calendar_month 01 ธ.ค. 2018 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 105,589 / เที่ยวต่างประเทศ
เที่ยวญี่ปุ่นมาเป็นสิบรอบล่ะ แต่ยังไม่เคยได้ไปขับรถในญี่ปุ่นกับเขาสักที เหตุผลคือก่อนหน้านี้ฮานะขับรถไม่เป็นจ้า...ดังนั้น สอง สามปีมานี้ฮานะเลยไปเรียนขับรถจนได้ใบขับขี่มา ความฝันต่อไปคือฉันต้องไปขับรถเที่ยวญี่ปุ่นชมใบไม้แดงสักครั้งให้ได้ แผนการนี้เลยเริ่มขึ้น หลังจากนั้นก็หาข้อมูล เก็บตังค์ พร้อมหลอกเพื่อน เอ้ย!!! ชวนเพื่อนผองน้องพี่ไปขับรถเที่ยวด้วยกัน สุดท้ายก็รวมพลพรรคได้ 6 คน จุดหมายของเราคือภูมิภาคโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อว่าเหมาะกับการขับรถชมใบไม้แดงเป็นที่สุด กำหนดการเดินทางของเราคือ ช่วงปลายเดือนตุลาคม ระยะเวลา 7 วัน 6 คืน ใครที่อยากไปขับรถเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งในชีวิตรีบเก็บกระทู้นี้เข้าคลังกันเลยล่ะค่ะ เพราะจะเป็นสกู๊ปที่บอกวิธีการขับรถเที่ยวญี่ปุ่นอย่างละเอียด พร้อมสรุปค่าใช้จ่ายให้ด้วย ตามไปชมกันเลย
1. ทำใบขับขี่สากล
ก่อนจะไปขับรถเที่ยวญี่ปุ่นก็ต้องมีใบขับขี่สากลก่อนนะคะ วิธีทำก็ง่ายมากๆ เลยค่ะ โดยเตรียมเอกสารดังนี้
- บัตรประชาชนตัวจริงพร้อมสำเนา
- ใบขับขี่ตัวจริงพร้อมสำเนา
- พาสปอร์ตตัวจริงพร้อมสำเนา
- รูปถ่าย 2 นิ้วถ่ายไม่เกิน 6 เดือน
- ถ้าใครมีหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลก็นำไปด้วยค่ะ
- เงินค่าทำ 505 บาท
เมื่อเตรียมหลักฐานเสร็จเดินสวยๆ เข้าไปที่กรมขนส่งทางบกกดบัตรคิวไม่ถึง 5 นาทีก็ได้ใบขับขี่แล้วล่ะค่ะ รวดเร็วมากๆ ชมรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่จ้า https://www.dlt.go.th/th/driving-license/view.php?_did=90
2. เช็คช่วงเวลาของใบไม้แดง
อยากไปดูใบไม้แดงก็อย่าวู่วามเห็นตั๋วถูกแล้วจองเลย เพราะคุณอาจจะพลาดไม่ได้ชมใบไม้แดงก็ได้ ซึ่งฤดูที่สามารถไปชมใบไม้แดงได้คือฤดูใบไม้ร่วง ประมาณปลายเดือนกันยายน - ต้นเดือนธันวาคม และจะแดงให้ชมแค่ 1-2 อาทิตย์เท่านั้น ซึ่งแต่ละภูมิภาคก็จะมีช่วงเวลาการแดงที่แตกต่างกันไป โดยจำไว้ให้ดีว่าการแดงของใบไม้จะไล่จากบนลงล่าง คือไล่จากภูมิภาคบนสุดของญี่ปุ่นคือภูมิภาคฮอกไกโดจนมาถึงภูมิภาคใต้สุดนั่นก็คือคิวชู ส่วนโทโฮคุจะเริ่มแดงประมาณต้นเดือนตุลาคม - ต้นเดือนพฤศจิกายน (สวนทางกับซากุระที่บานจากล่างขึ้นบน)แต่ถ้าจะถามว่าวันเวลาเป๊ะๆ ฮานะตอบไม่ได้ค่ะ เพราะแต่ละปีก็จะแตกต่างกันตามอุณหภูมิ และการเข้าหน้าหนาวช้าเร็วของญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ทำให้เราพอคาดการณ์ได้คือรายงานใบไม้แดงของแต่ละปี แล้วนำมาวิเคราะห์ได้ว่าเราควรจะไปช่วงไหน โดยรายงานการแดงของใบไม้แดงในแต่ละปีฮานะจะเช็คจาก เว็บไซต์ https://www.japan-guide.com/blog/koyo18/ โดยเขาจะมีรีพอร์ตแบ่งเป็นปี เป็นเดือน และเป็นวันให้เลย ชอบมากๆ
