยมาแตะๆ ที่ปาก แล้วยกขันน้ำเทน้ำที่เหลือเข้าหาตัว ทำขั้นตอนทุกอย่างนี้ในน้ำขันเดียว เหมือนเป็นการ “ล้างไม้ล้างมือ" เพื่อเป็นการชำระล้างตัวเราให้สะอาดก่อนเข้าไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น
Recommended : “ขึ้นเท่าไหน ลงเท่านั้น” จากบันไดหลายขั้นที่เราขึ้นมาก็ต้องเดินกลับลงไปทางเดิม ถือเป็นทางเดินวัดใจใครหลายๆ คนที่อยากขึ้นมาสักการะศาลเจ้าโคโตฮิระ-กู อันศักดิ์สิทธิ์นี้
การเดินทาง จากสถานีรถไฟทากามัตสึชิคโค (Takamatsu Chikko) สามารถขึ้นรถไฟสายโคโตฮิระ (Kotohira Line) ไปลงที่สถานีโคโตะเด็ง โคโตฮิระ (Kotoden Kotohira Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นเดินประมาณ 10 นาทีถึงศาลเจ้า
อิ่มบุญกันถ้วนหน้าก็ถึงเวลาพักผ่อน โรงแรมแรกของเราในคืนนี้คือที่ โคโตฮิระ ออนเซ็น โฮเทล (Kotohira Onsen Hotel) อยู่ใจกลางเมืองโคโตฮิระ เป็นห้องพักเรียวกังมีเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่นดั้งเดิม อุปกรณ์ในห้องนอนมีพร้อมทุกอย่างสะดวกสบายมาก ตามชื่อโรงแรมเขาก็มีบ่อออนเซ็นให้บริการแยกห้องชายหญิงให้เสร็จสรรพ แถมยังมีห้องอาหารแบบส่วนตัวด้วย เมนูของเราเย็นนี้คือปลาดิบซาซิมิและชาบูเนื้อหอมๆ อร่อยถึงต้นตำรับญี่ปุ่นมากๆ
ตื่นเช้าทานอาหาร เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เราเดินทางกันต่อเลย วันนี้เราจะเปลี่ยนไปเที่ยวที่จังหวัด “เอฮิเมะ” (Ehemi) กันบ้าง จังหวัดนี้ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของเกาะชิโกะกุเช่นกันเพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจเยอะมากๆ ระหว่างทางเราแวะซื้อส้มที่ร้าน Nio Mikan no sato มีส้มสายพันธุ์ Mandarin ที่ไร้เมล็ดถือเป็นของขึ้นชื่อและโลโก้มาสคอตของที่นี่ สังเกตุระหว่างทาง แอบเห็นชาวบ้านแถวนี้เขาปลูกส้มกันทุกหลัง และยังสงสัยเลยว่าต้นส้มของเอฮิเมะปลูกกันริมทะเลได้ยังไง ไกด์ก็เฉลยว่าลมทะเลนี่แหละที่เป็นธาตุอาหารสำคัญให้ต้นส้มที่นี่โตอย่างดี พอลองชิมชิ้นแรกรสชาตินั้นหวานมาก สมคำร่ำลือจริงๆ
ถึงเมือง “อิมาบาริ” (Imabari) แล้วจุดแรกที่เราไปเช็คอินคือจุดชมวิว “คีโรโอลด์” (Kirosan Observatory) ที่ต้องข้ามสะพาน Kurushima Kaikyo Bridge ไปอีกฝั่งเกาะโอชิมะ
(Oshima) ถือเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยจริงๆ ครับ เพราะอยู่ด้านบนสูงสุดของเกาะและเห็นวิวได้ 360 องศารอบตัวเลย มองกลับไปก็จะเห็นสะพาน Kurushima Kaikyo ที่เราข้ามมา จุดนี้ยังเป็นจุดที่นักปั่นจักรยานชอบขึ้นมาพักและถ่ายรูปชมพระอาทิตย์ตกดินกันอีกด้วย
หิวแล้ว.. แน่นอนว่ามาเที่ยวทะเลก็ต้องกินอาหาร Seafood มื้อกลางวันนี้ฝากเราท้องกันที่ร้าน Yoshiumiikiikikan Rest Area อยู่ติดทะเลด้านล่างจุดชมวิวคีโรโอลด์ ที่ร้านนี้มีอาหารทะเลสดๆ หลากหลายเมนูให้เลือก มื้อนี้เราทานเซ็ตปิ้งย่าง หอย ปลา หมู ไส้กรอก พร้อมเตาร้อนๆ และข้าวหน้าปลากะพงไข่จิ้มซอสโชยุที่เป็นของกินขึ้นชื่อของที่นี่รสชาติแบบสุโค่ยยยยย
จุดต่อไปเราข้ามสะพานกลับมาที่ฝั่งอิมาบาริจุดนี้เป็นจุดเช่าจักรยาน “Sunrise Itoshima” ที่ไม่ว่านักปั่นมือใหม่หรือมืออาชีพส่วนมากก็จะมาเริ่มเช่าและปั่นจักรยานกันที่นี่ จึงอยากแนะนำสำหรับคนที่ชอบปั่นจักรยาน ได้เที่ยวไปด้วย ปั่นออกกำลังไปด้วย กับเส้นทางปั่นจักรยานเลียบทะเล เซโตะอุจิ ชิมะนะมิ (Setouchi Shimanani Kaido) ที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดเอฮิเมะ (Ehime) และจังหวัดฮิโรชิมะ (Hiroshima) ระยะทางกว่า 70 กม. ตัดผ่าน 6 เกาะ ข้าม 7 สะพาน ใช้เวลา 7-8 ชม. ปั่นไปชมวิวไปน่าจะเป็นสวรรค์ของนักปั่นจักรยานมากๆ ขนาดผมที่ไม่ชอบปั่นจักรยาน พอได้เห็นวิวของเส้นทางนี้ก็อยากจะลองปั่นดูบ้าง
ตามถนนทั่วไปภายในเมืองเราจะเห็นมิคัง (Mican) มาสคอตประจำจังหวัดเอฮิเมะ เป็นตัวหมาผสมกับผลส้ม เราสามารถเจอมิคังได้ทั่วเมืองเอฮิเมะตามร้านค้าและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดเอฮิเมะ
Recommended : จุดนี้มีจักรยานมี 500 กว่าคัน มีทั้งจักรยานเด็ก , ผู้ใหญ่ , จักรยานไฟฟ้า ราคาเริ่มตั้งแต่ 1,000 เยน
จักรยานที่เราเช่าสามารถคืนจุดไหนก็ได้ เพราะมีมากกว่า 13 สาขาทุกเกาะสะดวกมากๆ
มาต่อกันเลยที่ พิพิธภัณฑ์ผ้าขนหนู (Imabari Towel Museum of Art) แค่ชื่อก็ชวนสงสัยแล้วใช่ไหมครับ ทำไมแค่ผ้าขนหนูถึงจะต้องทำเป็นพิพิธภัณฑ์ พอเข้าไปสัมผัสแล้วก็ตกใจสมควร เพราะคนญี่ปุ่นนั้นถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วไม่มีเรื่องไหนไม่จริงจัง ภายในพิพิธภัณฑ์มีผ้าขนหนูหลากสีสันแปลกตา มีทั้งถักมือและใช้เครื่องถักทำแบบละเอียดมากๆ แถมยังผลิตออกมาอย่างมีศิลปะจนรวบรวมมาเป็นพิพิธภัณฑ์ได้ ด้านคุณภาพก็อ่อนนุ่มและเนี๊ยบเบาบางสุดๆ
น่าเสียดายที่ผลงานแสดงผ้าขนหนูด้านในไม่สามารถถ่ายรูปออกมาให้ชมได้ ที่นี่ยังผลิตผ้าต่างๆ ร่วมกับแบรนด์อื่นๆ ด้วยมีทั้ง มูมิน, มิกกี้เม้าส์ และของฝากทุกอย่างให้เราช้อปมากมาย เมืองอิมาบาริถือเป็นต้นกำเนิดของการผลิตผ้าขนหนู ผ้าขนหนูของที่นี่จึงเป็นยี่ห้อผ้าขนหนูอันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบัน
เดินทางกันต่ออีก 2 ชั่วโมงและก็มาถึงตัวเมือง มัตสึยาม่า (Matsuyama) กับสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองนี้ “โดโกะออนเซ็น” (Dogo Onsen) โรงอาบน้ำที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น! มีมานานกว่า 120 ปี ในโบราณว่ากันว่ามีนกกระยางตัวหนึ่งบาดเจ็บแล้วมาแช่ออนเซ็นที่นี่แล้วหาย ทำให้ชาวบ้านก็อยากมาลองแช่เหมือนกัน จนกลายเป็นตำนานและโลโก้ของโดโกะออนเซ็นจนถึงตอนนี้
เรื่องอาบน้ำของคนญี่ปุ่นนี่คือเรื่องใหญ่เลยนะครับ เพราะไม่ว่าเมืองไหนก็มีออนเซ็นเยอะพอๆ กับโรงแรมเลย คนญี่ปุ่นบอกว่าการแช่ออนเซ็นจะช่วยผ่อนคลาย อาการปวดเมื่อยของร่างกาย แถมดีต่อผิว และแก้เครียดได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้โรงอาบน้ำโดโกะออนเซ็นนี้ ปิดเพื่อซ่อมแซมแบบไม่มีกำหนดแล้วแล้ว เขาจึงเปิดออนเซ็นใหม่ใกล้ๆ ชื่อ Asuka-no-Yu ให้เราได้ใช้บริการแทน
คืนนี้เราพักกันที่ Yamotoya Honten Hotel ติดกับโดโกะออนเซ็นเลย ชอบที่ในห้องมีเก้าอี้ไฟฟ้าให้นวดสบายๆ ทั้งคืน และชุดยูตากะวางบนเตียงให้เราได้สวมไปเดินเล่นถ่ายรูปช๊อปปิ้งด้านล่าง หรือสามารถไปแช่ออนเซ็นใกล้ๆ โรงแรมได้เลย
เช้าวันที่ 4 รีบตื่นเช้าทานอาหารที่โรงแรมและเช็คเอาท์ให้เสร็จก่อนรถไฟมา วันนี้เราวางแผนกันว่าจะขึ้น “รถไฟบตจัง” (Botchan train) ไปเที่ยวปราสาทมัตสึยาม่ากันที่สถานนีรถไฟโดโกะออนเซ็นซึ่งอยู่ใกล้ๆ โรงแรมเดินไม่กี่เมตรก็ถึงแล้ว ตั๋วรถไฟที่เราซื้อเป็นแบบแพ็คเกจะพร้อมเข้าชมปราสาทมัตสึยาม่าเลย รถไฟบตจังนั้นจำลองมาจากรถหัวจักรไอน้ำ พนักงานบนรถไฟก็แต่งเครื่องแบบเหมือนเมื่อก่อน บรรยากาศเหมือนให้เราได้นั่งย้อนอดีตเดินทางไปแบบญี่ปุ่นสมัยก่อน
ค่าตั๋วรถไฟ พร้อมค่าเข้าปราสาทและตั๋วกระเช้าขึ้นปราสาทคนละ 1,700 เยน
ภายในรถไฟเป็นห้องไม้แบบคลาสสิค เสียงของรถรางที่วิ่ง พนักงานรถไฟที่แต่งเครื่องแบบย้อนยุค ทุกอย่างเข้ากับบรรยากาศแบบย้อนวันวาน
ก่อนขึ้นตัวปราสาทเราสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งเก้าอี้ลิฟท์หรือเป็นแบบกระเช้านั่งรวมขึ้นไป แน่นอนว่าใครที่ชอบความหวาดเสียวหน่อยๆ ต้องนั่งเก้าอี้ลิฟท์กันอยู่แล้ว ถึงจะไม่มีตัวล็อคที่เก้าอี้ แต่มันก็ไม่ได้อันตรายมาก เพราะเขาสร้างมาให้เลื่อนขึ้นไปแบบช้าๆ แถมยังมีเซฟตี้ด้านล่างไว้เผื่อมีใครตกลงไป