3. จองรถ
พอมีใบขับขี่สากลแล้วก็ต้องจองรถเพื่อไปขับที่ญี่ปุ่นค่ะ ทริปนี้เราใช้บริการของทาง Toyota rent a car เพราะมีสาขาให้เลือกทั่วประเทศญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นสาขาใกล้สนามบิน ใกล้สถานีรถไฟชินคันเซ็น และศูนย์บริการในเมืองอีกมากมาย สะดวกสบายมากๆ แถมเว็บไซต์ยังมีภาษาไทยอีกด้วย ใครอยากรู้ว่าจองอย่างไร ฮานะทำวิธีการจองเป็นคลิปมาให้อย่างละเอียดเลยจ้า กดเข้าไปดูกันได้เลย
ทริปนี้เราเลือกขับรถแค่ 3 วัน โดยรับรถที่สถานีรถไฟชินอาโอโมริ และคืนที่สถานีรถไฟโมริโอกะ ค่าจอง 60,804 เยนคิดเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท/คน
4.ซื้อพาสรถไฟ
ทริปนี้ของเราเริ่มต้นที่โตเกียวค่ะ สาเหตุที่เริ่มที่โตเกียวเพราะได้ค่าเครื่องบินถูกมว้ากกก จากสายการบินมาเลเซียแอร์ไลนส์ไป-กลับ แค่ 8 พันกว่าบาท แต่ก็ต้องแลกกับการไปต่อเครื่องประมาณ 2 - 3 ชั่วโมงที่กัวลาลัมเปอร์ และอีกเหตุผลหนึ่งคือสมาชิกทริปเราเป็นสายธรรมชาติป่าเขา + ช้อปปิ้ง เราก็เลยเลือกอยู่โทโฮคุ 4 วัน มาอยู่โตเกียวอีก 3 วัน ดังนั้นจะให้เราขับรถจากโตเกียวไปโทโฮคุ ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีแน่ๆ เพราะมันไกลมากๆ เราจึงเลือกนั่งรถไฟดีกว่า เร็วกว่าและประหยัดกว่ากันเยอะ พาสรถไฟที่แนะนำให้ซื้อไปด้วยนั่นก็คือ JR EAST Tohoku area ค่ะ
JR EAST Tohoku area
- สามารถใช้เดินทางโดยบริษัทรถไฟของเจอาร์อีสท์ทั้งรถไฟชินกันเซ็น รถไฟด่วน รถไฟโลคัลที่วิ่งในเมืองได้ค่ะ ครอบคลุมภูมิภาคโทโฮคุ และยังสามารถใช้นั่ง Narita Express จากสนามบินนาริตะและฮาเนดะเข้าโตเกียวได้ พร้อมกันนั้นยังสามารถนั่งรถไฟชินกันเซ็นจากโตเกียวไปยังโทโฮคุได้ และยังสามารถสำรองที่นั่งได้ด้วย
- ใช้ได้ 5 วันแบบไม่ต้องติดต่อกัน แต่ต้องใช้ภายใน 14 วันหลังจากวันที่เปิดใช้วันแรกนะคะ
- ราคา 19,000 เยน(5700 บาท) ถ้าซื้อจากเมืองไทย แต่ถ้าไปซื้อที่ญี่ปุ่น 20,000 เยน(6000 บาท)จ้า โดยถ้าซื้อจากเมืองไทยสามารถซื้อได้จากเอเจนท์ขายตั๋ว ขายทัวร์ญี่ปุ่นชื่อดังต่างๆ (ไปเสิร์ชหาเอาเองนะจ๊ะ) ซึ่งฮานะเลือกซื้อจากเมืองไทย ประหยัดไป 300 บาทแน่ะ
แผนที่แสดงขอบเขตการใช้ JR EAST Tohoku area
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.jreast.co.jp/e/eastpass_t/
5. เรียนรู้เรื่องการขับรถในญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเขาใช้พวงมาลัยขวาเหมือนเราค่ะ จึงไม่ยากเท่าไร แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือกฎจราจรของบ้านเขา เพราะกฎหมายบ้านเขานั้นบังคับใช้ได้ดีมากๆ ค่ะ ฮานะขอสรุปมาเป็นข้อๆ ตามนี้เลยจ้า
- ญี่ปุ่นขับรถทางด้านซ้ายของถนน