ขึ้นมาไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว ปราสาทมัตสึยาม่า (Matsuyama Castle) ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 400 ปี ก่อนสมัยเอโดะ ตัวปราสาทตั้งอยู่บนจุดที่อยู่สูงสุดของเมืองมัตสึยาม่า พอขึ้นมาในเขตปราสาทแล้วก็จะมีไกด์ท้องถิ่นมาช่วยแนะนำจุดต่างๆ ที่สำคัญของตัวปราสาทมัตสึยาม่า จากที่เราเห็นอยู่ไกลๆ ระหว่างทางเดินขึ้นมาไม่คิดว่าจะยิ่งใหญ่มากขนาดนี้ ดูได้จากขนาดกำแพงหินสูงชันขนาดยักษ์เทียบกับขนาดตัวคนด่านล่าง ไกด์บอกว่าลักษณะที่ตั้งและตัวปราสาทมัตสึยาม่านี้เป็นปราสาทที่ยอดเยี่ยมสำหรับการโจมตีและป้องกัน
พอเดินขึ้นไปอีกสักพักก็สามารถมองเห็นวิวเมืองมัตสึยาม่าได้ทั่วทุกมุม ด้านในปราสาทสามารถให้เราได้จำลองการเล็งปืนหรือสอดแนมศัตรูที่จะบุกมาเข้าในเขตปราสาทได้ และไฮไลท์สำคัญของปราสาทมัตสึยาม่านั้นนอกจากตัวปราสาทที่สวยงามแล้ว คงก็เป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ด้านในที่บอกเล่าถึงความสำคัญของปราสาทมัตสึยาม่าในสมัยก่อน
Recommended : จุดสูงสุดของปราสาทมัตสึยาม่าสามารถมองเห็นวิวเมืองมัตสียาม่าได้ครบทุกมุมแบบ 360 องศาพื้นที่รอบๆ มีต้นซากุระกว่า 200 ต้น เหมาะแก่การชมดอกซากุระบานในฤดูใบไม้ผลิปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายนเป็นประจำทุกปี
การเดินทาง : รถไฟจากสถานี JR Matsuyama นั่งมาถึง สถานีโอไคโดะ (Okaido) แล้วเดินต่ออีก 5 นาที
ค่าเข้าชม : คนละ 510 เยน
เวลาเปิด - ปิด : 8.30 - 17.00 น. เปิดทุกวัน
เวลาเที่ยงพอดีเราเดินมาฝากท้องกันที่ร้าน โกชิกิ (Goshiki Matsuyama) ร้านนี้เป็นร้านดังเก่าแก่ในเมืองมัตสึยาม่า เมนูแนะนำก็คือบะหมี่โซเม็ง 5 สี หน้าตาน่าทานมากๆ ซึ่งลองแล้วก็ไม่มีผิดหวังเลยครับ เส้นนั้นบางแต่มีความเหนียวนุ่ม กินกับกุ้งเทมปุระ โชยุและเครื่องเคียง อร่อยเข้ากันมาก อีกเมนูหนึ่งคือข้าวหน้าปลากะพง ที่เป็นเมนูชื่อดังของที่นี่เช่นกัน คลุกให้เข้ากันรสถึงจะลงตัว ต้องบอกเลยว่า "โออิชิ"
เสร็จแล้วเดินทางกัน ต่อจุดต่อไปก็คือ บ้านพักงาริวซังโซ (Garyu Mountain Villa) เป็นคฤหาสน์เก่าในสมัยเมจิ ที่สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีแม่น้ำอยู่ด้านล่างถือเป็นทำเลที่ดีมากๆ บริเวณรอบก็จะตกแต่งเป็นสวนญี่ปุ่น ภายในบ้านก็สวยงามลงตัว มีการแกะสลักไม้หลังประตูบานเลื่อนเผื่อทำให้เวลาแดดส่องมาด้านหลังประตูจะมีรูปร่างของเงาตามช่องไม้ที่แกะออกมา ถือเป็นศิลปะภูมิปัญญาที่น่าทึ่งของคนญี่ปุ่นในสมัยก่อน อีกจุดหนึ่งที่ผมชอบคือตัวบ้านจะมีชานยื่นออกไปด้านนอกมองเห็นสวนญี่ปุ่น ต้นไม้และแม่น้ำ ทำให้เกิดความรู้สึกที่สงบแบบเซ็นจนอยากให้ได้ชาร้อนๆ มานั่งจิบกันตรงนี้เลยละครับ
Recommended : Garyu Mountain Villa
เปิดทุกวัน 9.00 -17.00 น.
ค่าเข้าคนละ 500 เยน
GPS : 33.506330 , 132.550117
เดินทางกันต่อก่อนจะไปจังหวัดโคจิก็แวะมาชม หมู่บ้านเก่าอูจิโกะ (Uchiko) อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดเอฮิเมะ ที่สมัยก่อนเคยเป็นศูนย์กลางค้าขายผลิตภัณฑ์ขี้ผึ้งและกระดาษ และตอนนี้ก็ยังรักษาอาคารบ้านเรือนและร้านค้าไว้เป็นอย่างดี สีสันบ้านเรือนแต่ละหลังยังคุมโทนแบบเดิม คนท้องถิ่นก็พักอาศัยอยู่กันจริงๆ ทุกหลัง บรรยากาศตอนที่ผมเข้าไปในหมู่บ้านรู้สึกเหมือนเดินย้อนเวลาอย่างช้าๆ เพื่อไปเจอเมืองชนบทญี่ปุ่นในอดีต มองซ้ายมองขวาก็เจอผู้คนยิ้มแย้มต้อนรับเป็นกันเองแบบเพื่อนบ้าน บอกเลยว่าใครที่ได้มาเที่ยวที่อูจิโกะก็ต้องชอบกันทุกคนแน่นอน
Recommended : มาเที่ยวเมืองเก่าอูจิโกะอย่าพลาดชม โรงละครคาบูกิอูจิโกะ - ซา (Uchiko - za Theater) เป็นโรงละครเก่าสมัยปี 1916 เก่าแก่กว่าร้อยปี ปัจจุบันคงใช้เป็นเวทีแสดงละครคาบูกิและจัดกิจกรรมตามโอกาสต่างๆ สามารถเข้าไปชมตัวอาคารด้านในได้ มีค่าเข้าชมคนละ 500 เยน
ขึ้นรถเดินทางกันต่อมาประมาณ 2 ชม. ก็ถึงจังหวัดโคจิแล้วววววว (Kochi) มาถึงก็หิวเลย .. แน่นอนว่ามาเที่ยวโคจิต้องกินปลา คัตสึโอโนะ ทาทาคิ (Katsuo no Tataki) ของกินขึ้นชื่อของจังหวัดโคจิ ที่ร้าน Tsukasa ร้านอาหารเก่าแก่กว่า 80 ปีที่คนญี่ปุ่นยังแนะนำ
คัตสึโอโนะ ทาทาคิ (Katsuo no Tataki) คือปลาโอย่าง การย่างเขาบอกว่าต้องใช้ฟางในการเผา เพราะจะทำให้ดับกลิ่นคาวของปลานั่นเอง จะเผาไฟแบบ "สุกนอกดิบใน" เขาจะเผาให้สุกแค่หนังปลาเท่านั้น วิธีกินคือจิ้มซอสโชยุหรือเกลือ ตามด้วยกระเทียมและหอมญี่ปุ่นเพื่อดับคาว รสชาติเปรี้ยวๆ เค็มๆ มันๆ สัมผัสถึงรสชาติของวัตถุดิบดั้งเดิมตามแบบฉบับญี่ปุ่น
เดินทางกันมาทั้งวันแล้ว คืนนี้เราพักกันที่ โฮเทล นิกโก้ โคจิ (Hotel Nikko Kochi) ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ภายในห้องตกแต่งแบบเรียบหรู มองเห็นวิวเมืองโคจิมุมสูงได้จากห้องพัก แถมห้องอาหารเช้าอยู่ชั้นบนสุด ทานอาหารไปชมวิวไปคือดีย์มากกกกก
เวลาผ่านไปเร็วมาก มาถึงวันสุดท้ายแล้ว ใจจริงอยากจะเที่ยวให้ทั่วในจังหวัดโคจิ แต่ที่เที่ยวเขามีเยอะมากแถมจังหวัดนี้ยังกว้างจริงๆ ด้วยเวลาเหลือน้อยต้องเลือกเที่ยวแบบรักพี่เสียดายน้องเลือกแต่สถานที่หลักๆ เน้นๆ เราตื่นเช้าตุนเบียงเต็มท้องให้อิ่มพร้อมไปจุดแรกก็คือ "พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานซากาโมโตะ เรียวมะ" (Sakamoto Ryoma Memorial Museum) ซามูไรที่เป็นเหมือนฮีโร่และวีรบุรุษของคนญี่ปุ่น