- ความเร็วที่จำกัดตามกฎหมายคือ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนถนนทั่วไปและ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนทางด่วน ถ้าเจอป้ายที่จำกัดความเร็วก็ต้องปฏิบัติตามด้วยนะจ๊ะ
-คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง และทุกที่นั่ง
- เด็กต่ำกว่า 6 ขวบต้องนั่งที่นั่งสำหรับเด็ก
- ญี่ปุ่นไม่มีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดนะจ๊ะ ดังนั้นทุกครั้งที่จะเลี้ยวต้องดูสัญญาณไฟก่อนเสมอ
- ถ้าไปเจอเส้นเหลืองทึบอย่าแซงเด็ดขาดเลยนะเธอ เดี๋ยวจะมีพี่ตำรวจที่คอยดักซุ่มแถวสี่แยกปั่นจักรยานมาเซย์ไฮ โอเนไงชิมัสนะจ๊ะ
- เจอทางม้าลาย หรือป้ายหยุดชั่วคราวต้องหยุดทุกครั้งนะคะ ต้องรอจนคนข้ามถนนหมดถึงจะเคลื่อนรถได้จ้า
และกฎจราจรอีกมากมายตามไปชมได้ที่นี่จ้า https://rent.toyota.co.jp/th/drive/rules.html
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็มาออกเดินทางไปด้วยกันเลยค่า
DAY 1
24/10
เราออกจากสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลนส์ เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ตรงเวลาเป๊ะ ไปนั่งดูหนังได้หนึ่งเรื่องกินอาหารบนเครื่องได้หนึ่งมื้อ(อาหารจากไทยอร่อยอยู่นา) ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์
ถึงกัวลาลัมเปอร์ปั๊บไม่ต้องงงเดินไปตามป้าย Transfer แล้วเช็คตารางบินว่าไฟลท์ของเราขึ้นที่เกทไหน ทริปนี้มีเวลาต่อเครื่องประมาณ 3 ชั่วโมงก็เดินชิลๆ ได้ แต่ถ้าใครมีเวลาน้อยอย่าเอ้อระเหยลอยชาย เพราะบางเกตก็ไกลแบบต้องนั่งรถไฟไปต่อเหมือนกับฮานะในทริปนี้
ในสนามบินมีร้านอาหารให้เลือกกินเยอะ มีสตาร์บัคส์ มีเบอร์เกอร์คิงให้นั่งชิล หรือจะเป็นอาหารฮาลาล อาหารมุสลิม ข้าวมันไก่ตามใจชอบ ใครไม่มีเงินริงกิตมาเลเซีย หรือดอลล่าร์ก็รูดบัตรโลด แต่ขอกระซิบว่าราคาอาหารในสนามบินของพี่ไม่นุ่มนวลเลยจ้าพี่จ๋า
ห้าทุ่มกว่าๆ พี่แอร์ก็มาเปิดประตูเกตให้เดินผ่านงวงช้างไปขึ้นเครื่อง เครื่องบินจากมาเลเซียไปญี่ปุ่นดีงามกว่าเครื่องจากไทย ใหม่กว่า ใหญ่กว่า แต่อาหารแย่กว่า จัดว่ากินไม่ได้ ร้องไห้หนักมาก กะว่าจองแบบทรานซิทมาจะกินให้คุ้มสองมื้อสุดท้ายบ๊ายบายเคอรี่สไตล์มาเล แล้วขอนอนยาวยิงตรงไปนาริตะ ระหว่างกำลังหลับมองหน้าจอแอลซีดี กำลังเฉียดประเทศไทยจ้า คิดในใจว่าตูจะเสียเวลาบินย้อนไปทำไมฟะ
Day 2
25/10
ถึงโตเกียวเวลาดีงามเจ็ดโมงกว่าๆ ผ่านตม.มาอย่างฉลุย ฮานะไม่อยากบอกว่าเวลาฮานะเลือกช่องตม.แอบเลือกจากหน้าตาตม.คนไหนหล่อ หนูจองช่องนี้ข้าพี่ขา แต่ระวังว่าอาจจะเจอแจ็คพอตเห็นแก่หน้าตาแต่พี่จ๋าถามเยอะจังจ้าไม่นุ่มนวลเหมือนหน้าตาเลยจ้า