เขาคือซามูไรหัวสมัยใหม่ในปลายยุคเอโดะ ที่เป็นทั้งยอดนักดาบ นักคิด นักเจรจา และนักปฏิวัติ แถมมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงประเทศญี่ปุ่นให้เป็นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ในพิพิธภัณฑ์นี้ก็จะนำเสนอชีวประวัติ เหตุการณ์สำคัญ และสิ่งของต่างๆ ของเรียวมะที่ยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ให้เราได้รู้จักกับชีวิต ความคิด นิสัย ปรัชญาของเรียวมะผ่านพิพิธภัณฑ์นี้ ใครที่มาเที่ยวโคจิแล้วเจอสัญลักษณ์ ตุ๊กตา โลโก้ ตัวการ์ตูนของชายผู้นี้อยู่ทั่วไปหมดทั้งในสนามบิน ที่เที่ยว ร้านค้า ปราสาทต่างๆ ก็คงจะได้รู้และเข้าใจว่าทำไมชาวญี่ปุ่นถึงรักและศรัทธา ซากาโมโตะ เรียวมะ ลืมบอกไปครับว่าเรียวมะ เป็นชาวโทสะบนเกาะชิโกะกุ (ปัจจุบันคือก็จังหวัดโคจิ) พิพิธภัณฑ์เรียวมะจึงถูกจัดตั้งที่จังหวัดโคจินี้ และถึงแม้ส่วนจัดแสดงด้านในจะเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบนี้แต่ก็ไม่ต้องกลัวงงเลย เพราะภายในพิพิธภัณฑ์มีหูฟังและไอแพดแปลงให้เราได้ฟังทุกภาษา รวมถึงภาษาไทยด้วยครับดีมากๆ เลย
นี่คือห้องพักสุดท้ายที่โซกาโมโตะ เรียวมะ ถูกลอบสังหารในช่วงอายุ 33 ปี จากซามูไรทั่วไปและคนเป็นคนเร่ร่อนคนหนึ่งที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ เลย แต่เขากลับกลายเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของการปฏิรูปประเทศญี่ปุ่นให้สู่ความเป็นมหาอำนาจของโลกได้
จากพิพิธภัณฑ์ขับรถออกมาไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงชายหาดคัตสึระฮะมะ ( Katsurahama Beach) ก่อนที่จะเดินลงไปถึงชายหาดเราก็จะเจอกับรูปปั้นยักษ์ของ ซากาโมโตะ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma Statue) ที่ยืนหันหน้าออกไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ ผมมองอยู่นานและไกด์คนญี่ปุ่นก็เดินมาบอกใกล้ๆว่า "ถ้าไม่มีซากาโมโตะ เรียวมะ ญี่ปุ่นอาจจะไม่มีวันนี้" ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของซามูไรผู้นี้มากๆ ตรอกย้ำว่าเขาเป็นบุคคลที่สำคัญของชาวญี่ปุ่น
ชายหาดคัตสึระฮะมะ สามารถเดินลงไปจากรูปปั้นซากาโมโตะ เรียวมะได้เลย มีบรรยากาศของต้นสนญี่ปุ่นรายล้อมอยู่ริมทะเล เดินเล่นไปถ่ายรูปไปก็ชิลดี แถมชายหาดนี้ยังเป็นหาดที่สมัยเรียวมะเป็นเด็กนั้นมาวิ่งเล่นเป็นประจำ ว่ากันว่าสายตาที่มองการณ์ไกลของเรียวมะก็มาจากการมองทะเลผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกที่กว้างใหญ่นี้