รับกระเป๋าแล้วเดินเชิบๆ มองหาป้ายสัญลักษณ์รถไฟเข้าเมืองเอาไว้ แล้วเดินบันไดเลื่อนลงไปชั้นสุดท้ายโลดมองหาป้าย JR EAST Travel Service Center หาไม่ยากป้ายมันจะเป็นสีแดง อยู่ตรงข้ามกับบริษัท Kesei ซึ่งเป็นสีน้ำเงิน ท่องไว้ว่าสีแดงๆ แล้วเดินเข้าไปเอาตั๋ว JR EAST จากเมืองไทยไปเปลี่ยนเป็นตั๋วที่ใช้จริงก่อนจ้า จากนั้นก็จองที่นั่ง Narita Express เข้าโตเกียวก่อน แล้วให้เจ้าหน้าที่จองรถไฟชินคันเซ็นจากโตเกียวไปอาโอโมริ ดูรอบเวลาดีๆ ถ้าเร็วไปไม่เผื่อเวลาต่อรถไฟก็จะวิ่งตาหูแหก เพราะบ้านเขารถไฟออกเป็นนาที ไม่มีอิดออด ใครช้าก็โบกมือลาซาโยนาระ และอาจจะต้องรอไปอีกชั่วโมง หรือสองชั่วโมงถ้าสายนั้นรถน้อย ดังนั้นการขึ้นรถไฟการวางแผนเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำเว็บไซต์ Hyperdia เขาจะให้เราใส่สถานีต้นทาง ปลายทางเวลาที่จะไป แล้วก็จะรันสายรถไฟมาให้บอกแม้กระทั่งว่าขึ้นชานชาลาที่เท่าไร สมัยก่อนเหมือนจะมีแอป แต่ตอนนี้หาแล้วไม่มีไม่รู้ทำไมพี่เขาไม่พัฒนาต่อ เสียจาย ใครมีแอปรถไฟญี่ปุ่นดีๆ ฝากพิมพ์บอกฮานะในกระทู้นี้หน่อย ขอล่ะจ้า
จากโตเกียวยังไม่ได้ทันชะโงกหัวไปดูเมืองก็ต้องนั่งรถไฟไปอาโอโมริอีก 4 ชั่วโมง แนะนำว่าหาซื้อของกิน ข้าวกล่องไว้ก่อนเลย ใครซื้อไม่ทันก็ไปหาซื้อบนรถไฟเอา มีขายครบทุกอย่าง ตรงที่นั่งก็กว้างขวางกว่าเครื่องบินที่นั่งมา มีที่วางกล่องข้าว ขวดน้ำ ที่แขวนเสื้อโค้ท มีปลั๊กให้ชาร์จไฟ และมีห้องน้ำที่โค ตะ ระ สะอาดเว่อร์ให้เข้าแบบไม่ต้องนั่งอั้น 4 ชั่วโมง อ้อลืมแนะนำไปว่าสำหรับคนที่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เล็งตรงท้ายขบวนเอาไว้จะมีช่องให้สอดกระเป๋าเดินทางได้จ้า แต่ถ้าตรงนั้นเต็มก็ไปเดินหาตู้อื่นได้ แนะนำว่าการวางกระเป๋าควรวางแบบนอนที่น้องกระเป๋าไม่สามารถเคลื่อนไหวออกมาจากช่องนั้นได้ เพราะถ้าวางเอาล้อลงจะเลื่อนออกมาวิ่งเล่น จนพี่เจ้าหน้าที่รถไฟเขาต้องนำไปเรียงเอาไว้ให้อย่างสวยงาม แอบเกรงใจเลยล่ะค่ะ
มาถึงสถานีชินอาโอโมริบ่ายๆ ก็ต้องนั่งรถไฟต่อไปอีก เพราะที่พักที่เราอยู่อยู่ที่สถานีอาโอโมริ ไม่ใช่ชินอาโอโมริ สถานีชินอาโอโมรินั้นเป็นสถานีสำหรับรถไฟชินกันเซ็นเท่านั้น ซึ่งบางเมืองไอ้เจ้าสถานีชินกันเซ็น กับสถานีรถไฟธรรมดาอาจจะอยู่ที่เดียวกันสามารถเดินเปลี่ยนรถไฟกันได้ แต่บางสถานีอย่างเมืองอาโอโมริอยู่คนละที่กันเลยจ้า ต้องนั่งรถโลคัลเทรนเข้าเมือง ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น โดยรถไฟทุกอย่างของเจอาร์ใช้ JR EAST Tohoku area แค่หาช่องที่ออกผ่านห้องเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่ที่ออกประตูอัตโนมัติแล้วยื่นให้พี่เขาดูเท่านั้นพี่เขาก็จะผายมือไล่ เอ้ย เชิญเราออกไปได้แล้วล่ะค่ะ
ถึงในเมืองเผลอกรี๊ดออกมาจนคนญี่ปุ่นตกใจ เพราะเห็นเจ้าต้นกิงโกะ หรือเจ้าต้นแปะก๊วย เหลืองทองอร่าม บอกกับเราว่าข้างล่างเริ่มแดงแล้ว บนเขาที่เรามีแพลนจะไปต้องแดงสะใจแน่นวล
ลากกระเป๋าเดินจากสถานีอาโอโมริไปประมาณ 500 เมตรก็ถึงที่พักของเราก็คือ Art Hotel Color Aomori ที่พักสีขาวน่ารัก แต่พอเดินเข้าไปงง เพราะบรรยากาศมันเป็นสำนักงานไม่ใช่ที่พักนี่หว่า ระหว่างที่กำลังงง เจ้าเพื่อนก็สะกิดให้ดูว่ามีภาษาอังกฤษบอกว่าที่พักอยู่ชั้น 3 ต้องขึ้นลิฟต์ไปอ่ะเธอ
ห้องพักที่เราจองมาเป็นแบบห้องเดี่ยวคืนละ 1740 บาท/คน/คืน พร้อมอาหารเช้า ห้องพักถึงจะแคบแต่ก็ดีงามตามสไตล์เจแปนนีสที่เล็กก็เล็กพริกขี้หนู เพราะคุณพี่เล่นอัดสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างไปอย่างครบครัน ทั้งทีวี โทรศัพท์ โต๊ะ กาน้ำร้อน ไดร์เป่าผม ตู้เย็น
ห้องน้ำแคบมากแบบเปิดประตูก้าวเดียวก็ถึงอ่างแล้วจ้า แต่สิ่งที่ชอบคือห้องน้ำทุกห้องของโรงแรมในญี่ปุ่นเขามีอ่างอาบน้ำทุกที่ สบู่แชมพูส่วนมากก็เลือกใช้ของดีอย่างซิเชโด้ หอมมากๆ สระแล้วผมนิ่มจนอยากจะปั๊มใส่ขวดกลับเมืองไทยเลย
วันแรกไม่ได้ทำอะไรเลยเดินเล่นในเมือง ถามพนักงานโรงแรมว่าร้านไหนอร่อย พนักงานแนะนำว่าโอโตยะ เราก็ว่าฟังไม่ผิดใช่ไหม ชื่อร้านมันคุ้นๆ พอไปถึงก็ใช่เลยจ้าร้านเดียวกับที่กินที่เมืองไทย แต่ด้วยความหิวก็ต้องเข้าไปกิน สุดท้าย เอ๊ะอร่อยแฮะ ทำไมรู้สึกว่าอร่อยกว่าเมืองไทยล่ะ
Day 3
26/10
ตื่นเช้ามาลงไปกินข้าวที่ห้องอาหารสไตล์บุฟเฟ่ต์ บอกเลยว่าดีมากๆ อาหารอร่อย อาหารเยอะ แต่อ๊ะอย่าเพิ่งอิ่มเพราะเราจะพาไปกินต่อที่ตลาดปลาฟุรุคาวะ
ตลาดปลา Furukawa ตลาดปลาใจกลางเมืองอาโอโมริ ที่มีอาหารขึ้นชื่อคือ "นคเคะดง (nokkedon)" เป็นเมนูข้าวหน้าปลาดิบที่สามารถเลือกหยิบปลาที่ชอบและโปะไปบนข้าวได้เลย
เริ่มต้นเราจะต้องซื้อคูปองที่มีสองราคาคือ 650 เยน และ 1,300 เยน ตัวคูปองจะเป็นกระดาษแผ่นใหญ่ที่แบ่งเป็นคูปองเล็กๆ สามารถฉีกออกได้ เราซื้อแบบ 1,300 เยนค่ะ มีคูปองเล็กๆ 10 ใบ พอได้คูปองแล้วก็ Have Fun เลยค่ะ โดยเราจะนำคูปองเดินไปซื้อปลาดิบตามร้านต่างๆ ในตลาดที่เขาจะใส่จานเล็กๆ เอาไว้ให้ จะมีเขียนไว้ว่าเมนูนี้ใช้คูปองกี่ใบ ก็ฉีกได้เลยตามจำนวนคูปองที่เขียนไว้
กินข้าวเสร็จก็เช็คเอาท์ออกจากที่พักเพื่อไปเอารถที่ Toyota Rent a Car ซึ่งด้วยความง่าวของเราจองสถานที่รับรถเป็นสถานีชินอาโอโมริจ้า ก็เลยต้องนั่งรถไฟไปสถานีชินอาโอโมริ ซึ่งอันที่จริงแล้วเราสามารถจองรถที่สถานีในเมืองอาโอโมริได้ แต่ไม่เป็นไรมีบัตรรถไฟ JR EAST Tohoku area ก็ใช้นั่งไปเลยจ้า
มาถึงที่รับรถตอนเก้าโมงช้า พนักงานที่นี่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ค่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งมากแต่เขาพยามสื่อสารจนเราเข้าใจ หลังจากที่สอบถามการใช้งานคร่าวๆ บนรถกันแล้วก็เตรียมตัวไปขับรถเที่ยวในญี่ปุ่นกัน