ชมวิวกันเสร็จแล้วจุดต่อไปของเราก็คือ ปราสาทโคจิ (Kochi Castle) ปราสาทเก่าแก่กว่า 400 ปีและเป็นสถานที่สำคัญของชาวเมืองโคจิ โดยเป็นปราสาทญี่ปุ่นเพียงแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่และยังคงสภาพสถาปัตยกรรมจากสมัยเอโดะจนถึงตอนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าปราสาทนี้รอดจากสงครามและภัยพิบัติในอดีตมาได้ ชาวญี่ปุ่นเลยยกให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ ตัวปราสาทยังคงเอกลักษณ์ที่เป็นป้อมปราการป้องกันสุดแกร่ง ขึ้นไปด้านบนตัวปราสาทชั้นบนสุดเราสามารถมองเห็นวิวเมืองโคจิได้ทุกมุม แถมบริเวณรอบก็มีต้นสน ซากุระ และคูน้ำรายล้อมสวยมากๆ
Recommended : เวลาทำการ: 9.00 – 17.00 น. (เข้าปราสาทได้ถึงเวลา 16.30 น.)
การเดินทาง : จากสถานีโคจิ ขึ้นรถรางลงที่ป้าย Kochijo-mae และเดินต่อ 5 นาที
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ : 420 เยน อายุไม่ถึง 18 ปีเข้าฟรี
Recommended : ตลาดฮิโรเมะ (Hirome Market) อยู่ใกล้ปราสาทโคจิ สามารถเดินถึงกันได้เลย เป็นตลาดที่คึกคักมากเพราะเป็นตลาดที่คนโคจิมานั่งพบปะสังสรรค์กันตลอดเวลาที่ตลาดนี้ ภายในมีร้านอาหารทะเลสดๆ ที่เป็นของขึ้นชื่อของโคจิ รวมทั้งร้านค้า ร้านของฝากมากมายให้เราเลือกช้อป
ปลาคัทสึโอโนะ เมนูดังของโคจิ "ใครไม่ทานถือว่ามาไม่ถึง"
อิ่มแล้วเดินทางกันเลย จุดหมายต่อไปเราเดินทางไปยังเขาโกไดซังที่มี สวนโกไดซัง (Godaisan Park) เป็นสวนสนเล็กๆ มีคาเฟ่และจุดชมวิวด้านบนสุดของอาคาร ไฮไลท์อยู่ตรงจุดชมวิวนี่แหละครับ ที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองโคจิได้ทุกมุม ได้สูดอากาศบริสุทธิ์พร้อมวิวหลักล้าน ถือเป็นจุดที่หลายๆ คนชื่นชอบมากในทริปนี้
ปิดท้ายทริปนี้กับ วัดจิคุรินจิ (Chikurinji Temple) ผมชอบที่นี่มากๆ เพราะวัดตั้งอยู่ท่ามกลางป่าร่มรื่น เป็นวัดเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์มาก มีอายุกว่าพันปี! และวัดจิคุรินจิได้รับเลือกให้เป็นมรดกล้ำค่าของญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ภายในวัดมีศาลเจ้า วิหาร เจดีย์ห้าชั้น หอสมบัติที่ยังเก็บพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ และมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ที่ใส่ผ้ากันเปื้อนเด็กสีแดงอยู่เต็มวัดไปหมด จากที่สอบถามไกด์ก็บอกว่าสมัยก่อนตามตำนาน พระใหญ่ของวัดนี้ท่านเป็นพระที่คุ้มครองเด็กๆ ผ้ากันเปื้อนสีแดงเลยเป็นเหมือนสัญลักษณ์ตัวแทนของเด็กหรือทารก นักท่องเที่ยวหรือชาวโคจิ ก็จะมาขอพรเรื่องมีลูกหรือขอให้เด็กๆ ปลอดภัยนั่นเอง และยังบอกว่าต้องขอพรได้ข้อเดียวเท่านั้น ถือเป็นวัดที่เต็มไปด้วยบรรยากาศสงบเงียบและสัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในญี่ปุ่นได้จริงๆ