การขับรถในญี่ปุ่นขอบอกว่ามันนิ่มมาก ทำไมรู้สึกว่าถนนเขาดีกว่าบ้านเราเยอะ ขับแล้วดีต่อใจ รถไม่เยอะ รถไม่ค่อยติด คนมีน้ำใจ ขับรถช้าก็ไม่มีใครมาบีบแตรไล่ เวลารถคันท้ายที่ตามเรามาก็จะไม่จี้ทำให้เราหัวเสีย ไม่มีปาด มีแซงบ้างแต่ก็เปิดไฟขอทาง โอ๊ยยย อะไรมันจะดีขนาดนี้คะ หนูนึกว่าหลุดมาจากยูโทเปีย เหล่าเจแปนนีสเวลามาเจอถนนบ้านเราจะรู้สึกอย่างไร เพราะถนนเมืองไทยนั้นบันเทิงเริงใจไม่แพ้ที่ใดในโลกเลยค่ะ 555 อ้อลืมบอกไปรถบ้านเขาเวลาวิ่งทับเส้น หรือวิ่งไม่ตรงเลน ก็จะมีเสียงเตือนด้วยนะคะ ทริปนี้ฮานะได้ยินรถร้องเตือนบ่อยมากๆ จนเป็นเหมือนสัญญาณให้เรารักษาวินัยจราจรอยู่ตลอดเวลา
จุดหมายปลายทางของเราก็คือฮักโกดะโรปเวย์ค่ะ วิธีการเดินทางก็ใช้ GPS ในรถที่ตั้งภาษาอังกฤษนี่แหละ ขอบอกว่าดีกว่ากูเกิลแมพอีก เพราะบอกขนาดว่าทางนี้กำลังซ่อม ทางนี้ปิด บอกละเอียดยิบ วิธีใช้ก็แค่พิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของสถานที่ที่เราจะไป เครื่อง GPS ในรถก็จะซีเล็คมาให้ ดังนั้นควรหาเบอร์โทรศัพท์เตรียมไว้ก่อนนะคะ ในกรณีที่เราไปที่เที่ยวเช่นทะเลสาบแล้วไม่รู้ว่าจะเอาเบอร์โทรศัพท์ที่ไหน วิธีง่ายๆ เอาเบอร์โทรศัพท์ที่พักแถวนั้นตั้งเป็นสถานที่นำทางไปแทนค่ะ
เส้นทางไปฮักโกดะโรปเวย์ฮานะใช้เส้นทางผ่านถนนหมายเลข 103 ค่ะ บอกเลยว่าสวยมากๆ เพราะจะมีจุดแวะชมวิวตลอดทาง อย่างจุดแรกที่เรามาแวะใบไม้กำลังแดงเต็มภูเขาสวยงามมากๆ
ยิ่งขับสูงขึ้นไปใบไม้ก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ มองไปทางไหนก็เจอภาพอุโมงค์ใบไม้สีส้มแดง เพลิดเพลินมากๆ
ขับมาไม่นานเราก็ถึงฮักโกดะโรปเวย์แล้ว ซึ่งภูเขา Hakkoda เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองอาโอโมริและทะเลสาบโทวาดะ มีความสูง 1585 เมตร เป็น 1 ใน 100 ภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นสถานที่ที่ชมใบไม้แดงได้สวยงามมากๆ ค่ะ
มาซื้อตั๋วเพื่อขึ้นโรปเวย์แบบไป-กลับ คนละ 1,850 เยน แบบเที่ยวเดียวราคา 1,180 เยน กระเช้าจะพาเราไต่ระดับความสูงจากสถานี Sanroku ไปจนถึงสถานี Sancho Park ที่ระดับ 1,324 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ใบไม้แดงไปทั้งภูเขาสวยงามมากๆ แต่เสียดายเริ่มร่วงแล้วล่ะค่ะ ถ้าเรามาเร็วสักอาทิตย์น่าจะเห็นใบไม้แดงที่ภูเขาฮักโกดะสวยกว่านี้
พอมาถึงข้างบน เขาจะมีทางเดินให้ไปชมวิวตรงสถานีค่ะ ขอบอกว่าหนาวมากๆ หนาวสุดๆ ยืนไม่ไหวต้องรีบลงมาข้างล่าง
มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เราได้เดินเทรกกิ้งเล็กๆ เรียกเหงื่อชมความสวยงามของธรรมชาติบนยอดเขา Hakkoda
จริงๆ ตามโปรแกรมทริปนี้หลังจากลงจากโรปเวย์เราจะไปทะเลสาปโทวาดะและไปชมลำธารโออิราเสะ แต่ด้วยความโอ้เอ้ออกจากอาโอโมริสายก็เลยไม่สามารถแวะทั้งทะเลสาปและลำธารโออิราเสะได้ค่ะ เพราะเราคาดการณ์เวลามืดในช่วงนี้ผิด พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปตั้งแต่สี่โมงกว่า และเส้นทางที่ไปลำธารก็เป็นเขาลดเลี้ยว ตอนฟ้าสว่างอ่ะสวย แต่มืดปุ๊บขับรถยากเลยจ้า เพราะไม่มีไฟเราเลยเปลี่ยนแพลนมุ่งหน้าสู่เมืองโคซากะ เมืองที่ราจะไปพักในคืนนี้อย่างเดียว