Recommended : ควรมาเที่ยววัดจิคุรินจิช่วงดอกซากุระบานและใบไม้เปลี่ยนสี วัดเปิดเข้าชมฟรี , เข้าชมสวนและหอสมบัติค่าเข้า 400 เยน
เวลาเปิด-ปิด : 8:30-17:00 ทุกวัน
ถึงเวลาโบกมือลาชิโกะกุในแดนอาทิตย์อุทัยแล้วครับ ตอนกลับเราขึ้นเครื่องบินที่สนามบินโคจิ (Kochi Ryoma Airport) บินกลับไปที่สนามบินนาริตะโตเกียว (Narita International Airport) ใช้เวลาชั่วโมงเดียวซื้อของฝากกันเสร็จก็ต่อเครื่องบินกลับสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเราเลยจ้า
เป็นยังไงกันบ้างครับทริป 5 วัน 4 คืนของเรา ที่แนะนำสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ บนเกาะชิโกะกุ ผมรู้สึกเลยว่าเกาะนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่ยังดิบและไม่ปรับเปลี่ยนไปมาก ธรรมชาติก็ยังโดดเด่นทั้งทะเลและภูเขา แถมการมาเที่ยวครั้งนี้ได้เห็นและเข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นจริงๆ และยังอยากยืนยันว่าใครที่กำลังวางแผนมาเที่ยวญี่ปุ่นในครั้งหน้า ให้ลองมาเที่ยวบนเกาะชิโกะกุดูสักครั้งนะครับ แล้วคุณจะตกหลุมรักเกาะนี้... เหมือนกับผมที่ตั้งใจจะกลับไปเที่ยวชิโกะกุอีกครั้งอย่างแน่นอน
ขอบคุณผู้สนับสนุนหลัก : องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO)
เรื่องและภาพ : ชิลไปไหน
ชิลไปไหน
Tags: ชิโกกุ เกาะชิโกกุ เที่ยวเกาะชิโกุกุ ญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น คากาวะ เที่ยวคากาวะ เอฮิเมะ เที่ยวเอฮิเมะ โคจิ เที่ยวโคจิ
เที่ยวต่างประเทศ | 21 พ.ย. 2024 | 2,239 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 12 พ.ย. 2024 | 1,057 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 26 ต.ค. 2024 | 1,195 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 1,463 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 1,646 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 24 ก.ย. 2024 | 1,994 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ย. 2024 | 2,712 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 30 ก.ค. 2024 | 3,650 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 19 ก.ค. 2024 | 7,008 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 4,700 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 1,188 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 18 เม.ย. 2024 | 4,535 อ่าน