ที่พักคืนนี้ที่เมืองโคซากะ เราจองที่พักที่ชื่อว่า Kosaka Gold Palace เพราะเราจองที่พักที่ทะเลสาบโทวาดะไม่ทัน เต็มเร็วมากๆ ใครจะมานอนริมทะเลสาบโทวาดะแนะนำว่าควรจองก่อนล่วงหน้าสักหกเดือน ส่วนที่พักที่โคซากะเราจองเพราะยังว่าง และไม่ไกลทะเลสาบมาก แต่ภาพในบุคกิ้งขอบอกว่าไม่ค่อยน่าพักค่ะ เพราะภาพเก่ามากๆ ตอนแรกก็หวั่นๆ ว่าจะน่ากลัวไหม พอมาถึงความรู้สึกเปลี่ยนไป ห้องพักที่นี่กว้างมากๆ และสะอาดมากๆ แตกต่างจากภาพในเว็บไซต์เลยล่ะค่ะ ห้องนี้เรานอนสามคนราคา 6 พันกว่าบาทมีอาหารเช้าให้ค่ะ หารกันแล้วก็ตกคนละสองพันกว่าบาท
Day 4
27/10
ตื่นเช้ามากรี๊ดฝนตก แล้วไม่ได้ตกธรรมดา พยากรณ์อากาศบอกว่าจะตกทั้งวัน แพลนจะย้อนไปทะเลสาบโทวาดะที่พลาดเมื่อคืนเป็นอันพับ หรือจะไปทะเลสาบ Tazawa ก็ต้องพับ เราเลยตกลงกันว่าจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์รถไฟในเมืองแล้วขับรถไปขึ้นภูเขาฮาจิมันไต เปลี่ยนแผนเป็นชมภูเขาฮาจิมันไตจากหน้าต่างรถไฟแทนค่ะ
Kosaka Railroad Rail Park อดีตคือสถานีรถไฟ Kosaka แต่ตอนนี้ได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์รถไฟจัดแสดงหัวรถจักรและตู้รถไฟโดยจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือเราสามารถเดินเข้าไปชมรถไฟในแต่ละขบวนได้
รถไฟเรโทรโดนใจมากๆ
ออกจากเมืองโคซากะมุ่งสู่ภูเขาฮาจิมันไต ฝนตกตลอดทาง แต่ก็ได้บรรยากาศสวยไปอีกแบบค่ะ
รถพาเราค่อยๆ ไต่ขึ้นสูงจนเหมือนรถกำลังวิ่งอยู่บนภูเขาลอยฟ้าเลยล่ะค่ะ สวยงามมากๆ
ไม่นานก็เดินทางมาถึงจังหวัดอิวาเตะ โดยที่พักที่เราจะพักคืนนี้อยู่ที่เมืองนี้ค่ะ
ที่พักที่เราพักในคืนนี้คือ Active Resorts Iwate Hachimantai เป็นเรียวกังที่โอบล้อมด้วยขุนเขา ระหว่างทางขับรถไปยังที่พักเราก็พบกับจุดถ่ายรูปที่สวยมากๆ มีสะพาน น้ำตก และใบไม้แดง
วิวแบบนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ใกล้กับที่พักของเรามากๆ ค่ะ
ที่พักของเราก็สวยงามไม่แพ้กัน เพราะภูเขาที่โอบล้อมอยู่นั้นต้นไม้กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วมีที่พักอยู่ตรงกลางที่เดียว อลังเว่อร์อ่ะ ห้องที่เราจองมาเป็นแบบนอนฟูกสไตล์ญี่ปุ่นราคา 10,000 บาท/ห้อง พักได้ 3 คน ราคานี้รวมอาหารเช้า อาหารเย็นแล้วด้วยเริ่ดมากๆ
ซึ่งอาหารเย็นเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ที่พีคคือมีบูฟเฟ่ต์ปูค่ะ ทานอาหารเสร็จก็ไปแช่น้ำร้อนที่ออนเซ็นของที่พัก แล้วมานอนพักอย่างสบายใจ
Day 5
28/10
เช้านี้ตื่นมาทานบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าแล้วก็เตรียมเช็คเอาท์เพื่อไปคืนรถที่เมืองโมริโอกะค่ะ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้ขับรถแล้ว พอคืนรถปุ๊บก็เปลี่ยนมานั่งรถไฟชินกันเซ็นไปยังเมือง Ichinoseki แล้วนั่งรถบัสต่อไปยัง Geibikei ซึ่งวันนี้เราจะไปนั่งเรือชมใบไม้แดงกัน
ค่าเรือ 480 บาท เขาจะพาเราล่องไปตามลำธาร Geibikei โดยมีลุงคนขับเล่าเรื่องราวต่างๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งฟังไม่ออกจ้า คนญี่ปุ่นเขาขำแต่เรางงว่าเขาขำอะไร อยากฟังออกจัง ไม่นานคุณลุงคนขับก็ร้องเพลงภาษาญี่ปุ่น เพราะมากๆ
ออกจาก Geibikei ปุ๊บก็จับรถไฟเข้าโตเกียวค่ะ ซึ่งที่พักที่เราพักในวันนี้ชื่อว่า Hotel Amanek Asakusa Ekimae อยู่ในย่านอาซากุสะใกล้รถไฟใต้ดิน ราคา 1090 บาท/คนเท่านั้น ห้องเล็กแต่ดีไซน์สวย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
คืนนี้มาถึงโตเกียวมืดแล้วเลยไม่ได้ไปเที่ยวไหนค่ะ เราเดินเล่นชมวัดเซ็นโซจิยามค่ำคืนที่ไม่ค่อยมีคนบรรยากาศแตกต่างจากกลางวันเลยล่ะค่ะ
Day 6
29/10
วันนี้เราวางแพลนว่าเป็นวันแห่งการช้อปแล้วก็ช้อป ตั้งแต่ตลาดอาเมโยโกะไปจนถึงชิบุย่า ช้อปทั้งวันเลยจ้าพี่น้อง
ตอนกลางคืนอุทิศเวลาทั้งหมดให้ชิบุย่า เพราะวันนี้เป็นวันที่ 29 ตุลาก่อนฮาโลวีนไปดูบรรยากาศฮาโลวีนที่ญี่ปุ่นกันเลย
บอกเลยว่าแต่ละคนนั้นสุดมาก สุโค่ยเลยอ่ะ
Day 7
30/10
วันสุดท้ายโบกมือลาทริปขับรถญี่ปุ่นที่แม้จะพลาดอะไรไปมากมาย แต่ก็รับรองว่าสนุกมากๆ มาดูค่าใช้จ่ายทริปนี้ของเรากันค่ะ
รวมค่าใช้จ่ายทริปขับรถเที่ยวญี่ปุ่น 7 วัน / 6 คืน
ค่าเครื่องบิน 8865 บาท
ค่าทำใบขับขี่สากล 505 บาท
ค่าเช่ารถ + ค่าน้ำมัน 3300 บาท/คน
ค่าพาสรถไฟ 5700 บาท
ค่าที่พัก 8375 บาท
ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ 1500 บาท
ค่ากินประมาณ 10,000 บาท
รวม 38,245 บาท/คน
ใครอยากลองวางแพลนไปขับรถเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งในชีวิตก็ลองจองไปกันดูนะคะ รับรองว่าไม่ยากอย่างที่คิดและสนุกมากๆ ด้วย รอติดตามทริปญี่ปุ่นดีๆ จากชิลไปไหนได้อีกที่นี่เลยจ้า
เที่ยวต่างประเทศ | 21 พ.ย. 2024 | 1,873 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 12 พ.ย. 2024 | 749 อ่าน
ทริปตัวอย่าง เที่ยวต่างประเทศ | 15 ต.ค. 2024 | 1,237 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 11 ต.ค. 2024 | 1,491 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 24 ก.ย. 2024 | 1,587 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ย. 2024 | 2,342 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 30 ก.ค. 2024 | 3,290 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 19 ก.ค. 2024 | 6,435 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 3,957 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ | 16 ก.ค. 2024 | 1,114 อ่าน
เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ยอดนิยม ที่เที่ยว | 18 เม.ย. 2024 | 4,167 อ่าน